สนสิริ เซตมาตรฐานวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดตัวโมเดลธุรกิจเปลี่ยนโลก “Sansiri Green Mission” ตั้งเป้าลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนมอนออกไซด์
แสนสิริ ตอกย้ำผู้นำอสังหาริมทรัพย์รายแรก ของไทย ที่สร้างจุดเปลี่ยนเพื่ออนาคตของโลก ปั้นโมเดล แสนสิริ กรีน มิชชั่น – Sansiri Green Mission” สะท้อนปรัชญาของแนวคิด “เศรษฐกิจหมุนเวียน” หรือ “Circular Economy” ผสานการสร้างสรรค์นวัตกรรมและเทคโนโลยีภายใต้การวิจัยและพัฒนาในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และจัดการพลังงานอย่างยั่งยืน
โดยแสนสิริวาง Green Roadmap ผลักดัน 4 คำมั่นสัญญาหลัก ได้แก่ Waste Management | Energy Saving & Generation | Smart Move และ Sustainability เพื่อโลกและคุณภาพชีวิตที่ดีในการอาศัยอยู่ของลูกบ้านแสนสิริและประชาคมโลกอย่างยั่งยืน
นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ด้วยวิสัยทัศน์ของแสนสิริที่ไม่เพียงแค่การพัฒนาหรือสร้างที่อยู่อาศัย แต่แสนสิริยังมุ่งมั่นส่งมอบไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัย และการใช้ชีวิตให้แก่ลูกค้าภายใต้แนวคิด customer-centric หรือความต้องการของลูกค้าเป็นสิ่งที่สำคัญสูงสุดเพื่อเติมเต็มไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยให้กับลูกค้าในแต่ละกลุ่มได้อย่างตรงจุด
นอกจากนี้ล่าสุดแสนสิริยังมีแนวคิด ในการเดินหน้าเป็นผู้นำเพื่อผลักดันและเซตมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไทยในด้าน ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังและยั่งยืน โดยการให้ความสำคัญทั้งในด้านลดการใช้พลังงาน และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่สร้างผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมโลก
ทั้งนี้ที่ผ่านมา แสนสิริได้จัดตั้งทีมวิจัยและพัฒนา (R&D) และร่วมมือกับพันธมิตรจากสถาบันฯ และบริษัทฯ ชั้นนำระดับโลกกว่า 20 ราย เพื่อพัฒนาและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและจัดการพลังงานอย่างยั่งยืน โดยเริ่มนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่ผ่านการทดสอบเข้าสู่กระบวนการติดตั้งในโครงการนำร่องต่างๆ
อาทิ โครงการ Cooliving Designed Home นวัตกรรมบ้านระบายความร้อน การพัฒนาและติดตั้งกังหันลม ผลิตไฟฟ้า Wind Turbine รวมถึงการเปิดตัว Smart Move แพลตฟอร์มบริการเช่ารถพลังงานไฟฟ้า 100% เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกบ้าน เป็นต้น”
โดยการดำเนินงานเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนในครั้งนี้ “แสนสิริ” ได้นำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน มาประยุกต์ให้เข้ากับแบรนด์ดีเอ็นเอ (DNAs) ของบริษัท ด้วยแรงขับเคลื่อนจากทัศนคติที่พร้อมเปิดรับและพัฒนาสิ่งใหม่ๆ เพื่อเติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยสมบูรณ์แบบ โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของแนวทางการจัดการของเสียและผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมแบบบูรณาการ บนหลักการ 2 ข้อใหญ่ ได้แก่
การรักษาและเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรเพื่อประโยชน์สูงสุด และการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมตลอดวงจรการบริโภคให้น้อยที่สุด สอดรับกับ แผนแม่บทการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของประเทศ (พ.ศ. 2559 – 2564) เพื่อแก้ไขปัญหาขยะมูลฝอย ตามนโยบายรัฐบาลที่กำหนดให้เป็น “วาระแห่งชาติ” รวมถึงร่างแผนจัดการขยะพลาสติกอย่างบูรณาการ (พ.ศ. 2560 – 2564) เกิดเป็นโมเดลต้นแบบภายใต้ชื่อ “แสนสิริ กรีน มิชชั่น – Sansiri Green Mission” อันจะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญกับการเป็นผู้กำหนดมาตรฐานอุตสาหกรรมการก่อสร้าง
อสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทยในอนาคตที่เข้าใจและใส่ใจสิ่งแวดล้อม โดยมี Green Roadmap เพื่อขับเคลื่อนความยั่งยืน ในทุกโครงการใหม่ของแสนสิริ ภายใต้ 4 คำมั่นสัญญาหลัก ได้แก่ Waste Management | Energy Saving & Generation | Smart Move และ Sustainability
นายอุทัย กล่าวต่อไปว่า “เราได้เตรียมงบประมาณไว้ 50 ล้านบาท ระหว่างปี พ.ศ. 2562 – 2564 โดยมุ่งมั่งสร้างความเป็นเลิศสู่ความยั่งยืนด้านพลังงานและกำจัดของเสีย ซึ่งในด้าน Waste Management หรือ การจัดการ ของเสียอย่างมีประสิทธิภาพ
บริษัทวางจุดยืนที่ชัดเจน ในการลดปริมาณขยะคอนกรีตจากการก่อสร้างทั้งในรูปแบบก่ออิฐฉาบปูนและพรีคาสต์สู่นวัตกรรม “Earth Blox” ที่นำเศษคอนกรีตมวลเบาเหลือใช้จากการก่อสร้างกลับมาเป็นส่วนผสมในการแปรรูป เพื่อสร้างบล็อกคอนกรีตใหม่ นำกลับมาใช้ทำแผ่นทางเท้า ช่องลมระบายอากาศ และของตกแต่งภายในแลนด์สเคป โ
ดยนับจากนี้ บริษัทจะเพิ่มการใช้การก่อสร้างด้วยระบบพรีคาสต์ในการก่อสร้างคอนโดมิเนียมจาก 50% เป็น 80% ภายในปีพ.ศ. 2564 ซึ่งจะสามารถลดขยะคอนกรีตที่เกิดจากการก่อสร้างโดยวิธีก่ออิฐฉาบปูนได้ถึง 1,600 ตันต่อปี ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถช่วยโลกลดก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse gas) ได้มากกว่า 48 ตันต่อปี เท่ากับพื้นที่สีเขียวของป่าไม้ 36 ไร่ รวมทั้งตั้งเป้าหมายในการเดินหน้าประกาศภารกิจ ในการลดปริมาณขยะคอนกรีตจากการก่อสร้างในโรงงานพรีคาสต์ของแสนสิริเป็น 0% หรือ Zero Waste ภายในสิ้นปี พ.ศ. 2562
ในด้านการกำจัดขยะจากการบริโภคของลูกบ้าน บริษัทได้ทุ่มงบประมาณ 600,000 บาท ติดตั้งเครื่อง Food Waste Machine จำนวน 10 เครื่อง บนพื้นที่ส่วนกลางในทุกโครงการแนวสูงที่จะพัฒนาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป โดยตั้งเป้าหมายขยายการใช้งานใน 23 โครงการ ในอีก 3 ปีข้างหน้า โดยในช่วงปีแรกสามารถแปรรูปขยะมูลฝอยได้มากถึง 18 ตันต่อปี จาก 10 โครงการ และคาดว่าเมื่อครบทั้งสิ้น 23 โครงการ จะสามารถแปรรูปขยะมูลฝอยเฉลี่ย 42 ตันต่อปี
นอกจากนี้ ยังได้ติดตั้ง Refun Machine เครื่องรับคืน ขวดพลาสติกและกระป๋องในทุกโครงการแนวสูง รวมทั้งสิ้น 23 โครงการ ภายในปี พ.ศ. 2564 และร่วมมือกับสตาร์ทอัพในการพัฒนาแอพพลิเคชั่น Goo Greens เพื่อนำเสนอความรู้เกี่ยวกับการแยกขยะให้กับลูกบ้าน และให้ลูกบ้านได้สนุกกับการสะสมคะแนนเพื่อแลกของสมนาคุณต่างๆ ซึ่งเริ่มนำมาใช้แล้ว ทั้งในโครงการแนวราบ ที่เศรษฐสิริ จรัญฯ-ปิ่นเกล้า และโครงการแนวสูงภายในฮาบิโตะมอลล์ รวมทั้งได้นำร่องติดตั้งเครื่อง Home bio gas หรือนวัตกรรมเครื่องเปลี่ยนขยะมูลฝอยเป็นก๊าซหุงต้มที่โรงแรมเอสเคป เขาใหญ่ และในส่วนของ สำนักงานใหญ่ เซลล์ ออฟฟิศ และเซลล์ แกลอรี่ บริษัทตั้งเป้าหมายในการยกเลิกการใช้ขวดน้ำดื่มพลาสติก 100% ภายในปลายปีหน้า”
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ส่งเสริมการพัฒนาด้าน Energy Saving & Generation เพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้าทดแทนให้กับโครงการต่างๆ ของบริษัท โดยมีแผนติดตั้ง Solar Roof ครอบคลุม 31 โครงการ ภายในปี พ.ศ. 2564 ซึ่งจะส่งผลให้ผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ 2 เมกกะวัตต์ พลังงานสะอาดที่ผลิตได้เทียบเท่ากับปริมาณไฟฟ้าที่ใช้ชาร์จสมาร์ทโฟนถึง 1,400 ล้านเครื่อง ลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 2,223 ตันต่อปี หรือคิดเป็นพื้นที่ป่าสีเขียวประมาณ 1,600 ไร่
นอกจากนี้ บริษัทยังวางแผนลดการใช้พลังงานในโครงการที่อยู่อาศัยทั้งในโครงการแนวราบและแนวสูง ด้วยการใช้นวัตกรรมที่ช่วยถ่ายเทอากาศและลดอุณหภูมิในที่อยู่อาศัย ได้แก่ นวัตกรรม Cooliving Designed Home ที่ประกอบด้วย Solar Attic การใช้พัดลมที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ช่วยลด ความร้อนใต้หลังคาบ้าน ทำให้อากาศภายในตัวบ้านเย็นลง และ Shading Screen ระแนงกันแดดที่ออกแบบโดยคำนึงถึงทิศทางของบ้าน เป็นต้น
นายอุทัย กล่าวต่อไปว่า “ด้านการเติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยและการใช้ชีวิตของลูกบ้านที่สมบูรณ์แบบ หรือ “Smart Move” บริษัทได้นำเสนอแนวคิด Complete your living experience และร่วมมือกับ 4 พันธมิตรหลัก Honda, Haupcar, SHARGE และ EA Anywhere สร้างแพลตฟอร์มบริการยานพาหนะระบบเช่า รวมทั้งติดตั้ง Electronic car sharing และ EV Charger ครบทุกโครงการแนวสูงตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป
ซึ่งปัจจุบันติดตั้งไปแล้ว 5 สถานีรวม 11 คัน และเตรียมเพิ่มอีก 4 สถานีรวม 6 คัน ในปีหน้า คาดว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่า 7.5 ตันต่อปี หรือคิดเป็นพื้นที่ป่าสีเขียวประมาณ 5.7 ไร่ พร้อมกันนี้ ยังได้วางเป้าหมายเพื่อต่อยอดโดยเปิดตัวพันธมิตรใหม่ e-scooter ให้บริการใน 2 โครงการสำคัญอีกด้วย และสุดท้ายในส่วนของ Sustainability การบริหารเพื่อขับเคลื่อนองค์กรสู่ความยั่งยืน
บริษัทได้เตรียมความพร้อมสร้างความร่วมมือกับองค์กรเพื่อสิ่งแวดล้อมต่างๆ โดยนับเป็นอสังหาริมทรัพย์รายแรกที่จับมือกับกลุ่มอนุรักษ์ต้นไม้ใหญ่ในเมือง หรือ Big Tree เพื่อจัดการต้นไม้ใหญ่ในโครงการอสังหาริมทรัพย์อย่างยั่งยืน โดยนำหลักสูตรรุกขกรรมมาอบรม นิติบุคคลและเจ้าหน้าที่ที่ดูแลโครงการ ดูแลตัดแต่งต้นไม้ใหญ่ให้สวยงามและยั่งยืนในทุกโครงการ เพื่อพัฒนาความเป็นอยู่ที่ดีของลูกบ้านและรักษาสภาพแวดล้อมให้ร่มรื่นและเพิ่มมูลค่าโครงการ นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญด้านการออกแบบอย่างยั่งยืน หรือ Sustainability design ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการออกแบบ ให้ลดการใช้ทรัพยากรและพลังงาน ผสานกับฟังก์ชั่นการใช้งานอย่างลงตัว อาทิ
การออกแบบที่พักตอบโจทย์ เรื่องอยู่สบายและลดอุณหภูมิภายในบ้าน เพื่อลดปริมาณการใช้พลังงาน ด้วยนวัตกรรม Cooliving Designed Home ในโครงการแนวราบ และนวัตกรรม Ventilation Door คอนโดมิเนียมหายใจได้ใช้ในโครงการแนวสูง ซึ่งปัจจุบันบริษัทได้เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียม เดอะ ไลน์ พหลโยธิน พาร์ค เป็น “Green Condominium” เต็มรูปแบบ โครงการแรก และจะนำแนวคิดไปต่อยอดปรับใช้กับโครงการที่จะพัฒนาต่อไปในอนาคตทุกโครงการ”
Sansiri Green Mission ทั้ง 4 คำมั่นสัญญาหลัก ได้แก่ Waste Management | Smart Move | Energy Saving & Generation และ Sustainability นับเป็นการผสมผสานนวัตกรรมสีเขียวตลอดวงจรธุรกิจ และเป็นโมเดลแรกของวงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีแนวทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมสอดรับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนครบทุกวงจร ตั้งแต่ Reduce – Recycle – Design – Retailer – Consumers
ซึ่งมั่นใจว่าภายใน 3 ปี Sansiri Green Mission จะเป็นกุญแจขับเคลื่อนการสร้างเมืองแห่งอนาคตที่มีความยั่งยืนด้านพลังงาน อันจะนำมาซึ่งจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่จะยกระดับมาตรฐานของวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยให้ก้าวสู่การให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน” นายอุทัยกล่าวสรุป