เทรนด์เทคโนโลยีสำหรับธุรกิจในปี 2025 โดย คุณวรพจน์ ถาวรวรรณ, ผู้จัดการทั่วไปประจำไทย และภูมิภาคอินโดจีน

{"ARInfo":{"IsUseAR":false},"Version":"1.0.0","MakeupInfo":{"IsUseMakeup":false},"FaceliftInfo":{"IsChangeEyeLift":false,"IsChangeFacelift":false,"IsChangePostureLift":false,"IsChangeNose":false,"IsChangeFaceChin":false,"IsChangeMouth":false,"IsChangeThinFace":true},"BeautyInfo":{"SwitchMedicatedAcne":false,"IsAIBeauty":false,"IsBrightEyes":false,"IsSharpen":false,"IsOldBeauty":false,"IsReduceBlackEyes":false},"HandlerInfo":{"AppName":2},"FilterInfo":{"IsUseFilter":false}}

เริ่มต้นปี 2025 ที่ธุรกิจทั้งในประเทศไทยและเอเชียแปซิฟิกยังคงต้องเดินหน้าปรับตัวเพื่อก้าวตามเทรนด์เทคโนโลยีที่จะช่วยผลักดันธุรกิจให้เดินหน้า ในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยี เลอโนโว ได้เผย 9 เทรนด์เทคโนโลยีที่จะเข้ามามีบทบาทในธุรกิจ โดยทั้ง 9 เทรนด์นั้นมีความเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีอาทิ AI, การจัดการข้อมูล, กลยุทธ์การใช้งานคลาวด์, ความปลอดภัยทางไซเบอร์ และการสร้างความยั่งยืน  โดยธุรกิจที่สามารถปรับตัวและนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาประยุกต์ใช้ได้ก็จะเกิดความได้เปรียบในการทำธุรกิจในยุคดิจิทัล

บทบาทของภาษา LLMs เฉพาะทางที่จะเข้ามาพลิกโฉมการใช้งาน AI ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

การใช้โมเดลภาษาขนาดใหญ่ หรือ LLM ที่เจาะจงสำหรับแต่ละอุตสาหกรรมหรือโดเมนนั้นจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการใช้งาน AI ทางธุรกิจ โดยการใช้งาน LLM เฉพาะทางหรือเป็นโดเมนที่เจาะจงนั้นจะช่วยให้การสร้างเนื้อหาหรือคำตอบมีความแม่นยำและเกี่ยวข้องกันมากขึ้นเนื่องจาก LLM ที่ AI ใช้งานนั้นจะเป็นภาษาที่มีข้อมูลเฉพาะที่เกี่ยวข้องในแต่ละอุตสาหกรรม อาทิ ข้อมูลเชิงลึก ข้อกำหนด,กฏเกณฑ์ต่าง ๆ หรือตัวอย่างปฎิบัติเพื่อเป็นแนวทาง โดย LLM ที่มีความเฉพาะจะสามารถช่วยวิเคราะห์ข้อมูลของอุตสาหกรรมนั้น ๆ เพื่อหารูปแบบหรือเทรนด์ ให้ธุรกิจสามารถนำข้อมูลไปใช้ต่อยอดได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้การงานใช้ LLM เฉพาะทางจะช่วยให้นวัตกรรมหรือความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมีมากขึ้น เช่น การใช้งานในการสร้างทาสก์ทั่วไป การจัดการเวิร์กโฟลว์ การค้นหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ซึ่งล้วนเป็นประโยชน์ในแง่ของการวางแผนทรัพยากรบุคคล ผ่านการใช้งาน AI นอกจากนี้โมเดลภาษาเฉพาะทางเหล่านี้จะช่วยสร้างนวัตกรรม เพิ่มประสิทธิภาพให้การทำงาน รวมถึงปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานของแต่ละอุตสาหกรรมได้ในอนาคต

เพิ่มการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับ AI

ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีความตื่นตัวในเรื่องของ AI และ Generative AI อย่างมากในปี 2024 โดยจากรายงานมีการคาดการณ์ว่าการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับ AI จะมีมูลค่าสูงถึง 110 พันล้านเหรียญสหรัฐฯภายในปี 2028 และเมื่อธุรกิจเริ่มหันมาเห็นถึงประโยชน์ที่มากขึ้นของ AI และในปี 2025 จะเป็นปีที่เราได้เห็นการลงทุนด้าน AI เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ซึ่งทำให้เลอโนโวรังสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ผสานนวัตกรรมและประสิทธิภาพของ AI เข้าไป ได้แก่ AI PCs, AI Applications  และโซลูชัน Hybrid AI รวมถึงอื่นๆ

ความสนใจและความเข้าใจที่มีมากขึ้นเกี่ยวกับเทคโนโลยีเหล่านี้จะนำไปสู่ความพิถีพิถันที่เพิ่มขึ้นในการเลือกใช้เครื่องมือ AI โดยผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจในด้านธุรกิจจะไม่มองแค่เพียงว่าเครื่องมือ AI ดังกล่าวนั้นสอดคล้องกับธุรกิจหรือไม่ แต่จะมีมุมมองและวิสัยทัศน์ที่ใหญ่ขึ้นว่าเครื่องมีอ AI ที่จะนำมาใช้นั้นรองรับข้อกำหนดทางกฎหมายและข้อบังคับต่าง ๆ ได้หรือไม่ด้วยเช่นกัน ทำให้ปัจจุบันมีธุรกิจจำนวนมากขึ้นที่เลือกใช้โซลูชัน AI โดยพิจารณาจากหัวข้อเหล่านี้ตั้งแต่การเริ่มใช้งาน รวมถึงการนำเอาองค์กรภายนอกที่มีความเข้าใจ และพร้อมให้บริการในเครื่องมือเหล่านี้ได้เข้ามาใช้งาน

AI จะเข้ามาเป็นเพื่อนร่วมงาน ให้การเข้าถึงและการใช้งานตอบโจทย์ยิ่งขึ้น

Agentic AI หรือ AI เอเจ้นท์ ที่มีความสามารถในการปฎิบัติงานหรือตัดสินใจได้ด้วยตนเอง จะเข้ามามีบทบาทมากยิ่งขึ้นในอีก 2 -3 ปีข้างหน้าทั้งในแง่ของส่วนบุคคลและส่วนรวม โดยจะเป็นครั้งแรกที่ AI ไม่ได้มีบทบาทเพื่อตอบโจทย์การทำงานพื้นฐานทั่วไปหรือเพียงแค่การตอบแชท แต่ AI จะสามารถทำงานได้ทั้งเชิงรับเชิงรุก กล่าวคือ AI จะเป็นเพื่อนรวมงานกับมนุษย์ได้อย่างแท้จริง จากการคาดการณ์ของ การ์ทเนอร์ พบว่า ภายในปี 2028 การตัดสินใจที่เกิดขึ้นในการทำงานของแต่ละวันจะมี AI เข้ามาช่วยตัดสินใจกว่า 15% โดย AI เอเจ้นท์จะนำเอา LLM มาใช้งานในการสื่อสารโดยใช้ชุดข้อมูลความรู้ที่มีเพื่อตอบสนองได้แบบเรียลไทม์โดยไม่พึ่งการประมวลผลบนคลาวด์ ซึ่งส่งผลให้ข้อมูลมีความเป็นส่วนตัวยิ่งขึ้น เนื่องจากข้อมูลไม่ต้องถูกส่งขึ้นไปบนคลาวด์แต่จะถูกเก็บไว้ที่ตัวเครื่องหรืออุปกรณ์ นอกจากนี้จะยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานเนื่องจาก AI เอเจ้นท์สามารถตอบสนองต่องานได้ด้วยตัวเอง ทั้งในแง่ของการจัดการเอกสาร การสรุปการประชุม หรือการ

สร้างคอนเทนต์ นอกจากนี้เราจะได้เห็นการใช้งาน digital twins หรือฝาแฝดดิจิทัล ซึ่งเป็นการที่ AI ดึงเอาพฤติกรรมต่าง ๆ มาใช้เป็นข้อมูลในการกระทำต่าง ๆ เช่นการนำเอา AI เอเจ้นท์สำหรับการสร้างรายการช็อปปิ้งสินค้า, AI เอเจ้นท์สำหรับการแปลภาษา และ AI เอเจ้นท์สำหรับการท่องเที่ยว มาทำงานร่วมกันกลายเป็น digital twins เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างและเฉพาะบุคคลของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น

ความต้องการการใช้งาน AI ในโครงสร้าง และระบบที่รองรับได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เซิร์ฟเวอร์รองรับการใช้งาน AI นั้นได้รับการใช้งานที่แพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากธุรกิจหันมาใช้งาน AI และ generative AI มากยิ่งขึ้น ซึ่งเซิร์ฟเวอร์เหล่านี้ล้วนใช้พลังงานและก่อให้เกิดความร้อนมากกว่าเซิร์ฟเวอร์ทั่วไป โดยเลอโนโวคาดการณ์ว่าในปี 2025 ความต้องการในโครงสร้างพื้นฐานที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งาน AI โดยเฉพาะนั้นจะเพิ่มขึ้น ทำให้ออกแบบเซิร์ฟเวอร์เพื่อรองรับการใช้งาน AI ที่เพิ่มขึ้นตามดีมานด์ รวมไปถึงช่วยลดพื้นที่การจัดเก็บและความจำ ยังผลให้การสื่อสารระหว่างเซิร์ฟเวอร์ เป็นระบบ และสามารถปรับแต่งการจัดเก็บข้อมูลได้ตามต้องการ และยังให้จัดการพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความต้องการการใช้งานระบบคลาวด์จากหลายผู้ให้บริการ

การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและหลากหลาย ทำให้ธุรกิจจำนวนมากในเอเชียแปซิฟิกเริ่มพิจารณาการใช้งานระบบคลาวด์จากหลายผู้ให้บริการ หรือ multi-cloud เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น สามารถปรับขนาดการใช้งานได้ตามความต้องการ รวมถึงป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นหากใช้งานคลาวด์จากผู้บริการรายเดียวต้องหยุดชะงักลง เลอโนโวคาดการณ์ว่าในปี 2025 จะมีความต้องการใช้งานคลาวด์เพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะคลาวด์โซลูชันที่เกี่ยวกับ AI เช่น การวิเคราะห์และคาดการณ์ ออโตเมชัน และการพัฒนาประสบการณ์ของลูกค้า อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนโซลูชันโครงสร้างของระบบเก็บข้อมูลนั้นมีความซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายที่สูง ผู้นำธุรกิจจึงควรต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนระหว่างค่าใช้จ่ายในการย้ายและประโยชน์ที่จะได้รับในระยะยาวจากความยืดหยุ่น และขนาดการใช้งานตามความต้องการ

การลงทุนใน Edge Computing จะเพิ่มขึ้นเพื่อเสริมความรวดเร็วแบบเรียลไทม์

ในขณะที่อุตสาหกรรมอย่างโรงงานผลิต การสื่อสารและคมนาคมรวมถึงภาครัฐ ล้วนมีการลงทุนเพิ่มขึ้นในเทคโนโลยี IoT และ 5G การลงทุนใน AI และ edge ก็เห็นถึงการเติบโตเช่นกัน โดยจากรายงาน Lenovo’s 2024 CIO Playbook พบว่าการใช้งาน edge นั้นเพิ่มขึ้นราว 25% ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเมื่อเปรียบเทียบระหว่างปี 2023 และ 2024 โดยในปี 2025 อุปกรณ์ที่รองรับการใช้งาน edge ซึ่งสร้างข้อมูลได้มากกว่า หรือจะเป็นโซลูชัน edge computing ที่ประมวลผลได้อย่างมีประสิทธิภาพจะเป็นตัวผลักดันที่สำคัญในการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ และเพิ่มประสิทธิผลให้กับงาน ความยืดหยุ่นของการใช้งานคลาวด์ และ edge computing จะช่วยเสริมประสิทธิภาพให้ธุรกิจสามารถประมวลผลข้อมูลได้ใกล้เคียงกับแหล่งที่ข้อมูลเดิม จึงช่วยลดเวลาในการประมาลผลและความหน่วง ในขณะที่ข้อมูลขนาดใหญ่ก็ถูกจัดการได้อย่างรวดเร็ว

ความปลอดภัยทางไซเบอร์จะยังคงเป็นเรื่องที่สร้างความกังวล โดยเฉพาะการคุกคามที่มีเพิ่มขึ้นให้เห็นอย่างต่อเนื่อง

จากเหตุการณ์ข้อมูลสำคัญรั่วไหลเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2024 การสร้างความปลอดภัยทางไซเบอร์ยังคงเป็นหัวข้อที่ธุรกิจในเอเชียแปซิฟิคให้ความสนใจในปี 2025 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล ซึ่งภาครัฐในหลายประเทศล้วนเพิ่มความเข้มงวดในเรื่องดังกล่าวผ่านกฎหมายหรือ พรบ.ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity Act) โดยให้ธุรกิจมีมาตรการที่ชัดเจนในการสร้างความปลอดภัย พร้อมมีบทลงโทษหากมีข้อมูลรั่วไหลอันเกิดจากระบบความปลอดภัยของธุรกิจ ซึ่งทำให้ธุรกิจหันมาลงทุนเพิ่มขึ้นในเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยทางไซเบอร์ และโซลูชันในการรักษาข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อมาตรการที่รัดกุมยิ่งขึ้นในการเข้าถึงและเก็บข้อมูลอย่างปลอดภัย และด้วยข้อมูลที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากความนิยมในการใช้งาน AI ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาโครงสร้างของระบบที่ดูแลและจัดเก็บข้อมูลจึงเพิ่มขึ้น ทำให้ธุรกิจต้องสร้างระบบ

Ecosystem ที่ครอบคลุมและปลอดภัยเพื่อเตรียมพร้อมก่อนที่ภาครัฐจะออกมาตรการแบบฉับพลันซึ่งอาจส่งผลให้ธุรกิจต้องเร่งติดตั้งและอาจมีข้อผิดพลาด

 ธุรกิจดาต้า เซ็นเตอร์ จะเติบโต

กลุ่มธุรกิจดาต้า เซ็นเตอร์ทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากสาเหตุการบริโภคข้อมูลเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเทรนด์ดังกล่าวจะยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องในปี 2025 ทั้งในส่วนของภาครัฐและเอกชนที่ต้องบริหารการใช้พลังงานและการทำงานที่ซับซ้อนมากขึ้น เนื่องจากมีความต้องการโครงสร้างระบบพื้นฐานที่รองรับการใช้งาน AI

ความยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญในการผลักดันธุรกิจดาต้า เซ็นเตอร์

การใช้งานบริการดิจิทัลและ AI ที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ความต้องการในการใช้พลังงานของดาต้า เซ็นเตอร์ เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกันในทั่วภูมิภาค ปี 2025 นี้ธุรกิจจะให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีที่คำนึงถึงความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น ในบางประเทศมีการออกกฎหรือมาตรการที่เข้มงวดขึ้นในการจัดการกับปัญหาโลกร้อน สำหรับธุรกิจดาด้า เซ็นเตอร์ นั้นให้ความสำคัญกับการบริหารความต้องการใช้ดาต้า เซ็นเตอร์ที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในการรองรับเทคโนโลยีใหม่ และการไม่สร้างคาร์บอนฟุตปริ้นที่เพิ่มขึ้นตาม ทั้งภาครัฐและธุรกิจล้วนจะหันมาให้ความสำคัญต่อการใช้งานโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ โดยการใช้ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีความเย็นมาใช้จัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมตรวจสอบและดูแลด้านความยั่งยืนแบบองค์รวม และการใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้กับผลิตภัณฑ์