เพียงระยะเวลาแค่ 2 เดือน นับตั้งแต่ก้าวสู่ปี 2016 สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆ จากหลายค่าย ทยอยเปิดตัวกันอย่างคับคั่งแบบมิได้นัดหมาย เป็นการส่งสัญญาณไปถึงผู้ใช้สมาร์ทโฟนที่หากเบื่อรุ่นเดิมที่ใช้อยู่เมื่อไหร่ ถ้าเงินพร้อม ใจพร้อม ก็มาเลือกสอยสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดได้ทันที ค่ายอย่าง Huawei (หัวเว่ย) ก็เช่นกัน ที่ปีนี้เปิดตัวในไทยไปแล้ว 2 รุ่น ได้แก่ Huawei Mate 8 และ Huawei GR5 โดยวันนี้แอดมิน CK มีโอกาส รีวิว Huawei GR5 สมาร์ทโฟนที่มาพร้อมคอนเซปต์ Smarter Touch เทคโนโลยีสแกนลายนิ้วมืออันชาญฉลาด
อันดับแรกเริ่มต้นที่สเปก
– หน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียด Full HD 1080p
– รัน Android 5.1 Lollipop ครอบทับด้วย EMUI 3.1
– ชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 616
– แรม 2GB, หน่วยความจำ 16GB, รองรับ microSD card, ใช้ microSIM ได้ 2 ซิม
– กล้องหลัง 13 ล้านพิกเซล แฟลชคู่ LED
– กล้องหน้า 5 ล้านพิกเซล
– แบตเตอรี่ 3000 mAh ถอดออกไม่ได้
– มีฟีเจอร์สแกนลายนิ้วมือ เวอร์ชั่น 2.0
Huawei GR5 เป็นชื่อที่ใช้ทำตลาดในไทย ส่วนในต่างประเทศจะใช้ชื่อว่า Huawei Honor 5X การออกแบบใช้อลูมิเนียม-แมกนีเซียม อัลลอยเป็นวัสดุหลัก ไม่ว่าจะด้านหน้า ขอบ 4 ด้าน และฝาหลัง นับเป็นแนวทางที่ Huawei เชื่อมั่นและทำได้ดีกับสมาร์ทโฟนรุ่นต่างๆ ในระยะหลัง แต่ฝาหลังอาจจะติอยู่นิดหน่อยในเรื่องความลื่น และเสี่ยงต่อการเกิดรอยขีดข่วนได้ง่าย
ด้านหน้า เหนือหน้าจอขึ้นไปเล็กน้อยจะเป็นชุดเซนเซอร์เคียงข้างกับกล้องหน้าที่ให้ความละเอียดมา 5 ล้านพิกเซล มีลำโพงสำหรับสนทนา ส่วนแผงควบคุมอย่างปุ่มปิดแอปที่ไม่ใช้งาน ปุ่มย้อนกลับ และปุ่มโฮม มาในรูปแบบของทัชสกรีน แสดงผลอยู่ท้ายสุดของจอแสดงผล
ด้านหลัง ประกอบไปด้วยกล้องความละเอียด 13 ล้านพิกเซล มีแฟลชคู่ LED และปุ่มเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือ เวอร์ชั่น 2.0
ส่วนประกอบอื่น เช่น ลำโพงจะอยู่ขนาบซ้ายขวาในด้านท้ายของตัวเครื่อง คั่นกลางด้วยพอร์ต microUSB มีปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง, ปุ่มเปิด-ปิดเครื่อง ประจำการอยู่ด้านขวา มีช่องสำหรับใส่ microSD กับ microSIM อยู่ด้านซ้ายของตัวเครื่อง และด้านบนเป็นพอร์ตขนาด 3.5 มิลลิเมตร สำหรับต่อกับหูฟัง
หน้าจอ Huawei GR5 มีฟิลม์ติดมาให้ด้วยเลย สีสันของภาพที่ปรากฏจะแสดงตามสภาพแสงที่เซนเซอร์ตรวจจับได้ ซึ่งเราสามารถปรับแต่งความสว่างของหน้าจอหรือลักษณะอุณหภูมิสีได้เองตามความรู้สึกที่เราคิดว่าเหมาะสมกับสายตา หรือหากจะกำหนดค่าให้ปรับแสงเองอัตโนมัติก็ทำได้เช่นกัน ซึ่งภาพรวมของการแสดงผลที่ความละเอียด Full HD นับว่าให้ความคมชัดอยู่ในระดับที่ดี และแถมยังรองรับการชมคอนเทนต์ในปัจจุบันที่มีความละเอียดอยู่ในระดับ HD หรือ Full HD เป็นส่วนใหญ่
จุดเด่นใหญ่ในเรื่องของสแกนลายนิ้วมือ ที่ Huawei พัฒนาจนก้าวเข้าสู่เวอร์ชั่น 2.0 ซึ่งฟีเจอร์ดังกล่าวเดิมทีจะอยู่คู่กับสมาร์ทโฟนรุ่นไฮเอนด์ของ Huawei เป็นส่วนใหญ่ แต่มาบัดนี้ Huawei นำความสามารถอันชาญฉลาดมารวมอยู่กับสมาร์ทโฟนในระดับกลางด้วยแล้วจนกลายเป็นข้อดีที่ส่งเสริมให้ Huawei GR5 มีความทันสมัยเพิ่มมากขึ้น
ฟีเจอร์สแกนลายนิ้วมือ 2.0 นี้ ทาง Huawei เคลมว่าสามารถใช้ปลดล็อคตัวเครื่องได้ภายในเวลา 0.5 วินาที สามารถสแกนลายนิ้วมือได้สูงสุดถึง 5 นิ้ว และใช้งานได้แม้ในขณะนั้นนิ้วมือจะเปียกน้ำอยู่ก็ตาม ซึ่งหากฟีเจอร์จะมีแค่การสแกนลายนิ้วมือก็คงจะไม่เข้ากับคอนเซปต์ “Smarter Touch” ดังนั้นปุ่มสแกนลายนิ้วมือยังสามารถเป็นชัตเตอร์ถ่ายภาพได้ด้วย ใช้ได้กับกล้องหน้าและกล้องหลัง เพียงใช้นิ้วที่ถนัดแตะค้างที่ปุ่มสแกนลายนิ้ว หลังจากนั้นระบบจะลั่นชัตเตอร์ถ่ายภาพให้โดยอัตโนมัติภายในระยะเวลาที่รวดเร็ว
ใช้สแกนลายนิ้วมือเพื่อถ่ายภาพไปแล้ว ลำดับถัดมาเป็นเป็นการทำงานในรูปแบบอื่นๆ ของปุ่มสแกนลายนิ้วมือ เช่น
– การแตะค้างเพื่อใช้รับสายโทรเข้า
– แตะค้างเพื่อปิดเสียงนาฬิกาปลุก
– ในขณะเปิดหน้าจอ เมื่อลากหน้าจอลงมาเพื่อเข้าถึงการแจ้งเตือน สามารถแตะที่ปุ่มสแกนลายนิ้วมือ 2 ครั้ง เพื่อล้างการแจ้งเตือนทั้งหมดได้
– ในขณะเปิดแอปใดอยู่สามารถแตะค้างเพื่อกลับไปยังหน้าโฮมได้
– ในขณะเปิดหน้าจอหรือเปิดหน้าแอปอยู่ สามารถใช้นิ้วปาดลงจากปุ่มสแกนลายนิ้วมือ เพื่อเรียกใช้แผงการแจ้งเตือน
– ในขณะเปิดหน้าจอหรือหน้าแอปอยู่ สามารถใช้นิ้วปาดขึ้นจากปุ่มสแกนลายนิ้วมือ เพื่อดูแอปที่เปิดค้างไว้ ก่อนทำการปิดแอปทั้งหมดหรือบางแอปที่ไม่ได้ใช้งาน
จากที่ทดสอบมา ผมรู้สึกถึงว่าสะดวกของการใช้สแกนลายนิ้วมือ ในเรื่องของการปลดล็อคหน้าจอที่ให้ความรวดเร็วสมกับที่ Huawei เคลมไว้ ใช้แทนชัตเตอร์เมื่อต้องการเซลฟี่ได้อย่างเหมาะเจาะ หรือในขณะมีสายโทรเข้าก็สามารถรับสายได้อย่างสะดวกด้วยมือเดียว
ส่วนการทำงานด้านอื่นๆ อย่างการเรียกดูแอปที่เปิดค้างไว้ การใช้นิ้วปาดลงที่ปุ่มสแกนลายนิ้วมือ ในความรู้สึกส่วนตัวมองว่าการใช้แผงควบคุมกลับให้ความสะดวกได้มากกว่าครับ
กลับมาที่เรื่องของกล้องถ่ายภาพกันต่อ เริ่มกันที่กล้องหลัง พกความละเอียดมา 13 ล้านพิกเซล ซึ่งก่อนที่เราจะลั่นชัตเตอร์ จะมีโหมดให้เลือกถึง 5 โหมด ได้แก่
Good food (อาหารน่าอร่อย) ไว้สำหรับถ่ายอาหารโดยเฉพาะ ใครที่ชอบถ่ายของกินของลงมือรับประทานไม่ควรพลาดโหมดนี้ครับ ถัดมาเป็นโหมด Beauty (แต่งสวย) ที่ช่วยให้ภาพมีความสว่างเพิ่มขึ้น ตัวต่อมาเป็น Photo (ภาพถ่าย) ถ่ายภาพแบบปกติ และสองโหมดสุดท้าย Video กับ Time-lapse (หน่วงเวลา) ซึ่งการเลือกโหมดที่ต้องการนั้นแสนง่าย เพียงใช้นิ้วปาดไปทางซ้ายหรือขวาเท่านั้น ในขณะเดียวกันหากจุดที่ต้องการถ่ายมีแสงน้อยสามารถแตะจุดที่ต้องการโฟกัสหรือเน้นเป็นพิเศษ จากนั้นตัววงกลมจับโฟกัสจะกลายเป็นสีฟ้า และมีไอคอนคล้ายดวงอาทิตย์แสดงขึ้น ซึ่งเราสามารถแตะที่ไอคอนดังกล่าวแล้วเลื่อนขึ้นเพื่อเพิ่มค่าความสว่าง หรือเลื่อนลงเพื่อลดความสว่างลงได้ ทิปเล็กๆ น้อยๆ สำหรับบางคนที่อาจไม่เคยใช้ฟีเจอร์ดังกล่าวมาก่อนครับ
ช่วงเวลาที่ผมถ่ายภาพจะเป็นช่วงเวลากลางวันและในร่มเป็นส่วนใหญ่ พร้อมใช้โหมดปกติครับ ซึ่งการชัตเตอร์และโฟกัสทำได้เร็วครับ ภาพที่ออกมาถือว่าชัดอย่างที่คาดหวังไว้ แต่สีของภาพจะมีความสว่างมากกว่าปกติเล็กน้อยครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง
ตัวอย่างภาพจากกล้องหลังในโหมด Good Food
จากทั้งสองภาพในโหมด Good Food สังเกตได้ว่าให้ความเข้มของสีเพิ่มขึ้น เก็บรายละเอียดของอาหารได้ดีเลยทีเดียว ซึ่งใครที่ชอบถ่ายภาพก่อนลงมือทานต้องลองโหมดนี้ครับ
เข้ามาดูกันที่ซอฟต์แวร์กันบ้าง ตามสเปกบอกว่า Huawei GR5 ใช้ Android 5.1 Lollipop ครอบทับด้วย EMUI 3.1 อินเทอร์เฟซที่ Huawei พัฒนาขึ้นเอง โดยเน้นความง่ายหลังติดตั้งแอปและเลือกใช้แอปที่ต้องการ ทำให้เราเห็นแอปหน้าตามุ้งมิ้งทั้งที่มากับเครื่องด้วยเลย และที่เพิ่งติดตั้งเอง จะสังเกตได้ว่าจะไม่มี app drawer หรือหน้ารวมแอปทั้งหมดที่ติดตั้งในเครื่องมาเป็นอุปสรรคครับ
ในส่วนแอปพลิเคชั่นที่มากับตัวเครื่องไม่ได้หวือหวาเท่าใดนัก ซึ่งจากแอปทั้งหมดที่แสดงอยู่บนหน้าจอจะเน้นเฉพาะที่ผู้ใช้ส่วนมากมีความจำเป็น ส่วนตัวผมมองว่าเป็นเรื่องที่ดี ทำให้หน้าจอดูไม่รกครับ อย่างไรก็ตามภายในแอป Setting ได้แฝงฟีเจอร์อื่นๆ ไว้พอสมควรครับ ผมขอยกตัวอย่าง การควบคุมการเคลื่อนไหว (Motion control) เมื่อแตะเลือกเข้าไปจะมีเมนูย่อยให้เลือกอีก 4 เมนู ได้แก่ พลิก (Filp) เมื่อเปิดฟีเจอร์นี้ หากมีเสียงเรียกเข้า การแจ้งเตือน และการตั้งเวลา เมื่อพลิกหน้าจอคว่ำลงจะปิดเสียงให้อัตโนมัติ
ถัดมาเรียกว่า เขย่า (Shake) เมื่อเปิดฟีเจอร์นี้ จะสามารถใช้การเขย่าเครื่องเพื่อจัดเรียงแอปบนหน้าโฮมใหม่ ส่วนจะเป็นไปอย่างที่ต้องการรึเปล่า แนะนำว่าจะเรียงเองดีที่สุดครับ เมนูต่อไปเรียกว่า แตะสองครั้ง (Double touch) เป็นฟีเจอร์ที่ในสมาร์ทโฟนหลายรุ่น หลายค่ายนิยมกันมาก นั่นคือ การแตะหน้าสองครั้งขณะปิดหน้าจอ เพื่อปลุกให้มันแสดงผลขึ้นมาอีกครั้ง และเมนูสุดท้าย วาด (Draw) เป็นอีกฟีเจอร์ที่สมาร์ทโฟน Android หลายเจ้ามี เมื่อปิดหน้าจอจะสามารถวาดตัวอักษรเพื่อเรียกใช้แอปพื้นฐานได้ เช่น วาดตัว M เรียกแอปเพลง หรือวาดตัว C เรียกแอปกล้อง เป็นต้นครับ
ส่วนเมนูสุดท้ายเรื่องการประหยัดพลังงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่จะขาดเสียไม่ได้ในสมาร์ทโฟน Android ยุคนี้ โดยในเมนูนี้จะมีโหมดด้านการจัดการพลังงานหลักอยู่ 3 อย่าง ได้แก่ ขั้นสูง, อัจฉริยะ, และปกติ ซึ่งแต่ละโหมดจะมีตัวเลขเวลาบอกกำกับไว้ว้าหากเรื่องเปิดโหมดใดโหมดหนึ่ง แบตเตอรี่จะอยู่ได้นานกี่วัน กี่ชั่วโมง กี่นาที โดยผมได้ลองเปิดโหมดอัจฉริยะในขณะที่แบตเตอรี่เหลือ 55% ทางระบบแจ้งว่ายังสามารถใช้งานได้อีก 14 ชั่วโมง 8 นาที ครับ ส่วนในกรณีที่แบตเตอรี่เหลือน้อยเต็มที และบังเอิญไม่ได้พกพาวเวอร์แบงค์ติดตัวมาด้วย แนะนำให้เปิดโหมดขั้นสูงครับ ซึ่งระบบจะตัดการทำงานจากหน้าจอปกติให้กลายเป็นสีขาว-ดำ และจำกัดเมนูการใช้งานเท่าที่จำเป็นเท่านั้นครับ
ปิดท้ายการทดสอบด้วย AnTuTu Benchmark
สรุปภาพรวม รีวิว Huawei GR5
ช่วงเวลาเพียง 1 อาทิตย์ ที่ผมได้พกพา Huawei GR5 ไปไหนต่อไหนด้วยกัน อย่างแรกที่รู้สึกคือความสวยงามครับ ยิ่งตัวเครื่องที่มีสีทอง ประกอบกับไม่ใส่เคสด้วยแล้ว ยิ่งแสดงออกถึงความโดดเด่นของแบรนด์สมาร์ทโฟนจากจีนที่พัฒนาขึ้นจากแต่ก่อนมาก และในปัจจุบันนี้แนวทางการใช้วัสดุสำหรับสมาร์ทโฟน Huawei ที่หันมาใช้อลูมิเนียมซะเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ผู้ที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่ต้องสะดุดตากันไม่มากก็น้อย
ด้านฟีเจอร์สแกนลายนิ้วมือในเวอร์ชั่น 2.0 ให้ความรวดเร็วทั้งในการปลดล็อคเครื่องและสามารถสแกนได้แบบ 360 องศาครับ ใช้แทนปุ่มชัตเตอร์ถ่ายภาพนับว่าทำได้เยี่ยมครับ
ส่วนในเรื่องข้อด้อยในส่วนฟีเจอร์สแกนลายนิ้วมือมีเพียงเล็กน้อยครับ ในส่วนตัวผมมองว่าการใช้เพื่อรักษาความปลอดภัยแทนการใส่รหัสผ่านด้วยตัวเลข การลากจุดต่อจุดถือ หรือจะใช้แทนปุ่มชัตเตอร์ถ่ายภาพสำหรับเซลฟี่นับเป็นเรื่องที่ดีครับ แต่การใส่ความสามารถในการเรียกดูแอปที่เปิดค้างไว้ การใช้นิ้วปาดลงที่ปุ่มสแกนลายนิ้วมือ ยังไม่ค่อยสะดวกเท่าใดนักครับ
เรื่องสำคัญอย่างราคา ปัจจุบัน Huawei GR5 มีราคาอยู่ที่ 8,990 บาท และตอบสนองกับยุคนี้ในการรองรับ 4G ได้ด้วย ฉะนั้นใครที่กำลังอยากได้ของสวยๆ มีฟีเจอร์ที่ให้ความปลอดภัยและช่วยในเรื่องเซลฟี่ในแบบง่ายๆ แค่แตะปุ่มหลัง ด้วยจุดเด่นแค่ 2 เรื่องนี้ ก็น่าจะพอทำให้หลายท่านที่ต้องการความง่ายในการใช้สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆ ได้รับความพึงพอใจจาก Huawei GR5 ได้แล้วครับ