จากผลประกอบการที่ยังหดตัวต่อเนื่อง สมาร์ทโฟนขายได้น้อยลง ทำให้ Samsung ต้องเร่งปรับกลยุทธ์หลากหลายด้าน หนึ่งในนั้นเป็นการปรับดีไซน์สมาร์ทโฟนแบบยกเครื่องใหม่ ซึ่งเราได้เห็นไปแล้วจาก Samsung Galaxy S6 และ S6 Edge ที่เปิดตัวพร้อม “ความคาดหวัง” ในการนำพา Samsung กลับมามีผลประกอบการที่รุ่งเรืองได้อีกครั้ง แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น …
Samsung กำไรหด 7 ไตรมาสติด Galaxy S6 / S6 Edge ไม่ช่วยอะไร
จากรายงานผลประกอบการเบื้องต้นประจำไตรมาสที่ 2 ของ Samsung แสดงให้เห็นถึงตัวเลขรายได้ที่ยังหดตัวลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 7 ติดต่อกัน โดยผลกำไรจากการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ 6.9 ล้านล้านวอน (6.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ลดลง 4% จากไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา ต่ำกว่าที่มีการคาดการณ์ไว้ที่ 7.23 ล้านล้านวอน ขณะที่ยอดขายโดยรวมลดลง 8% อยู่ที่ 48 ล้านล้านวอน ต่ำกว่าที่มีคาดการณ์ไว้ 52.8 ล้านล้านวอน
แน่นอนว่าตัวเลขผลประกอบการที่ลดลง 7 ไตรมาสติดต่อกันไม่ใช่เรื่องปกติ ซึ่งนักวิเคราะห์ในต่างประเทศบางรายชี้ว่าปัญหาเกิดจาก Samsung Galaxy S6 นั่นเอง
แล้วสาเหตุเกิดจากอะไร … ?
นักวิเคราะห์ในต่างประเทศระบุว่าส่วนหนึ่งของปัญหาเกิดจากระบบโลจิสติกส์ การที่ Samsung เปิดตัวเรือธงสองรุ่นทั้งแบบจอแบนปกติและจอโค้ง แต่ด้วยเทคโนโลยีจอโค้งนี่เองที่ก่อให้เกิดอุปสรรคในการผลิตที่ยากขึ้น จนไม่สามารถผลิตได้ทันกับความต้องการ
Lee Ka-keun นักวิเคราะห์จาก KB Securities ระบุว่าความล้มเหลวในระบบการบริหารการขนส่ง อันเป็นเหตุผลหลักที่ส่งผลต่อยอดขายที่น่าผิดหวัง
ด้านการแข่งขันในตลาดสมาร์ทโฟน Samsung หวังโกยส่วนแบ่งในตลาดระดับ Low-end และ High-end แต่การแข่งขันในตลาด Low-end ในปัจจุบันกลับต้องเจอคู่แข่งที่เป็นผู้ผลิตของจีน นำทีมโดย Xiaomi ที่สามารถสร้างกำไรอย่างเป็นกอบเป็นกำ แม้จะน้อยกว่า Samsung ก็ตาม ขณะที่ในตลาด High-end ต้องเผชิญกับกระดูกชิ้นโตอย่าง iPhone ซึ่ง Samsung ได้เสียความได้เปรียบทางการตลาดที่สำคัญ เมื่อ Apple เปิดตัว iPhone 6 และ 6 Plus ที่ปรับขนาดหน้าจอและดีไซน์ให้รองรับกับความต้องการของผู้บริโภคจนสามารถกุมความได้เปรียบแซงหน้าสมาร์ทโฟน Samsung Galaxy
จากสภาวะที่เกิดขึ้นทำให้ในเดือนที่ผ่านมา Samsung Securities ได้มีการปรับลดประมาณการของการจัดส่ง S6 เหลือเพียง 45 ล้านเครื่องในปีนี้ จากเดิมที่ประมาณการไว้ที่ 50 ล้านเครื่อง
น่าสนใจว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะก่อให้เกิดการปรับกลยุทธ์ใหม่อีกครั้งจาก Samsung หรือไม่ ต้องคอยติดตามกันต่อไปครับ
อ้างอิงจาก Fortune