ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโอไฮโอสเตต คิดค้นวิธีเปลี่ยนพลังงานจากกากนิวเคลียร์ให้กลายเป็นไฟฟ้า ผ่านเทคโนโลยีที่เรียกว่า แบตเตอรี่นิวเคลียร์
แนวคิดนี้คือการใช้รังสีแกมมาซึ่งมีพลังทะลุทะลวงสูง มาเปลี่ยนเป็นแสง แล้วจึงแปลงแสงนั้นให้เป็นพลังงานไฟฟ้าได้อย่างปลอดภัย โดยไม่ต้องใส่วัสดุกัมมันตรังสีไว้ข้างในแบตเตอรี่เอง
หัวใจของเทคโนโลยีนี้อยู่ที่ “ผลึกสกินติลเลเตอร์” (Scintillator Crystals) ซึ่งจะเปล่งแสงเมื่อดูดซับรังสีแกมมา หลังจากนั้น เซลล์แสงอาทิตย์ (Solar Cell) ที่ติดอยู่รอบๆ ผลึกจะรับแสงนี้และเปลี่ยนเป็นกระแสไฟฟ้า โดยไม่ต้องสัมผัสสารกัมมันตรังสีโดยตรง จึงค่อนข้างปลอดภัยในการใช้งาน
ลองนึกภาพว่าเรามีขยะนิวเคลียร์ที่ปกติแล้วอันตรายและต้องเก็บไว้ในที่ปลอดภัยเท่านั้น แต่ทีมนักวิจัยค้นพบวิธีนำรังสีของขยะพวกนี้มาผลิตเป็นไฟฟ้าได้โดยใช้แบตเตอรี่นิวเคลียร์ โดย
1.มีผลึกที่เรียกว่า สกินติลเลเตอร์ (Scintillator Crystals) หน้าที่ของผลึกชนิดนี้คือ เปล่งแสง (คล้ายหลอดไฟ) เมื่อโดนรังสีแกมมา (รังสีที่สูงและทะลุทะลวงได้มาก) ใช้เซลล์แสงอาทิตย์ (Solar Cell) แปลงแสงเป็นไฟฟ้า
2.เมื่อผลึกเปล่งแสง เซลล์แสงอาทิตย์ก็จะเปลี่ยนแสงนั้นให้กลายเป็นพลังงานไฟฟ้า
สรุปง่ายๆ คือ รังสีแกมมาจากกากนิวเคลียร์ → ตกกระทบผลึก → ผลึกเปล่งแสง → เซลล์แสงอาทิตย์รับแสง → ได้ไฟฟ้า
จากการทดลอง ผลึกสกินติลเลเตอร์สามารถเปล่งแสงได้ทั้งเมื่อใช้ ซีเซียม-137 และ โคบอลต์-60 ซึ่งเป็นกากเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ทั่วไป แบตเตอรี่รุ่นต้นแบบขนาดเล็กเพียง 4 ลูกบาศก์เซนติเมตร สามารถผลิตพลังงานได้หลายระดับ ตั้งแต่ระดับนาโนวัตต์ถึงไมโครวัตต์ ขึ้นอยู่กับความเข้มของรังสี แม้ตอนนี้จะยังไม่ถึงขั้นจ่ายไฟให้บ้านทั้งหลังได้ แต่ก็พอให้เลี้ยงเซนเซอร์หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็กได้แล้ว
ข้อได้เปรียบสำคัญคือ เทคโนโลยีนี้นำของเสียมาใช้ให้เกิดคุณค่าแทนที่จะปล่อยให้กากนิวเคลียร์อันตรายถูกเก็บไว้อย่างเดียว แต่อย่างไรก็ตาม อุปสรรคที่ยังต้องแก้ไขคือ ต้นทุนการผลิต ซึ่งสูงมากในช่วงเริ่มต้น อีกทั้งยังต้องทดลองเรื่องความทนทานในการใช้งานระยะยาว
ที่มา
techspot