Home Blog Page 8

AI สะเทือนโลกธุรกิจยุคใหม่ แนะองค์กรทำยุทธศาสตร์รองรับ ชิงความได้เปรียบด้านความเร็ว ลดค่าใช้จ่าย เพิ่มโอกาสรายได้

สยามพารากอน สร้างปรากฏารณ์งานทอล์กแห่งปี จับมือ SCBX รวบรวมบุคคลสำคัญของวงการ AI ระดับโลก บนเวที The Global Tech Talk “AI: Empowering the Future Workforce” ณ SCBX Next Tech ชั้น 4 สยามพารากอน  เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา เจาะลึก AI เสริมสร้างความเข้าใจการใช้งานอย่างเต็มศักยภาพ จุดประกายขับเคลื่อนผู้คนเพื่อให้ Smarter, Better และ Richer ส่งต่อความรู้ด้านเทคโนโลยีล้ำสมัย

ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกวันนี้โลกกำลังก้าว “เร็วขึ้น” เข้าสู่ยุคของปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial Intelligence (AI) ภาคธุรกิจทุกระดับทั่วโลกต่างเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงจากแรงขับเคลื่อนของเทคโนโลยีนี้ รวมถึงผลกระทบเชิงบวกที่จะเกิดขึ้น ทั้งในแง่การลดค่าใช้จ่าย การยกระดับประสิทธิภาพ การเพิ่มผลกำไร ความเร็วในการสร้างนวัตกรรมและความโดดเด่นล้ำหน้าคู่แข่ง บริษัทส่วนใหญ่ทั่วโลกหันมาเพิ่มการลงทุนเกี่ยวกับ AI เกิดความคาดหวังใหม่ๆ ต่อโอกาสทางธุรกิจที่จะขยายกว้างยิ่งขึ้น และความคาดหวังต่อทักษะใหม่ๆของบุคลากร ที่ต้องพร้อมสำหรับการทำงานในยุคแห่งความเปลี่ยนแปลงนี้

จากผลการศึกษาของ Pivot Digital สำรวจความคิดเห็นของบริษัทระดับโลกมากกว่า 1,000 ราย ในปี 2567 ระบุว่า มีการใช้งบประมาณ 20% ลงทุนด้าน AI และมากกว่าครึ่งของบริษัทกลุ่มนี้ ได้รับผลตอบแทนการลงทุน (ROI) สูงถึง 54% อีกทั้งพบว่า มีแนวโน้มสูงของการใช้ AI ขับเคลื่อนการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจ และเพิ่มโอกาสสร้างรายได้ใหม่

  • เอ็กซโพเนนเชียล ย้ำกลยุทธ์ไอทียุคใหม่ต้องมี AI

นายอักเซล วินเทอร์ (Axel Winter) ซีอีโอ บริษัท เอ็กซ์โพเนนเชียล จำกัด (Xponential) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างสยามพิวรรธน์ และพิวอท ดิจิทัล (Pivot Digital) กล่าวว่า ปัจจุบัน AI มีบทบาทขับเคลื่อนการลงทุนที่สำคัญ หลังจากบริษัทส่วนใหญ่มองเห็นประโยชน์ที่ช่วยลดค่าใช้จ่าย เพิ่มผลกำไร และสนับสนุนให้การนำข้อมูลมาใช้งานดียิ่งขึ้น บริษัทระดับโลกหลายรายเริ่มปรับแผนการใช้จ่ายด้านไอที มามุ่งเน้นโครงการที่เกี่ยวข้อง AI มากขึ้น

จึงเกิดแนวโน้มที่บริษัทระดับโลกหันมาเร่งเครื่องแผนปฏิบัติการ และการลงทุนด้าน AI สำหรับองค์กร ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนอย่างมากกับการจ้างงาน ตลอดจนแพลตฟอร์มที่มีอยู่ในปัจจุบัน หลายบริษัทชั้นนำ ได้กำหนดไว้เป็นส่วนหนึ่งของ KPI และเพิ่มเข้าไปไว้ในรายละเอียดของ Career Path สำหรับพนักงาน

ขณะที่ การสรรหาบุคลากร ให้ความสำคัญกับการมองหา “คนที่ใช่” ที่สามารถเปลี่ยนแปลง เรียนรู้ ปรับตัวเข้ากับกลยุทธ์องค์กรได้ในการใช้ประโยชน์จาก AI และก้าวทันทุกความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดจากเทคโนโลยีด้านนี้ได้

ด้านภาพรวมระดับภูมิภาค ในอาเซียนเกิดนวัตกรรรมจำนวนมากจากบริษัทสตาร์ทอัพด้าน AI หลากหลายอุตสาหกรรม สร้างระบบนิเวศทางธุรกิจ (AI Ecosystem) ที่ครอบคลุมทั้ง โซลูชั่นด้านปัญญาประดิษฐ์ การตลาดและคอนเทนต์ บริการด้านสุขภาพ (Healthcare & Wellness) ฟินเทค มีเดีย ด้านทรัพยากรบุคคล ประสิทธิผลทางการผลิต เทคโนโลยีด้านการศึกษา ค้าปลีก การรักษาความปลอดภัย และการพัฒนาต่างๆ

จากรายงานของบริษัทที่ปรึกษาระดับโลก McKinsey&Company พบว่า ปัจจุบันการใช้ประโยชน์จาก AI สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ งานด้านการขายและการตลาด  34%, การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ 23% และการทำงานด้านไอที (IT Functions) 17% โดยในส่วนของการขายและการตลาด มุ่งเน้นไปที่คอนเทนต์สนับสนุนการวางกลยุทธ์ 16% และการตลาดแบบเพอร์ซันนัลไลซ์ 15%

ในยุคของ AI ข้อมูล  ทั้งหมดที่ได้มาจากช่องทางต่างๆ เช่น ความคิดเห็นของลูกค้าในทุกรูปแบบ เอกสารของบริษัท ภาพและวิดีโอ ฐานข้อมูลทั่วไป การเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงพฤติกรรม และเซ็นเซอร์จากอุปกรณ์ IOT ล้วนมีประโยชน์ นำไปสู่การเป็น Enterprise Intelligence ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่องค์จะต้องคิดใหม่ (Rethink) ในมุมวิธีการที่จะปรับใช้งานโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลที่มีอยู่

  • เพิ่มทักษะ กำจัดจุดอ่อน ไปต่อได้ยุค AI

นายเบรตต์ คิง (Brett King) ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ  The Futurists, Provoke และ Longevity Alpha และที่ปรึกษาของ  Moven and Barra กล่าวว่า แนวโน้มอีก 10-20 ปีข้างหน้า AI จะเข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับทุกอุตสาหกรรม และพลิกโฉมตลาดแรงงาน ประกอบกับ 10 ปีที่ผ่านมา ได้เห็นการเติบโตอย่างมากของ ChatGPT และ Generative AI

จากผลการศึกษา “PwC Workforce Future Study” ระบุว่า ในอนาคต AI และระบบอัตโนมัติ (Automation) เป็นเทคโนโลยีที่จะสร้างแรงกระทบต่อธุรกิจและแรงงานมนุษย์ ส่งผลให้รูปแบบการทำงานเปลี่ยนแปลงไปและซับซ้อนยิ่งขึ้น ดังนั้น บุคลากรยุคใหม่ ต้องเพิ่มทักษะ ให้พร้อมสำหรับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว โดยผลการศึกษาฉบับนี้ พบว่า 74% พร้อมที่จะเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ให้เข้ากับเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ และสามารถเป็นแรงงานที่บริษัทยังต้องการอยู่ต่อไป

“แม้หลายคนมีมุมมองต่อเทคโนโลยี  AI และหุ่นยนต์ว่า จะแย่งงาน “คน”  แต่หากพลิกมองอีกมุมหนึ่งก็จะเห็นว่า เทคโนโลยี ช่วยสร้างงานใหม่ๆ ได้ เช่นการทำงานร่วมกันระหว่างคนกับเทคโนโลยีทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบ (Transform) กิดการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ฉะนั้นการเพิ่มทักษะการใช้เทคโนโลยีจึงถือเป็นสิ่งสำคัญ”

 

  • ขับเคลื่อนองค์กรด้วย AI เร่งอัตราโต

นายจอร์จ ฮาร์เทล (George Hartel)  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาดและฝ่ายพัฒนาสินค้า GQ Apparel กล่าวว่า จากความสำเร็จของการฝ่าความท้าทายด้านนวัตกรรม และการทรานส์ฟอร์ม  ธุรกิจเครื่องแต่งกายแบรนด์เก่าแก่ของประเทศไทยที่เป็นธุรกิจครอบครัวในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ล่าสุดได้นำเทคโนโลยี AI เข้ามาปรับใช้ในทุกส่วนงาน ครอบคลุมการทำงานของพนักงานทุกคน ซึ่งมีบทบาทเร่งการเติบโตให้กับบริษัท ทั้งนี้ มีข้อมูลจาก McKinsey ระบุว่า บริษัทที่นำ AI เข้ามาช่วยพัฒนาทักษะพนักงาน สามารถสร้างผลการดำเนินงานเติบโตถึง 30%

นอกจากนี้  การนำเทคโนโลยี AI เข้ามาปรับใช้ในทุกภาคส่วนของการทำธุรกิจ ยังสร้างผลลัพธ์ทั้งการประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย ครอบคลุมตั้งแต่ การโฆษณา การพัฒนาด้านการออกแบบ การรีวิวบรรจุภัณฑ์ (Packaging Review) และการสื่อสารภายในองค์กร เกิดการบูรณาการข้อมูลจากทุกส่วน และปรับเปลี่ยนให้ทุก Touchpoint กลายเป็นสถานีพลังงาน (Powerhouse) สำหรับประสิทธิภาพและการสร้างนวัตกรรม

นอกจากนี้ภายในงานยังได้รับเกียรติจาก Massimo (Momo) Ingegno ผู้ร่วมก่อตั้งและ CEO Make it Lab, David McCann COO, Make it Lab, ปานเทพย์ นิลสินธพ ประธานบริหารสายงานประสบการณ์ลูกค้า, สายงาน Customer Experience,สุธีรพันธุ์ สักรวัตร CCO, SCBX,  เสกสรรค์ ดุษฎีวิโรจน์ Sale Director, Fusion Solution ,ดร.วาริน รัชนานุสรณ์ Director of Digital Startup Institute Digital Economy Promotion Agency (depa), Dave Davani  Managing partner, Blue Resources และ รบส สุวรรณมาศ Tech Evangelist, Salesforce.com (Thailand) Co.,Ltd. ร่วมแบ่งปันความรู้ด้าน AI ครบทุกมิติ ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์งานทอล์กแห่งปี ที่สยามพารากอนจัดขึ้นเพื่อนำเสนอประสบการณ์แปลกใหม่ที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี ซึ่งมีส่วนทำให้ผู้ที่สนใจเข้ามาร่วมเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพตนเองได้ Smarter Better Richer ตามวัตถุประสงค์ของ SCBX NEXT TECH

รู้ก่อนขาย! ช้อปปี้ เผย 3 ข้อควรรู้ เสริมความปลอดภัยในธุรกิจออนไลน์ สร้างความมั่นใจให้ผู้ซื้อ ขยายโอกาสให้ผู้ขาย

ในยุคที่การช้อปปิ้งออนไลน์กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับมาตรฐานคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้าเป็นอย่างยิ่ง ช้อปปี้ ในฐานะแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเบอร์ 1 ที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ใช้งานชาวไทย จึงมุ่งมั่นยกระดับมาตรฐานด้านความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นและมั่นใจในทุกประสบการณ์การซื้อขายบนแพลตฟอร์ม

ช้อปปี้มุ่งมั่นในการมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เหนือระดับ พร้อมสนับสนุนการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด สำหรับผู้ซื้อ เรามอบประสบการณ์การช้อปที่ปลอดภัย ยุติธรรม และมีคุณภาพสูงสุด เพื่อสร้างความมั่นใจในทุกการทำธุรกรรม ซึ่งทำให้ทุกการช้อปปิ้งเป็นไปได้อย่างราบรื่น  ด้านผู้ขาย ช้อปปี้มุ่งยกระดับความเชื่อมั่นในด้านการดำเนินธุรกิจที่สอดคล้องกับกฎหมาย ผ่านการร่วมมือกับภาครัฐ รวมถึงการได้ศึกษาและเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญใน Shopee University เพื่อให้ผู้ขายดำเนินธุรกิจบนอีคอมเมิร์ซอย่างมีประสิทธิภาพและเติบโตบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่างยั่งยืน

มั่นใจทุกการขาย! เสริมเกราะความปลอดภัย พร้อม 3 สิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการต้องรู้

กฎหมายอีคอมเมิร์ซ ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
หลายคนอาจคิดว่ากฎหมายการขายสินค้าออนไลน์เป็นเรื่องไกลตัว แต่จริง ๆ แล้ว ถ้าเข้าใจและทำตามกฎหมาย ผู้ขายก็สามารถสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าได้ การเรียนรู้เกี่ยวกับกฎหมายยังช่วยให้ผู้ขายทำธุรกิจได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ทำให้หลีกเลี่ยงปัญหาในอนาคตและสร้างความไว้วางใจจากลูกค้าอย่างยั่งยืน

เรียนรู้ให้ครบ จบด้วยคุณภาพจากกูรู “Shopee University”

เพื่อสนับสนุนการพัฒนาของผู้ขายอย่างยั่งยืน ช้อปปี้ได้เปิดตัวหลักสูตรอบรมและเวิร์กช็อปเกี่ยวกับการค้าขายออนไลน์จากเหล่ากูรูจาก Shopee University  ที่ครอบคลุมทุกประเด็น  ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติตามกฎหมาย การสร้างมาตรฐานคุณภาพสินค้า และการหลีกเลี่ยงสินค้าปลอม โดยเราเชื่อว่าความรู้คือพลังที่จะช่วยให้ผู้ขายก้าวสู่ความสำเร็จในตลาดออนไลน์ได้เป็นอย่างดี  ด้วยคอร์สเรียนที่กระชับและเข้าใจง่าย เหมาะสำหรับผู้ขายใหม่และผู้ขายปัจจุบัน ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้จริงครอบคลุมหัวข้อสำคัญ อาทิการลงขายสินค้า มอก., เช็กก่อนจ่าย คืนได้ทัน, รับมือกับภาษีแม่ค้าออนไลน์ และอีกมากมาย

ร่วมมือกับภาครัฐ สร้างสังคมอีคอมเมิร์ซที่ยั่งยืนผ่าน “Shopee Bootcamp”

ช้อปปี้สานต่อโครงการ “Shopee Bootcamp” ตอกย้ำในการพัฒนาและสนับสนุนผู้ขายไทยให้เติบโตและก้าวหน้า โครงการนี้เป็นโครงการที่ริเริ่มเพื่อติดอาวุธทางความรู้และพัฒนาทักษะที่จำเป็นให้แก่ผู้ขาย เช่น การส่งเสริมการขาย การสร้างความเติบโตทางธุรกิจ  และสร้างเกราะความเชื่อมั่นให้กับธุรกิจไทย

ทั้งยังแสดงเจตนารมณ์ด้านความโปร่งใส่และสร้างความไว้วางใจให้ผู้บริโภค ช้อปปี้ได้ดำเนินงานร่วมกับภาครัฐอย่างใกล้ชิดในการส่งเสริมให้ผู้ขายออนไลน์ปฏิบัติตามข้อกฏหมายอย่างดีที่สุด ทั้ง  สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กรมทรัพย์สินทางปัญญา สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และกรมอนามัย ในการรวบรวมหลักสูตร “สร้างความมั่นใจ ขายสินค้าปลอดภัยบนช้อปปี้ – Compliance Guide for Seller” ซึ่งเป็นหลักสูตรให้ความรู้เชิงลึก จัดอมรมและเวิร์กช็อปเพื่อให้ผู้ขายมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องกฎหมายและมาตรฐานต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการขายสินค้าในยุคดิจิทัล เพื่อยกระดับสังคมอีคอมเมิร์ซให้ปลอดภัยและโปร่งใสครอบคลุมในหลากหลายประเด็น อย่าง มุมมองสคบ.ต่อผู้ขายออนไลน์ การขายสินค้าที่ต้องแสดงหมายเลข อย. และใบอนุญาตฯ การคุ้มครองสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาของแบรนด์ การขายสินค้าที่ต้องมีเครื่องหมาย มอก. และอีกมากมาย ซึ่งล้วนแล้วแต่มีความสำคัญต่อธุรกิจออนไลน์ในโลกยุคปัจจุบันเป็นอย่างมากและแน่นอนว่า หากผู้ขายปฏิบัติตามข้อแนะนำเหล่านี้ จะเป็นการช่วยสร้างความมั่นใจให้ผู้ซื้อ และสามารถขยายโอกาสให้ผู้ขายในการดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนอีกด้วย และเพื่อประสบการณ์การซื้อ-ขายที่ปลอดภัยและไร้กังวล  ผู้ขายสามารถศุึกษาและเรียนรู้หลักสูตรและข้อกฏหมายที่มีบทบาทสำคัญต่อธุรกิจของคุณ ผ่าน

หลักสูตร “สร้างความมั่นใจ ขายสินค้าปลอดภัยบนช้อปปี้ – Compliance Guide for Seller” ได้ที่ https://shopee.co.th/m/shopee-bootcamp

Pax8 ผนึกกำลังด้าน Cybersecurity ให้ MSPs ด้วย CIS Controls

กลับมากับอีกครั้งกับการสัมมนาประจำปีจาก Pax8 ประเทศไทยที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ.2567 ณ โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท สำหรับคอนเซ็ปต์ของปีนี้คือการมุ่งเน้นเสริมทัพความแข็งแกร่งให้กับบรรดา Managed Service Providers หรือ MSPs ในประเทศไทยที่เป็นพันธมิตรกับทาง Pax8 เน้นให้ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับ CIS Critical Security Controls (CIS Controls) ซึ่งเป็น Framework ที่สำคัญมากในด้าน Cybersecurity และการนำเอามาใช้จับคู่ผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับผู้ใช้งานจริง

ความน่าสนใจของเนื้อหาภายในงานคือการขยายความเกี่ยวกับสถานการณ์ความท้าทายทางด้าน Cybersecurity ในประเทศไทยที่ผู้ประกอบการต้องพบเจอเกี่ยวกับเรื่องของระบบการรักษาความปลอดภัย การปฏิบัติตามข้อกฎหมายและกฎระเบียบต่างๆ ที่คนทั่วไปไม่ค่อยทราบ อีกทั้งในงานนี้ทาง Pax8 ยังได้ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการให้คำปรึกษาทางกฎหมายและธุรกิจมาร่วมเสวนาให้ความรู้ หลักๆ คือเรื่องของการร่างสัญญาการให้บริการ การบริหารจัดการในกรณีที่ข้อมูลภายในองค์กรมีการรั่วไหล สอดคล้องกับการทำ Cybersecurity Insurance เพื่อประกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

อีกหนึ่งไฮไลท์จากทาง Pax8 นั่นก็คือเรื่องของการทำ CIS Controls Framework ที่ MSPs เองควรรักษามาตรฐานเพื่อให้ธุรกิจยังคงดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่องและลดความเสี่ยงในการเกิดภัยคุกคามให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งการลดความเสี่ยงจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลยถ้าหากปราศจากเครื่องมือนำทางที่ดี สอดคล้องกับสิ่งที่ทาง Pax8 ต้องการนำเสนอให้กับเหล่าพันธมิตรนั่นก็คือเรื่องของการใช้ Framework ของ CIS Critical Security Controls ซึ่งปัจจุบันกำลังเป็นที่นิยมและแพร่หลายในบริษัท MSPs ทั่วโลก เนื่องจากเป็นเครื่องมือที่ง่ายต่อการใช้งาน

คุณเกษม พรอนันต์รัตน์ Country Manager – Pax8 ประเทศไทย กล่าวทิ้งท้ายสั้นๆ ว่าความรู้ที่ทุกท่านได้รับจากวิทยากรในวันนี้จะไม่เกิดประโยชน์เลยถ้าหากท่านไม่ได้เข้าไปเปิดประสบการณ์และทดลองสัมผัสด้วยตนเอง ในท้ายที่สุดแล้ว Pax8 มุ่งเป้าโฟกัสไปที่กลุ่มพันธมิตร MSPs อีกทั้งฟีเจอร์และความพิเศษของ Pax8 Marketplace นั้นมาในรูปแบบของการเป็น Subscription นั่นหมายถึงว่าพันธมิตรต่างๆ สามารถเข้าถึง Dashboard ได้แบบ Multi-Tenant ดูแลลูกค้าพร้อมกันได้หลายรายและรวบรวมข้อมูลได้จากทุกผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ยังมี Pax8 Academy ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่รวบรวมคอร์สเรียนใหม่ๆ เกี่ยวกับการทำธุรกิจ เทคนิคการขาย ซึ่งจะอัปเดตคอร์สเรียนใหม่ทุกเดือน

โดยพันธมิตรที่สนใจศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการทำ CIS Controls Framework สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก Pax8 ประเทศไทย หรือเข้าไปศึกษาข้อมูลได้ด้วยตนเองบนแพลตฟอร์ม Pax8 Academy ตลอดไปจนถึงสามารถติดตามข้อมูลข่าวสาร อัปเดต Sales Coaching Series และ Pax8 Partner Community Meet up แบบรายเดือนได้จาก Facebook: Pax8TH

ส่องความสำเร็จ ทีม F1 ระดับโลก ใช้ดาต้า ดันรถให้เร็วขึ้น

ทีม F1 ระดับโลก

เมื่อพูดถึง Formula One  มันคือกีฬาที่มีผู้ชมมากที่สุด มีผู้ชมทั่วโลกสะสมมากกว่า 1.4 พันล้านคน และผู้ชมสดผ่านโทรทัศน์มากกว่า 60 ล้านคน ซึ่งยังไม่รวมผู้ชมที่ดูผ่านโซเชียลมีเดีย

ในโลกแห่งความเร็วของ Formula One ชัยชนะมักถูกตัดสินด้วยความแตกต่างเพียงเสี้ยววินาทีหรือมิลลิวินาที  การแข่งขันไม่ได้จำกัดอยู่แค่ฝีมือของนักขับหรือสมรรถนะของรถเท่านั้น แต่เบื้องหลังความสำเร็จยังมีเทคโนโลยีอันล้ำสมัยเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ ทุกองค์ประกอบ ตั้งแต่การออกแบบ พัฒนา ผลิต ทดสอบ ไปจนถึงการวิเคราะห์ข้อมูลล้วนต้องอาศัยระบบ IT ที่รวดเร็ว แม่นยำ และมีความเสถียร

Techhub มีโอกาศได้สัมภาษณ์ คุณ Michael Taylor ผู้บริหารฝ่าย IT ของทีม Mercedes-AMG Petronas Formula One  ทีม F1 ระดับโลก ที่เคยคว้าแชมป์โลก 8 สมัยติดต่อกันตั้งแต่ปี 2014 ถึง 2021  ซึ่งไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน  สิ่งสำคัญคือการลงทุนด้านเทคโนโลยีที่ใช้ในการเก็บรวมรวมข้อมูล และนำมาสร้างเป็นแบบจำลองสำหรับออกแบบตัวรถ

Michael Taylor IT Director, Mercedes-AMG Petronas F1 Team

โดยการแข่งขันใน Formula One นั้นดุเดือด ทีมแข่งต้องทำงานแข่งกับเวลาเพื่อพัฒนารถแข่งรุ่นใหม่ในทุก ๆ ปี กระบวนการออกแบบจะเริ่มต้นจากแบบจำลองดิจิทัล ที่สร้างขึ้นด้วยความช่วยเหลือของซูเปอร์คอมพิวเตอร์ โดยทีมได้เลือกใช้งานเซิร์ฟเวอร์จาก  HPE Apollo ซึ่งทำให้ทีมออกแบบสามารถทดสอบแนวคิด และปรับแต่ง Aerodynamic ของรถได้รวดเร็ว ก่อนที่จะนำไปสร้างแบบจำลองในอุโมงค์ลม และผลิตเป็นรถแข่งจริง

CFD จุดสำคัญของการใช้เพื่อคำนวน

เทคโนโลยีที่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากคือ CFD (Computational Fluid Dynamics) หรือ พลศาสตร์ของไหลเชิงคำนวณ  (เป็นการใช้คอมพิวเตอร์ในการจำลองและวิเคราะห์การไหลของของไหล เช่นของเหลวและก๊าซ )  เข้ามามีบทบาทสำคัญในการจำลองการไหลของอากาศรอบตัวรถ ซึ่งต้องอาศัยพลังการประมวลผลมหาศาล เซิร์ฟเวอร์ดังกล่าว ช่วยให้ทีมวิศวกรสามารถวิเคราะห์ และปรับแต่งค่าต่าง ๆ ของรถได้อย่างแม่นยำ

ทีม F1 ระดับโลก

ไม่เพียงแต่ในขั้นตอนการออกแบบ เทคโนโลยี ยังมีบทบาทสำคัญในการวิเคราะห์ข้อมูล ระหว่างการแข่งขัน รถแต่ละคันจะติดตั้งเซ็นเซอร์กว่า 300 ตัว  เพื่อเก็บข้อมูลต่าง ๆ เช่น ความเร็ว อุณหภูมิ และแรงดัน ซึ่งจะถูกส่งกลับมายังทีมวิศวกรแบบเรียลไทม์  โดยมีการใช้ดาต้ามากถึง 30 – 50 TB ต่อสัปดาห์

ข้อมูลมหาศาล จะถูกประมวลผล วิเคราะห์ ด้วยระบบจัดเก็บข้อมูลที่รวดเร็วและเชื่อถือได้ เพื่อให้ทีมวิศวกรสามารถตรวจสอบสมรรถนะของรถ ระบุจุดบกพร่อง และตัดสินใจแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า ได้อย่างทันท่วงที ซึ่งอาจหมายถึงความแตกต่างระหว่างชัยชนะ และความพ่ายแพ้

 

จากการแข่งขันล่าสุดไม่กี่อาทิตย์ก่อน ความแตกต่างระหว่างอันดับหนึ่งและอันดับสามนั้นน้อยกว่า 1 ใน 10 วินาที นั่นคือ 90 มิลลิวินาที เท่านั้น เห็นได้ชัดว่า ชนะกันแบบเสี้ยววินาทีจริง ๆ

นอกจากนี้ การสื่อสารระหว่างทีมแข่งที่สนาม กับทีมสนับสนุนที่ฐาน Brackley ซึ่งอยู่ห่างไกลกันคนละซีกโลก ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ ทีมวิศวกรที่ Brackley ต้องสามารถติดตามสถานการณ์ และให้คำแนะนำแก่ทีมแข่งได้แบบเรียลไทม์ โดยทีมเลือกใช้โซลูชั่นจาก  HPE Aruba Edge Connect และเครือข่าย MPLS ช่วยให้การสื่อสารเป็นไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีสะดุด เสมือนทำงานอยู่ในสถานที่เดียวกัน ซึ่งช่วยให้ทีมแข่ง ตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว และแม่นยำ

ความเสถียร จุดเล็ก ๆ ที่พาไปสู่ชัยชนะ

ทีม F1 ระดับโลก

Michael  เล่าต่อว่า ระบบ IT ที่เสถียร และพร้อมใช้งานตลอดเวลา เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับทีมแข่ง Formula One เพราะทุกเสี้ยววินาทีมีความหมาย ทีมมีการใช้ศูนย์ข้อมูลแบบเคลื่อนที่ ซึ่งทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูล และสื่อสารกับทีมสนับสนุน โดยต้องเดินทางไปกับทีมแข่งในทุกสนามทั่วโลก และต้องสามารถทำงานได้อย่างราบรื่น แม้ในสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย เช่น อุณหภูมิสูง ความชื้นสูง หรือแรงสั่นสะเทือน ซึ่งทีมก็ได้เลือกใช้ HPE ProLiant DL8000 และมีการตั้งระบบ Mirroring ที่ช่วยให้ระบบยังคงทำงานได้ แม้ส่วนประกอบบางส่วนจะเกิดขัดข้อง

ทำไมถึงเลือกใช้งาน HPE ?

Michael  บอกว่า จริง ๆ ทีม  Mercedes-AMG Petronas Formula One กับ HPE มีการทำงานร่วมกันมานานมาแล้ว มีการทำงานร่วมกัน  เพื่อพัฒนาโซลูชันที่ตอบโจทย์ความต้องการ และผลักดันให้ทีมแข่งประสบความสำเร็จ ซึ่งทีม IT ของ Mercedes-AMG Petronas Formula One  มีขนาดเล็ก และไม่มีความเชี่ยวชาญในทุกด้าน HPE จึงเข้ามาช่วยเติมในจุดนั้น

Techhub ยังมีโอกาศได้สัมภาษณ์คุณ Sandeep Kapoor Vice President   ของ HPE ในงานสัมมนาใหญ่  HPE Discover More AI Bangkok 2024 เกี่ยวกับประเด็นเรื่อง AI ในปัจจุบัน  Ffpในฐานะผู้บริหารระดับสูง เขาก็ได้ให้ความเห็นเรื่องของ AI ไว้อย่างน่าสนใจครับ

Sandeep Kapoor Vice President , HPE

เขาบอกว่า โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ยุคที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งเปรียบเสมือนคลื่นลูกที่สี่ที่ถาโถมเข้าใส่ สร้างแรงสั่นสะเทือนเทียบเท่าหรืออาจมากกว่ายุคอินเทอร์เน็ตที่เฟื่องฟูในปี 1999
แม้เทคโนโลยี AI จะไม่ใช่สิ่งใหม่ แต่ด้วยความก้าวหน้าของโครงข่ายประสาทเทียม (Neural Networks) และโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Models) AI ได้พัฒนาอย่างก้าวกระโดดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น

การปฏิวัติ AI ครั้งนี้ ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นองค์กรธุรกิจ ภาครัฐ หรือแม้แต่ชีวิตประจำวันของเรา องค์กรต่างๆ ทั่วโลกกำลังมองหาวิธีประยุกต์ใช้ AI เพื่อปรับปรุงสภาพแวดล้อมการทำงาน สร้างแหล่งรายได้ใหม่ๆ และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ให้บริการไฮเปอร์สเกล (Hyperscalers) เช่น Google, Microsoft, และ  Facebook ต่างแข่งขันกันพัฒนาเทคโนโลยี AI อย่างดุเดือด และคาดว่ากระแสคลื่นลูกใหม่นี้จะขยายตัวไปสู่บริการคลาวด์ ภาครัฐ และในที่สุดจะครอบคลุมทุกอุตสาหกรรม

ความท้าทายของการนำ AI มาใช้ในองค์กร
  • การเลือก Use Case ที่เหมาะสม การนำ AI มาใช้ ไม่ใช่ทุกโครงการที่จะประสบความสำเร็จ และให้ผลตอบแทน องค์กรต้องเลือก Use Case ที่เหมาะสม และสอดคล้องกับ Infrastructure ที่มีอยู่ เช่น การป้องกันการทุจริต การสร้าง Copilot สำหรับนักพัฒนา การปรับปรุง Call Center การรักษาความปลอดภัย และการวิเคราะห์ข้อมูล
  • การขาดแคลนบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ AI เป็นเทคโนโลยีที่ซับซ้อน องค์กรจำเป็นต้องมีบุคลากรที่มีความรู้ ความเข้าใจ และทักษะ ในการพัฒนา ปรับใช้ และดูแลระบบ AI ซึ่งบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านนี้ยังมีจำนวนจำกัด และเป็นที่ต้องการสูง ทำให้องค์กร อาจประสบปัญหาในการสรรหา และรักษาบุคลากรเหล่านี้
  • คุณภาพของข้อมูล AI ต้องการข้อมูลจำนวนมาก และมีคุณภาพ เพื่อใช้ในการฝึกฝน และพัฒนาแบบจำลอง หากข้อมูลมีคุณภาพต่ำ ไม่ครบถ้วน หรือมีความเอนเอียง อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพ  และความแม่นยำของ  AI
AI กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลากหลายด้าน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และสร้างโอกาสใหม่ ๆ โดย HPE กำลังพัฒนาโซลูชัน AI ที่ปลอดภัย และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิทัล เช่น
  • การพัฒนาซอฟต์แวร์ AI ช่วยวิเคราะห์โค้ด หาจุดบกพร่อง และแก้ไข ช่วยลดเวลาและทรัพยากรในการพัฒนาซอฟต์แวร์
  • ศูนย์บริการลูกค้า (Call Center) AI ช่วยตอบคำถามลูกค้าได้รวดเร็วขึ้น ลดเวลาการรอคอย และยกระดับประสบการณ์ลูกค้า
  • ระบบรักษาความปลอดภัย  AI ช่วยวิเคราะห์ภาพจากกล้องวงจรปิด ระบุบุคคลต้องสงสัย และตรวจจับภัยคุกคาม ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาความปลอดภัย
  • การค้าปลีก  AI ช่วยป้องกันการขโมยสินค้า ตรวจจับการเปลี่ยนป้ายราคา และวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า ช่วยลดความสูญเสียและเพิ่มยอดขาย
  • อุตสาหกรรมอื่น ๆ  AI มีประโยชน์ในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น ธนาคาร โทรคมนาคม และการผลิต ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ

AI ดังกล่าว กำลังถูกพัฒนาบน HPE GreenLake ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มคลาวด์แบบไฮบริดที่ HPE มีอยู่เดิม แพลตฟอร์มนี้ช่วยให้ลูกค้าสามารถจัดการ AI ได้อย่างง่ายดาย ด้วยระบบการจัดการแบบ รวมศูนย์  โดยร่วมมือกับพันธมิตรในการพัฒนาร่วมกัน   แพลตฟอร์มนี้มีขนาดให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่ขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ จนถึงขนาดใหญ่พิเศษ เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการใช้งานที่แตกต่างกัน

เคสที่มีการนำ AI ไปใช้แล้วประสบความสำเร็จ คือเคสข้างต้นอย่าง Formula One ทีม IT ของ Mercedes-AMG Petronas Formula One ทีม F1 ระดับโลก ใช้ AI บน HPE GreenLake ในการวิเคราะห์ข้อมูล พัฒนา aerodynamic จำลองการแข่งขัน บำรุงรักษารถแข่ง และปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของทีม ซึ่งช่วยให้ทีมแข่ง สามารถพัฒนารถแข่ง และแข่งขัน ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ทั้งนี้ HPE ยังมีแผนการพัฒนา AI อย่างต่อเนื่อง ดยร่วมมือกับ NVIDIA และพันธมิตรอื่นๆ เช่น Intel และ AMD รวมถึงขยายความร่วมมือกับ System Integrator และ Software Delivery Partner เพื่อทุกอุตสาหกรรม สามารถเข้าถึง AI ได้อย่างครอบคลุม

โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคของ AI อย่างเต็มตัว มันกำจะพลิกโฉมทุกวงการ เทียบเท่ากับการปฏิวัติอินเทอร์เน็ต แม้ AI จะไม่ใช่เทคโนโลยีใหม่ แต่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้ AI พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด องค์กรต่างๆ จึงต้องเร่งปรับตัว และนำ AI มาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และสร้างโอกาสใหม่ๆ

เห็นต่างกูเกิล Opera ยอมให้ใช้ uBlock Origin ปิดกั้นโฆษณา บนหน้าเว็บ

Opera

ก่อนหน้านี้ Google ได้เปลี่ยนแปลงนโยบายเกี่ยวกับส่วนเสริม โดยบังคับให้ส่วนเสริมต่างๆ ต้องเปลี่ยนไปใช้ Manifest V3 ซึ่งเป็นเฟรมเวิร์กใหม่ ที่มีข้อจำกัดมากกว่า Manifest V2 เดิม ซึ่ง uBlock Origin นั้นรองรับการใช้งานบน Manifest V2 จึงจะไม่สามารถใช้งานบน Chrome เวอร์ชั่นใหม่

uBlock Origin คือส่วนเสริมของเบราว์เซอร์ หรือ Externsion ที่จะช่วยบล็อกเนื้อหาบางอย่างบนเว็บไซต์ โฆษณาที่น่ารำคาญ คุ๊กกี้ รวมถึงมัลแวร์

ซึ่งสำหรับใครที่ต้องการใช้งาน uBlock Origin บน Chrome อยู่ จะใช้ได้จนถึงมกราคมปี 2024 หลังจากจากนั้น Google จะเปลี่ยนไปใช้เฟรมเวิร์กใหม่ ที่บอกว่ามีความปลอดภัยมากขึ้น

แต่หากใครต้องการใช้งานต่อ ยังมีเบราว์เซอร์อื่นที่รองรับ โดย Opera ได้ประกาศว่า จะยังคงรองรับการใช้งาน uBlock Origin อยู่ไปอีกนาน นอกจากนี้ Opera ยังมีการพัฒนาเวอร์ชั่นใหม่ออกมาในชื่อ Opera One R2 ที่ม0าพร้อมฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เช่น แถบคำสั่งสำหรับโต้ตอบกับ Aria ซึ่งเป็นส่วนประกอบ AI ของ Opera รวมถึงการสร้างรูปภาพ และความสามารถขั้นสูงอื่นๆ

Opera ยังปรับโฉมดีไซน์ใหม่ ด้วยธีมแบบไดนามิก พื้นหลังเคลื่อนไหว และ “เสียงเบราว์เซอร์” แม้ว่าเอฟเฟกต์เสียงในเบราว์เซอร์จะมีมาตั้งแต่ยุค Windows 98 แต่การผสานรวม AI จะช่วยผู้ใช้ได้สัมผัสประสบการ์ที่ดูดีขึ้น

สรุปก็คือ ตอนนี้ Opera มีการปรับปรุงเบราว์เซอร์ใหม่ มี AI เข้ามาช่วย และยังรองรับส่วนเสริมสำคัญที่ช่วยบล็อคโฆษณาได้อย่าง uBlock Origin ใครผิดหวังกับ Chrome ก็ลองเปลี่ยนเบราว์เซอร์ดูครับ

ที่มา
https://www.techspot.com/news/105332-opera-confirms-continued-support-ublock-origin-old-chrome.html

ปลดล็อกศักยภาพสูงสุดของคุณด้วย HP OmniBook AI PC ซีรีส์ใหม่จาก HP ยกระดับการทำงาน เล่น และใช้ชีวิตของคนไทยด้วยพลังของ AI ผ่านโน้ตบุ๊ก AI PC รุ่นใหม่ล่าสุด ที่ออกแบบมาเพื่อให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และยืดหยุ่นตามความต้องการ

เอชพี ประเทศไทย ตอกย้ำการเป็นผู้นำในตลาดคอมพิวเตอร์ ตอบรับรูปแบบการทำงาน การเล่น และการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของผู้คน มุ่งส่งมอบเทคโนโลยี AI ให้ผู้บริโภคชาวไทยสามารถเข้าถึงได้มากขึ้น ผ่าน HP OmniBook ซีรีส์ AI PC เจเนอเรชันใหม่จากเอชพีทั้งสองรุ่น ได้แก่ OmniBook Ultra Flip และ OmniBook X โดยเปิดตัวครั้งแรกภายในงาน  “The Intelligent A.I. for the Future” ณ เอ็มไพร์ ทาวเวอร์ กรุงเทพฯ

การดำเนินชีวิตและการทำงานในปัจจุบันได้ข้ามขีดจำกัดแบบเดิม ๆ ไปสู่การสร้างสรรค์ผลงานจากหลากหลายพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน ร้านกาแฟ หรือใจกลางเมือง ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงนี้ ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI กำลังก้าวขึ้นมาเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงของผลิตภาพ ความคิดสร้างสรรค์ และรูปแบบการทำงานของคนยุคใหม่ นายสุธี สุวงศ์วัฒนากุล ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ กลุ่มคอนซูเมอร์ พีซี เอชพี อิงค์ ประเทศไทย กล่าวว่า  “เอชพีประเทศไทยภาคภูมิใจที่จะสานต่อภารกิจในการทำให้เทคโนโลยี AI เข้าถึงได้มากขึ้นสำหรับผู้บริโภคชาวไทยทุกคน เราสนับสนุนให้ผู้คนทำงานและใช้ชีวิตได้อย่างที่ต้องการ ส่งเสริมการเติบโต ความสำเร็จ และปลดล็อกนวัตกรรมที่ไร้ขีดจำกัด ความมุ่งมั่นของเราในการแสวงหาความเป็นเลิศทางเทคโนโลยี ผลักดันให้เราคิดค้นผลิตภัณฑ์และโซลูชันที่ปลดล็อกขุมพลังของ AI เพื่อมอบประโยชน์สูงสุดให้กับผู้บริโภคของเรา โดยเราตั้งใจที่จะช่วยให้ผู้บริโภคได้ใช้พลังของ AI เพื่อยกระดับชีวิตประจำวันและการทำงานอย่างเต็มที่ ด้วยการเปิดตัวซีรีส์ AI PC รุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง HP OmniBook Ultra Flip และ OmniBook X

“ด้วยการนำเสนอโซลูชันที่เข้าถึงได้และใช้งานง่ายกับผู้ใช้ เราหวังว่าพีซี AI อัจฉริยะของเอชพีทั้งสองรุ่นนี้ จะเป็นเพื่อนคู่ใจที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้ใช้งาน ทั้งระดับมืออาชีพไปจนถึงผู้ที่กำลังเริ่มต้นมองหาพีซี AI มาร่วมทาง เรามุ่งมั่นในการเป็นผู้นำในตลาดอย่างต่อเนื่องผ่านการนำขุมพลัง AI มาพัฒนาและส่งมอบพอร์ตโฟลิโอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายที่สามารถเชื่อมให้ผู้คนและ AI ได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นอย่างยั่งยืนต่อไป” สุธีกล่าวสรุป

โน้ตบุ๊กทำงานอันเรียบหรู เน้นคล่องตัว มอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยขั้นสูง: HP OmniBook Ultra Flip

HP OmniBook Ultra Flip 14 นิ้ว Next-Gen AI PC เป็นโน้ตบุ๊ก AI PC แบบ 2-in-1 ตัวแรกของเอชพีที่นำเสนอความบางเบา มาพร้อมการผสมผสานระหว่างสไตล์ ประสิทธิภาพ และความยืดหยุ่นแบบไม่ลดทอนรายละเอียด เหมาะสำหรับผู้ที่มองหาประสบการณ์การสร้างสรรค์ AI ที่สมบูรณ์แบบ

  • ออกแบบมาเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ: สร้าง แก้ไข และร่างผลงานบนแล็ปท็อปที่บางเฉียบ สลับเปลี่ยนการใช้งานได้อย่างง่ายดายระหว่างโหมดแล็ปท็อป แท็บเล็ต และเต็นท์ มาพร้อมจอแสดงผล OLED 8K มอบประสบการณ์ภาพที่คมชัดและสีสันสวยสะดุดตา และหน้าจอทัชสกรีน พร้อมปากกาสไตลัสไว้ขีดเขียน เหมาะสำหรับการวาดภาพหรือตรวจสอบงานออกแบบ สร้างคอนเทนต์ที่เป็นเอกลักษณ์ หรือประชุมทางวิดิโอและสร้างสรรค์ผลงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยกล้อง 9 MP ความละเอียดสูงที่เปิดใช้งาน AI และ Poly Audio
  • สมรรถนะที่ทรงพลังและประหยัดพลังงาน: สร้างสรรค์ผลงานนอกสถานที่ได้อย่างมั่นใจบนอุปกรณ์ที่เร็ว แรง และมีประสิทธิภาพสูง ด้วยโปรเซสเซอร์รุ่นใหม่ล่าสุดจาก Intel® Core™ Ultra (Series 2) ที่มีหน่วยประมวลผล AI ทำให้สามารถใช้งานแบตเตอรี่ได้ยาวนานสูงสุดถึง20 ชั่วโมง[1] (สำหรับการเล่นวิดีโอในเครื่อง) มอบประสบการณ์การสร้างสรรค์ที่ราบรื่นไม่สะดุด
  • ระบบรักษาความปลอดภัยที่น่าเชื่อถือ ผ่านพลังของ AI: HP Wolf Security มอบความปลอดภัยระดับมืออาชีพให้กับผู้บริโภค ด้วยความปลอดภัยเฉพาะตัวเอกสิทธิ์เฉพาะจาก HP รักษาความปลอดภัยของข้อมูลและป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ McAfee Smart AI™ Deepfake Detector ตรวจหาเสียงปลอมที่สร้างขึ้นโดย AI เพื่อแจ้งเตือนผู้ใช้ถึงความเสี่ยงของการหลอกลวงและข้อมูลเท็จ

สร้างช่วงเวลาที่มีความหมายตลอดทั้งวันกับ HP OmniBook X

HP OmniBook X 14 นิ้ว Next-Gen AI PC ยกระดับงานประจำวันของคุณด้วยเครื่องมือและโซลูชัน AI ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน โดยเฉพาะเมื่อคุณต้องทำงานนอกสถานที่ด้วยแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานที่สุด

  • ขับเคลื่อนการทำงานของคุณด้วยพลังของ AI: ยกระดับงานประจำวันของคุณด้วย HP AI Companion ชุดเครื่องมือและโซลูชัน AI ที่ใช้ประโยชน์จากโปรเซสเซอร์ QC Snapdragon เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของคุณและทำให้คุณทำงานได้ต่อเนื่องที่สุด สัมผัสพลังของ NPU ที่ได้รับการเพิ่มประสิทธิภาพเพื่อมอบประสบการณ์ Copilot+ PC ที่ไม่เหมือนใคร พร้อมความมั่นใจในการรักษาความปลอดภัยขั้นสูง
  • พลังงานที่เหนือกว่าสำหรับการทำงานเคลื่อนที่: เติมพลังให้ความคิดสร้างสรรค์ของคุณด้วยประสิทธิภาพอันทรงพลังและแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานสูงสุดถึง 26 ชั่วโมง ในโน้ตบุ๊กสำหรับใช้งานทั่วไปของ HP[2]
  • ประสบการณ์ที่สมจริง: เพิ่มประสิทธิภาพการมองเห็นของคุณด้วยหน้าจอสัมผัส Eyesafe® Certified Display ขนาด 14 นิ้ว ความละเอียด 2K และสัมผัสประสบการณ์เสียงที่เหนือกว่าด้วยการปรับแต่งเสียงโดย Poly Studio ลดการรบกวนและหยุดการขัดจังหวะด้วยเครื่องมือการทำงานร่วมกันของ Windows Studio Effects เพื่อการสนทนาที่ชัดเจน

ความยั่งยืนเพื่อวันนี้และวันพรุ่งนี้

HP มุ่งมั่นที่จะลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า HP OmniBook Ultra Flip ผลิตขึ้นจากโลหะรีไซเคิล 90%, พลาสติกรีไซเคิลหลังการใช้งาน 50% และได้รับการรับรองมาตรฐาน EPEAT® Gold with Climate+ และ ENERGY STAR® ในขณะที่ HP OmniBook X ได้รับการออกแบบโดยใช้โลหะรีไซเคิล 50% และพลาสติกรีไซเคิลจากท้องทะเลหลังการใช้งาน 50% ได้รับการรับรองมาตรฐาน EPEAT® Gold Registered และ ENERGY STAR®

ค้นหาคู่หูที่สมบูรณ์แบบของคุณได้แล้ววันนี้

AI PC ซีรีส์ใหม่ล่าสุด 3 โมเดล มาพร้อมการรับประกัน 3 ปี (On-site)

  • OmniBook Ultra Flip (14-fh0054TU) Intel® Core™ Ultra 7-258V (8C)/ Intel® Arc™ Graphics/ Intel® AI Boost (47 NPU TOPS)/ LPDDR5X 32GB / 1TB M.2 NVMe™ Performance PCIe® 4.0 SSD / 14-inch 2.8K (2880 x 1800) OLED Touch screen 120Hz refresh rate / Stylus Pen / 64 WHr. / WiFi 7 / 1.349 kg / Windows 11 Home / Microsoft office H&S 2021 ราคา65,990 บาท
  • OmniBook Ultra Flip (14-fh0055TU) Intel® Core™ Ultra 5-226V (8C)/ Intel® Arc™ Graphics/ Intel® AI Boost (up to 48 NPU TOPS) / LPDDR5X 16GB / 1TB M.2 NVMe™ Performance PCIe® 4.0 SSD / 14-inch 2.8K (2880 x 1800) OLED Touch screen 120Hz refresh rate / Stylus Pen / 64 WHr. / WiFi 7 / 1.349 kg / Windows 11 Home / Microsoft office H&S 2021 ราคา 59,990 บาท
  • OmniBook X (14-fe1012QU):Snapdragon® X1P-42-100 (8C)/ Qualcomm® Adreno™ GPU / Qualcomm® Hexagon™ NPU 45 TOPs / LPDDR5X 16GB / 512GB M.2 NVMe™ PCIe® 4.0 SSD / 14-inch 2.2K (2240 x 1400) Touch screen 120Hz refresh rate / 59 WHr. / WiFi 7 / 1.349 kg / Windows 11 Home/ Microsoft office H&S 2021 ราคา 44,990 บาท

ค้นหาคู่หูที่สมบูรณ์แบบของคุณ ได้แล้ววันนี้ ที่ร้าน HP World ทั้ง 3 สาขา ได้แก่ เดอะมอลล์บางกะปิ, ศูนย์การค้าฟอร์จูนและ วัน แบงค็อก, ร้านค้าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำ และร้านค้าออนไลน์อย่างเป็นทางการของ HP หรือ แวะชมและทดลองสินค้านวัตกรรมใหม่ ๆ พร้อมบริการให้คำปรึกษาและแก้ไขปัญหาตัวเครื่องแบบครบวงจรได้ที่ ศูนย์บริการ HP Experience and Service Center สาขาตึกเอ็มไพร์ ทาวเวอร์ ชั้น M

ติดตามข่าวสารและโปรโมชั่นล่าสุดได้ที่ HP Thailand Facebook: www.facebook.com/hpthailand

[1],2  อ้างอิงตามการวิเคราะห์ภายในของ HP สำหรับพีซีรุ่นที่ใช้ชิป NPU 40-60 TOPS ณ เดือนพฤษภาคม 2024 อายุการใช้งานแบตเตอรี่ได้รับการทดสอบโดย HP โดยใช้การเล่นวิดีโอ FHD แบบต่อเนื่องที่ความละเอียด 1080p (1920×1080), ความสว่าง 200 นิต, ระดับเสียงของระบบตามค่าเริ่มต้นของภาพ, ความดังเสียงจากเครื่องเล่นอยู่ที่ 100%, เล่นวิดีโอแบบเต็มหน้าจอจากพื้นที่จัดเก็บในระบบของเครื่อง, มีการเชื่อมต่อหูฟังหรือผ่านลำโพง (ถ้าไม่มีพอร์ตแจ็คอุปกรณ์ระบบเสียง) และเปิดการทำงานระบบไร้สาย แต่ไม่ได้เชื่อมต่อเครือข่ายใดๆ ทั้งนี้ ระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่อาจแตกต่างกันไปตามการกำหนดค่า และความจุสูงสุดจะลดลงตามเวลาและการใช้งาน

Binance TH จับมือ MemeCore พร้อมด้วย 9 Cat Digital Group และ BitArcade เปิดตัวเทศกาล MemeWonder ครั้งแรกในเอเชียในงาน Thailand Blockchain Week

Binance TH จับมือ MemeCore พร้อมด้วย 9 Cat Digital Group และ BitArcade ในฐานะผู้จัดงาน เปิดตัว MemeWonder งาน Memetertainment ครั้งแรกในเอเชีย พบกับทอลค์จากสปีคเกอร์ระดับโลกทั้งจากวงการเทคโนโลยี การเงิน และเอนเตอร์เทนเมนท์ ในวันที่ 10-11 พฤศจิกายนนี้ ณ Sphere Hall ชั้น 5M ห้างสรรพสินค้า EMSPHERE กรุงเทพฯ ประเทศไทย ซึ่งถือเป็น Official Partner ของ Thailand Blockchain Week 2024 งานเปิดโลกการลงทุนและเทคโนโลยีแห่งโลกดิจิทัลซึ่งจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 ในปีนี้

“เรารู้สึกขอบคุณและยินดีที่ได้จับมือกับ MemeCore ในการสร้างสรรค์งาน MemeWonder เพื่อส่งต่อพื้นที่ที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมในโลกบล็อกเชน” คุณพิพัฒน์ วัฒนมงคลสิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร จาก 9 Cat Digital Group กล่าว

“เราเชื่อว่าพลังของ Meme Supercycle จะดึงดูดผู้คนเข้าด้วยกันผ่านวัฒนธรรม และเราเชื่อว่าการมีตัวเชื่อมระหว่างโลกออนไลน์และออฟไลน์อย่างงาน MemeWonder จะรวมชุมชนมีมทั้งหมดมาพบปะกันและสนุกไปด้วยกัน” คุณณัฐชนน เอกรังษี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร จาก BitArcade (Thailand) Co.,LTD. กล่าว

MemeCore เป็นบล็อกเชนเลเยอร์ 1 ที่ใช้มาตรฐาน EVM (Ethereum Virtual Machine) ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อรวมชุมชนมีมเข้าด้วยกัน โดย MemeCore มุ่งหวังที่จะสร้างพื้นที่ที่มีสนุกและชีวิตชีวาสำหรับชุมชนมีมในระบบนิเวศบล็อกเชน โดยมีพันธกิจที่จะส่งเสริมพื้นที่ที่ “มีมได้” (memeable) ซึ่งกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ ความเป็นกันเอง และนวัตกรรม เพื่อประโยชน์แก่ชุมชนคนรักมีม โดยล่าสุด MemeCore กำลังจัดตั้งกองทุนกว่ากองทุนกว่า 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 330 ล้านบาทโดยประมาณเพื่อสนับสนุน Startup และ Project WEB3 (Eco-fund)

“ในยุคที่การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิตอลเติบโตอย่างรวดเร็ว เราเห็นการยอมรับเพิ่มขึ้นจากสถาบันการเงินทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง meme coins ที่ดึงดูดนักลงทุนด้วยความสนุกและการเข้าถึงง่าย” ดร.กร พูนศิริวงศ์ Chief Strategy Officer ของ Binance TH Academy กล่าว “Binance TH มุ่งหวังเป็นส่วนหนึ่งในการเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้ผู้ใช้งานเข้าถึงสินทรัพย์ดิจิตอลผ่านความบันเทิงที่จับต้องได้ในทุก ๆ วัน”

นอกจากนี้ MemeCore, Binance TH, 9 CAT DIGITAL, และ BitArcade ยังพร้อมนำเสนอ CryptoZonic Festival  เทศกาลดนตรี EDM สำหรับคนรักคริปโต ที่ปีนี้ได้รับเกียรติเป็น Official Afterparty ของ Thailand Blockchain Week เพื่อเปิดพื้นที่ให้คนทั้งในและนอกวงการบล็อกเชนและคริปโต ได้มาพบปะสังสรรค์และเปิดโอกาสใหม่ ๆ ในโลกการเงินและเทคโนโลยีที่มีเสียงดนตรีเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ ในคืนวันที่ 12 พฤศจิกายนนี้ ที่ MU:IN Bangkok

ร่วมค้นหาคำตอบว่ามีมคืออะไร อะไรสร้างมีม และมีมจะกำหนดทิศทางโลกการเงิน เทคโนโลยี และการตลาดแห่งอนาคตอย่างไรได้ในงาน MemeWonder 2024 ในวันที่ 10-11 พฤศจิกายน 2567 ลงทะเบียนเข้าร่วมงาน MemeWonder ได้ที่ https://lu.ma/scrianyk และ CryptoZonic Festival ได้ที่ https://lu.ma/v8cwcj94

จีนพัฒนาเอง สร้างอิฐดวงจันทร์ เตรียมตั้งฐานในอนาคต

นักวิจัยชาวจีนได้พัฒนาอิฐจากวัสดุคล้ายกับดินบนดวงจันทร์ โดยหวังว่าจะสร้างฐานบนดวงจันทร์ได้ในอนาคต

มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหัวจง (HUST) ได้ใช้ดินจำลองบนดวงจันทร์เพื่อสร้างอิฐที่มีความแข็งแรงมากกว่าอิฐแดงหรืออิฐคอนกรีตมากกว่า 3 เท่า รวมถึงขึ้นรูปด้วยการใช้เทคโนโลยีหุ่นยนต์พิมพ์รูป 3 มิติ

โดยใช้ดินจำลองถึง 5 ชนิดที่มีลักษณะแตกต่างกันออกไป ยกตัวอย่างเช่น ดินที่มีบะซอลต์เยอะจากการเก็บตัวอย่างจากยานฉางเอ๋อ-5  หรือเป็นดินที่มีแอนอทไซต์ที่เป็นดินส่วนใหญ่ของดวงจันทร์ เป็นต้น

เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพและคัดเลือกวัสดุไปสร้างฐานบนดวงจันทร์ เพราะสภาพแวดล้อมของดวงจันทร์มีทั้งอุณหภูมิสูงเกิน 180 องศา และติดลบในเวลากลางคืน

อิฐทั้งหมดจะถูกส่งไปยังสถานีอวกาศของจีนบนยานอวกาศขนส่งสินค้าเทียนโจว-8 เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพเชิงกลและความร้อน รวมถึงการทนต่อรังสีคอสมิก คาดว่าอิฐดวงจันทร์ก้อนแรกจะกลับคืนสู่โลกภายในสิ้นปี 2025

เพื่อนำไปต่อยอดสร้างฐาน สิ่งก่อสร้าง หรือที่อยู่อาศัยของนักบินอวกาศในการทำภารกิจบนดวงจันทร์ต่อไป

เมื่อไม่นานมานี้จีนประสบความสำเร็จ ในภารกิจสำรวจดวงจันทร์แถมเก็บดินของดวงจันทร์มาวิจัยต่อด้วย

อ่านต่อ >> techhub 

ที่มา : english.news  

#ดินดวงจันทร์ #อิฐดวงจันทร์ #TechhubUpdate

สกาย ชูระบบ Biometric หนึ่งในเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวในสนามบิน

สกาย” เป็นผู้ให้บริการระบบ Biometric ภายในสนามบิน ด้วย OneID เพียงใช้ใบหน้าของนักท่องเที่ยวก็สามารถเดินทางผ่านทุกจุดเช็คอินได้อย่างสะดวกสบาย ที่ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของท่าอากาศยานไทย (AOT) โดยเริ่มให้บริการกับผู้โดยสารภายในประเทศในวันที่ 1 พ.ย.นี้ และจะพร้อมใช้งานสำหรับผู้โดยสารระหว่างประเทศตั้งแต่ 1 ธ.ค. เป็นต้นไป นับเป็นอีกพันธกิจที่ช่วยผลักดันสนามบินไทยสู่สนามบินชั้นนำระดับ World Class และตอบโจทย์การเข้าสู่ Touchless Society

นายสิทธิเดช มัยลาภ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ สกาย กรุ๊ป (SKY Group) กล่าวว่า บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ให้บริการเทคโนโลยีด้านอุตสาหกรรมการบินชั้นนำของประเทศไทย ล่าสุดนำระบบพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล (Automated Biometric Identification System: Biometric) หรือ ระบบข้อมูลชีวมาตร คือ การพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลโดยใช้การสแกนใบหน้าเพื่อเข้าสู่ระบบสนามบิน ซึ่งเทคโนโลยีนี้สามารถนำมาใช้ในการยืนยันตัวตนของผู้โดยสารในสนามบินได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว เทคโนโลยี Biometrics นี้จะเริ่มให้บริการกับผู้โดยสารภายในประเทศก่อนในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 และพร้อมใช้งานสำหรับผู้โดยสารระหว่างประเทศในวันที่ 1 ธันวาคม 2567 ภายในท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ AOT ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานหาดใหญ่

ปัจจุบันสนามบินชั้นนำในหลายประเทศทั่วโลกได้เริ่มนำเอาระบบ Biometric นี้ มาใช้เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกผู้โดยสาร เช่น สนามบินชางงี ประเทศสิงคโปร์ สนามบินดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สนามบินฮาร์ทสฟิลด์-แจ็คสัน เมืองแอตแลนตา ประเทศสหรัฐอเมริกา สนามบินซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย และสนามบินฮาเนดะ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งประเทศไทยนับว่าอยู่ในกลุ่มประเทศแรกๆ ของโลกที่นำระบบนี้มาใช้ภายในสนามบินเช่นกัน

นายสิทธิเดช กล่าวต่อว่า การนำ Biometric มาใช้ในสนามบินสามารถอำนวยความสะดวกให้แก่ทั้งนักท่องเที่ยวและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานภายในสนามบิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการลดขั้นตอนต่าง ๆ เพิ่มความรวดเร็ว เนื่องจากนักท่องเที่ยวไม่จำเป็นต้องถือพาสปอร์ตและ Boarding Pass เพื่อยืนยันตัวตนแก่เจ้าหน้าที่อีกต่อไป แต่ด้วยระบบ Biometric ที่พัฒนาขึ้นมานี้ นักท่องเที่ยวสามารถใช้ใบหน้าของตัวเองเป็นทางผ่านได้เลย ซึ่งนอกจากความรวดเร็วแล้วยังส่งผลโดยตรงมาในส่วนความสะอาด (Hygienic) เพราะจะช่วยลดการสัมผัสภายในสนามบิน เนื่องจากอย่างที่ทราบกันเป็นอย่างดีว่าสนามบินเป็นแหล่งรวมของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศเป้าหมายของนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยปีที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าออกประเทศไทยถึง 100 ล้านคน และคาดว่าในปีนี้จะมีนักเดินทางเข้าออกประเทศเพิ่มขึ้นจากเดิมอีก 20 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งการมีระบบนี้เข้ามา มั่นใจว่าจะช่วยเจ้าหน้าที่ให้บริการได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และอำนวยความสะดวกและประหยัดเวลาให้แก่นักท่องเที่ยวได้มากขึ้นด้วย

ขั้นตอนการทำงานของ ระบบ Biometric เพื่อใช้ใบหน้าเป็น One-ID เริ่มจากผู้โดยสารแสดงบัตรประชาชนหรือพาสปอร์ต พร้อมกับสแกนหน้าเพื่อยืนยันตัวตนที่ระบบออกตั๋วโดยสารที่เคาน์เตอร์ (CUTE: Common Use Terminal Equipment) หรือระบบออกตั๋วโดยสารด้วยตัวเอง (CUSS: Common Use Self-check in System) หลังจากยืนยันตัวตนเสร็จแล้ว ระบบจะสร้าง Travel Token ของผู้โดยสารแต่ละคนขึ้นมา ช่วยให้ผู้โดยสารสามารถสแกนใบหน้าผ่านเข้าไปยังพื้นที่ภายในสนามบินจนกระทั่งผ่าน Boarding Gate ได้อย่างสะดวก ไม่ต้องแสดงเอกสารต่างๆ อีก

 Biometric Flow

 Passenger Journey การให้บริการภายในสนามบินด้วยเทคโนโลยีทั้ง 6 เทคโนโลยีจาก SKY

ที่ผ่านมาสกายฯ ในฐานะผู้พัฒนาระบบด้านเทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่นักเดินทางภาคพื้นดิน ได้พัฒนาระบบบริการผู้โดยสารก่อนขึ้นเครื่องหรือ CUPPS (Common Use Passenger Processing System)มาใช้ใน สนามบินภายในประเทศไทย โดยระบบ CUPPS ที่ปัจจุบันดำเนินการเป็นที่เรียบร้อยประกอบไปด้วย CUTE (Common Use Terminal Equipment) ระบบออกตั๋วโดยสารที่เคาน์เตอร์, CUSS (Common Use Self-check in System) ระบบออกตั๋วโดยสารด้วยตัวเอง, CUBD (Common Use Bag Drop) ระบบโหลดกระเป๋าสัมภาระอัตโนมัติด้วยตัวเอง, PVS (Passenger Validation System) ระบบการคัดกรองผู้โดยสาร, SBG (Self-Boarding Gate) ระบบประตูทางออกขึ้นเครื่องอัตโนมัติ และล่าสุด คือ ระบบ Biometric หรือ OneID ซึ่งทั้ง 6 ระบบ ที่ถูกพัฒนาขึ้น เรามั่นใจว่าจะสามารถทำให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ Touchless Society ตั้งแต่ก้าวแรกที่นักท่องเที่ยวได้สัมผัสประเทศไทย ซึ่งเป็นประตูด่านหน้าก่อนเดินทางเข้าประเทศ และเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ที่จะทำให้นักท่องเที่ยวได้รู้สึกถึงความสะดวกสบายในการเดินทางมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ตรงเป้าหมายที่สกายช่วยในการพัฒนาประเทศในช่วงเปลี่ยนผ่านจาก New Normal สู่ Now Normal เพื่อให้ผู้เดินทางได้เดินทางอย่างปลอดภัย และสะดวกสบาย (Save, Secure and Convenience)

เทคโนโลยีทั้ง 6 เทคโนโลยีที่สกายพัฒนาเพื่อให้บริการภายในสนามบิน

โบกมือลา Floppy Disk สหรัฐทุ่มงบหมื่นล้าน ยกเครื่องระบบเก็บข้อมูลรถไฟ

[ยกระบบ] หลังมีข่าวตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา เผยพบระบบรถไฟในซานฟรานซิสโกหรือ SFMTA ยังใช้ Floppy Disk ในการจัดเก็บข้อมูลอยู่ (ตั้งแต่ปี 1998) ล่าสุดทางหน่วยงานได้ทุ่มงบกว่า 7 พันล้านบาท ถอดระบบดังกล่าวออกยกชุดแล้ว

นับเป็นเคสที่แสดงให้เห็นเลยว่า ทำไมหลาย ๆ หน่วยงานยังคงใช้ระบบเทคโนโลยีสุดโบราณอยู่ แม้จะเสี่ยงเรื่องความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการใช้งานก็ตาม หลังมีหน่วยงานคมนาคมขนส่งของซานฟรานซิสโก (SFMTA) ได้ลงทุนปรับปรุงระบบครั้งใหญ่ พบใช้งบมากถึง 700 ล้านดอลลาร์ฯ หรือประมาณ 23,673 ล้านบาท เปลี่ยนจากการใช้ Floppy Disk ขนาด 5.25 นิ้ว ที่เคยเก็บข้อมูลในระบบควบคุมรถไฟอัตโนมัติ (ATCS) มาเป็นระบบใหม่ที่ทันสมัยมากขึ้น

ในงบส่วนหนึ่งก็มาจากข้อตกลงระหว่าง SFMTA กับทาง Hitachi Rail ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของญี่ปุ่นด้วย โดยมีมูลค่าถึง 212 ล้านดอลลาร์ฯ หรือประมาณ 7,167 ล้านบาท เพื่อมาช่วยพัฒนาระบบ ATCS ใหม่ยกแผง ทั้งระบบจัดเก็บข้อมูล ระบบควบคุมรถไฟอัตโนมัติ ระบบสื่อสารด้วย Wi-Fi กับสัญญาณมือถือ และระบบส่งข้อมูลผ่านเซิร์ฟเวอร์ แทนที่การใช้ Floppy Disk ทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนทั้งหมดอาจใช้เวลาจนถึงปี 2027 หรือ 2028 เพราะต้องมีการเปลี่ยนสายเคเบิล และเทคโนโลยีเก่าอื่น ๆ อีกมากมายด้วย กับยังมีขั้นตอนการติดตั้งเทคโนโลยีบนถนน คาดจะเสร็จสิ้นสุดการยกระบบทั้งหมดคือปี 2033 หรือ 2034 กันเลย

ย้อนกลับไปในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา พบญี่ปุ่นได้ถอดระบบ Floppy Disk ออกจากหน่วยงานของรัฐบาลทั้งหมด ทว่ายังคงมีบางบริษัทที่ใช้งานระบบดังกล่าวอยู่ เพราะความชื่นชอบ

ที่มา : Techspot

Hot Issue