[หน้าที่สำคัญ] เบื้องหลังของ ChatGPT แชทบอต AI อัจฉริยะ นอกจากชิปประมวลผลที่ทรงพลังแล้ว ก็มีการเทรนนิ่ง (Training) หรือฝึกฝนตัว AI ให้เรียนรู้ข้อมูลต่าง ๆ จนตอบคำถามหรือสร้างงาน Generated ได้ตรงใจผู้ใช้มากที่สุด และผู้ที่มาทำหน้าที่ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเหล่าพนักงานสัญญาจ้าง ที่ได้รับค่าจ้างราว ๆ 500 บาทต่อชั่วโมง มาช่วยลุย [งานเสริม] ยุคใหม่นี้เอง
Data Labeling คือการสอน Machine Learning หรือ AI ให้เรียนรู้ชุดข้อมูลต่าง ๆ จนสามารถนำไปประมวลผลแล้วตอบสนองกับผู้ใช้ได้ โดยความแม่นยำนั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวข้อมูลที่ AI มีเลย ซึ่งผ่านการกรองและแยกแยะมาอย่างดี
ตัวอย่างเช่น reCAPTCHA หรือเลือกรูปภาพเพื่อยืนตัวตน (ว่าไม่ใช่บอต) โดยการตอบทุก ๆ ครั้ง ก็จะเป็นการช่วยสอน AI ให้รู้จักกับภาพเหล่านั้นได้มากขึ้น
สำหรับ Data Labeling ต่อมาก็เกิดเป็นอาชีพเสริมยุคใหม่ที่เรียกว่า Labeler หรือผู้สอน AI นั่นเอง
ล่าสุดมีข้อมูลเผยว่า OpenAI ได้ว่าจ้าง Labeler กว่า 1,000 คน มาช่วยสอนตัว ChatGPT ของตัวเอง สืบเนื่องจาก OpenAI ยังเป็นบริษัทขนาดเล็ก ที่มีพนักงานอยู่ราว ๆ 400 คนเท่านั้น ในขณะที่ ChatGPT มียอดผู้ใช้ถึง 100 ล้านคนต่อเดือน
ด้วยยอดผู้ใช้ที่มหาศาลนี้ OpenAI จึงต้องใช้ชิปประมวลผลหรือ GPU อย่าง Nvidia A100 และ H100 เป็นจำนวนหลายหมื่นตัว ซึ่งมีราคาต่อหน่วยระหว่าง 10,000 ดอลลาร์ฯ ถึง 40,000 ดอลลาร์ฯ (ประมาณ 3 แสนถึง 1.3 ล้านบาท) และยังมีค่าดูแลต่อวันมากถึง 24 ล้านบาท เพื่อทำให้ ChatGPT สามารถใช้งานได้ตลอดเวลา
แม้จะมีระบบประมวลผลที่ทรงพลังแล้ว แต่หาก AI ไม่มีชุดข้อมูลก็ไม่มีความสามารถ จึงเป็นหน้าที่ของวิศวกรและเหล่า Labeler มาช่วยกันดูแลระบบ และคอยป้อนข้อมูลไปเรื่อย ๆ เพื่อทำให้บริการ AI มีชุดข้อมูลที่สดใหม่อยู่เสมอ
[ต่อให้คุณสามารถออกแบบ Neural Networks หรือโครงข่ายประสาทเทียมได้ตามต้องการ หรือสามารถค้าหานักวิจัยจากทั่วโลกได้ แต่ถ้าไม่มี Labeler ก็ไม่มี ChatGPT]
Alexej Savreux อายุ 34 ปี อาชีพนักข่าวและนักเขียน หนึ่งในทีม Labeler กล่าว
เรียกได้ว่าเครื่องมือ AI ต่าง ๆ ที่ยิ่งมีความอัจฉริยะขนาดไหน ก็ยิ่งต้องใช้จำนวนคนไม่น้อย ให้มาช่วยกันป้อนข้อมูล สอนการดึงข้อมูล จนแน่ใจว่ามีความแม่นยำและเชื่อถือได้
ที่มา : Techspot