เป็นการสร้างฐานการผลิตในจีนเพิ่มขึ้นเพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านความสามารถในการผลิตทั่วโลก
RICOH ได้ประกาศที่จะเริ่มเปิดใช้โรงงานผลิตแห่งใหม่ในชื่อบริษัท “Ricoh Manufacturing (China) Ltd.” ในเดือนเมษายน 2563 บริษัทนี้ก่อตั้งขึ้นในฐานะส่วนหนึ่งในยุทธศาสตร์ของ RICOH เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ความสามารถในการผลิตทั่วโลกในฐานะศูนย์กลางการผลิตเครื่องพิมพ์สำหรับสำนักงานของ RICOH นอกจากนี้ยังสามารถวางแผนการผลิตได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น ด้วยการใช้ระบบการวิเคราะห์ของทั้งข้อมูลยอดขาย และข้อมูลการผลิตผ่านเทคโนโลยี IoT (Internet of Things) อีกทั้งยังมีการติดตั้งหุ่นยนต์ใหม่ล่าสุด และระบบออโตเมชั่นในโรงงานเพื่อยกระดับกระบวนการผลิตอีกด้วย
การผสานระหว่างข้อมูลการผลิต และข้อมูลที่ได้จากเครื่องพิมพ์สำนักงานที่ทำงานอยู่จริงในตำแหน่งที่ตั้งของลูกค้านั้นจะช่วยให้ RICOH สามารถเพิ่มคุณภาพของเครื่องพิมพ์ได้มากขึ้น อีกทั้งยังมีการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมในโรงงานที่ล้ำสมัยเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยใช้อุปกรณ์ที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์แทน การทดแทนระบบปรับอากาศ และถ่ายเทอากาศ การใช้แสงสว่างจากธรรมชาติ และการถ่ายเทอากาศแบบธรรมชาติเพื่อสนับสนุนสังคมที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน จนทำให้เรามีแผนที่จะได้รับใบประกาศรับรอง CERTIFICATION OF GREEN BUILDING DESIGN LABEL ระดับ “3 ดาว” ซึ่งเป็นใบประกาศรับรองระดับสูงสุดภายในเดือนเมษายนที่จะถึงนี้
จากการเริ่มการผลิตในโรงงานแห่งใหม่นี้ โรงงานผลิตเดิมในประเทศจีนจะถูกปรับเปลี่ยนใหม่ โดยการผลิตในโรงงาน Ricoh Asia Industry (Shenzhen) Ltd. จะสิ้นสุดในช่วงฤดูใบไม้ผลิในปี 2563 และการผลิตของโรงงาน Ricoh Components & Product (Shenzhen) Ltd. จะสิ้นสุดในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2563
ซึ่งการปรับเปลี่ยนตำแหน่งที่ตั้งฐานการผลิตดังกล่าวช่วยให้ RICOH เร่งความเร็วของการก่อสร้างระบบยุคใหม่ที่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลในระบบกระบวนการผลิตระดับโลกได้ รวมทั้งยังช่วยเสริมความแข็งแกร่งในการผลิตแบบคู่ขนานสำหรับอุปกรณ์มัลติฟังก์ชันหลักร่วมกับโรงงาน Ricoh Manufacturing (Thailand) Ltd. ที่จังหวัดระยองอีกด้วย การรวมศูนย์การผลิตขนาดใหญ่ในภูมิภาคเอเชียนี้จะรองรับการก่อสร้างซัพพลายเชนที่เหมาะสมเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ โดยเราจะสร้างระบบที่สามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว และสร้างความแข็งแกร่งให้แก่แผนการสร้างความต่อเนื่องทางธุรกิจหรือ BCP เพื่อรองรับกับความเสี่ยงที่หลากหลาย