ย้อนกลับไปตอนเปิดตัว iPhone 6 Series เชื่อว่าหลายคนคงตั้งตัวแทบไม่ทัน เมื่ออยู่ดี ๆ ทาง Apple เปิดตัว iPhone พร้อมกันสองรุ่น และมีรุ่น ‘จอใหญ่’ ให้เลือกใช้ครั้งแรกจนเป็นที่ฮือฮาพอควร ปัจจุบันทาง Apple ก็ยังสร้างความฮือฮาได้อีก หลังเปิดตัว iPhone 11 Pro และ Pro Max สองพี่ใหญ่แห่ง iPhone 11 Series ที่มาพร้อมกล้องหลังชวนสะดุดตา และความใหญ่ยิ่งที่มากกว่า iPhone XS Max
“สองดีกว่าหนึ่ง แต่สามดีที่สุด” By Apple Thailand
สด ๆ ร้อน ๆ กับพรีวิวหรือสัมผัสแรก iPhone 11 Pro Max หลังจากรอเครื่องมานาน ก่อนที่จะขายในไทยอย่างเป็นทางการ 18 ตุลาคมนี้ สำหรับ iPhone 11 Pro Max ก็เป็น “พี่ใหญ่” จาก 4 พี่น้องตระกูล iPhone 11 Series ที่มาพร้อมขนาดหน้าจอใหญ่ (และราคา) สุด
ต้องยอมรับจากใจเลยว่า iPhone 11 Pro และ Pro Max งานประกอบและวัสดุคือพรี่เมี่ยมมาก ลองจับครั้งแรกก็รู้ได้ทันทีว่า ‘ของมีราคาจริง’ แม้ยังไม่รู้ว่าใช้วัสดุอะไรก็ตาม ส่วนวัสดุที่ใช้จริง ๆ คือ Stainless Steel อลูมิเนียมผิวด้าน (ต่างจากตัว iPhone 11 ที่ผิวหลังเป็นกระจกเงา) หากรวมกับสี Space Gray ที่พรีวิวนี้ ดีไซน์โดยรวม พร้อมกับขนาดตัวเครื่อง ก็จะทำให้ตัว iPhone 11 Pro โดยเฉพาะ Pro Max ดูมีความโปรสมชื่อดีครับ
ส่วนพอร์ตเชื่อมต่อก็เป็น Lightning เช่นเคย
ตัว iPhone 11 Pro Max จะมาพร้อมจอ OLED แบบ Super Retina XDR ขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียด 2688 x 1242 ซึ่งตอนเปิดตัวก็ชูเรื่องความสว่างและความคมชัดไว้ไม่น้อย ลองมาใช้จริงแล้ว ก็สว่างจริง คมจริง และสวยจริง ๆ ไม่มีข้อกังขาใด ๆ ทั้งสิ้น
กล้องหน้า TrueDepth 12 ล้านพิกเซล กับรอยบากที่คุ้นเคย
ขนาดความบาง 8.1 มม. กับน้ำหนักตัวเครื่อง 226 กรัม เทียบกับรุ่นก่อนหน้าอย่าง XS Max ที่บาง 7.7 มม. กับหนัก 208 กรัม แล้ว ตัว iPhone 11 Pro Max จัดว่ามีความใหญ่กว่าจริง ๆ ไม่มากแต่ก็ไม่น้อยเช่นกัน
มันก็จะตุงอยู่หน่อย ๆ เวลาเอาใส่กระเป๋ากางเกง : b
และส่วนที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ กล้องหลัง 3 ตัว ที่มีดีไซน์กรอบเป็นสี่เหลี่ยม แต่ตัวเลนส์กลับเรืยงเป็นรูปสามเหลี่ยม ซึ่งทาง Apple ก็ให้เหตุผลว่า ช่วยให้การสับเปลี่ยนเลนส์เป็นไปอย่างลื่นไหลมากขึ้น (ลื่นไหลจริงไหม เดี๋ยวรอดูกันในบทความรีวิวครับ) เอาตามตรง ตอนที่เห็นครั้งแรกในงานเปิดตัว ผมเองก็คิดว่าดีไซน์มันดูขัดตาแปลก ๆ เหมือนกัน แต่พอลองมาจับตัวเครื่องจริง ๆ แล้ว คิดว่าหากได้ลองใช้ไปสักพัก เราคงคุ้นชินและหายขัดตาไปเอง
อนึ่ง หากลองดูที่ตัวกล้องหลังดี ๆ จะเห็นเลยว่าตัวกล้องมีการสะท้อนแสง ผิดกับฝาหลังตัวเครื่องที่เป็นอลูมิเนียมผิวด้าน อีกทั้งตัวเลนส์กล้องทั้ง 3 ไม่ได้มีกระจกอะไรมาปิดให้เรียบเนียน แต่มันจะแบ่งเป็นวง ๆ หรือเป็นปุ่ม ๆ นูนขึ้นมาเล็กน้อย ฉะนั้นหากจะวางตัวเครื่อง ก็ระวัง ๆ ส่วนเลนส์ไว้นิดนึงก็ดีครับ
ยังคงให้ดูกล้องหลังกันต่อไป ฮ่า ฮ่า สำหรับตัวกล้องทั้ง 3 หรือ 3 เลนส์ ก็แบ่งเป็น เลนส์หลัก 12 ล้านพิกเซล F/1.8 เลนส์ซูม 12 ล้านพิกเซล F/2.0 ซูม Optical ได้ 2 เท่า และ เลนส์มุมกว้าง 120 องศา (Ultra-Wide) 12 ล้านพิกเซล F/2.4 สามารถถ่ายภาพได้ 3 มุม 3 ระยะ ถือเป็นอีกจุดหนึ่งที่ทำให้ iPhone 11 Pro Max มีความ Pro สมชื่อ โดยส่วนคุณภาพของกล้องจะออกมาเป็นยังไงนั้น รอติดตามในบทความรีวิวเร็ว ๆ นี้
สิ่งหนึ่งที่ถือเป็นจุดแข็งของ iPhone มาโดยตลอดคือ ประสิทธิภาพซีพียูที่ทรงพลังมาก อย่างใน iPhone 11 Series ทุกรุ่น ก็จะมาพร้อมซีพียู A13 Bionic ตัวใหม่ล่าสุด ซึ่งลองวัดด้วย Antutu Benchmark ก็กวาดคะแนนไปถึง 455,697 กันเลย
ด้วยประสิทธิภาพซีพียูระดับนี้ ก็ขอเทสซักเกมหน่อย โดยขอเอาเกมดังอย่าง Call of Duty : Mobile พร้อมปรับภาพกราฟฟิกสุดทุกอย่างผลที่ได้ก็ตามนี้
ไร้ความกระตุก ความลื่นไหลมาเต็ม และภาพที่สวยคมชัดได้ใจ
แม้จะได้ใช้ตัวเครื่องไม่นาน แต่พอสัมผัสได้ถึงความเป็นที่สุดอยู่ไม่น้อย ด้านดีไซน์ก็ตามสไตล์ Apple เรียบ ๆ แต่หรูหรา วัสดุพรี่เมี่ยมสมราคา สเปกก็แรงสมกับเป็นเรือธง ส่วนกล้องยังไม่ได้ลองอะไรมาก ไว้จัดเต็มอีกทีตอนรีวิวครับ สำหรับใครที่มีแผนจะจัดแน่นอน ก็สามารถไปสั่งจองกันได้ตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม 62 หรือรอวันขายจริง 18 ตุลาคมนี้เลยครับ
รวมราคาของ iPhone 11 Series ศูนย์ไทยทุกรุ่น
iPhone 11
- iPhone 11 รุ่น 64GB ราคา 24,900 บาท
- iPhone 11 รุ่น 128GB ราคา 26,900 บาท
- iPhone 11 รุ่น 256GB ราคา 30,900 บาท
iPhone 11 Pro
- iPhone 11 Pro รุ่น 64GB ราคา 35,900 บาท
- iPhone 11 Pro รุ่น 256GB ราคา 41,900 บาท
- iPhone 11 Pro รุ่น 512GB ราคา 48,900 บาท
iPhone 11 Pro Max
- iPhone 11 Pro Max รุ่น 64GB ราคา 39,900 บาท
- iPhone 11 Pro Max รุ่น 256GB ราคา 45,900 บาท
- iPhone 11 Pro Max รุ่น 512GB ราคา 52,900 บาท