เมื่อเร็ว ๆ นี้ นางแววตา กุลโชตธาดา รองผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและบัญชี บริษัท ที เอส ฟลาวมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TMILL โรงงานโม่แป้งสาลีที่ทันสมัยที่สุดของประเทศไทย เปิดเผยในงาน TMILL พบนักลงทุน Opp Day Q3/2019 ว่า “ ในการพบปะนักลงทุนวันนี้ถือเป็นโอกาสอันดีที่ได้แนะนำองค์กรให้ผู้ที่สนใจและสื่อมวลชนได้รู้จักและเข้าใจการดำเนินธุรกิจของ TMILL มากขึ้น โดยในครั้งนี้ได้นำข้อมูลเกี่ยวกับหุ่นยนต์เฟส 2 คือ “หุ่นยนต์ห้องร่อนแป้ง” มาแสดงให้ได้เห็นถึงประสิทธิภาพ ซึ่งได้วางระบบติดตั้งและเปิดใช้งานเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่จะช่วยเสริมศักยภาพการผลิตให้กับโรงงาน เป็นไปตามแนวทางการลงทุนด้านนวัตกรรมของบริษัท ฯ
นอกจากนี้ยังได้แจ้งข่าวดีในเรื่องที่ TMILL ได้รับการรับรอง CG Score ว่ามีหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี (หรือบรรษัทภิบาล) สำหรับบริษัทจดทะเบียน ประจำปี 2562 ที่ “ระดับ 5 (ดีเลิศ)” จากผลสํารวจคะแนน CGR ประจําปี 2562 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทยจำนวน 677 บริษัท โดยสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ให้ได้รับทราบเพิ่มเติม ซึ่งเป็นการตอกย้ำการบริหารจัดการบริษัทที่มีประสิทธิภาพ และสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนเพิ่มมากขึ้น
ในส่วนของผลประกอบการนั้น อย่างที่ทุกท่านทราบดีว่าสถานการณ์ภาพรวมเศรษฐกิจโลกปัจจุบันมีแนวโน้มชะลอตัว แต่ทางบริษัท ฯ ไม่ได้ชะลอเรื่องการตลาด ยังคงเดินหน้าขยายทีมการขายเพิ่มกว่าเท่าตัว ส่งผลให้มีรายได้จากการจำหน่ายในไตรมาส 3/2562 เพิ่มขึ้น 5.9% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2561 โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นเกิดจาก
ปริมาณการจำหน่ายแป้งสาลีเพิ่มขึ้น 7.4% แต่ราคาจำหน่ายแป้งสาลีเฉลี่ยลดลง 0.2% ส่วนปริมาณจำหน่ายรำข้าวสาลีเพิ่มขึ้น 5.8% และราคาจำหน่ายรำข้าวสาลีเฉลี่ยลดลง 6.6% อย่างไรก็ตาม แม้บริษัทฯ จะมีรายได้จากการจำหน่ายเพิ่มขึ้น แต่ต้นทุนวัตถุดิบขายในไตรมาส 3/2562 ซึ่งคิดเป็น 84.1% ของรายได้กลับสูงขึ้นจาก 79.3% ในไตรมาส 3/2561 อันเป็นผลมาจากราคาเฉลี่ยของวัตถุดิบที่ใช้ปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 3/2562 ลดลง 4.8%
สำหรับช่วงที่เหลือของปีนี้ ประเมินว่าปริมาณขายสินค้าจะเติบโตขึ้น เนื่องจากไตรมาส 4 ถือเป็นช่วงเฉลิมฉลองเทศกาลและวันหยุดต่าง ๆ เป็นช่วงไฮซีซันของธุรกิจ บริษัท ฯ วางแผนจะเน้นเพิ่มยอดขายทั้งกับลูกค้ารายเดิมและขยายฐานลูกค้าใหม่ให้ครอบคลุมทั่วประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก (SME) ในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีโอกาสเติบโตได้อีกมาก และขณะนี้คำสั่งซื้อจากลูกค้ารายใหญ่ที่ทำสัญญาระยะยาวมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 60% จากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 50%” นางแววตากล่าวสรุป