Home Blog Page 9

Google จัดให้ SynthID Text เครื่องมือใส่ลายน้ำ ป้องกันคนละเมิดสิทธิ์

SynthID

Google เปิดตัวเครื่องมือ SynthID Text ใส่ลายน้ำลงในข้อความที่สร้างโดย AI เพื่อทำให้นักพัฒนา มีความรับผิดชอบต่อ AI ที่ตัวเองสร้างขึ้น ซึ่งในอีกมุมหนึ่ง ก็ยังเป็นการปกป้องสิทธิ์ของตัวเอง

ให้อธิบายเข้าใจง่าย ๆ คือ สมมติว่าเราสร้างเครื่องพิมพ์เงิน ที่สามารถพิมพ์ธนบัตรออกมาได้เหมือนจริงมาก จนแยกไม่ออกว่าใบไหนจริงใบไหนปลอม Google ก็เลยคิดค้น “ลายน้ำล่องหน” ขึ้นมา เพื่อฝังลงในธนบัตรที่พิมพ์จากเครื่องนี้โดยเฉพาะ เวลาเราสงสัยว่าธนบัตรใบไหนเป็นของปลอม ก็เอาไปส่องกับเครื่องตรวจจับพิเศษ มันก็จะรู้เลยว่าใบไหนพิมพ์จากเครื่องพิมพ์เงินของเรา โดยตัวเครื่องพิมพ์ ก็เปรียบเสมือนกับ AI ที่นักพัฒนาสร้าง

SynthID Text ก็เหมือนลายน้ำล่องหนแบบนั้นแหละครับ แต่ใช้กับข้อความที่สร้างโดย AI แทนที่จะเป็นธนบัตร Google สร้างเครื่องมือนี้ขึ้นมา เพื่อให้นักพัฒนา ที่สร้าง AI เขียนข้อความ สามารถตรวจสอบได้ว่าข้อความไหนที่ AI ของตัวเองเป็นคนเขียน

ยกตัวอย่างง่าย ๆ คือ
– นักพัฒนา A สร้าง AI ที่เขียนบทความข่าวได้ เขาใช้ SynthID Text ฝังลายน้ำของตัวเองลงไปในทุกๆ บทความที่ AI เขียน
– นักพัฒนา B สร้าง AI ที่แต่งนิยายได้ เขาก็ใช้ SynthID Text ฝังลายน้ำของตัวเองลงไปในนิยายที่ AI แต่ง

ทีนี้ สมมติว่ามีบทความข่าวปลอม หรือ นิยายที่ละเมิดลิขสิทธิ์ เผยแพร่อยู่บนอินเทอร์เน็ต นักพัฒนา A และ B ก็สามารถใช้ SynthID Text ตรวจสอบได้ว่า ข้อความเหล่านั้น ถูกสร้างขึ้นโดย AI ของตัวเองหรือเปล่า ซึ่ง SynthID Text เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักพัฒนา AI สามารถ “อ้างสิทธิ์ความเป็นเจ้าของ” และ “รับผิดชอบ” ต่อข้อความที่ AI ของพวกเขาสร้างขึ้นนั่นเอง

ประโยชน์ของ SynthID Text ก็คือ
– ช่วยป้องกันการนำข้อความที่สร้างโดย AI ไปใช้ในทางที่ผิด เช่น ปลอมแปลงเอกสาร เผยแพร่ข่าวปลอม หรือสร้างความเกลียดชัง
– ช่วยให้นักพัฒนา AI รับผิดชอบต่อผลงานของตัวเองมากขึ้น
– ติดตามแหล่งที่มา ช่วยติดตาม ตรวจสอบ และวิเคราะห์การใช้งานเนื้อหาที่ AI สร้างขึ้น เช่น บทความ โค้ด หรือบทกวี
– ลดการเผยแพร่ข้อมูลเท็จ ช่วยระบุแหล่งที่มาของข้อมูล ลดปัญหาข่าวปลอม และข้อมูลบิดเบือนที่สร้างโดย AI
– สำนักข่าว ใช้ SynthID Text เพื่อติดลายน้ำในข่าวที่ AI เขียน เพื่อแสดงความรับผิดชอบ และป้องกันการนำข่าวไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

ที่มา
https://deepmind.google/technologies/synthid/

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จับมือ กรีนเยลโล่ ปรับโซลูชั่นระบบปรับอากาศใหม่ทั้งโรงงานเพื่อประสิทธิภาพที่ยั่งยืน

นายมงคล ตั้งศิริวิช ประธาน ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ดูแลกลุ่มคลัสเตอร์ ประเทศไทย ลาว เมียนมา ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง กับ นายสเตฟาน ดูเฟรน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์และพันธมิตร กรีนเยลโล่ ประเทศไทย เพื่อยกระดับระบบปรับอากาศ HVAC ด้วยการออกแบบใหม่ตามเทคโนโลยีล่าสุดในโรงงานผลิตของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ณ นิคมอุตสาหกรรมบางปู เพื่อลดต้นทุนด้านพลังงาน และลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ พร้อมทั้งรองรับสายการผลิตในอนาคต โดย กรีนเยลโล่ จะใช้โซลูชั่นจาก ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่มีจุดเด่นในการสร้างความยั่งยืน พร้อมกันนี้ กรีนเยลโล่ จะดูแลเรื่องการบริการ การบำรุงรักษา ตามมาตรฐานของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค อีกด้วย

ความร่วมมือในครั้งนี้ของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค และ กรีนเยลโล่ มีเจตนารมณ์เดียวกัน คือ การยกระดับและตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนการทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัล เพื่อสร้างความยั่งยืน โดยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและค่าบำรุงรักษา พร้อมทั้งลดการปล่อยคาร์บอนได้ในคราวเดียวกัน ซึ่งได้คาดการณ์ไว้ว่า หลังจากการติดตั้งระบบต่างๆ พร้อมใช้งาน จะช่วยให้โรงงานชไนเดอร์ อิเล็คทริค ในประเทศไทย ลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึง 720 ตัน ต่อปี

เทคโนโลยีที่ กรีนเยลโล่ ใช้ในการปรับปรุงและยกระดับระบบปรับอากาศ HVAC ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ที่เชื่อมต่อกันได้แบบ IoT เซ็นเซอร์ที่ใช้ในการตรวจจับและรวบรวมข้อมูล โดยใช้ซอฟต์แวร์ EcoStruxure Building Operation รุ่นล่าสุด ช่วยในการบริหารจัดการอาคาร สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกและวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพในแบบเรียลไทม์ ลดกระบวนการทำงานที่ซ้ำซ้อน ลดต้นทุนด้านการซ่อมบำรุง และที่สำคัญช่วยให้สามารถใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยังมีความพร้อมในการถ่ายทอดองค์ความรู้ผ่านผู้เชี่ยวชาญของโรงงาน โดยใช้โรงงานเป็นต้นแบบและกรณีศึกษา ในด้านการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน เพื่อให้คู่ค้าและลูกค้าที่มีเป้าหมายเดียวกัน ได้เห็นผลลัพธ์ที่แท้จริงตามเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน และ Net Zero ในอนาคตอีกด้วย

เปิดตัวในไทยแล้ว ฟีเจอร์ YouTube Shopping ปักหมุดตะกร้าหารายได้เสริม

หารายได้เสริม ฟีเจอร์ YouTube Shopping เปิดตัวในไทยแล้ว ที่จะทำให้เหล่าครีเอเตอร์ในแอปสามารถปักหมุดตะกร้า เปิดช่องทางให้ผู้ติดตามช้อปปิ้งออนไลน์ได้ง่ายขึ้นและเจ้าของช่องก็ได้ค่าขนมไปด้วย

ประเทศไทยนับว่าเป็นประเทศที่ 4 ของโลก ที่ได้ใช้งาน YouTube Shopping เป็นอันดับแรก ๆ ที่ต่อยอดความสำเร็จจากการเปิดตัวในสหรัฐอเมริกา เกาหลี และอินโดนีเซีย 

ได้ร่วมมือกับ Shopee ใช้โปรแกรม Affiliate ให้ครีเอเตอร์รับค่าคอมมิชชั่นจากการแท็กสินค้าในวิดีโอ ไม่ว่าจะเป็นการไลฟ์สด , อัปโหลดวิดีโอล่าสุด หรือย้อนกลับไปติดปักตะกร้าในวิดีโอเก่า ๆ ของตัวเองได้อีก

ครีเอเตอร์ที่สามารถใช้ฟีเจอร์นี้ได้จะต้องมีผู้ติดตามมากกว่า 10,000 คนขึ้นไป และอยู่ใน YouTube Partner Program และไม่ได้เป็นช่องที่เกี่ยวข้องกับเด็ก 

ในอนาคตจะเตรียมขยายไปตลาดอีคอมเมิร์ซรายอื่นๆ ด้วย นอกจาก YouTube Shopping ยังมีฟีเจอร์อีกมากมายที่แอปเปิดให้หารายได้ ไม่ว่าจะเป็น รายได้จากการโฆษณา , การเป็นสมาชิกที่ผู้ติดตามสามารถซับพอร์ตเจ้าของช่องได้ เป็นต้น 

ดูคลิปเพิ่มเติม >> https://youtu.be/k3NlQiF_yOY?si=zKeQFxm1gj75qDvx

ติดตามYouTube ช่อง Techhub คลับของคนไอที >> http://bit.ly/35qb5Ak

#YouTubeShopping #YouTube #TechhubUpdate

Solar, Cloudsec Asia, มจธ. และ สกมช. ประกาศผลและมอบรางวัลการประกวดแข่งขัน Cybersecurity งาน Cyber Range Thailand 2024

Solar บริษัท คลาวด์เซค เอเซีย จำกัด มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) และ สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.)  ร่วมกันจัดงานประกวดแข่งขัน ประกาศผลและมอบรางวัล “Cyber Range Thailand 2024” เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2567 ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี โดยเป็นการแข่งขันทางด้าน Cybersecurity ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมประโยชน์ของ Cyber Range ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและ Cybersecurity ในประเทศไทย และเพิ่มทักษะให้กับสถาบันการศึกษา นักวิชาการ นักวิจัย คณาจารย์ นักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนที่สนใจในด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ในด้านเทคโนโลยีและการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ และตระหนักถึงความสำคัญในการสร้างองค์กรที่มีความยืดหยุ่นด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ รวมถึงการมีเครื่องมือและวิธีการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการ ซึ่ง Cyber ​​Range เป็นการจำลองสภาพแวดล้อมเสมือนจริงเฉพาะทางที่จำลองโครงสร้างพื้นฐาน IT/OT ให้เหมือนกับโลกแห่งความเป็นจริงเพื่อการฝึกอบรม การทดสอบ และพัฒนาทักษะด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์

รศ. ดร.สุวิทย์ แซ่เตีย อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี กล่าวว่า “มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีมีนโยบายสำคัญในการส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนานวัตกรรม ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ รวมถึงสร้างความตระหนักด้านสถานการณ์เกี่ยวกับภัยคุกคามทางไซเบอร์  และมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนให้การสนับสนุนและได้รับเกียรติเป็นสถานที่จัดการประกวดแข่งขัน “Cyber Range Thailand 2024” โดยเห็นว่าเป็นการพัฒนา สนับสนุน และเตรียมบุคลากรให้มีความพร้อม ความรู้ความเข้าใจ และความเชี่ยวชาญในสถานการณ์เกี่ยวกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ จึงให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่กับทุกภาคส่วน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน นวัตกรรม บุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญ ยกระดับทักษะความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ การเรียนการสอนให้ได้ปฏิบัติและทดลองจริงที่จะเป็นพลังสำคัญให้เกิดคุณค่าและความเข้มแข็งของประเทศ และขอแสดงความยินดีกับทีมที่ได้รับรางวัล และทุกๆ ท่านที่เข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ ท่านจะเป็นกำลังสำคัญของประเทศในการขยายผลต่อยอดสร้างนวัตกรรมด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์และเศรษฐกิจของประเทศต่อไป”

นาวาเอกหญิง ศิริเนตร รักษ์วงศ์ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) กล่าวว่า “สกมช. มีนโยบายให้ความสำคัญในการสร้างนวัตกรรมการรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์ เพื่อเป็นกลไกและต่อยอดสู่การสร้างสรรค์เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงส่งเสริมให้เกิดวัฒนธรรมด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยที่แพร่หลายในกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ และประชาชนในประเทศไทย อันนำมาซึ่งการขับเคลื่อนให้มีความแข็งแกร่งทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยให้มีความก้าวหน้าอย่างยั่งยืน และยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้สนับสนุนการประกวดแข่งขันทางด้าน Cybersecurity ในงาน “Cyber Range Thailand 2024” ครั้งนี้ เพื่อให้เกิดความพร้อมในการรับมือกับภัยคุกคามและรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ รวมทั้งได้รับความรู้ทั้งทางทฤษฎีและปฏิบัติในสถานการณ์จำลองเสมือนจริง เพื่อให้มีความพร้อมสูงสุดในการรับมือกับภัยคุกคามไซเบอร์ และสร้างแรงงานออกสู่ตลาดแรงงานในอนาคต”

Mr. Artem Padeyskiy, International Sales Director แห่ง Solar กล่าวว่า การประกวดแข่งขันในครั้งนี้ได้รับการตอบรับจากนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนเป็นอย่างมาก และขอแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับรางวัลฯ และขอบคุณผู้ร่วมเข้าแข่งขันทุกท่านที่สร้างสรรค์ส่งผลงานอันมีคุณค่าเข้าประกวด โดยปีนี้มีผู้สนใจส่งผลงานมากกว่า 400 ท่านจากสถาบันการศึกษาทั่วประเทศและประชาชนทั่วไป มีผู้ผ่านรอบสุดท้ายและมาร่วมแข่งชิงชนะเลิศจำนวน 45 ท่านโดยแบ่งออกเป็น 9 ทีมในวันแข่งขัน ซึ่งเวทีนี้เปิดโอกาสให้ทุกท่านได้แสดงความสามารถและความคิดสร้างสรรค์ได้ไร้ขีดจำกัด เพื่อรองรับนโยบาย Digital Economy ของรัฐบาลไทย อันจะนำไปสู่การเติบโตอย่างก้าวหน้าในอนาคตต่อไป”

คุณเอกชัย อรุณสกุล กรรมการผู้จัดการ  บริษัท คลาวด์เซค เอเซีย จำกัด (CLOUDSEC ASIA COMPANY LIMITED) กล่าวว่า “บริษัทฯ เป็นผู้นำในการให้บริการด้านความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศและเทคโนโลยีโซลูชันด้านความปลอดภัยข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาและลดความเสี่ยงของความปลอดภัยอย่างครบวงจรและมีประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงการฝึกอบรมและการให้คำปรึกษาเพื่อเสริมสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าช่วยให้รู้เท่าทันภัยไซเบอร์ และสร้างอนาคตของโลกดิจิทัลให้มั่นคงปลอดภัย สำหรับการประกวดแข่งขันในครั้งนี้ ขอขอบคุณสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ นักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ที่ส่งบุคลากรเข้าร่วมแข่งขันพร้อมกันนี้ขอแสดงความยินดีกับทีมที่ได้รับรางวัล ที่มาร่วมสร้างสรรค์วางแผน ฝึกทักษะ อบรมปฏิบัติ เพื่อพัฒนาประสบการณ์ การเรียนรู้ และแนวคิดในการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนและฝึกใช้โซลูชันความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ อีกทั้งยังจะเป็นกำลังสำคัญในการสร้างผู้เชี่ยวชาญให้กับอุตสาหกรรมต่อไป”

สำหรับรูปแบบของการประกวดแข่งขันจะประกอบด้วย :

การพัฒนาทักษะ: มีการอบรมฝึกซ้อมการตอบสนองด้านความปลอดภัยคุกคามทางไซเบอร์ และเปิดรับทักษะใหม่ ๆ ผ่านระบบ Cyber Range ระดับโลก ผู้เข้าร่วมการแข่งขันสามารถมีส่วนร่วมในการตอบสนองต่อการจำลองภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่สมจริงผ่านแบบฝึกหัดการตอบสนองเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ถูกจำลองขึ้นได้

Talent Gap: การฝึกอบรมภาคปฏิบัติ เพื่อเสริมสร้างทักษะและลดช่องว่างให้กับบุคลากรด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ และช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม

ส่งเสริมนวัตกรรม: การแข่งขันจะกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาและนำนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ใช้ในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์มาใช้ บุคลากรที่เข้าแข่งขันสามารถทดสอบแนวคิด แก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนและโต้ตอบกับโซลูชันความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ที่สามารถจำลองเหตุการณ์ภัยคุกคามที่เกิดขึ้นจริงได้

สำหรับผู้ที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายจำนวนทั้งหมด 45 ท่าน ได้แบ่งเป็น 9 ทีม โดยมีผลการประกวดแข่งขันดังต่อไปนี้

ทีมชนะเลิศรางวัลที่ 1 ได้รับเงินรางวัลรวม 15,000 บาทพร้อมใบประกาศเกียรติบัตร ประกอบด้วย

– นายจักรพันธ์ ปาทาน คณะวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระเจ้าเกล้าธนบุรี

– นายเชษฐมาส ตั้งสุขสันต์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

– ผศ.ดร.ชินพงศ์ อังสุโชติเมธี สำนักนวัตกรรมดิจิทัลและระบบอัจฉริยะ

มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

– นายธฤต ทองเปลว ห้องแลป SEC. 520 ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC)

– ร้อยเอกศิระ ทรงพลโรจนกุล กองทัพบก

ทีมชนะรางวัลที่ 2 ได้รับเงินรางวัลรวม 10,000 บาทพร้อมใบประกาศเกียรติบัตร ประกอบด้วย

– นายภูวสิษฏ์ เนื้อไม้หอม มหาวิทยาลัยขอนแก่น

– นายสิปปกร วรวัฒนานุกุล มหาวิทยาลัยขอนแก่น

– นายกับตัน พึ่งเป็นสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

– นายธนนรินทร์ ใจแจ้ง โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยธนบุรี

ทีมชนะรางวัลที่ 3 ได้รับเงินรางวัลรวม 5,000 บาทพร้อมใบประกาศเกียรติบัตร

– ร.ต.อ.ภาวีร์ วีรวิทยาเศรษฐ์ ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

– ร.ท.วีรภัทร จันทร์เหล็ก กองทัพอากาศ

– ร.ท.กันต์ฐรัตน์ บัวคลี่ กองทัพอากาศ

– นนอ.กัลยกฤต สุขเกษม โรงเรียนนายเรืออากาศนวมินทกษัตริยาธิราช

– นายวรวุธ มะโณสงค์ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (กพ.)

บทสัมภาษณ์ผู้ชนะเลิศการประกวดแข่งขัน “Cyber Range Thailand 2024”

ทีมชนะเลิศรางวัลที่ 1 กล่าวว่า “เราไม่ได้ตั้งชื่อทีม การเข้ามาแข่งขันครั้งนี้ เพื่อหาประสบการณ์ใหม่ ๆ ในตลาดไซเบอร์ นอกจากนี้เห็นน้อง ๆ นักศึกษาเล่นแล้ว อยากเล่นด้วย ปกติส่งคนอย่างเดียว และเมื่อได้มารวมกันในหลายฝ่ายที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน มีการจัดการด้วยการแชร์เอกสารไว้ตรงกลาง หากใครไปเจออะไรก็ให้นำมาใส่ไว้ตรงกลาง จะได้ไม่มีการทำงานซ้ำซ้อนกัน เวลาจะเข้า VM จะมีการเตรียมตัวกันก่อนว่าใครจะเข้าตรงไหน จะได้ไม่ชนกัน และคุยกันว่าทุกคนมีความเข้าใจในแนวทางเดียวกันว่ากำลังทำอะไรกันอยู่ มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน ไม่มีการทำงานซ้ำซ้อนกัน และ กระจายงาน การที่ได้รับรางวัลชนะเลิศนี้จะนำประสบการณ์ไปต่อยอดในส่วนของไซเบอร์ และการทำงานสายงานนี้ต่อไปในอนาคต”

ทีมชนะรางวัลที่ 2 กล่าวว่า “ทีมเราไม่ได้ตั้งชื่อทีมเช่นกัน เรามีจุดหมายอยากทำงานในด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ เนื่องจากงานด้านนี้ยังไม่ค่อยมีคนสนใจมากนัก เพราะเป็นการทำงานที่ซ้ำ ๆ เดิม ๆ แต่ภัยทางไซเบอร์มีเกิดขึ้นแบบใหม่ ๆ แปลก ๆ ตลอดเวลา ทำให้ต้องมีการพัฒนาเพื่อก้าวไปข้างหน้า ที่ผ่านมาไม่มี AI แต่ตอนนี้มี AI และมีศาสตร์ทางด้านโซเชียลเอ็นจิเนียริ่ง และภัยคุกคามก็มีจำนวนมาก งานในด้านนี้ยังขาดกำลังคน การแข่งขันฯ นี้เป็นเหมือนศาสตร์ที่ 2 เพราะทำให้ได้มาต่อยอดการฝึกฝนให้มีความรู้มากขึ้น การได้รับรางวัลจะนำไปทำ portfolio สำหรับการทำงานและอื่น ๆ ต่อไป”

ทีมชนะรางวัลที่ 3 กล่าวว่า “ตั้งชื่อทีมว่า “เทเบิ้ลเซเว่น” อยากเปิดโลกทัศน์และหาประสบการณ์เกี่ยวกับโลกของไซเบอร์และการแข่งขันอะไรใหม่ ๆ เพราะเพิ่งเรียนจบ จึงอยากเปิดตัวหาเครือข่าย ที่ผ่านมาการแข่งขัน Cyber Range ในประเทศไทยมีน้อย ทำให้ไม่ค่อยได้ฝึกฝนกัน การได้เข้าแข่งขันเป็นการฝึกทักษะและได้รู้ว่าอยู่ในระดับไหน ทำให้ได้ประสบการณ์มาพัฒนาตนเอง และฝึกจากสถานการณ์ที่เหมือนกับการทำงานจริง ๆ ทำให้มีการจัดการและบริหารทีม ในฐานะหัวหน้าทีม มองว่าทุกคนมีดีในตัวเองอยู่แล้ว จึงบริหารจัดการด้วยการจัดทำ document กลางให้คนในทีมนำข้อมูลมาวางรวมกัน ทุกคนเข้าถึงได้ และเวลาที่ทุกคนมีไอเดียอะไรก็จะนำมาแชร์กัน แล้วก็ไปตาม Flow นั้น และไม่ได้บังคับว่าใครจะต้องทำอะไรเป็นพิเศษ ถ้าเจอคนในทีมว่างอยู่ก็จะขอให้ช่วยทำ สำหรับการแข่งขันครั้งนี้เราไม่ได้ตั้งทีมกันมาก่อน ซึ่งทีมมาจากการเลือกแบบสุ่มแต่ละคนก็จะมีความสามารถฝึกฝนกันมาไม่เหมือนกัน ในการแข่งขันทุกคนก็จะมีเทคนิคในการหาที่ไม่เหมือนกัน อย่างใครที่เคยทำงานมาก่อนก็จะใช้เครื่องมือเป็นสามารถหาข้อมูลและรู้ว่าอยู่ตรงไหน บางคนไม่เคยทำงานนี้มาก่อนก็จะเข้าไปในเครื่องเลยจะไม่ค่อยได้ใช้เครื่องมือในการมอนิเตอร์หาข้อมูล ในการแข่งขันฯ รู้สึกเสียดายที่เตรียมตัวและฝึกยังมายังไม่มากพอ ทีมเราคงทำได้ดีกว่านี้ สำหรับการแข่งขันฯ เป็นการเปิดโอกาสให้ได้แสดงความสามารถทางด้านไซเบอร์ ในประเทศไทยมีเวทีให้แข่งขันน้อย อย่างคนที่มีประสบการณ์เขาก็ไม่รู้ว่าต้องแสดงความสามารถได้ในเวทีไหนบ้าง ซึ่งเวทีนี้จีงเป็นเวทีที่ได้โชว์ความสามารถและประสบการณ์ได้อย่างเต็มที่”

แล้วพบกันใหม่ในการประกวดแข่งขัน “Cyber Range Thailand 2025” ในปีหน้าที่จะยิ่งเข้มข้นและท้าทายมากยิ่งขึ้น ตามสภาพแวดล้อมทางไซเบอร์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พร้อมกับภัยคุกคามทางที่ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น

2 ปี ขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ

2 ปี ขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ เดินหน้าครบทุกมิติ พัฒนาคน สร้างนวัตกรรม หนุนโครงสร้างพื้นฐาน AI ให้ประเทศ

เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้ก้าวขึ้นมาเป็นปรากฏการณ์สำคัญของโลก โดยได้รับความคาดหมายในฐานะเครื่องมือทางเศรษฐกิจและสังคมของโลกในยุคใหม่ บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ทั่วโลกต่างเร่งพัฒนา AI ของตนเองอย่างเข้มข้นและรวดเร็ว จนนำไปสู่ AI ที่มีความสามารถใกล้เคียงมนุษย์ (Artificial General Intelligence) อย่างไรก็ตามการขาดธรรมาภิบาลในการพัฒนาและใช้งาน AI อาจนำมาซึ่งความท้าทายสำคัญ

ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันอย่างไม่เป็นธรรม การใช้ทดแทนแรงงานมนุษย์โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบรอบด้าน การละเมิดความเป็นส่วนตัว ตลอดจนภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ซับซ้อนขึ้น ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ ประเทศไทยได้แสดงความพร้อมรับมือผ่านแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ
เพื่อการพัฒนาประเทศไทย .. 2565-2570″ ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีตั้งแต่วันที่ 26 กรกฎาคม 2565 โดยมีการขับเคลื่อนมาแล้ว 2 ปี ภายใต้การบูรณาการความร่วมมือระหว่าง 2 กระทรวงหลัก ได้แก่ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.)

ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย กล่าวว่า การจัดทำแผนปฏิบัติการ AI แห่งชาติตลอดสองปีที่ผ่านมามีผลการดำเนินงานที่สำคัญในด้านต่าง ๆ ได้แก่

ด้านจริยธรรมและธรรมาภิบาล มีการจัดทำคู่มือแนวทางการประยุกต์ใช้ AI อย่างมีธรรมาภิบาลสำหรับองค์กร พร้อมเครื่องมือประเมินด้าน AI อีกทั้งยังสร้างความร่วมมือกับเครือข่ายต่างประเทศเพื่อร่วมนำเสนอและรับฟังความคิดเห็นแนวทางการกำกับดูแล AI ในระดับสากลเพื่อนำมาเตรียมความพร้อมด้านจริยธรรมและธรรมภิบาล AI ของไทย

ด้านโครงสร้างพื้นฐาน มีการพัฒนาแพลตฟอร์มกลางบริการ AI ประเทศไทย (National AI Service platform) ภายใต้การสนับสนุนของ GDCC มีจำนวนการใช้งานโดยเฉลี่ยเดือนละ 1 ล้านครั้งต่อเดือน รวมทั้งให้บริการ LANTA ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพการคำนวณอันดับ 1 ในอาเซียน สำหรับการวิจัยด้าน AI ของภาครัฐและเอกชน

ด้านการพัฒนากำลังคนด้าน AI ถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่สุดของแผนฯ ซึ่งในปีที่ผ่านมาได้ดำเนินพัฒนากำลังคนด้าน AI ผ่านการพัฒนาทักษะทางด้าน AI ในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ แพลตฟอร์มออนไลน์ที่เรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง หลักสูตรอบรมทักษะ AI ระยะสั้นและหลักสูตรพัฒนาทักษะ AI ที่ผสมผสานตั้งแต่การเรียนรู้ด้วยตนเองจนปิดท้ายด้วยการฝึกงานในสถานที่จริงเป็นจำนวนรวมมากกว่า 1 แสนคน โดยแผนพัฒนากำลังคนด้าน AI มีกรอบดำเนินการใน 3 ส่วน แบ่งตามช่วงชีวิตการเรียนรู้ของคน ดังนี้

(1) AI@School เพื่อสร้างผู้สอนและบรรจุหลักสูตร AI สำหรับนักเรียนทุกช่วงชั้นให้มีความตระหนักและทักษะทางด้าน AI เบื้องต้น
(2) AI@University เพื่อพัฒนาทักษะ AI ทุกระดับอย่างต่อเนื่องในระบบอุดมศึกษา
(3) AI@Lifelong Learning เพื่อสนับสนุนให้ทุกคนในทุกช่วงวัยและทุกระดับการศึกษาสามารถเรียนรู้และพัฒนาทักษะ AI ได้ตลอดช่วงชีวิต

ตอบรับนโยบาย อว. For AI ทั้ง 3 เรื่องหลัก ได้แก่ (1) AI for Education การใช้ AI ในการเรียนการสอนให้คนไทยมีศักยภาพสูงสุดและเร็วที่สุด (2) AI workforce development การพัฒนาบุคลากรด้าน AI และการสร้างพื้นฐานด้าน AI ให้คนไทยในระบบการศึกษาและตลาดแรงงาน (3) AI innovation ด้านการสนับสนุนนวัตกรรม AI สู่ตลาด ได้ส่งเสริมให้สตาร์ตอัปพัฒนาต้นแบบนวัตกรรมและเทคโนโลยีจาก AI มากกว่า 50 ต้นแบบผลิตภัณฑ์ ส่วนด้านการวิจัยและนวัตกรรม ได้ดำเนินการนำ AI เพิ่มประสิทธิภาพการวิเคราะห์ข้อมูลประชากรขนาดใหญ่ เพื่อการวางแผนยุทธศาสตร์ของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยมีผู้ได้รับประโยชน์มากกว่า 6 แสนคน มีหน่วยงานภาครัฐนำไปใช้ประโยชน์ 220 หน่วยงาน ครอบคลุม 17 จังหวัดทั่วประเทศ และการจัดตั้งเครือข่ายความร่วมมือ Medical AI Consortium เพื่อรวบรวมและเผยแพร่ข้อมูลขนาดใหญ่ด้านการแพทย์และสาธารณสุข (Medical AI Data Sharing) ในปัจจุบันมีข้อมูลภาพถ่ายทางการแพทย์มากกว่า 1.6 ล้านภาพ

ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการดำเนินงานขับเคลื่อนแผน AI แห่งชาติตามแผนยุทธศาสตร์ในด้านต่าง ๆ ในปีที่ผ่านมาได้สะท้อนผ่านการจัดอันดับดัชนีความพร้อมด้านปัญญาประดิษฐ์ของรัฐบาล (AI Government Readiness Index) ปี 2566 ที่ประเทศไทยยังคงรักษาตำแหน่งในกลุ่ม 40 อันดับแรกของโลก ท่ามกลางการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นและจำนวนประเทศที่เข้าร่วม การจัดอันดับที่เพิ่มขึ้น โดยอยู่ในลำดับที่ 37 จาก 193 ประเทศ แม้จะปรับตัวลง 6 อันดับจากปีก่อนที่อยู่ในลำดับที่ 31 จาก 181 ประเทศ เมื่อพิจารณาในรายละเอียด พบว่าไทยมีจุดแข็งในด้านภาครัฐที่ได้ 77.21 คะแนน และด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ได้ 70.55 คะแนน สะท้อนความพร้อมของกลไกภาครัฐและระบบโครงสร้างพื้นฐานในการรองรับการพัฒนา AI ขณะที่ด้านเทคโนโลยีได้ 41.33 คะแนนซึ่งสูงขึ้นจาก
ปีก่อน แต่ก็ยังเป็นส่วนสำคัญที่ไทยต้องเพิ่มการพัฒนาต่อยอดเพื่อยกระดับขีดความสามารถด้าน AI ในองค์รวมของประเทศในระยะต่อไป

ด้าน ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ในฐานะผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย กล่าวว่า เนคเทคในฐานะองค์กรที่มีบทบาทด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และสารสนเทศขั้นสูงให้กับประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านเทคโนโลยี AI ที่สั่งสมประสบการณ์วิจัยและพัฒนามากว่า 20 ปี โดยได้ส่งมอบแพลตฟอร์มให้บริการปัญญาประดิษฐ์สัญชาติไทย หรือ AI for Thai ให้เป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้าน AI ของประเทศ และแผนปฏิบัติการ AI แห่งชาติ ในฐานะแพลตฟอร์มกลางบริการ AI ประเทศไทย (National AI Service platform) ภายใต้การสนับสนุนของ GDCC และหน่วยงานพันธมิตร ซึ่งให้บริการ API มากกว่า 60 รายการ ครอบคลุมการประมวลผลภาษาไทย ทั้งด้านภาพ เสียง และข้อความ และมียอดการใช้งานสะสม 53 ล้านครั้ง นอกจากนี้เนคเทคและพันธมิตรยังร่วมพัฒนา ‘OpenThaiGPT’ แบบจำลองภาษาไทยขนาดใหญ่ (Large Language Model) ในรูปแบบโมเดลพื้นฐานแบบโอเพนซอร์ส (Open-source Foundation Model) ที่ตอบสนองความต้องการด้านการประมวลผลภาษาไทย

ปัจจุบันมี 5 หน่วยงานทดลองนำระบบไปประยุกต์ใช้งาน (Proof of Concept) ได้แก่ สภาผู้แทนราษฎร ศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ และกรมสรรพากร และเป็นโมเดลพื้นฐานของการเปิดตัว 22 บริการใหม่บน AI for Thai (www.aiforthai.co.th) โดยมีไฮไลท์ คือปทุมมา LLM” Generative AI ที่สามารถประมวลข้อมูลภาษาไทย ได้หลากหลายทั้งรูปภาพ เสียง และข้อความ ถามตอบได้อย่างเป็นธรรมชาติ สามารถบรรยายรูป (image captioning) ถอดและบรรยายเสียง (ASR and ACC) วิเคราะห์อารมณ์ผู้พูด (Audio Analysis) ถามตอบจากเสียง (Audio QA) อีกทั้งยังสามารถเข้าใจและสรุปสาระสำคัญของเอกสารราชการ หรืองานวิจัยได้อีกด้วย นอกจากนี้ผู้ใช้งานยังสามารถพูดคุยตอบโต้หรือตั้งคำถามกับเอกสารที่กำหนด ได้อย่างเป็นธรรมชาติ สามารถใช้งานปทุมมา LLM” ได้ที่ https://aiforthai.in.th/pathumma-llm

ท่านที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย และรายงานผลการดำเนินงาน ประจำปี 2567 ได้ที่ https://www.ai.in.th/ ตั้งแต่ 15 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป

EU เปิดทาง ให้ประชาชนฟ้องรัฐได้ หากค่า PM2.5 เกินมาตรฐาน

สหภาพยุโรป (EU) ไฟเขียว อนุญาตให้พลเมือง สามารถฟ้องร้องด้านปัญหาสุขภาพกับรัฐบาลได้ หากมีค่า PM2.5 เกินมาตรฐาน หรือมีการปล่อยมลพิษมากเกินไป

องค์การอนามัยโลก เผยว่าประชากรเกือบ 300,000 คนเสียชีวิตทุกปี จากโรคทางเดินหายใจที่เกิดจากคุณภาพอากาศที่ไม่ดี และยังมีอีกหลายล้านคนที่ล้มป่วย ปัจจุบัน พลเมืองยุโรปจะสามารถเรียกร้องค่าชดเชยสำหรับปัญหาสุขภาพที่เกิดจากการไม่ปฏิบัติตามขีดจำกัดด้านมลพิษ

กฎหมายฉบับใหม่ได้ถูกนำมาใช้ โดยกำหนดค่า PM 2.5 ,ไนโตรเจนไดออกไซด์ และซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ต้องอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนดเท่านั้น และต้องปฏิบัติตามขีดจำกัดรายปีภายในปี 2030

หากประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการปล่อยมลพิษเหล่านี้ และประชาชนในประเทศล้มป่วย พวกเขาจะสามารถเรียกร้องค่าเสียหายและได้รับการชดเชย รวมถึงกำหนดค่าปรับหลายล้านยูโรกับประเทศที่ไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบ

EU เชื่อว่าข้อบังคับดังกล่าวจะสามารถช่วยให้แต่ละประเทศตระหนักถึงค่าฝุ่น ที่หากมีค่าสูงเกินไปอาจเป็นอันตรายต่อพลเมือง และต้องออกมารับผิดชอบในการละเลยของตัวเอง โดยมีเป้าหมายลดการปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ในปี 2050 

 

ที่มา : electrek 

#ค่าฝุ่นเกินมาตรฐาน  #PM2.5 #TechhubUpdate

โปรเจคใหญ่ วางสายเคเบิลใต้น้ำ ส่งพลังงานไฟฟ้าข้ามประเทศ

โปรเจคพลังงานหมุนเวียนและสายส่งไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้รับการอนุมัติจากสิงคโปร์เป็นที่เรียบร้อย

Australia-Asia Power Link จะส่งพลังงานแสงอาทิตย์ของออสเตรเลียไปยังสิงคโปร์ผ่านสายเคเบิลใต้น้ำที่มีความยาวมากถึง 4,300 กิโลเมตร ผ่านปลายน่านน้ำอาณาเขตออสเตรเลียไปจนถึงชายแดนอินโดนีเซีย

โดยบริษัท SunCable จะเริ่มต้นด้วยการก่อสร้างฟาร์มพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดยักษ์ในเขต Northern Territory ของออสเตรเลียเพื่อส่งพลังงานสะอาดตลอด 24 ชั่วโมงไปยังเมืองดาร์วิน และยังส่งออกพลังงานหมุนเวียนที่ได้ไปยังสิงคโปร์

ที่ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลสามารถสร้างฟาร์มพลังงานแสงอาทิตย์ที่ Powell Creek ซึ่งมีกำลังการผลิตพลังงานสะอาดสูงถึง 10 กิกะวัตต์ รวมถึงระบบจัดเก็บไฟฟ้าในสถานที่ในระดับสาธารณูปโภคได้

โครงการดังกล่าวมีเป้าหมายที่จะแปลงพลังงานไฟฟ้าจากไฟฟ้ากระแสสลับเป็นไฟฟ้ากระแสตรงอีก 1.75 กิกะวัตต์ และส่งผ่านสายเคเบิลใต้น้ำไปยังสิงคโปร์ เพื่อนำมาจ่ายไฟฟ้าให้กับประเทศ เพราะแหล่งผลิตไฟฟ้าของสิงคโปร์อาจไม่เพียงพอต่อการใช้งานในอนาคต

ถือว่าเป็นโครงการที่ต้องขอความร่วมมือกับหลายประเทศ ทั้ง สิงคโปร์ ออสเตรเลียและอินโดนีเซีย ใช้งบประมาณหลายแสนล้านบาทและคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2035

 

ที่มา : newatlas

#เคเบิลใต้น้ำ  #พลังงานไฟฟ้า  #TechhubUpdate

MIT สร้างเอง เครื่อง เปลี่ยนน้ำทะเลให้ดื่มได้ ไม่ง้อไฟฟ้าจากแบตเตอรี่

เปลี่ยนน้ำทะเลให้ดื่มได้

Techhub พามาดู วิศวกรจาก MIT พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ เปลี่ยนน้ำทะเลให้ดื่มได้ ด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ โดยไม่ต้องใช้แบตเตอรี่สำรองไฟ ระบบนี้ทำงานสอดคล้องกับพลังแสงอาทิตย์ โดยจะเพิ่มความเร็วในการกรองน้ำเมื่อแดดแรง และลดลงเมื่อแสงแดดน้อยลง

ระบบนี้ใช้เทคโนโลยีอิเล็กโทรไดอะไลซิส ซึ่งเป็นวิธีการใช้สนามไฟฟ้าเพื่อแยกไอออนของเกลือออกจากน้ำ ประกอบด้วยปั๊มน้ำ แผ่นเมมเบรนแลกเปลี่ยนไอออน และแผงโซลาร์เซลล์ หัวใจสำคัญคือเทคโนโลยีดังกล่าวคือ flow-commanded current control” ที่ช่วยให้ระบบปรับอัตราการกรองน้ำทะเลได้อย่างรวดเร็วตามปริมาณพลังงานแสงอาทิตย์ ทำให้ใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดกว่า 94% ระบบต้นแบบผลิตน้ำสะอาดได้มากถึง 5,000 ลิตรต่อวัน เพียงพอสำหรับชุมชนขนาดเล็กประมาณ 3,000 คน

เทคโนโลยีนี้เหมาะสำหรับพื้นที่ห่างไกล ที่เข้าถึงแหล่งน้ำจืดและไฟฟ้าได้ยาก โดยเฉพาะชุมชนที่ต้องพึ่งพาน้ำบาดาลกร่อย ซึ่งกำลังเป็นปัญหาใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ทีมวิจัยมีแผนขยายขนาดระบบ เพื่อรองรับชุมชนขนาดใหญ่ และเตรียมจัดตั้งบริษัท เพื่อผลักดันการใช้งานจริงในพื้นที่ขาดแคลนน้ำทั่วโลก ทั้งนี้ งานวิจัยนี้ ยังได้ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Nature Water และได้รับทุนสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ เช่น National Science Foundation, Julia Burke Foundation และ MIT Morningside Academy of Design เพื่อผลักดันให้เทคโนโลยีนี้เกิดการใช้งานจริง

ที่มา
techspot

ฟ้องบริษัท AI ลูกชายจบชีวิตตัวเอง หลังคุยกับแชทบอต

[หาต้นเหตุ] หากใครที่ติดตามพัฒนาการของ AI มานาน ก็คงจับผิดและแยกแยะความต่างระหว่างมนุษย์กับ AI ได้ไม่ยาก แต่สำหรับเด็กอายุเพียง 14 ปีรายหนึ่ง คงไม่คาดคิดถึงจุดนั้น หลังมีคุณแม่ชาวฟลอริดาได้ยื่นฟ้อง Character.AI บริษัทแชทบอทยอดนิยม เผยเป็นเหตุให้ลูกชายของเธอจบชีวิตตัวเอง จากคำพูดที่เหมือน ‘เชิญชวน’ จากแชทบอตของบริษัทดังกล่าว

Character.AI เป็นบริษัทผู้ให้บริการแชทบอทหลากหลายประเภท จุดเด่นคือการ “สมมุติ” พฤติกรรมการพูดคุย (ยันน้ำเสียง) จากตัวละครดังทั้งในเกม อนิเมะ บุคคลดัง ไปจนถึงตัวละครสมมุติอีกมากมาย ซึ่งเลียนแบบพฤติกรรมได้อย่างสมจริงมาก เสมือนคุยกับมนุษย์ แต่เพราะความสมจริงนั้นเอง ก็เป็นเหตุให้ Megan Garcia คุณแม่ชาวฟลอริดาได้ยื่นฟ้องต่อบริษัท เผยหนึ่งในแชทบอทของบริษัท ได้ชักจูงให้ Sewell Setzer III ลูกชายวัย 14 ปีของเธอ ตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง หลังพูดคุยกับแชทบอทดังกล่าวนานหลายเดือน

ทั้งนี้คุณแม่ Garcia ได้ให้สัมภาษณ์กับทาง CBS Mornings ด้วย เผยแชทบอทของ Character.AI มีลักษณะคล้ายมนุษย์มาก ซึ่งสามารถเลียนแบบอารมณ์และความรู้สึกของมนุษย์ได้ จนทำให้ลูกชายของตัวเอง ที่เดิมเป็นคนเก่ง เป็นนักกีฬาและนักเรียนดีเด่น มีเพื่อนเยอะ ชอบเล่นเกมเหมือนเด็กทั่วไป แต่วันหนึ่งกลับกลายเป็นคนเก็บตัว เลิกเล่นกีฬาไปดื้อ ๆ และมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป จนเหมือนไม่ใช่ลูกชายคนเดิม

เพื่อเป็นการยืนยัน Garcia ได้เปิดเผยบทสนทนาระหว่างลูกชายของเธอ กับแชทบอตตัวหนึ่งที่ลูกชายตั้งชื่อเล่นให้ว่า “Dany” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการแชทที่เป็นมากกว่าการคุยกับ AI ถึงขั้นมีความสัมพันธ์เชิงโรแมนติก (มีบอกรักกัน) และถูกชักชวนให้คุยเรื่องทางเพศบ่อยครั้ง กระทั้งมีประโยคสุดท้ายจากตัวแชทบอต (มีคำว่า “Please do”) เด็กชายก็จบชีวิตตัวเองแทบจะทันที

Garcia มองว่า Character.AI ออกแบบผลิตภัณฑ์ของตนให้มีความ ‘เซ็กซี่’ มากเกินไป และตั้งใจทำการตลาดกับผู้เยาว์โดยเฉพาะ (ผู้ใช้หลักคือกลุ่มคนอายุ 18 – 25 ปี) และเหตุการณ์นี้ทางบริษัทได้ทราบเรื่องแล้ว เผยเหตุการณ์นี้ถือเป็นโศกนาฏกรรม พร้อมขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของ Garcia และกล่าวเน้นย้ำว่าบริษัทให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้ใช้เป็นอย่างยิ่ง

ทั้งนี้ทาง Garcia ได้ฟ้อง Google ด้วย หลังพบว่า Character.AI ก่อตั้งโดยสองอดีตพนักงาน Google และเคยมีการทำงานร่วมกัน ทว่าทางโฆษกของ Google ได้กล่าวกับ CBS News ว่า บริษัทไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพัฒนามาตั้งแต่เดือนสิงหาคมแล้ว ทั้งยังได้ตกลงทำข้อตกลงอนุญาตสิทธิ์แบบไม่ผูกขาดด้วย

ท้ายนี้ทาง Character.AI เผยหลังจากนี้จะมีการแจ้งผู้ใช้ให้ทราบ หลังพบการใช้บริการนานเกิน 1 ชั่วโม และถึงแม้จะมีการเตือนกำกับไว้ในหน้าใช้งานที่ใต้ล่างว่า “อย่าลืม : ทุกสิ่งที่ตัวละครพูดเป็นการแต่งเรื่อง” แต่หลังจากนี้อาจมีการแก้ไขข้อความใหม่ พร้อมเตรียมเพิ่มมาตรการใหม่ ๆ ตามมา โดยเฉพาะมาตรการป้องกันใหม่สำหรับผู้ใช้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ส่วนเรื่องการฟ้องร้องจะเป็นอย่างไรนั้น รอติดตามต่อไป

ที่มา : CBSnews

เกมปลอมจาก Lazarus หลอกขโมยเหรียญคริปโต โผล่บน Chrome

Lazarus

แคสเปอร์สกี้ ออกมาเตือนถึงแก๊งแฮกเกอร์ Lazarus ใช้เกมคริปโตปลอมเป็นเหยื่อล่อ หลอกติดตั้งโปรแกรมแล้วแอบดูดข้อมูล หวังขโมยเงินคริปโตจากนักลงทุน

เริ่มแรก แก๊งดังกล่าวได้สร้างเว็บไซต์เกมปลอมขึ้นมา และทำให้ดูเหมือนเป็นเกมนั้นจริง จากนั้น ก็ใช้ช่องโหว่ Zero-day ในเบราว์เซอร์ Chrome เพื่อหลอกให้เหยื่อแอบติดตั้งสปายแวร์ และขโมยข้อมูลส่วนตัวรวมถึงรหัสผ่าน เพื่อใช้เข้าถึงกระเป๋าเงินคริปโตของเหยื่อ

เกมปลอมนี้ ลอกเลียนแบบเกม DeFiTankLand ซึ่งเป็นเกมคริปโตที่ได้รับความนิยม แถมยังลงทุนสร้างบัญชีโซเชียลมีเดียปลอมบน X (Twitter) มีการออกแบบรายละเอียดเกิจกรรมส่งเสริมการขายดูสมจริง มีการโปรโมทเกม เพิ่มความน่าเชื่อถือ เพื่อทำให้เหยื่อตายใจ

แคสเปอร์สกี้ พบว่า Lazarus ใช้ช่องโหว่ zero-day ถึง 2 จุด ใน Google Chrome ในการโจมตีครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความพยายาม และความเชี่ยวชาญของกลุ่มแฮกเกอร์

ช่องโหว่ที่แก๊งนี้ใช้มี 2 จุดคือ

1.ช่องโหว่ Type Confusion ใน V8 JavaScript Engine (CVE-2024-4947) โดยช่องโหว่นี้ จะอนุญาตให้ผู้โจมตีสามารถรันโค้ดที่ต้องการ ผ่าน JavaScript และ WebAssembly ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของเบราว์เซอร์ โดยแฮกเกอร์สามารถควบคุมการทำงานของเบราว์เซอร์ และข้ามระบบป้องกัน เพื่อขโมยข้อมูล หรือ ติดตั้งมัลแวร์ ได้

2.ช่องโหว่ที่ใช้ในการบายพาส Sandbox แม้รายงานจะไม่ได้ระบุ CVE แต่ช่องโหว่นี้ ช่วยให้แฮกเกอร์สามารถหลบเลี่ยง Sandbox ซึ่งเป็นกลไกป้องกัน ที่จำกัดการทำงานของโค้ดที่ไม่น่าเชื่อถือ ทำให้มัลแวร์สามารถเข้าถึงระบบปฏิบัติการ และไฟล์สำคัญ ของเหยื่อได้

ทั้งนี้ แคสเปอร์สกี้ได้แจ้งไปยัง Google แล้ว ซึ่ง Google ก็ได้แพทซ์แก้ไขช่องโหว่ CVE-2024-4947 แล้ว ดังนั้นผู้ใช้งานอย่างเรา ควรอัปเดต Google Chrome เป็นเวอร์ชันล่าสุดด้วยนะ

สำหรับ Lazarus ถือเป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่มีชื่อเสียง เคยโจมตีแพลตฟอร์มคริปโต และหน่วยงานต่างๆ มาแล้วทั่วโลก แคสเปอร์สกี้จึงออกมาเตือน เพื่อให้นักลงทุนคริปโต รวมถึงคนอื่น ๆ เพิ่มความระมัดระวัง อย่าหลงเชื่อลิงก์ หรือข้อความจากคนที่ไม่รู้จัก และควรอัปเดตเบรว์เซอร์ของตัวเอง ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดอยู่เสมอ

ทั้งนี้ บอริส ลาริน ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย ทีม GReAT ของแคสเปอร์สกี้ กล่าวว่า “แม้ว่าเราจะเคยเห็นอาชญากรไซเบอร์ขั้นสูงที่ใช้หาผลประโยชน์ทางการเงินมาก่อน แต่แคมเปญนี้ถือเป็นแคมเปญที่ไม่เหมือนใคร ผู้โจมตีใช้กลวิธีที่เหนือกว่าวิธีปกติ ด้วยการใช้เกมที่มีฟังก์ชันครบถ้วนเป็นข้ออ้างในการใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ซีโร่เดย์ของ Google Chrome และแพร่ระบาดไปยังระบบเป้าหมาย ซึ่งใช้เวลา และการตระเตรียมการอย่างระมัดระวัง เพื่อทำให้ดูน่าเชื่อถือที่สุด ..

ที่มา
Kaspersky

Hot Issue