Full Self-Driving ทำ Tesla งานเข้า ต้องเรียกคืนรถ 5 หมื่นคัน

Full Self-Driving
ในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่กี่ปี เทสลาได้ก้าวจากเกือบล้มละลายมาเป็นผู้บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก เหตุผลสำคัญที่ทำให้ Tesla กลับมาผงาดได้คือระบบ Autopilot ที่มีความสามารถมากขึ้น ระบบดังกล่าวทำให้รถขับเคลื่อนได้เองโดยพึ่งพาความสามารถของมนุษย์น้อยลง
.
ในช่วงปลายปี 2564 Tesla ได้ทำการทดสอบระบบ AutoPilot เวอร์ชันที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยใส่คุณลักษณะที่เรียกว่า “Full Self-Driving” เข้ามา ทำให้มันมีความสามารถในการขับขี่อัตโนมัติได้ดียิ่งขึ้น มาพร้อมโหมดให้เลือก 3 แบบคือ chill, average, และ assertive
.
แต่ในโหมดที่ทำให้ Tesla มีปัญหากับหน่วยงานบริหารความปลอดภัยการจราจรบนทางหลวงแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (NHTSA) คือการขับในโหมด assertive ที่ทำให้ Tesla ต้องเรียกคืนรถยนต์มากกว่า 53,822 คัน
.
ด้วยกฎหมายที่เข้มมาก ๆ ของสหรัฐที่หากเราขับไปเจอสี่แยกที่มีป้ายให้หยุดรถ เราต้องหยุดรถให้สนิทเพื่อดูรถที่มาจากเลนอื่นก่อน หากปลอดภัยค่อยขับต่อไปได้ แต่ระบบ Full Self-Driving ในโหมด assertive ได้มีการกำหนดไว้ว่า หากรถไปเจอสี่แยกที่มีป้ายหยุด หากรถเข้าใกล้จุดจอดสี่แยกด้วยความเร็วน้อยกว่า 9 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รถก็จะแล่นผ่านไปด้วยความเร็วเท่าเดิม หากไม่พบเจอรถคันอื่นที่สี่แยก ซึ่งเรื่องนี้ดันไปขัดกับกฎหมายของสหรัฐอเมริกาที่กำหนดให้รถต้องหยุดนิ่งก่อนครับ
.
สำหรับในโหมด assertive ของ Tesla นั้นเป็นโหมดที่จะช่วยให้ผู้ขับไปถึงที่หมายได้โดยเร็วที่สุด แต่ในโหมดนี้ได้รับการวิจารณ์อย่างหนาหูว่า เป็นโหมดที่เพิ่มความอันตรายให้กับคนอื่น ๆ บนท้องถนน เนื่องจากจะเว้นระยะห่างจากคันข้างหน้าน้อยลง พยายามซิกแซกหากเจอรถขวาง และสุดท้ายคือไม่หยุดตรงป้ายหยุด
.
ทั้งนี้ Tesla ได้เข้าพบกับ NHTSA สองครั้งเมื่อเดือนที่แล้วเพื่อหารือเกี่ยวกับการแก้ปัญหาซอฟต์แวร์รุ่นเบต้าของ Full Self-Driving แต่หลังจากการประชุม Tesla ประกาศว่าจะเรียกคืนรถยนต์คืนจำนวน 53,822 คันในกลุ่มผลิตภัณฑ์รุ่น Tesla 3, Y, S และ X ซึ่งแน่นอนว่าเทสลาไม่ได้ซื้อรถคืนนะ เพียงแต่นำไปปรับแก้ไขตามข้อเรียกร้องของ NHTSA ครับ
.
ที่มาข้อมูล