เมื่อพูดถึง ZTE (แซดทีอี) คนไทยส่วนมากคงไม่คุ้นชื่อเท่าไหร่ ถ้าจะให้บอกกล่าวกันสั้นๆ สรุปได้ว่า ZTE เป็นบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์โทรศัพท์เคลื่อนที่และระบบโทรคมนาคมสัญชาติจีน ที่นอกจากจะมีชื่อเสียงในหลายประเทศแล้ว ปัจจุบันยังเข้ามาบุกตลาดสมาร์ทโฟนในประเทศไทย ด้วยสมาร์ทโฟน ZTE ที่เปิดตัวและวางขายไปแล้วหลายต่อหลายรุ่น และวันนี้ทีมงาน aripfan จึงใช้โอกาสใกล้เข้าสู่เทศกาลปีใหม่ มาบอกเล่าถึงประสบการณ์หลังใช้งาน “ZTE Blade S7” หนึ่งสมาร์ทโฟนที่ให้ประสิทธิภาพที่ไม่ธรรมดา จะเป็นอย่างไรไปติดตามรีวิวกันเลยครับ
สเปค ZTE Blade S7 มีอะไรบ้าง ?
– หน้าจอ IPS LCD ขนาด 5 นิ้ว ความละเอียดการแสดงผล 1080 x 1920 พิกเซล (441ppi)
– ตัวเครื่อง 142 x 67 x 7.2 mm, น้ำหนัก 131 กรัม
– รองรับ 2 ซิม
– รัน Android 5.1 Lollipop ครอบทับด้วยอินเตอร์เฟซ MiFavor 3.2
– ชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 615
– แรม 3GB, พื้นที่เก็บข้อมูลภายใน 32GB, รองรับ microSD ความจุสูงสุด 64GB
– กล้องหลัง 13 ล้านพิกเซล พร้อมแฟลช LED ส่วนกล้องหน้า 13 ล้านพิกเซล
– สนับสนุนการเชื่อมต่อ microUSB 2.0, Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, dual-band, WiFi Direct, hotspot, รองรับ 3G/4G LTE
– แบตเตอรี่ความจุ 2500 mAh (ไม่สามารถถอดแบตได้)
ZTE Blade S7 ถูกบรรจุในกล่องกระดาษสีขาว ตามสมัยนิยมที่สมาร์ทโฟนหลายๆ แบรนด์เลือกใช้กัน ภายในกล่องนอกจากตัวเครื่องแล้ว ยังมีสาย USB, อะแดปเตอร์, เหล็กจิ้มถาดซิมการ์ด และคู่มือ ไม่มีหูฟัง ซึ่งไม่แน่ว่าถ้าเป็นเครื่องที่ขายจริงจะมีหูฟังแถมมาด้วยหรือเปล่า (ใครซื้อแล้วมาบอกกันบ้าง)
ZTE Blade S7 ที่ทีมงานได้มารีวิว มาพร้อมสีเขียวมุ้งมิ้ง ใช้กระจก Gorilla Glass 3 เป็นวัสดุหลัก พร้อมด้วยการดีไซน์ในแบบที่เรียกว่า 2.5 Curved Edge ผสมผสานด้วยพลาสติก, อลูมิเนียมอัลลอยด์ที่กรอบตัวเครื่อง ด้วยตัวเครื่องที่มีความหนา 7.2 มิลลิเมตร กับหน้าจอ 5 นิ้ว เหมาะแก่การหยิบจับเป็นอย่างดี และกรอบหน้าแสดงผลถือว่าใช้การดีไซน์ที่เกือบชิดกับขอบตัวเครื่อง ซึ่งทีมงาน ZTE ให้ข้อมูลว่าช่วยเพิ่มพื้นที่การใช้งานได้มากถึง 72.1% จากตัวเครื่องเลยทีเดียวครับ
ตำแหน่งปุ่มต่างๆ ของ ZTE Blade S7 ถูกรวมไว้ในที่ขอบด้านขวาเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น ปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง, ปุ่มพาวเวอร์, ถาดใส่ซิมการ์ด, microSD slot ที่โดยส่วนตัวเห็นแล้วดูแปลกตาไม่น้อย (และมีคำถามขอบด้านซ้ายจะเหลือไว้ทำไม ?) ในขณะที่ด้านหน้า(ส่วนบน) ประกอบไปด้วยกล้องความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมแฟลช, ลำโพงสำหรับสนทนา, เซนเซอร์สแกนม่านต่า, ด้านหน้า(ส่วนท้าย) เป็นปุ่มโฮมที่ใช้เป็นสแกนลายนิ้วมือได้ด้วย ขนาบข้างด้วยปุ่ม Back และปุ่ม Recent app
ด้านส่วนบนตัวเครื่องมีพอร์ตสำหรับหูฟัง กับรูไมโครโฟนขนาดจิ๋ว, ท้ายตัวเครื่องจะเป็นพอร์ต USB 2.0 ขนาบด้วยลำโพง ทั้งซ้ายและขวา และด้านหลังตัวเครื่องเป็นกระจกที่ไม่สามารถแกะฝาหลังออกได้ มาพร้อมกล้อง 13 ล้านพิกเซล แฟลช LED และเลเซอร์ออโต้โฟกัส
สัมผัสกับตัวเครื่องไปแล้ว มาดูภายในกันบ้าง ZTE Blade S7 ใช้ระบบปฏิบัติการ Android 5.1 Lollipop ครอบทับด้วยอินเตอร์เฟซ (ส่วนติดต่อกับผู้ใช้) “MiFavor 3.2” ซึ่งในภาพรวมของการเข้าถึงเมนูต่างๆ แทบไม่มีอะไรแตกต่างไปจากความดั้งเดิมในตัว Android Lollipop ใช้โทนสีขาวและเน้นที่ความเรียบง่ายเป็นหลัก
แต่สิ่งที่ ZTE ต้องการสื่อไปถึงผู้ใช้ว่า ของดีน่ะ ! มันอยู่ที่ความสามารถหรือฟีเจอร์ที่มาพร้อมกับเครื่องนี้ อาทิ เกสเจอร์ & เคลื่อนไหว เป็นเมนูที่ใช้ท่าทาง การเคลื่อนไหวในลักษณะต่างๆ เพื่อเรียกใช้งานในรูปแบบที่หลากหลาย เช่น เกสเจอร์บนหน้าจอดำ – ในขณะปิดหน้าจอ สามารถใช้นิ้ววาดตัว C บนหน้าจอ สำหรับเรียกใช้เมนูโทรออก หรือวาดเป็นรูปตัว M สำหรับเปิดฟังเพลง เป็นต้น หรือจะเป็นเกสเจอร์การเขย่า – ในขณะที่หน้าจอล็อคหรือปิดอยู่ สามารถเขย่าเครื่องสองครั้ง เพื่อเรียกใช้งานไฟฉายหรือเครื่องคิดเลข เมื่อต้องการปิดแค่เขย่าซ้ำอีกสองครั้ง เป็นต้น
การใช้เพื่อความบันเทิง เช่น การดูวีดีโอผ่านแอพ YouTube ที่นอกจากความละเอียดของตัววีดีโอเองแล้ว การรับชมผ่านหน้าจอของ ZTE Blade S7 ยังส่งเสริมให้มีความคมชัดมากขึ้น ขณะที่เสียงในการเล่นเมื่อปรับระดับจนสุดนับว่ามีความดังมาก หากปรับให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมก็จะรู้สึกได้ถึงคุณภาพเสียงที่ดีเลยทีเดียวครับ
ถัดมาเป็นเรื่องการรักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว ใน ZTE Blade S7 มีสามารถตั้งรหัสผ่านได้ 3 แบบ ได้แก่ การใส่รหัสเป็นตัวเลขแบบทั่วไป, สแกนลายนิ้วที่ปุ่มโฮม อันนี้ถือว่าธรรมดาไปล่ะ และการสแกนด้วยม่านตา เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ ZTE กล้านำเสนอความแปลกใหม่ของการตั้งรหัสผ่าน ซึ่งจากที่ทดลองใช้พบว่าเมื่อจะทำการบันทึกม่านตาจำเป็นต้องอยู่ในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ เพื่อให้เซนเซอร์สามารถตรวจจับม่านตาของผู้ใช้ได้ชัดเจน หลังจากทำการบันทึกเรียบร้อย และทำงานปลดล็อคหน้าจอด้วยการสแกนม่านตา ยอมรับเลยว่ามีความรวดเร็ว ใช้เวลาเพียงน้อยนิดเท่านั้น
ผลทดสอบด้วยแอพ antutu benchmark คะแนน 3 หมืนกว่า นับว่าใช้ได้เลยทีเดียว
มาถึงการใช้งานหลักที่หลายคนพลาดไม่ได้ กับการใช้งานกล้อง ซึ่ง ZTE Blade S7 มีความละเอียดทั้งด้านหน้าและหลังเท่ากันที่ 13 ล้านพิกเซล เมื่อเรียกใช้งานกล้องหลังจะพบว่า หากเปิดปุ๊บ ถ่ายปั๊บ ถือว่าไม่มีอะไรซับซ้อน แต่ถ้าต้องการปรับแต่งหรือกำหนดค่าต่างๆ ก่อนการถ่ายภาพก็ทำได้ เช่น การปรับโทนสี, การปรับจากโหมด Auto มาใช้โหมด Pro ที่สามารถกำหนดค่าแสงสีขาว, ค่า ISO ได้ นอกจากนี้การตั้งค่าอื่นๆ ยังสามารถเปิดใช้การสั่งถ่ายภาพด้วยเสียงได้, แตะหน้าจอเพื่อจับภาพ เป็นต้น ขณะที่การบันทึกวีดีโอสามารถกำหนดความละเอียดได้สูงสุดในแบบ Full HD (1080p)
จากการทดลองใช้กล้องหลังถ่ายภาพในโหมดปกติ ภาพที่ออกมาจะมีความสด การโฟกัสที่ภาพรู้สึกว่าช้าไปนิดหน่อย แต่ก็ยังถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ส่วนของระบบกันสั่นขณะถ่ายภาพ (OIS : Optical Image Stabilization) ในสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ไม่ได้พกติดมาด้วย
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง ในโหมด Auto
จากที่ทดลองใช้ ZTE Blade S7 ขอสรุปเป็นดังนี้นะครับ
ข้อดี
- ขนาดและความหนาโดยส่วนตัวถือว่าช่วยให้การหยิบจับเป็นเรื่องง่าย
- ใช้ 4G ได้
- การแสดงภาพถือว่าให้ความสด คมชัด
- การใช้ฟีเจอร์สแกนม่านตาเพื่อปลดล็อคมีความรวดเร็ว และเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่น่าใช้
- กล้องหน้าสามารถเซลฟี่ได้อย่างซะใจ มีความคมชัดเช่นเดียวกับกล้องหลัง
ข้อด้อย
- ตัวเครื่องจะอุ่นค่อนข้างเร็ว
- แบตถอดไม่ได้
- โดยมุมมองส่วนตัวเห็นว่าดีไซน์จะดูดีและลงตัวมากกว่านี้ หากกระจายปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง, ปุ่มพาวเวอร์, ถาดใส่ซิมการ์ดและ microSD slot ไปไว้ขอบด้านซ้ายของตัวเครื่องบ้าง
ภาพรวมของ ZTE Blade S7 ชูจุดขายในเรื่องของการถ่ายภาพ พร้อมฟีเจอร์การใช้งานต่างๆ มากมาย รวมไปถึงฟีเจอร์สแกนม่านตา เทคโนโลยีที่ให้ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว ขณะที่การรองรับ 4G ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่น่ายินดี ที่ตอบโจทย์การใช้งานอินเทอร์เน็ตไร้สายในยุคที่ผู้บริการเครือข่ายทุกรายกำลังมุ่นมั่นให้บริการ 4G กันอย่างคึกคัก
ปัจจุบัน ZTE Blade S7 วางขายแล้ว ในราคา 11,900 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว) มีสีเขียว, ทอง, ขาว และเทาให้เลือก ใครอยากลองเปลี่ยนสไตล์การใช้สมาร์ทโฟน Android มาลองแบรนด์ ZTE จากประเทศจีนดูบ้าง ลองเก็บ ZTE Blade S7 ไว้พิจารณามั้ยครับ ^^