Home Blog Page 75

ทิ้งทวนก่อนจาก เตรียมอัปเดตชุดใหญ่ ฟีเจอร์ใหม่ใน Windows 10

[แวะบ้านเก่า] แม้ Windows 10 จะได้ชื่อว่าเป็นระบบปฏิบัติการยอดนิยม แต่ก็หนีไม่พ้น ‘อายุขัย’ ซึ่งมีกำหนดเลิกอัปเดตในปีหน้านี้แล้ว ทว่า Microsoft ยังคงให้การสนับสนุนเต็มที่ โดยได้อัปเดตฟีเจอร์ชุดใหญ่ก่อนทิ้งทวนเร็ว ๆ นี้

สำหรับใครที่เป็นผู้ใช้ Insider Program ของ Windows ล่าสุด Microsoft ได้อัปเดตฟีเจอร์ชุดใหญ่ใน Windows 10 เวอร์ชั่น Beta หรือ 22H2 ก่อนจะเปิดให้ใช้ในเวอร์ชั่นหลัก แม้ว่าจะมีกำหนดเลิกอัปเดตในวันที่ 14 ตุลาคม 2025 ก็ตาม

ทั้งนี้ตัวฟีเจอร์ใหม่ ๆ ยังไม่มีเผยรายละเอียดอะไรมาก เผยแค่จะรองรับฟีเจอร์ Phone Link ที่เปิดให้ใช้งาน Windows 10 ร่วมกับสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตมากขึ้น จากเดิมที่มีเฉพาะใน Windows 11 เท่านั้น

มีข้อมูลน่าสนใจว่า Windows 10 ปัจจุบันมีสัดส่วนผู้ใช้ถึง 70% ทั่วโลก แม้จะเปิดตัวมาเกือบ 10 ปีแล้วก็ตาม (ข้อมูลจาก StatCounter) ซึ่งเป็นการบ่งบอกเลยว่า Windows 11 ไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร แม้ตัวเปิดตัวมากว่า 3 ปีแล้ว แต่ก็ยังแทนที่เวอร์ชั่นก่อนได้ไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ อาจเป็นเพราะเงื่อนไขการใช้งานต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องใช้สเปกใหม่ระดับหนึ่งก็เป็นได้

ที่มา : Techspot

เร็วที่สุด Google Chrome ครองแชมป์ เว็บเบราว์เซอร์ยอดนิยม

[เร็วและมาก] ไม่ปฏิเสธว่า Chrome คือเว็บเบราว์เซอร์ที่มีผู้ใช้จำนวนมากที่สุด แต่ตำแหน่ง ‘เว็บเบราว์เซอร์ที่เร็วที่สุด’ อาจมีความกังขานิด ๆ สำหรับผู้ใช้บางราย ทว่ามีการพิสูจน์แล้วผ่านโปรแกรมวัดประสิทธิภาพตัวดัง

รายงานจาก Chromium Blog เผย Chrome กลายเป็นเว็บเบราว์เซอร์ที่มีผู้ใช้จำนวนมากที่สุดและเร็วที่สุดในโลกแล้ว หลังมีการทดสอบกับ Speedometer 3.0 เครื่องมือวัดประสิทธิภาพที่มีมาตรฐานระดับอุตสาหกรรม พบได้คะแนนเพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 72% การันตีความเร็วมากที่สุดในปัจจุบัน

สำหรับตัว Speedometer 3.0 จะทดสอบเว็บเบราว์เซอร์ต่าง ๆ ว่าสามารถจัดการกับแอปฯ บนเว็บในสมัยใหม่ได้ดีแค่ไหน พร้อมจำลองการใช้งานจริงจากผู้ใช้ในแบบซ้ำ ๆ ในอัตราที่รวดเร็ว จากนั้นก็จะวัดประสิทธิภาพจนออกมาเป็นคะแนนในที่สุด

สิ่งหนึ่งที่ทาง Google มีความภูมิใจเป็นพิเศษ ก็คือการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารทรัพยากรต่าง ๆ ได้อย่างชาญฉลาด (จากที่โดนบ่นมานานเรื่องกินแรมจนเป็น Meme) โดยหากพบฟีเจอร์ไหนใน Chrome ที่ใช้เวลามากที่สุด ก็จะมีการปรับปรุงให้เหมาะสมโดยไว

ท้ายนี้ Google Chrome อ้างอิงจาก StatCounter เผยปัจจุบันมียอดผู้ใช้งานทั่วโลกถึง 65.12% ครองผู้ใช้งานอันดับหนึ่งเสมอมา ส่วนอันดับ 2 คือ Safari จาก Apple ในสัดส่วน 18.17% และอันดับ 3 คือ Edge จาก Microsoft ที่ 5.21%

แม้ Microsoft Edge จะถูกตั้งให้เป็นเว็บเบราว์เซอร์เริ่มต้นของ Windows 11 และใช้ Chromium เป็นแกนหลัก ทว่าดูเหมือนผู้ใช้จะนิยมเปิด Edge แล้วสั่งให้ดาวน์โหลด Chrome พร้อมตั้งเป็น Default (ค่าเริ่มต้น) แทน แม้จนทุกวันนี้…

ที่มา : Techspot

ผู้ช่วย AI Apple ยกระดับ Siri เพิ่ม ChatGPT บน iPhone

ChatGPT บน iPhone

ไม่ได้พัฒนาเองแล้วหรอนั่น

Apple เตรียมยกระดับผู้ช่วยเสียง Siri และระบบปฏิบัติการด้วย ChatGPT ของ OpenAI เพื่อเร่งเครื่องแข่งขันด้าน AI โดยประกาศปรับโฉม Siri ให้มาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่ ๆ ซึ่งการปรับปรุงนี้เป็นส่วนหนึ่งของระบบ AI ส่วนบุคคลใหม่ที่ชื่อว่า “Apple Intelligence” มีเป้าหมายเพื่อช่วยให้ผู้ใช้ใช้งานอุปกรณ์ Apple ได้ง่ายขึ้น

Apple Intelligence คือ ??
ความจริงแล้ว มันไม่ใช่ผลิตภัณฑ์หรือแอปพลิเคชัน แต่จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของทุกแอปและผลิตภัณฑ์ Apple ที่ลูกค้าใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นผู้ช่วยเขียนที่ปรับปรุงฉบับร่างข้อความของเรา หรือปฏิทินที่สามารถแสดงเส้นทางที่ดีที่สุด หากเราจำเป็นต้องรีบไปพบใครให้ทันเวลา ซึ่งมันก็จะคล้ายกับผู้ช่วย AI Copilot ของ Microsoft แน่นอนว่า เราไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มเพื่อเปิดใช้งาน

แต่ข่าวนี้สร้างความสับสนให้กับหลายคน เพราะก่อนหน้านี้ Apple มีแผนจะพัฒนา AI ของตัวเองอยู่แล้ว ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงไปดีลกับ OpenAI (หรือพัฒนาเองไม่ทัน) และเรื่องนี้ มีความกังวลด้านความปลอดภัยของข้อมูลไม่ใช่น้อย เพราะ iOS ถือเป็นระบบปิดที่แฮกได้ยากกว่าระบบอื่น

การร่วมมือกับ OpenAI ถือว่ามีความเสี่ยงเช่นกัน เช่น การพึ่งพาเทคโนโลยีของบริษัทอื่น และความกังวลด้านความเป็นส่วนตัวของข้อมูลผู้ใช้ ซึ่ง Apple จำเป็นต้องบริหารจัดการความเสี่ยงเหล่านี้อย่างรอบคอบ

ล่าสุด Elon Musk ขู่ว่าจะแบน iPhone เนื่องจากมีความกังวล ด้านความปลอดภัยของข้อมูล ทำไมอยู่ดี ๆ Apple ถึงยินดีที่จะมอบข้อมูลของผู้ใช้ให้กับ OpenAI ล่ะ โดยมองว่า พวกเขากำลังขายข้อมูลลูกค้าชัด ๆ

อย่างไรก็ตาม Apple ได้เน้นย้ำถึงความปลอดภัยของ Apple Intelligence ระหว่างการเปิดตัว โดยระบุว่าการประมวลผลบางส่วนจะดำเนินการบนอุปกรณ์เอง ในขณะที่การดำเนินการขนาดใหญ่ที่ต้องใช้พลังงานมากขึ้นจะถูกส่งไปยังคลาวด์ แต่จะไม่มีการจัดเก็บข้อมูลใด ๆ ไว้ที่นั่น

สรุปก็คือ Apple กำลังก้าวเข้าสู่การแข่งขันด้าน AI อย่างจริงจัง ด้วยการปรับปรุง Siri และระบบปฏิบัติการให้ชาญฉลาดยิ่งขึ้นด้วย ChatGPT ของ OpenAI ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวที่น่าจับตามองว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่เรื่องนี้ก็ต้องยอมรับแล้วว่า Apple นั้นตามหลังคู่แข่งเรื่อง AI อย่างมาก…

ที่มา
cbc

ถูกใจคนขี้ลืม Apple ปล่อย แอปจำรหัสผ่าน ช่วยจัดระเบียบ Password

แอปจำรหัสผ่าน

ในงาน WWDC 2024 ที่ผ่านมา Apple ได้เผยโฉมการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นกับซอฟต์แวร์ต่างๆ ของบริษัทในช่วงปลายปีนี้ ไม่ว่าจะเป็น Siri ที่จะผนวกรวมเข้ากับ OpenAI และแอปจัดการพาสเวิร์ดช่วยคนขี้ลืม

แอปจำรหัสผ่าน นี้มีชื่อว่า “Password” ตรงตัวสุด ๆ เปรียบเสมือน LastPass เวอร์ชันที่ Apple พัฒนาขึ้นเอง ช่วยให้ผู้ใช้จัดการรหัสผ่านบัญชี รหัสยืนยัน Passkey และอื่นๆ อีกมากมาย ช่วยให้เราเข้าถึงข้อมูลประจำตัวของเราได้อย่างรวดเร็ว และจัดระเบียบทุกอย่างในอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย

Apple ระบุว่าแอป Passwords เป็นการพัฒนาต่อยอดจากระบบ Keychain ที่ใช้งานมานานและเป็นการอัปเกรดครั้งสำคัญ มีแผนจะเปิดตัวในปลายปีนี้ สามารถใช้งานได้บน macOS Sequoia, iOS 18, iPadOS 18, Vision Pro และ PC ผ่านแอป iCloud for Windows รองรับการลงชื่อเข้าใช้ไซต์ด้วยข้อมูลการเข้าสู่ระบบที่จัดเก็บไว้ ได้โดยอัตโนมัติ ทำให้เราไม่ต้องจดจำรหัสผ่านอีกต่อไป

ที่มา
techradar

ช้าแต่ชัวร์ เปิดตัว Intelligence ฟีเจอร์ AI สุดล้ำจาก Apple

[ครอบจักรวาล] หลังปล่อยให้คู่แข่งใช้งาน AI มานาน ในที่สุดทาง Apple ก็เผยโฉมบริการ AI ของตัวเองอย่างเป็นทางการแล้ว ล่าสุดในงาน WWDC 2024 ได้มีเปิดตัว Apple Intelligence รวมฟีเจอร์อัจฉริยะทั้งใน iOS 18, iPadOS 18 และ macOS บนเครื่อง iPhone , iPad และ iMac ใช้ประโยชน์จากขุมพลังของ Apple Silicon ประมวลผล Generative AI แบบจัดเต็ม เน้นการใช้งานแบบ Personal หรือผู้ช่วยอัจฉริยะ (Siri) ที่ได้รับการพลิกโฉมใหม่ ให้มีความเข้าใจพฤติกรรมผู้ใช้งานอย่างละเอียด จนสนับสนุนการใช้งานต่าง ๆ ได้แบบของใครของมัน ในแบบส่วนตัวสุด ๆ เตรียมปล่อยอัปเดตให้ใช้งานได้พร้อมกันเร็ว ๆ นี้

Apple Intelligence ผู้ช่วย ‘ส่วนตัว’ ของจริง

เข้าใจใช้ชื่อจริง ๆ โดยบริการ AI จาก Apple หรือชื่อเต็ม ๆ ว่า “Apple Intelligence” ซึ่งใช้ตัวย่อว่า “AI” ได้เหมือนกัน ทว่าของ Apple จะเน้นการใช้ AI ที่ช่วยทำความเข้าใจผู้ใช้ผ่านทั้ง ภาษา รูปภาพ วิดีโอ พฤติกรรมการใช้งาน รวมถึงการทำสิ่งต่าง ๆ ข้ามไปมาระหว่างแอปฯ กล่าวคือตัว AI จะตามไปทุก ๆ การใช้งาน ซึ่งจะใช้การประมวลผลทั้งบนชิปในอุปกรณ์และบนเซิร์ฟเวอร์ร่วมกันเลย ซึ่งยังคงความเป็นส่วนตัวทั้งสองแบบด้วย

นับเป็นฟีเจอร์ที่เรียกว่า Private Cloud Compute โดยหากผู้ใช้มีการเรียกใช้งาน AI ที่ซับซ้อนมากขึ้น ก็จะใช้เซิร์ฟเวอร์มาช่วยประมวลผล ขณะเดียวกันก็ยังรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ มั่นใจได้ว่าข้อมูลจะไม่ถูกเก็บรักษาหรือเปิดเผย หรือใครที่เชี่ยวชาญก็ตรวจสอบโค้ดที่รันอยู่บนเซิร์ฟเวอร์ Apple Silicon เพื่อยืนยันความเป็นส่วนตัวได้เลย เพราะข้อมูลทุกอย่างจะถูกเก็บเป็นรหัสทั้งหมด ส่วนจะมีฟีเจอร์ AI ตัวไหนน่าสนใจบ้าง ลองดูได้ตามนี้

Siri มาดใหม่แบบ Next Gen

ประเดิมด้วยผู้ใช้อัจฉริยะที่อยู่คู่บุญผู้ใช้ Apple มาอย่างยาวนานกับ Siri ที่รอบนี้มาในมาดผู้ช่วย ‘อัจฉริยะ’ อย่างแท้จริง ซึ่งทาง Apple เผยเลยว่า “สามารถเข้าใจภาษาได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น” ระดับที่ต่อให้ผู้ใช้พูดผิด ๆ ถูก ๆ หรือตะกุกตะกัก ตัว Siri ก็จะยังจับใจความได้ (ตอนนี้รองรับเฉพาะภาษาอังกฤษก่อนนะ) ทั้งนี้ยังมาเป็นโลโก้แบบใหม่ กับมีเอฟเฟคเรืองแสงรอบ ๆ ขอบหน้าจอขณะใช้งาน Siri อยู่ด้วย พร้อมกันนี้ผู้ใช้สามารถคุยกับ Siri ได้มากขึ้น โดยผ่านทั้ง ภาษา รูปภาพ วิดีโอ และพฤติกรรมการใช้งาน เช่น รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นบนหน้าจอ หากเรียกใช้ Siri ก็จะมีตัวเลือกที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานนั้น ๆ ปรากฏออกมาเช่น กำลังคุยแชทขายของ เมื่อลูกค้าพิมพ์ที่อยู่มาให้แล้ว ก็บอก Siri ให้เก็บข้อมูลนี้ลงใน ‘รายชื่อ’ พร้อมช่องทางติดต่อได้ทันที หากใช้งานด้านอื่น ๆ ก็จะมีตัวเลือกการเรียกใช้ AI ที่เหมาะสมกับแอปฯ นั้น ๆ เรียกได้ว่า Prompt แทบไม่ต้อง Choice มาก่อน

Writing Tools พิสูจน์อักษร

ฟีเจอร์ AI ที่หลาย ๆ คนคุ้นเคยกันดีอย่าง ‘สรุปเนื้อหา’ หรือช่วยปรับสำนวน ถอดข้อความเสียง และอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับ Text ตัวอักษรต่าง ๆ ทาง Apple เรียกรวม ๆ ว่า Writing Tool เช่น การช่วยเขียน E-mail ปรับให้เป็นทางการหรือกันเองได้ หรือช่วยสรุปเนื้อหา (Key Points) ของเนื้อหาอีเมล์ หรือในบทความต่าง ๆ ก็ยังได้

Image Playground สร้างภาพจาก AI (ที่แสนคุ้ยเคย)

นับเป็นฟีเจอร์ AI ในยุคแรก ๆ ที่หลายคนคงพบเจอมานาน ในที่สุดก็ได้เห็นฟีเจอร์นี้จาก Apple แล้ว ซึ่งบอกเลยว่าแม้จะมาช้า แต่ชัวร์ของจริงกับ Image Playground สร้างภาพ Gen AI สวยเก๋ในไม่กี่วินาที โดยเลือกจาก 3 สไตล์ที่มีมาให้อย่าง Animation, Illustration หรือ Sketch โดยจะเลือกจากไฟล์รูปภาพที่มีมาแปลงใหม่ หรือสร้างขึ้นใหม่ผ่านข้อความหรือวาดด้วย Apple Pencil ก็ได้ พร้อมใช้ร่วมได้ทั้งในแอปฯ Keynote, Freeform และ Pages กับในแอปฯ อื่น ๆ (ที่รองรับ) นอกจากของ Apple ก็ได้เช่นกัน

Genmoji สร้างอิโมจีด้วย Gen AI

ตรงตามชื่อเลยกับ Genmoji หรือฟีเจอร์สร้างอิโมจีด้วย Gen AI เปิดให้ผู้ใช้สามารถพิมพ์สร้างอิโมจีเฉพาะตัวได้ ซึ่งตัว Apple Intelligence จะประมวลผลการสร้างรูปอิโมจีจากข้อความให้เอง เช่น Squirrel DJ ก็จะได้รูปกระรอก DJ ที่กำลังสแครชแผ่นเสียง พร้อมใช้ในช่องข้อความทันที

สลับใช้งาน ChatGPT ฟรี

นอกจาก Siri แล้ว ทาง Apple ยังจับมือกับ OpenAI ในการนำ ChatGPT เข้ามาใช้งานด้วย โดยเป็นการใช้งาน ChatGPT ที่มีความเป็นส่วนตัวแบบสุด ๆ ทั้งการปิดบังที่อยู่ IP ของผู้ใช้ และการที่ทาง OpenAI จะไม่จัดเก็บข้อมูลคำขอใช้งานด้วย ทั้งนี้ตัว ChatGPT จะมาใน iOS 18, iPadOS 18 และ macOS Sequoia ภายในปีนี้ และพิเศษเลยคื สามารถใช้งาน ChatGPT หรือ GPT-4o ได้ฟรี โดยไม่ต้องสร้างบัญชีผู้ใช้เลยด้วย การันตีความสะดวกและส่วนตัวแบบสุด ๆ เรียกได้ว่ามาช้าแต่ชัวร์แท้ ๆ กับบริการ AI จาก Apple ซึ่งทั้งหมดในนี้ก็ยังเป็นเพียงส่วนหนึ่ง ทาง Apple ยังมีฟีเจอร์ AI อีกมากมายให้รอใช้งานกันได้เร็ว ๆ นี้ รอติดตามกันได้เลยครับ

แถมท้าย “เครื่องคิดเลข”

ในที่สุดทาง Apple ก็เพิ่มฟีเจอร์เครื่องคิดเลขแล้ว ว ว (เสียงเอคโค่) ทว่าไม่ใช่เครื่องคิดเลขธรรมดา โดยจะรองรับใน iPadOS เพื่อใช้งานร่วมกับ Apple Pencil ที่ช่วยให้เขียนโจทย์คณิตแล้วให้ AI ใส่คำตอบแบบได้ทันที

โดยมาพร้อมฟีเจอร์ AI อย่าง “Math Notes” ที่เหมือนนำเครื่องคิดเลขมารวมร่างกับแอปฯ Notes จนสามารถใช้ Apple Pencil เขียนโจทย์คณิต ทั้งแบบตัวอักษรหรือวาดกราฟลงในตัวแอปฯ จากนั้นตัว AI ของ Apple จะประมวลผลหาคำตอบโดยอ่านจากลายมือสด ๆ หรือจะให้สร้างกราฟขึ้นใหม่ผ่านตัวเครื่องคิดเลขก็ยังได้ ซึ่งมี Interactive Graphing หรือเครื่องมือช่วยปรับแต่งการสร้างกราฟหรือสร้างตัวแปรในโจทย์คณิตต่าง ๆ ได้ทุกอย่างแบบ Realtime ทั้งหมด ถูกใจผู้ใช้ที่เป็นนักเรียนหรือนักศึกษาแน่นอน

ที่มา : Apple.com

เสร็จสิ้นภารกิจ SpaceX สร้างประวัติศาสตร์ นำชิ้นส่วนสำคัญกลับโลก

SpaceX

SpaceX ยืนยันความสำเร็จอีกครั้ง เพราะสามารถนำชิ้นส่วนจรวดกลับสู่โลกอย่างปลอดภัยในการทดสอบครั้งล่าสุด

โดยจรวด Starship ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ด้วยการนำทั้งส่วน Booster และส่วน Upper Stage กลับสู่โลกด้วยวิธี “Controlled Ocean Splashdown” หรือการนำจรวดลงสู่มหาสมุทรอย่างควบคุม เป็นเทคนิคที่ SpaceX ใช้ในการนำจรวดกลับสู่โลกอย่างปลอดภัย หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจในอวกาศ

การนำส่วน Booster (Super Heavy) และ Upper Stage (Starship) กลับมาได้เป็นกุญแจสำคัญในแผนระยะยาวของ SpaceX ที่จะทำให้ Starship เป็นจรวดแบบนำกลับมาใช้ใหม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบแห่งแรกของโลก ซึ่งช่วยลดต้นทุนต่าง ๆ ลงไปได้มาก

เป้าหมายสูงสุดคือการนำ Super Heavy และ Starship กลับมาลงจอดในแนวดิ่งที่ Starbase ฐานปล่อยจรวด Starship ของ SpaceX ในรัฐเท็กซัส

แม้ว่านี่จะเป็นเพียงครั้งที่ 4 ที่ Starship ทะยานขึ้นสู่วงโคจร แต่การทดสอบก็ราบรื่น โดยมีเพียง 1 ใน 33 เครื่องยนต์ บน Booster Super Heavy ที่ขัดข้อง และบริษัทก็ประสบความสำเร็จในการทดลองเทคนิคการแยกขั้น “Hot-staging” ซึ่งเป็นเทคนิคใหม่ (Hot-staging คือการจุดเครื่องยนต์บน Upper Stage ชั่วคราวขณะที่ยังติดอยู่กับ Booster เพื่อช่วย “ผลัก” Booster ออกไป)

นอกจากนี้ SpaceX ยังประสบความสำเร็จในการปลด “Hot Stage Ring” ที่อยู่ระหว่าง Starship และ Super Heavy เป็นครั้งแรกเพื่อลดน้ำหนักของ Booster ขณะกลับสู่โลกได้อีกด้วย

ที่มา
techcrunch

แปลเสียงเห่า นักวิจัยใช้ AI เข้าใจน้องหมา ให้ผลลัพธ์แม่นยำกว่า 70%

แปลเสียงเห่า

ถ้าน้องบอกว่าเจ็บได้ เราคงไม่ทำร้ายน้องใช่ไหม…

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน กำลังใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทำความเข้าใจแบะ แปลเสียงเห่า ของสุนัข ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกอยากเล่น ความเจ็บ หรือความโกรธ

โดยพวกเขาได้นำแบบจำลองคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่แล้ว ซึ่งได้รับการฝึกฝนจากเสียงพูดของมนุษย์มาปรับใช้กับเสียงเห่า เพื่อที่จะทำให้เข้าใจเสียงของสัตว์ครับ

โดยระบบ จะแยกแยะความแตกต่างในน้ำเสียง ระดับเสียง และสำเนียง ซึ่งจะช่วยให้ซอฟต์แวร์รู้จำเสียง และแปลเป็นความต้องการต่าง ๆ ออกมา แต่เรื่องนี้นั้นไม่ง่ายเหมือนแยกแยะเสียงของมนุษย์ เพราะการบันทึกเสียงของสัตว์นั้นทำได้ยากกว่าในทางปฏิบัติ

ทีมนักวิจัย จำเป็นต้องรวบรวมเสียงเห่า เสียงคำราม และเสียงครางของสุนัข 74 ตัวที่มีสายพันธุ์ อายุ และเพศต่างกัน ในบริบทต่าง ๆ ซึ่งนั่นเป็นงานที่หินพอตัว และต้องมีคนที่เชี่ยวชาญพอที่จะบอกว่าได้ว่า พฤติกรรมต่าง ๆ ของสุนัขนั้น สื่อถึงความหมายใด ๆ เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบเพิ่มเติม

แต่หลังจากได้ข้อมูลมา นักวิจัยได้ป้อนข้อมูลเหล่านี้เข้าสู่แบบจำลองแมชชีนเลิร์นนิง ที่ออกแบบมาเพื่อวิเคราะห์การสื่อสารของมนุษย์ และพวกเขาพบว่า มันสามารถใช้วิเคราะห์การสื่อสารของสุนัขได้ด้วยเช่นกัน โดยเฉลี่ยแล้ว นักวิจัยพบว่าโมเดลของพวกเขามีความแม่นยำ 70% ในการทดสอบต่างๆ

ผลลัพธ์นี้ ชี้ให้เห็นว่า เสียงและรูปแบบที่ได้จากคำพูดของมนุษย์สามารถใช้เป็นรากฐานในการวิเคราะห์และทำความเข้าใจรูปแบบของเสียงอื่น ๆได้ เช่น เสียงของสัตว์ ซึ่งในอนาคต เราอาจแปลเสียงของสัตว์อื่น ๆ ได้ด้วย

การวิจัยนี้ ถูกนำเสนอในการประชุมนานาชาติร่วมเรื่องภาษาศาสตร์คอมพิวเตอร์ และ ทรัพยากรภาษา เพื่อที่ในอนาคต มันจะมีผลต่อสวัสดิภาพของสัตว์ มากขึ้น ซึ่งถ้าเราเข้าใจภาษาของน้องมากขึ้น มันก็ลดโอกาสที่เราจะทำร้ายสัตว์ลง ใช่ไหม…

ที่มา
bbc

รอไปก่อน ระบบช่วยเหลือ Copilot+ AI PC รองรับได้แค่ชิป Arm

Copilot+ AI PC

Copilot+ AI PC เป็นระบบช่วยเหลือ AI ที่มีความล้ำหน้ากว่า Copilot แบบปกติ โดยมุ่งเน้นการนำ AI มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ความปลอดภัย ความเร็ว และการปรับแต่งประสบการณ์การใช้งานให้เหมาะกับผู้ใช้แต่ละคน ซึ่ง Microsoft ได้เปิดตัวมาพร้อมกับ Surface รุ่นใหม่ที่ใช้ CPU Arm

แต่ในวันที่เปิดตัวก่อนหน้านี้ ยังคลุมเครือว่า คอมรุ่นเก่าที่ใช้ชิปสถาปัตยกรรม x86 จะใช้ Copilot+ AI PC ได้ไหม? ตอนนี้มีคำตอบแล้วว่า “ยังไม่ได้ครับ” เขาให้อภิสิทธิ์กับคอมที่ใช้ชิปสถาปัตยกรรม Arm ก่อน เช่น Snapdragon X series

แม้ว่าที่งาน Computex 2024 Intel และ AMD จะประกาศโปรเซสเซอร์แล็ปท็อปตระกูล x86 ใหม่ ซึ่งรวมถึง NPU ที่มีสเปคเกินกว่าข้อกำหนดของ Copilot+ ที่ Microsoft กำหนดไว้สำหรับ Copilot+ AI PC ใหม่ แต่อุปกรณ์ที่มีชิปเหล่านี้ไม่ได้มาพร้อมชุดฟีเจอร์ที่จะรองรับการใช้งานมากนัก

แต่หากถามว่า แล้วจะได้ใช่เมื่อไหร่ ก็คาดว่าอาจจะเป็นช่วงปลายปีนี้ แต่คนอยากใช้จริง ๆ นี่ไม่รู้ว่ามีเยอะแค่ไหนนะ เพราะฟีเจอร์ Recall ก็ยังคลุมเครืออีกว่า อาจมีส่วนทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหลมากขึ้นหรือเปล่า…

ที่มา
https://www.xda-developers.com/microsoft-copilot-wont-support-intel-or-amd-processors-at-launch/

แจกพิกัด ปักหมุดห้องน้ำสาธารณะ หาง่ายบน Google Maps

นิวยอร์คตั้งโครงการ “Ur in Luck”เปิดตัวมุมมองแผนที่ซึ่งมีห้องน้ำสาธารณะ 1,000 จุดในตัวเมือง ผู้ใช้สามารถเปิดดูแผนที่บนโทรศัพท์และค้นหาห้องน้ำที่ใกล้ที่สุดสามารถเข้าถึงได้ง่ายและไม่มีค่าใช้จ่าย

รัฐบาลในนิวยอร์คเตรียมสร้างห้องน้ำใหม่ 46 ห้อง และปรับปรุงสถานที่ที่มีอยู่ 36 แห่งภายในห้าปีข้างหน้าเพื่อรองรับผู้ใช้งานมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ผู้อาวุโส พ่อแม่ที่มีลูก หรือใครก็ตามที่อยากออกมาทำกิจกรรมนอกบ้าน

เพื่อแก้ปัญหาห้องน้ำสาธารณะในเมืองที่ทั้งหายาก ไม่เพียงพอ และมักจะใช้งานไม่ได้ หรือมีข้อกำหนดให้ต้องซื้อของจากร้านค้าหรือร้านกาแฟก่อนจะเข้าใช้ หรือปิดให้บริการเร็วกว่ากำหนด

ด้วยร่วมมือกับ Google Maps ปักหมุดห้องน้ำสาธารณะในเขตชุมชน รวมถึงอัปเดทสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ อย่าง ห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ เป็นต้น รวมถึงแจ้งจุดที่รองรับการชาร์จโทรศัพท์ในยามฉุกเฉินอีกด้วย

เราจะเห็นได้ว่าหลายประเทศเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับสถานที่สาธารณะกันมากขึ้น อย่างบ้านเราจะเห็นว่ามีแอปที่พัฒนาระบบเพื่อตอบโจทย์เรื่องห้องน้ำสาธารณะด้วยเหมือนกัน 

 

ที่มา  : theverge  

#GoogleMaps  #ห้องน้ำ #TechhubUpdate

เลอโนโว เปิดให้ค้นพบประสิทธิภาพอันไร้ข้อจำกัดจาก Lenovo Yoga Book 9i เจนเนอเรชันใหม่ล่าสุด

เลอโนโว พร้อมวางจำหน่ายแล็ปท็อป Lenovo Yoga Book 9i เจนเนอเรชันใหม่ล่าสุด สำหรับเหล่าผู้นำเทรนด์ที่กำลังมองหาแล็ปท็อปเพื่อตอบโจทย์การใช้งานได้เสถียรและหลากหลายรูปแบบกว่าที่เคย ด้วยตัวเครื่องที่ผลิตขึ้นจากอะลูมิเนียมวัสดุเกรดเดียวกับที่ใช้ในการผลิตอากาศยาน ดีไซน์โค้งมนรับกับมือในขณะที่ถือ ทำให้ Lenovo Yoga Book 9i เป็นแล็ปท็อปสไตล์คอนเวอร์ทิเบิล พร้อมให้คุณเป็นเจ้าของและพบกับประสิทธิภาพที่ไร้ขีดจำกัดแล้ววันนี้ในประเทศไทย

แล็ปท็อป 2 หน้าจอ Lenovo PureSight OLED ในขนาด 13.3 นิ้ว ความละเอียด 2.8K ขอบจอบางทั้ง 4 ด้าน ให้สัดส่วนมุมมองภาพขนาด 16:10 และได้รับการการันตี Dolby Vision® HDR ให้ภาพสว่างคมชัดในทุก ๆ มุมมอง หน้าจอรองรับการแสดงเฉดสีในระดับ 100% DCI-P3 color gamut ที่ความสว่างสูงสุดถึง 400 nits และความสว่าง HDR สูงสุด 600 nits ตรงตามมาตรฐาน VESA® DisplayHDR 500 True Black นอกจากนี้ TÜV Rheinland EyeSafe® Display Requirements 2.0 และ Radiance Protection Factor (RPF®) 60 ยังรับรองหน้าจอว่าสามารถช่วยป้องกันสายตา และลดความเมื่อยล้าจกการจ้องหน้าจอเป็นเวลานานได้

แล็ปท็อปมาพร้อมปากกาดิจิทัล Wacom AES 2.0 digital pen สำหรับใช้วาดหรือเขียนบนหน้าจอที่รองรับการสัมผัสได้ถึง 10 จุดพร้อมกัน นอกจากนี้ยังรองรับการใช้งาน Windows Hello ผ่านกล้อง IR เว็บแคมความละเอียดขนาด 5 ล้านพิกเซลที่มีเซ็นเซอร์สำหรับ ambient light และ time-of-flight รวมถึงไมโครโฟนแบบคู่

ลำโพงแบบซาวด์บาร์ที่ติดตั้งไว้ในแผงข้อต่อระหว่าง 2 หน้าจอจากแบรนด์ Bowers & Wilkins ประกอบด้วยวูฟเฟอร์ 2 ตัว และทวีตเตอร์ 2 ตัว ให้คุณภาพเสียงที่คมชัด กังวาน สมจริง โดยถ่ายทอดออกมาจากตัวเครื่องผ่านซาวด์บาร์ที่หมุนได้

Lenovo Yoga Book 9i มาพร้อมหน่วยประมวลผลโปรเซสเซอร์ Intel® Core Ultra ที่ส่งมอบขุมพลังประสิทธิภาพการทำงานทั้ง CPU, GPU และ NPU เพื่อรองรับการใช้งาน AI พร้อมยกระดับประสบการณ์การใช้งานกราฟิก และการประมวลผลขั้นสูงและระดับการใช้งานทั่วไป ให้การใช้งานโมบายแล็ปท็อปพรีเมียมยิ่งขึ้นผ่านแพลตฟอร์ม Intel® Evo

แล็ปท็อปสามารถใช้งานต่อเนื่องได้ยาวนานสูงสุดถึง 24.5 ชั่วโมงเมื่อใช้งานหน้าจอเดี่ยว และนาน 15 ชั่วโมงเมื่อใช้งาน 2 หน้าจอพร้อมกัน ด้วยประสิทธิภาพการจัดการพลังงานขั้นสูงจากแบตเตอรี่ขนาด 80 วัตต์ และฟังก์ชันรองรับการชาร์จเร็วแบบ Charge Boost technology ที่สามารถเล่นวีดีโอต่อเนื่องได้นานถึง 2 ชั่วโมงจากการชาร์จเพียง 15 นาที

ด้วยน้ำหนักที่เบาเพียง 1.34 กิโลกรัม และบางเพียง 15.95 มิลลิเมตร Lenovo Yoga Book 9i ได้รับการออกแบบให้ทั้ง 2 หน้าจอเชื่อมต่อกันด้วยข้อต่อที่ทำให้หมุนได้ 360 องศา จึงเหมาะสำหรับกลุ่มผู้ใช้งานเครื่องสไตล์คอนเวอร์ทิเบิลที่รองรับการใช้งานทั้งในโหมด laptop, โหมด tent, และโหมด tablet โดยLenovo Yoga Book 9i ยังมีอีกโหมดการใช้งานใหม่ที่เรียกว่า Multimode+ ซึ่งคือโหมด book สำหรับอ่านหนังสือ และโหมด scroll เพื่อการใช้งานที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

Lenovo Yoga Book 9i ยังมาพร้อมอุปกรณ์เสริมที่เข้าชุด ได้แก่ โฟลิโอเคสแบบพับ ในสีเขียว Tidal Teal, คีย์บอร์ด Magnetic Bluetooth® Keyboard, เมาส์ Lenovo Yoga 600 Bluetooth Silent Mouse และปากกาดิจิทัล Digital Pen 3 ที่รองรับความไวต่อแรงกดถึง 4,096 ระดับ และการเขียนแบบเอียง ซึ่งให้คุณภาพการเขียนที่แม่นยำไม่ว่าจะเป็นการสเก็ตช์ภาพหรือการจดโน๊ต

เพิ่มประสิทธิภาพให้การใช้งานทั่วไปดีเยี่ยมยิ่งขึ้นด้วยแอปพลิเคชันที่อยู่ในตัวเครื่อง ได้แก่  Smart Launcher สำหรับจัดกลุ่มและแสดงแอปพลิเคชันที่ใช้งานบ่อยเพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใช้งาน Smart Note สำหรับจดโน๊ตที่สามารถทำได้ในทันทีแม้หน้าจอเครื่องจะล็อคอยู่ก็ตาม และมอบประสบการณ์การอ่านหนังสือบนแล็ปท็อปให้เหนือขั้นด้วย Smart Reader ที่สามารถแสดงผลทั้ง 2 หน้าจอและให้มุมมองเสมือนการอ่านหนังสือจริง

เลอโนโวออกแบบ Lenovo Yoga Book 9i ผ่านความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม โดยส่วนฝาเครื่องด้านบน ผลิตขึ้นจากวัสดุอะลูมิเนียมรีไซเคิล 100% และใช้บรรจุภัณฑ์ห่อหุ้มตัวเครื่องผลิตขึ้นจากกระดาษที่ได้รับการรองรับจาก FSC™ นอกจากนี้กล่องอะแด็ปเตอร์ยังทำมาจากพลาสติกรีไซเคิล 90% อีกเช่นกัน

ราคาและการวางจำหน่าย

Lenovo Yoga Book 9i วางจำหน่ายแล้ววันนี้ในราคาเริ่มต้นที่ 75,990 บาท ณ ร้านค้าพันธมิตรและตัวแทนจำหน่ายเลอโนโวทั่วประเทศ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สามารถเยี่ยมชมได้ที่เว็บไซต์ https://www.lenovo.com/th/th หรือ https://www.facebook.com/LenovoTH

Hot Issue