สกสว. เปิดเวทีชี้แจงแนวทางการจัดทำคำของบ ววน. ปี 67 เชิญชวนประชาคมวิจัยสร้างความเข้าใจร่วมกัน พร้อมเปิดรับคำขอของหน่วยงาน เดินหน้าพลิกโฉมประเทศ ยกระดับการแข่งขันทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม วางเป้าดันไทยเป็นผู้นำเทคโนโลยี ติดอันดับดัชนีนวัตกรรมโลกและดัชนีความยั่งยืน 35 อันดับแรกของโลก พร้อมโชว์ผลงานวิจัยแก้ปัญหาวิกฤติชาติ
ศาสตราจารย์ นพ. สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ ประธานกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กสว.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2565 สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) จัดการประชุมชี้แจงเป้าหมายการสนับสนุนงานมูลฐาน และแนวทางการจัดทำคำของบประมาณของหน่วยงานในระบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ผ่านออนไลน์ ณ โรงแรมเดอะ สุโกศล กรุงเทพ โดยแนวทางกรอบนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) พ.ศ. 2566 – 2570 ได้กำหนดทิศทางในการพัฒนาให้สอดคล้องกับเป้าหมายพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ ให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มุ่งเน้นนโยบายที่เป็นการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของประเทศ มีเป้าหมายที่ชัดเจน เก่งในบางเรื่องที่สำคัญ โดยใช้การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นเครื่องมือในการพัฒนา ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันและความสามารถในการพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน พร้อมกับการบูรณาการข้ามศาสตร์ ข้ามกระทรวง และการพลิกโฉมระบบที่สำคัญ
ทั้งนี้ แผนดังกล่าวยังให้ความสำคัญกับการนำวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเป็นกลไกสำคัญที่ขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมให้มีศักยภาพต่อการเปลี่ยนแปลง โดยมุ่งเน้นให้คนไทยมีสมรรถนะและทักษะสูง เพื่อให้เพียงพอต่อการยกระดับความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจที่มีคุณค่าและสร้างสรรค์ รวมถึงสามารถพัฒนาสังคม เพิ่มความมั่นคงของเศรษฐกิจฐานรากและการพึ่งพา สามารถแก้ปัญหาท้าทาย และปรับตัวได้ทันต่อพลวัตการเปลี่ยนแปลงของโลกได้อย่างยั่งยืน
“อย่างไรก็ดี ตลอดการจัดสรรงบประมาณมีงานวิจัยที่สามารถนำมาต่อยอด สร้างศักยภาพประเทศอย่างมากมาย ได้แก่ ด้านการแก้ปัญหาวิกฤติของประเทศ: กรณีโควิด-19 อาทิ 1) ชุดตรวจ “COVITECT-1” ด้วยวิธี Real-Time RT-PCR 2) เครื่องช่วยหายใจอัตราไหลสูง (High Flow Nasal Cannula – HFNC)
3) ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสารสกัดกระชายขาว และ 4) ชุดตรวจ SARS-CoV-2 ด้วยวิธีแลมป์เปลี่ยนสี (RT-LAMP) ซึ่งสามารถสร้างมูลค่าเชิงพาณิชย์แล้วกว่า 300 ล้านบาท และมูลค่าเชิงสังคมที่สร้างผลตอบแทนไม่ต่ำกว่า 5 เท่า ในช่วงปี 2564-2565 ที่ผ่านมา ด้านการวิจัยและสร้างนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่ ลดความเหลื่อมล้ำ และการพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อม อาทิ 1) การยกระดับศักยภาพและขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจของวิสาหกิจชุมชน ด้วยการสร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เหมาะสม สามารถสร้างรายได้ในปี 2564 ให้แก่โรงงานชุมชนเฉลี่ย 13,625 บาทต่อเดือน หรือประมาณ 170,000 บาทต่อปี โดยนำไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่กว่า 33 จังหวัด 2) พลังเกษียณสร้างชาติ: ระบบนิเวศการเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อพัฒนาทักษะงานในยุคดิจิทัลสำหรับผู้สูงวัยและระบบสนับสนุนเชิงเทคนิคของคนรุ่นใหม่สู่การนำไปใช้ที่ยั่งยืน มีผู้สูงอายุเข้าร่วมโครงการฯ รวมทั้งสิ้น 6,688 คน จาก 17 พื้นที่ในภาคเหนือ สามารถเพิ่มทักษะดิจิทัลในการสร้างช่องทางขายออนไลน์ประมาณ 3,000 บาทต่อเดือนต่อครัวเรือน 3) การศึกษาการกระจายตัวและแหล่งปนเปื้อนเชื้อก่อโรคและเชื้อดื้อยาในแหล่งน้ำ ช่วยประหยัดงบประมาณในการจัดการคุณภาพน้ำและน้ำเสียได้ประมาณร้อยละ 10 หรือคิดเป็นมูลค่า 215 ล้านบาทต่อปี เป็นต้น
ด้านการวิจัยและสร้างนวัตกรรมเน้นเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน พร้อมทั้งยกระดับการพึ่งพาตนเองในระดับประเทศ อาทิ 1) เทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิตมะม่วง ตลอดจนการแปรรูป ใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มพื้นที่ปลูกด้วยเครื่องขุดเจาะหลุมปลูกแทนการใช้แรงงาน สามารถลดต้นทุนได้ถึงหลุมละ 15 บาท 2) การปรับปรุงและคัดเลือกพันธุ์กัญชงเพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์และผลิตสินค้าจากเส้นใยกัญชง สามารถสร้างรายได้จากการปลูกกัญชงประมาณ 10,000 – 15,000 บาทต่อไร่ 3) การพัฒนานวัตกรรมเพื่อการผลิตและเพิ่มมูลค่ามังคุดเชิงพาณิชย์ ช่วยลดระยะเวลาในการดูแลสวนของเกษตรกรจากเดิมใช้เวลา 7 วันในแต่ละแปลง เหลือเพียง 30 นาที และด้านการพัฒนากำลังคน ยกระดับสถาบันความรู้ และระบบนิเวศด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม อาทิ 1) การพัฒนาเซ็นเซอร์เคมีไฟฟ้าแบบใหม่เพื่อประเมินการรักษาโรค รูมาตอยด์ด้วยยาซัลฟาซาลาซีน ช่วยลดข้อจำกัดในการเข้าถึงการตรวจวิเคราะห์ปริมาณยาซัลฟาซาลาซีนในเลือดของผู้ป่วย ซึ่งคาดว่ามีอยู่ประมาณ 180,000 คนทั่วประเทศ 2) การขยายผลจัดสร้างกำแพงกันกระสุนด้วยบล็อกประสานเพื่อใช้ในฐานปฏิบัติการในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในรูปแบบเว็บแอปพลิเคชัน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ใช้แจ้งเหตุฉุกเฉินหรือเตือนภัยต่าง ๆ ในพื้นที่ได้อย่างสะดวกมากขึ้น
รองศาสตราจารย์ ดร. ปัทมาวดี โพชนุกูล ผู้อำนวยการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) กล่าวว่า งานประชุมชี้แจงปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ในครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อสร้างความเข้าใจในการยื่นคำของบประมาณของหน่วยงานในระบบ ววน. ให้พร้อมก้าวสู่อนาคต โดยร่วมระดมพลังสมองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมเสนอคำของบประมาณ เพื่อมุ่งพลิกโฉมให้ประเทศยกระดับความสามารถในการแข่งขันและพัฒนาอย่างยั่งยืนในทุกมิติ ด้วยกำลังคนที่มีผลิตภาพและศักยภาพสูง ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัยและนวัตกรรม โดยตั้งเป้าผลักดันให้ประเทศไทยมีอันดับดัชนีนวัตกรรมโลก (Global Innovation Index) อยู่ใน 35 อันดับ และมีอันดับดัชนีความยั่งยืน (SDG Index) ที่สูงขึ้น อยู่ใน 35 อันดับแรกของโลก