การจราจรที่คับคั่งในกรุงเทพฯ การมีรถยนต์ หรือมอเตอร์ไซค์ส่วนตัวใช่ว่าจะสะดวกสบายเสมอไป ครั้นจะพึ่งพารถเมล์ก็ต้องทนเบียดเสียดกับผู้คนจำนวนมาก แล้วแท็กซี่ก็มิอาจพบเจอคนขับที่มีน้ำใจ มารยาทดีได้ตลอด แต่เมื่อมี “UBER” บริการรถสาธารณะประเภทส่วนบุคคลที่สามารถเรียกผ่านแอพพพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตได้ จะช่วยให้คุณได้รับการบริการที่ประทับใจ ความสะดวกสบาย ตลอดจนความเป็นส่วนตัวตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง
สำหรับใครที่ยังไม่เคยลองใช้บริการแอพฯ “UBER” สามารถติดตามขั้นตอนการใช้งานได้ในคอมทูเดย์ฉบับนี้ครับ
1. เมื่อโหลดแอพฯ UBER มาติดตั้งในสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตเรียบร้อยแล้ว เราจะต้องสมัครสมาชิกด้วยการกรอกอีเมล, เบอร์โทรศัพท์, ตั้งรหัสผ่านเพื่อเข้าใช้งานครั้งต่อไป, ใส่ชื่อจริง-นามสกุล เป็นภาษาอังกฤษ ก่อนที่สุดท้ายจะต้องใส่หมายเลขบัตรเครดิต ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับบริการ UBER เนื่องจากค่าใช้จ่ายหลังการให้บริการจะถูกหักจากบัตรเครดิตนั่นเองครับ
2. เสร็จจากการลงทะเบียนแล้ว แอพฯ จะแสดงสถานที่ที่คุณอาศัยอยู่ในขณะนั้น เพื่อให้เป็นจุดที่แท็กซี่จาก UBER จะมารับคุณ ซึ่งหากคุณต้องการให้แสดงสถานที่เป็นที่อื่น ก็สามารถเลื่อนเครื่องหมายไปปักหมุดไว้ยังจุดที่ต้องการได้
3. เมื่อกำหนดตำแหน่งที่ต้องการให้แท็กซี่จาก UBER มารับเรียบร้อย ให้เลือกที่ “Set pickup location” เพื่อเป็นการยืนยันสถานที่ จากนั้นจะมีอีกหนึ่งหน้าต่างปรากฏขึ้นมา เป็นการแสดงเลขท้ายของบัตรเครดิตสำหรับชำระค่าบริการ ซึ่งสามารถเพิ่มหรือเปลี่ยนได้ เมื่อทุกอย่างยืนยันให้เลือกที่ “Request pickup here” เป็นการเรียกแท็กซี่จาก UBER อย่างเป็นทางการ
4. หลังจากเรียกแท็กซี่แล้ว หากยังมีบริการว่างอยู่ จะปรากฏเป็นหน้าต่างแสดงชื่อและหน้าตาของคนขับรถที่จะขับมารับ และจะแสดงยี่ห้อของรถ รวมไปถึงป้ายทะเบียนด้วย ส่วนเครื่องหมายลูกศรชี้ขึ้นจะมีเมนูให้เลือกเพิ่มเติม โดยหากต้องการติดต่อกับคนขับรถหรือยกเลิกการเรียกใช้บริการก็สามารถทำได้จากหน้าต่างนี้
สำหรับอัตราค่าโดยสารในขณะนี้นั้น เริ่มต้นที่ 45 บาท และจะเพิ่มขึ้น 2.50 บาททุกนาที และ 9.20 บาทต่อหนึ่งกิโลเมตร ซึ่งค่าโดยสารขั้นต่ำของ UBER ประเทศไทยนั้นอยู่ที่ 75 บาท เมื่อเทียบค่าบริการกับแท็กซี่ทั่วไปแล้วย่อมสูงกว่าแน่นอน แต่เพื่อความสะดวกสบาย ความเป็นส่วนตัว และความมั่นใจในการเดินทางแล้ว นับว่าน่าลองใช้บริการเป็นอย่างยิ่งครับ
