Home Blog Page 72

มูฟมี ชวนนั่งตุ๊กตุ๊กเที่ยวเพลิน ดูมินเนี่ยนทั่วกรุง

มูฟมี ชวนนั่งตุ๊กตุ๊กเที่ยวเพลิน ดูมินเนี่ยนทั่วกรุง พร้อมร่วมสนุกรับบัตรชมภาพยนตร์และของที่ระลึก Despicable Me 4 วันนี้ถึง 31 สิงหาคม 2567

มูฟมีชวนเชิญแฟนภาพยนตร์ Despicable Me 4 เปิดประสบการณ์การเดินทางสุดน่ารักด้วยรถตุ๊กตุ๊กสีเหลืองคาแรคเตอร์ Despicable Me 4 ที่จะสร้างสีสันให้ชาวกรุงตลอด 3 เดือน ระหว่าง 1 มิถุนายน – 31 สิงหาคม 2567 ทั้งนี้ มูฟมีได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการสำหรับแคมเปญใหม่สุดน่ารักจาก MuvMi (มูฟมี) ผู้ให้บริการ on-demand ride sharing ในเมืองกรุง เพื่อเป็นการต้อนรับภาพยนตร์แฟรนไชส์ สุดฮิตภาคใหม่ Despicable Me 4 มิสเตอร์แสบร้ายเกินพิกัด 4 ที่กำลังจะเข้าฉายที่โรงภาพยนตร์ในวันที่ 4 กรกฎาคมนี้

ผู้สนใจสามารถเรียกรถมูฟมีและเดินทางไปยังจุด hop point ที่เป็นโรงภาพยนตร์ได้จากสัญลักษณ์มินเนี่ยนในแอปพลิเคชันมูฟมี และได้นั่งรถสามล้อตุ๊กตุ๊กที่เป็นหนึ่งในไอคอนสำคัญของกรุงเทพมหานคร  ซึ่งตกแต่งด้วยธีมเมกะมินเนี่ยน จำนวน 30 คันทั่วกรุงเทพในพื้นที่ให้บริการอาทิจุฬา-สามย่าน, อารีย์-ประดิพันธ์, สุขุมวิท, เกษตร-พหลโยธิน, อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ, แบริ่ง-ลาซาล รวมถึงกิจกรรมพิเศษอีกมากมายในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์

มูฟมีมุ่งหวังจะสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ร่วมเดินทางได้รู้สึกตื่นเต้น และประทับใจกับเหล่าตัวละครมินเนี่ยนจากภาพยนตร์ ให้เกิดความสนุก แปลกใหม่โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้ใช้บริการวัยนักศึกษา วัยทำงานหรือแม้กระทั่งกลุ่มครอบครัว และมูฟมีต้องการสะท้อนตัวตนของแบรนด์ในด้านการเดินทางแบบ ESG Mobility Solution ด้วยบริการ ride sharing ที่อยากให้ผู้ใช้งานเข้าถึงได้ง่าย รู้สึกปลอดภัย และเป็นมิตรต่อท้องถนนเพื่อเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำอีกด้วย

เกี่ยวกับภาพยนตร์ Illumination’s DESPICABLE 4  (มิสเตอร์แสบร้ายเกินพิกัด 4) มีกำหนดเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ 4 กรกฎาคม 2567

เป็นครั้งแรกในรอบเจ็ดปีที่กรู ซูเปอร์วายร้ายขวัญใจชาวโลกผู้ผันตัวไปเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่อต้านวายร้าย ได้กลับมาสู่ตำนานบทใหม่เอี่ยมอ่องที่น่าตื่นเต้น และยิ่งใหญ่อลังการของความโกลาหลสไตล์มินเนี่ยนใน Despicable Me 4 โดยอิลลูมิเนชัน

 

หลังจาก Minions: The Rise of Gru โดยอิลลูมิเนชัน ภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ที่ฮ็อตฮิตถล่มทลายในช่วงกลางปีในปี 2565 และกวาดรายได้ไปเกือบหนึ่งพันล้านเหรียญทั่วโลก บัดนี้ แฟรนไชส์แอนิเมชั่นระดับโลกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์กำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคใหม่เมื่อกรู (สตีฟ คาเรล นักแสดงผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์) ลูซี่ (คริสเตน วิก นักแสดงผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์) และลูกๆ ของพวกเขา มาร์โก้ (มิแรนด้า คอสโกรฟ) อีดิธ (ดานา โกเออร์ ) และ แอ็กเนส (เมดิสัน โปแลน) ต้องต้อนรับสมาชิกครอบครัวคนใหม่ กรูจูเนียร์ ผู้จ้องจะทรมานพ่อของเขา
กรู ต้องเผชิญกับวายร้ายคนใหม่ แม็กซิม เลอ มัล (เจ้าของรางวัลเอ็มมี วิล เฟอร์เรล) และแฟนสาวตัวจี๊ด วาเลนตินา (นักแสดงผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมี โซเฟีย เวอร์การา) ครอบครัวของกรูจึงถูกบีบให้ต้องหลบหนี 

ภาพยนตร์เรื่องนี้ มีตัวละครและทีมพากย์ใหม่อย่าง โจอี้ คิง (Bullet Train) ผู้ชนะรางวัลเอ็มมี สตีเฟน โคลเบิร์ต (The Late Show with Stephen Colbert) และ โคลอี้ ไฟน์แมน (Saturday Night Live) ยังมีปิแอร์ โคฟแฟง กลับมาพากย์เสียงเหล่ามินเนี่ยน และสตีฟ คูแกน ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์กลับมาในบทไซลัส แรมส์บอตท่อม

 

ด้วยแอ็กชั่นแบบไร้ลิมิตและอารมณ์ขันจิกกัดตามสไตล์อิลลูมิเนชั่น Despicable Me 4 กำกับโดยผู้ร่วมสร้าง Minions คริส เรน็อด (Despicable Me 2, The Secret Life of Pets) ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์  และอำนวยการสร้างโดยผู้ก่อตั้งและซีอีโอเจ้าของวิสัยทัศน์กว้างไกลแห่งอิลลูมิเนชั่น คริส เมเลแดนดรี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ร่วมกำกับโดยแพทริค เดอเลจ (ผู้กำกับฝ่ายแอนิเมชั่น Sing 2 และ The Secret Life of Pets 2) บทภาพยนตร์โดยไมค์ ไวท์ ผู้สร้าง White Lotus เจ้าของรางวัลเอ็มมี และเคน เดาริโอ มือเขียนบทมากประสบการณ์จาก Despicable Me ทุกภาค

VIGI มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อการเฝ้าระวังอย่างไม่หยุดนิ่ง ขยายกลุ่มสินค้าใหม่ในปี 2024 ครอบคลุมความต้องการมากขึ้น

บริษัท ทีพี-ลิงค์ เอ็นเตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย) จำกัด ตัวแทนผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์กล้องวงจรปิดรักษาความปลอดภัย VIGI เผย ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีในตลาดกล้องวงจรปิดประเทศไทย โดยแบรนด์ VIGI มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เริ่มเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2565 เรามุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีเพื่อช่วยให้การเฝ้าระวังความปลอดภัยมีประสิทธิภาพ และช่วยให้เราใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจมากยิ่งขึ้น

Mr. Hong Huafeng, Product Director บริษัท ทีพี-ลิงค์ เอ็นเตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “กล้องวงจรปิดและระบบรักษาความปลอดภัยเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในทุกวันนี้ นอกจากจะช่วยในการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินแล้ว ยังอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นเช่นกัน ส่งผลให้ประเทศไทยมีความต้องการใช้งานกล้องวงจรปิดรักษาความปลอดภัยที่สูงขึ้นตามมา จึงมีความเชื่อมั่นว่าแบรนด์ VIGI จะสามารถครองส่วนแบ่งตลาดกล้องวงจรปิดติด Top 3 ในประเทศไทยภายในปี 2569 ตามที่บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าหมายไว้”
โดยความสำเร็จของแบรนด์ VIGI จากการทำตลาดตลอด 2 ปีที่ผ่านมานั้น เป็นผลมาจากการดำเนินการใน 3 ส่วนด้วยกัน ส่วนแรกคือการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์การใช้งานในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งกล้องวงจรปิดสำหรับภายในและภายนอกอาคาร ตัวกล้องมีระบบประมวลผลภาพเพื่อการเก็บรายละเอียดภาพได้ดี ตัวกล้องมาพร้อมเทคโนโลยี AI เพื่อช่วยในการตรวจจับและแจ้งเตือนได้อย่างมีประสิทธิภาพซึ่งมาพร้อมอยู่ในกล้องวงจรปิดตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น รวมไปถึงฟังก์ชันการใช้งานเพื่อช่วยในการค้นหาและตรวจสอบเหตุการณ์ย้อนหลังได้อย่างรวดเร็ว

ส่วนที่สอง คือการจัดการสต๊อกสินค้า และการให้บริการหลังการขาย โดยทางบริษัทฯ มีคลังสินค้านำเข้าเป็นของตัวเองในประเทศไทย ทำให้สามารถบริหารจัดการสินค้าเพื่อให้ตรงกับความต้องการแกพันธมิตร และตัวแทนจำหน่ายได้อย่างรวดเร็ว หากเมื่อเกิดการขาดสต็อกสินค้าจะใช้เวลาในการรอสินค้าเพียงระยะเวลาอันสั้น รวมถึงการรับประกันสินค้าที่ยาวนานถึง 3 ปี ให้คุณใช้งานได้อย่างอุ่นใจ หากอุปกรณ์เสียหรือมีปัญหาในระยะเวลาการรับประกันจะมีการเปลี่ยนสินค้าใหม่ให้กับลูกค้าโดยไม่มีการนำมาแกะซ่อม อีกทั้งเรายังมีทีมงานพร้อมช่วยเหลือและให้คำปรึกษาในเรื่องของการติดตั้งและใช้งาน ผ่านช่องทาง Call Center และช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งานสินค้า VIGI และส่วนสุดท้าย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้แบรนด์ VIGI มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องคือ พันธมิตรผู้จัดจำหน่ายอย่าง ซินเน็ค (ประเทศไทย) รวมไปถึงตัวแทนจำหน่ายและติดตั้งทั่วประเทศ โดยในปีนี้เราได้มีการเสริมทัพพันธมิตรผู้จัดจำหน่ายอย่าง เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) เข้ามาเพื่อสร้างความมั่นใจในผลิตภัณฑ์ และการบริการหลังการขายที่ดีมากยิ่งขึ้น

ในปี 2567 นี้ แบรนด์ VIGI มีการขยายกลุ่มสินค้าใหม่ให้ครอบคลุมการใช้งานในพื้นที่ห่างไกลที่ยากต่อการติดตั้งเดินสาย เพื่อตอบโจทย์การใช้งานในรูปแบบต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น เช่น ระบบจ่ายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อัจฉริยะพร้อมแบตเตอรี่ในตัว (Solar Panel) VIGI SP9030 และ VIGI SP6020 มีขนาดแผงโซล่าร์เซลล์ให้เลือกที่ 90W และ 60W ใช้ระบบควบคุมการชาร์จพลังงานแบบ MPPT เพื่อการเก็บพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถจัดการอุปกรณ์จากระยะไกลผ่านแอปฯ VIGI บนมือถือ, VIGI C540-4G กล้องวงจรปิด Pan/tilt ใส่ซิม 4G ความละเอียด 4 ล้านพิกเซล เพื่อการใช้งานสำหรับพื้นที่ห่างไกล หรืออินเทอร์เน็ตบ้านเข้าไม่ถึง
นอกจากนี้ VIGI ยังมีกล้องวงจรปิดเพื่อการเฝ้าระวังความปลอดภัยอีกหลายรุ่นที่กำลังจะเข้ามาในภายในปีนี้ เช่น VIGI C340S กล้องวงจรปิดที่มาพร้อมเทคโนโลยี ColorPro เพื่อการเก็บภาพในที่มืดได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีการอัพเกรดเทคโนโลยี AI ในการตรวจจับบุคคลและยานพาหนะขั้นสูง เพื่อการค้นหาเหตุการณ์ย้อนหลังได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น, VIGI C345 และ VIGI C445 กล้องวงจรปิดภาพสี 24 ชั่วโมง ความละเอียด 4 ล้านพิกเซล ทรง Bullet และทรง Turret มาพร้อมวัสดุโลหะทนทานในทุกสภาพอากาศ

VIGI มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อช่วยให้การเฝ้าระวังความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และใช้งานได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ตอบโจทย์การใช้งานกับที่พักอาศัยและธุรกิจในรูปแบบที่หลากหลาย ผู้ที่สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมของผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีต่าง ๆ ได้ที่เว็บไซต์ https://www.tp-link.com/th/business-networking/vigi-network-camera/ หรือดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/44qjsL6 และสามารถปรึกษา Solutions สำหรับธุรกิจองค์กรได้ที่ https://bit.ly/3pl8GpU

#TPLINK #TPLINKTH #VIGI #HomeSolutions #BusinessSolutions #Surveillance #AI #AdvanceAI #SmartDetection #ReplacementWarranty #3YearWarranty #กล้องวงจรปิด #ระบบเฝ้าระวังความปลอดภัย #CCTV #CCTVCamera #DigitalCCTV #SolarPanel #CleanEnergy #MetalCamera

สุดจัด เปิดตัวผู้สมัครเลือกตั้ง AI Steve ใช้คนจริงเป็นผู้ใช้

อาจจะฟังดูแปลก ๆ แต่เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงแล้วในอังกฤษ เมื่อมีผู้สมัคร AI ที่ลงสมัครรับตำแหน่งรัฐสภาในสหราชอาณาจักร และกล่าวว่า AI สามารถทำให้การเมืองมีมนุษยธรรมได้

AI ดังกล่าวชื่อว่า “Steve” เป็นผู้ลงสมัครเลือกตั้ง และเขาจะปรากฏตัวบนบัตรลงคะแนนร่วมกับผู้สมัครที่ไม่ใช่ AI ในเขต Brighton Pavilion ของ Brighton and Hove ซึ่งเป็นเมืองบนชายฝั่งทางใต้ของอังกฤษ

หาก Steve ชนะการเลือกตั้ง คนที่เข้าสภาจะเป็น Steve Endacott โดยเป็นผู้ที่สร้าง AI Steve ขึ้นมา และ Endacott ยังบอกอีกว่า เขานั้นเป็นแค่ผู้ช่วยของ AI Steve เท่านั้น

สำหรับ Endacott เขาเป็นผู้บริหารบริษัท Neural Voice ซึ่งเป็นบริษัทที่สร้างผู้ช่วยเสียงส่วนบุคคล สำหรับธุรกิจในรูปแบบของอวตาร AI โดยเทคโนโลยีของ Neural Voice อยู่เบื้องหลังของ AI Steve และ AI Steve ยังเป็นหนึ่งในเจ็ดตัวละครที่บริษัทสร้างขึ้นเพื่อโชว์เทคโนโลยีของตนเอง

Endacott บอกว่าเขาอยากสร้างนักการเมืองที่คอยพูดคุยกับผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้อยู่เสมอ ผู้คนสามารถถามคำถามกับ AI Steve หรือแบ่งปันความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายของเขาบนเว็บไซต์ได้ โดยในระหว่างนั้น AI จะให้คำตอบด้วยเสียงและข้อความตามฐานตามข้อมูลที่เกี่ยวกับนโยบายของพรรคของเขา

แต่หากเขาไม่มีนโยบายสำหรับประเด็นใดประเด็นหนึ่ง AI จะทำการวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ก่อนที่จะมีส่วนร่วมกับผู้มีสิทธิเลือกตั้งและผลักดันให้พวกเขาเสนอแนะนโยบายที่อยากได้

นับว่าเป็นอีกมุมมองนึงที่น่าสนใจนะ เพราะ AI นั้นถูกสร้างมาเพื่อให้ความสำคัญ หรือชี้แนะแนวทางที่เหมาะให้กับมนุษย์ และพวกเขาจะไม่นึกถึงผลประโยชน์ของตัวเองเป็นหลัก ..

ที่มา
nbcnews

“Pi Securities” มุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีทางการเงิน ผนึก AWS ใช้เทคโนโลยีคลาวด์เพื่อพัฒนาการให้บริการ

บริษัทหลักทรัพย์พาย จํากัด (มหาชน) หรือ Pi Securities ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการเป็นเลิศในอุตสาหกรรมฟินเทค ผ่านการผสานรวมเทคโนโลยีอันล้ำสมัยเข้ากับการให้บริการ เพื่อสร้างความไว้วางใจ และความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน

ล่าสุด ภายในงาน AWS Summit Bangkok 2024” ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ คณะผู้บริหาร Pi Securities นำโดย มร.บ๊อบ เวาเทอร์ส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร, นายนิกันติ์ คุณกำจร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี และ นางสาวดิกชา มาลิก ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายข้อมูล ได้ร่วมแสดงวิสัยทัศน์ด้านเทคโนโลยีของบริษัทฯ ในการนำโซลูชันที่เป็นนวัตกรรมมาใช้ นั่นคือ เทคโนโลยีระบบคลาวด์ของ AWS เพื่อยกระดับการทำงานของแอปพลิเคชัน พร้อมมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่าให้กับลูกค้า

ในงานดังกล่าว นางสาวดิกชา มาลิก ได้ร่วมเสวนาหัวข้อ Transformation Everywhere in Financial Services โดยแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับผลกระทบที่สําคัญของเทคโนโลยีต่อการธนาคาร ประกันภัย และตลาดทุน ซึ่งข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ ได้ตอกย้ำถึงความทุ่มเทของ Pi Securities ในการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรม และการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม

ด้าน มร.บ๊อบ เวาเทอร์ส กล่าวว่า “ที่ Pi Securities ความมุ่งมั่นของเราในการใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยเป็นหัวใจสําคัญของภารกิจเรา ในการส่งมอบคุณค่า และความไว้วางใจให้กับนักลงทุน ด้วยการร่วมมือกับผู้นําด้านเทคโนโลยีระดับโลกที่เชื่อถือได้อย่าง AWS เรามั่นใจว่าแอปพลิเคชันของเรา อยู่ในระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรมฟินเทค”

มร.บ๊อบ ยังกล่าวด้วยว่า เทคโนโลยีระบบคลาวด์ของ AWS เป็นส่วนหนึ่งในแนวทางของ Pi Securities ในการนําโซลูชัน ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่น่าเชื่อถือมาใช้ โดยความร่วมมือครั้งนี้ ช่วยเพิ่มความสามารถทางเทคโนโลยีของบริษัทฯ ทั้งยังช่วยให้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความคาดหวังของนักลงทุนได้อย่างครอบคลุม โดยการใช้เทคโนโลยีคลาวด์ จะช่วยให้ Pi Securities สามารถรวบรวม และวิเคราะห์ข้อมูลจํานวนมหาศาล อันนําไปสู่การให้บริการที่แม่นยํา และเฉพาะเจาะจงยิ่งขึ้นสําหรับลูกค้า ไม่เพียงเท่านั้น ยังช่วยให้เราเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น รวมทั้งช่วยในกระบวนการตัดสินใจ และส่งมอบโซลูชันทางการเงินที่เหมาะสมได้ทันเวลา

นอกจากนี้ Pi Securities ยังใช้การวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูงผ่านเครื่องมือต่าง ๆ ที่พัฒนาขึ้นภายในองค์กร เช่น เครื่องมือลูกค้าสัมพันธ์ที่ขับเคลื่อนโดย Amazon QuickSight ประกอบไปด้วยแดชบอร์ดของที่ปรึกษาการลงทุน (IC) โดยแดชบอร์ดนี้ สามารถรวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่เกิดขึ้นในทุกช่วงเวลาได้ เพื่อช่วยให้ที่ปรึกษาทางการเงิน สามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์ ต่อยอด และตัดสินใจให้คําแนะนําเฉพาะบุคคลให้แก่ลูกค้าได้อย่างแม่นยำมากที่สุด รวมไปถึง บริษัทยังได้สร้างแดชบอร์ดขั้นสูงสำหรับทุกโดเมนธุรกิจ เพื่อให้ข้อมูลเชิงลึกในเวลาที่ใกล้เคียงกับเวลาจริง และส่งเสริมวัฒนธรรมที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลภายในองค์กร ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้ จะช่วยในการคาดการณ์แนวโน้มของตลาด ค้นหาโอกาสในการลงทุน พร้อมตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้มั่นใจว่า ลูกค้าจะได้รับคําแนะนําทางการเงินที่เหมาะสมอย่างทันท่วงที

นายวัตสัน ถิรภัทรพงศ์, Country Manager, Amazon Web Services (AWS) ประเทศไทย เผยว่า “การที่ Pi Securities นำระบบคลาวด์ของ AWS มาใช้ สะท้อนให้เห็นถึงแนวทางที่มีวิสัยทัศน์ และความมุ่งมั่นที่จะนำเสนอบริการทางการเงินที่เป็นนวัตกรรมในประเทศไทย โดยภาคการบริการทางการเงินกำลังเปลี่ยนแปลงไปผ่านความก้าวหน้าทางดิจิทัล และ Pi Securities ถือเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงนี้ ด้วยการใช้ประโยชน์จากคลาวด์ที่ครอบคลุม และได้รับการยอมรับมากที่สุดในโลก  พร้อมเครื่องมือการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง ตลอดจนบริการ AI/ML ทำให้ Pi Securities มีความพร้อมที่จะขับเคลื่อนนวัตกรรม การรวบรวมข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณค่า สามารถนำเสนอโซลูชันที่ปรับแต่งได้ตามความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปในประเทศไทย

 นอกจากนี้ Pi Securities ยังมีแผนที่จะนำ Generative BI ของ Amazon QuickSight ซึ่งเป็น Generative AI ขั้นสูงของ AWS และโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ใน Amazon Bedrock มาใช้ เพื่อพัฒนาการให้บริการ ซึ่งแผนการนำเทคโนโลยีขั้นสูงเหล่านี้เข้ามาใช้ จะเปลี่ยนแปลงวิธีการที่นักวิเคราะห์ และที่ปรึกษาทางการเงินโต้ตอบกับข้อมูล ทำให้สามารถสร้างภาพประกอบ การวิเคราะห์ที่ละเอียด และการสร้างข้อมูลอันมีค่า ผ่านใช้คำสั่งจากภาษาธรรมชาติ ส่งผลให้กระบวนการทำงานเป็นไปได้อย่างราบรื่นมากขึ้น และเพิ่มความแม่นยำของข้อมูลที่บริษัทส่งมอบให้แก่ลูกค้า

Pi Securities มุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นําในอุตสาหกรรมฟินเทค (fintech) ด้วยการผนึกรวมโซลูชัน และเทคโนโลยีขั้นสูงที่ล้ำสมัยเข้ากับผลิตภัณฑ์ และการบริการต่างๆ โดยมุ่งเน้นที่ความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก พร้อมเดินหน้าพัฒนาการให้บริการ และความเป็นเลิศ สู่ความยั่งยืน

สกาย กรุ๊ป ทะยานเข้า SET100 สะท้อนการเติบโตต่อเนื่อง

สกาย กรุ๊ป” ผงาดเข้า SET100 ชูผลงานเติบโตโดดเด่น ตอกย้ำผลงานผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยีเกี่ยวกับอุตสาหกรรมการบิน พร้อมการรักษาความปลอดภัยอัจฉริยะ และแพลตฟอร์มดิจิทัล โดยได้รับการคัดเลือกให้เป็นบริษัทจดทะเบียนในดัชนี SET100 ประจำปี 2567 ซึ่งเป็นดัชนีที่รวบรวมบริษัทที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดสูง 100 อันดับแรกของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

การเข้าสู่ดัชนี SET100 ถือเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งทางการเงินและศักยภาพในการเติบโตของบริษัท โดยเกณฑ์การคัดเลือกบริษัทเข้าสู่ดัชนี SET100 นั้นประกอบด้วย มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวัน (Average Daily Trading Value) สภาพคล่องของหุ้น (Free Float) การติดดัชนี SET100 ของ SKY เป็นการตอกย้ำถึงความแข็งแกร่งของสกายกรุ๊ป ในฐานะผู้ให้บริการโซลูชันด้านไอซีทีชั้นนำของประเทศ และเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัทอย่างมั่นคงในอนาคต

 นายสิทธิเดช มัยลาภ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ สกาย กรุ๊ป (SKY Group) กล่าวว่า การที่ SKY ได้รับคัดเลือกให้เป็นบริษัทจดทะเบียนในดัชนี SET100 นับเป็นความสำเร็จที่สำคัญอีกครั้งหนึ่งของบริษัท ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่องของรายได้และกำไรของสกาย กรุ๊ป โดยบริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืนและสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นในระยะยาว และการเข้าสู่ดัชนี SET100 จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศมากขึ้น บริษัทฯ ขอขอบคุณตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่คัดเลือกหลักทรัพย์ SKY เป็น 1 ใน 9 บริษัทที่เข้าคำนวณดัชนี SET 100 ในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 (1 กรกฎาคม-31 ธันวาคม 2567) นับเป็นความภูมิใจและอีกหนึ่งก้าวสำคัญของ SKY และขอขอบคุณผู้ถือหุ้นทุกคนที่เชื่อมั่นในบริษัทฯ

บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังจะได้ตามเป้าหมาย เนื่องจากการเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และการเดินทางเข้า-ออกของผู้โดยสาร โดยสถิติของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยใน 5 เดือนแรกของปี 2567 มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมประมาณ 14.7 ล้านคน โตจากช่วงเดียวกันของปี 2566 ถึง 38% ส่งผลให้รายได้ของ SKY เติบโต นอกจากนี้ บริษัทลูกก็มีแผนที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นบริษัท โปร อินไซด์ จำกัด (มหาชน) ที่พร้อมระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ในปีนี้ และประมูลงานภาครัฐ หรือบริษัท เมทเธียร์ จำกัด ที่เป็นกำลังหลักในการบุกภาคเอกชนด้วยธุรกิจให้บริการการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์อัจฉริยะ พร้อมขยายฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่องด้วยบุคลากรมืออาชีพและเทคโนโลยีระดับโลก

Salesforce เปิดตัวนวัตกรรมการวิเคราะห์ข้อมูลที่ขับเคลื่อนด้วย AI สำหรับองค์กรไทย

บริษัท เซลส์ฟอร์ซ (Salesforce) ผู้ให้บริการ AI CRM อันดับหนึ่ง ได้เปิดตัวนวัตกรรมล่าสุดด้านการวิเคราะห์ข้อมูลโดยแท็บโบลว์ (Tableau) ที่ขับเคลื่อนด้วย AI สู่ตลาดในประเทศไทย ได้แก่ Tableau Pulse, Einstein Copilot สำหรับ Tableau และ Tableau Desktop ในแบบ Public Edition นวัตกรรมเหล่านี้จะนำข้อมูลเชิงลึกให้เข้าถึงผู้ใช้ได้มากขึ้น ทำให้องค์กรต่างๆ สามารถตัดสินใจเชิงกลยุทธ์อย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และง่ายยิ่งขึ้น

การวิเคราะห์ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี AI ได้ทำให้อุปสรรคด้านการประมวลวิเคราะห์ข้อมูลขององค์กรลดจำนวนลง รายงานของ Forrester Research ในปี 2024 พบว่า 59% ของผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจด้านข้อมูลและการวิเคราะห์ในองค์กร ซึ่งได้นำเทคโนโลยี AI มาใช้รายงานว่าองค์กรสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายจากการใช้ AI ในกระบวนการต่าง ๆ ได้เป็นอย่างมาก และ 47% กล่าวว่าพวกเขามีผลิตภัณฑ์ด้านข้อมูลจาก AI ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้กับองค์กร

สำหรับในประเทศไทย รายงาน State of IT ของ Salesforce พบว่าผู้นำด้านไอทีมากถึง 92% เชื่อว่า generative AI จะมีบทบาทสำคัญสูงมาก อย่างไรก็ตามผู้ตอบการสำรวจถึง 70% กลับพบกับอุปสรรคในการตอบสนองความต้องการด้านไอทีขององค์กร นวัตกรรมล่าสุดจาก Tableau เหล่านี้ช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถสร้างการวิเคราะห์ข้อมูล Analytics ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งผู้ใช้ทุกคนในองค์กรสามารถเข้าถึงข้อมูลและสามารถตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

Tableau Pulse

Salesforce ได้ประกาศเปิดตัว Tableau Pulse ในเวอร์ชั่นสำหรับใช้งานโดยทั่วไป (Generally Available) สำหรับองค์กรในประเทศไทย โดย Tableau Pulse ได้ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจทางธุรกิจได้รวดเร็วขึ้นด้วย generative AI และการวิเคราะห์ข้อมูลที่เชื่อถือได้ โดย Tableau Pulse ใช้ generative AI แสดงข้อมูลเชิงลึกทั้งในรูปแบบภาษาที่สนทนาโต้ตอบตามปกติ (Natural Language) และรูปภาพ ทำให้องค์กรค้นพบข้อมูลตัวชี้วัดต่าง ๆ ที่สำคัญได้ง่ายขึ้น และยังสามารถถามคำถาม พร้อมทั้งเชื่อมโยงข้อมูลให้เข้ากับบริบททางธุรกิจขององค์กรได้อีกด้วย

Tableau Pulse นำเสนอฟีเจอร์จำนวนมากที่ช่วยให้ผู้ใช้ในองค์กรธุรกิจสามารถตัดสินใจได้ดีขึ้นและรวดเร็วขึ้น ประกอบด้วย Tableau Pulse Insight Platform, Tableau Pulse Mobile, Tableau Pulse Slack Digest และ Tableau Pulse Metrics Layer พร้อมแนะนำฟีเจอร์ใหม่ Ask” Q&A ที่สามารถตอบคำถามต่าง ๆ พร้อมฟีเจอร์ Metrics Bootstrapping และ Metric Goals ซึ่งระบุและแสดงข้อมูลเชิงลึกโดยอัตโนมัติตามชุดของ KPI ตัวชี้วัดที่แต่ละผู้ใช้สามารถตั้งไว้ได้ และสามารถรับผลการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ได้ทั้งทางอีเมล แชท และอุปกรณ์เคลื่อนที่ต่าง ๆ รวมทั้งสามารถโต้ตอบ ค้นดู และเลือกกรองข้อมูลต่าง ๆ ได้อีกด้วย

Einstein Copilot สำหรับ Tableau

Salesforce ยังได้ประกาศเปิดตัวการใช้งาน Einstein Copilot สำหรับ Tableau ในเวอร์ชั่นทดลองใช้หรือเบต้า กับความสามารถใหม่ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ใช้ในทุกบทบาทและฟังก์ชันขององค์กรสามารถสืบค้นดูข้อมูลต่าง ๆ ได้ด้วยความช่วยเหลือจาก AI ผู้ใช้จึงสามารถเจาะลึกข้อมูลต่าง ๆ โดยไม่จำเป็นต้องรับการอบรมด้านการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกโดยเฉพาะ และสามารถใช้เครื่องมือวิเคราะห์อันทรงพลังของ Tableau ผ่านการสนทนาโต้ตอบตามปกติ เพื่อค้นหาและรับข้อมูลเชิงลึกจากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย เช่น ตารางสเปรดชีต ระบบคลาวด์ คลังข้อมูลต่าง ๆ ที่ติดตั้งภายในองค์กร และบน Salesforce Data Cloud

Einstein Copilot สำหรับ Tableau ทำให้ผู้ใช้ทุกคนในองค์กรธุรกิจสามารถเข้าถึงการวิเคราะห์ข้อมูลได้ดียิ่งขึ้น และยังสามารถแนะนำหัวข้อคำถามต่าง ๆ เสนอให้กับผู้ใช้ จากฐานการวิเคราะห์ข้อมูลทางธุรกิจและ Metadata ขององค์กร ซึ่งช่วยลดปริมาณงานของนักวิเคราะห์โดยลดคำขอให้ปรับแต่งและอัพเดทข้อมูลต่าง ๆ และทำให้การตัดสินใจโดยขับเคลื่อนด้วยข้อมูลขององค์กรนั้นเร็วยิ่งขึ้น

Tableau Desktop ในรูปแบบ Public Edition ที่เปิดให้ใช้โดยสาธารณะ

Tableau กำลังลงทุนเพื่อสร้างนักวิเคราะห์ข้อมูลในยุคแห่งอนาคตผ่าน Tableau Desktop Public ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ไม่มีค่าใช้จ่าย และเปิดให้ผู้ใช้สามารถค้นหา สร้าง และแบ่งปันการแสดงผลข้อมูลให้เห็นภาพในรูปแบบต่าง ๆ สำหรับสาธารณะบนระบบออนไลน์ที่มีชิ้นงานที่เผยแพร่มากกว่า 9.5 ล้าน Workbook ทำให้แพลตฟอร์มกลายเป็นศูนย์กลางสำหรับนักวิเคราะห์และผู้สนใจด้านข้อมูลสามารถใช้ฝึกฝนทักษะของตนเองได้

ผู้ใช้สามารถทำงานและบันทึกข้อมูลได้อย่างปลอดภัยในเครื่องเดสก์ท็อปด้วย Tableau Desktop ในรูปแบบ Public Edition หรือแชร์บนระบบออนไลน์ให้ชุมชนสาธารณะของ Tableau เข้าถึงได้ ทำให้ผู้ที่เรียนรู้และสนใจด้านการวิเคราะห์ข้อมูล รวมถึงผู้ใช้จากองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรต่าง ๆ  สามารถค้นหาข้อมูลที่มีความสำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาได้มากยิ่งขึ้น

Einstein Trust Layer กับการส่งมอบนวัตกรรมที่เชื่อถือได้

ผู้ใช้ Tableau Pulse และ Einstein Copilot สำหรับ Tableau นั้นยังจะได้รับประโยชน์จาก Einstein Trust Layer ทำให้สามารถใช้ AI ได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการรักษาข้อมูลของลูกค้า โดย Einstein Trust Layer จะแตกต่างจากกลไกเทคโนโลยี AI อื่นๆ เนื่องจากจะไม่เก็บข้อมูลคำสั่งหรือพร้อมท์ (Prompt) ต่าง ๆ ของลูกค้า หรือการตอบโต้จากโมเดลภาษา LLM (Large Language Model) เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถรักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูลลูกค้า และปกป้องข้อมูลที่เป็นกรรมสิทธิ์ได้

 คุณอัคคาชา ซัลตาน (Akkasha Sultan) ผู้ช่วยรองประธาน Tableau ภูมิภาคอาเซียนและประเทศจีน กล่าวว่า “เราอยู่ในช่วงเวลาที่สำคัญมากสำหรับ AI ธุรกิจปัจจุบันมีข้อมูลมากมาย แต่การกลั่นกรองและทำความเข้าใจข้อมูลเหล่านั้นเป็นเรื่องที่ยาก การวิเคราะห์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI จึงเพิ่มความสามารถให้ผู้ใช้เข้าถึงผลการวิเคราะห์เชิงลึก เพื่อปลดล็อกมูลค่าที่มีอยู่ในข้อมูลซึ่งยังไม่ได้ถูกนำมาใช้” คุณอัคคาชา เสริมด้วยว่า “นวัตกรรมใหม่ของ Tableau ที่ขับเคลื่อนด้วย AI จะปฏิวัติวิธีที่ธุรกิจในประเทศไทยเข้าถึงและใช้ข้อมูล และสนับสนุนทุกคนในองค์กรไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในบทบาทใดก็ตามให้ตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลได้มากขึ้นและดียิ่งขึ้น พร้อมทั้งขับเคลื่อนมูลค่าทางธุรกิจในจุดที่มีความสำคัญมากที่สุด”

การเปิดให้ใช้งานและวางจำหน่าย 

Tableau Pulse

  • Tableau Pulse ได้เปิดให้บริการโดยไม่มีค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ใช้งานในประเทศไทยที่ใช้ Tableau Cloud ในทุกเวอร์ชั่น และทุกโซลูชันของ Embedded Analytics
  • ลูกค้าปัจจุบันของ Tableau Cloud และ Embedded Analytics สามารถเปิดใช้ Tableau Cloud ได้แล้ววันนี้ด้วยการเข้าไปที่การตั้งค่า และเลือกเปิดใช้งาน Pulse จากนั้นจึงเปิดใช้งานการสรุปข้อมูลเชิงลึก (Insights Summaries) เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชัน generative AI
  • รูปแบบสิทธิ์การใช้งานของ Tableau Cloud ประกอบด้วย:
  • Tableau Creator ราคา 75 เหรียญสหรัฐฯ/ผู้ใช้/เดือน (ประมาณ 2,750 บาท)
  • Tableau Explorer ราคา 42 เหรียญสหรัฐฯ/ผู้ใช้/เดือน (ประมาณ 1,550 บาท)
  • Tableau Viewer ราคา 15 เหรียญสหรัฐฯ/ผู้ใช้/เดือน (ประมาณ 2,750 บาท)

Einstein Copilot สำหรับ Tableau

  • Einstein Copilot สำหรับ Tableau เปิดให้บริการในเวอร์ชั่นทดลองใช้ หรือเบต้า สำหรับลูกค้าจำนวนจำกัด และจะเปิดให้บริการโดยทั่วไปในช่วงฤดูร้อน (ประมาณเดือนกรกฎาคม – กันยายน) ของปีนี้

Tableau Desktop รูปแบบ Public Edition

  • Tableau Public เปิดให้บริการโดยไม่มีค่าใช้จ่าย และให้ใช้งานแบบสาธารณะโดยทั่วไปแล้ววันนี้ สำหรับทุกคนในประเทศไทย

ข้อมูลเพิ่มเติม

  • เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเกี่ยวกับฟีเจอร์ต่างๆ ของ Tableau ในเวอร์ชั่นเปิดใช้งานโดยทั่วไป (GA) ได้ ที่นี่
  • เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Tableau Pulse ได้ ที่นี่
  • เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Einstein Copilot สำหรับ Tableau ได้ ที่นี่
  • เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Tableau Desktop Public Edition ได้ ที่นี่

 

ไทยทดสอบแล้ว สถานีภาคพื้น Mini-Spider พัฒนาเน็ตไร้สายผ่านดาวเทียม

ไม่น้อยหน้า ขณะที่ Starlink เริ่มให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมในหลายประเทศ ประเทศไทย โดย ม.มหานคร (MUT) ร่วมกับ GalaxySpace บริษัทผู้ผลิตและพัฒนาดาวเทียมระบบสื่อสารจากประเทศจีน ทดสอบดาวเทียมสื่อสารวงโคจรระดับต่ำ และสถานีดาวเทียมภาคพื้น ภายใต้ชื่อ “Mini-Spider”

เทคโนโลยีดาวเทียมวงโคจรระดับต่ำ (Low-Earth Orbit หรือ LEO) นับเป็นอีกหนึ่งความหวังของการพัฒนาระบบสื่อสารอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม ซึ่งห่างจากโลกเพียง 500 – 2,000 กิโลเมตร แบบเดียวกับ Starlink และ OneWeb เพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมที่มีความเร็วและประสิทธิภาพสูง นอกเหนือจากดาวเทียมวงโคจรค้างฟ้าหรือวงโคจรประจำที่ (Geostationary Orbit : GEO) อย่างไทยคม 4 หรือ ไอพีสตาร์ ที่มีระดับความสูงจากพื้นโลกโดยประมาณ 35,786 กิโลเมตร เพื่อลดขีดจำกัดด้านระยะห่าง

การทดสอบครั้งนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน

  1. ส่วนสถานีดาวเทียมภาคพื้น ทดสอบร่วมกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต โดยผู้ใช้สามารถนำสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ มาเชื่อมต่อได้โดยตรงทั้งแบบใช้สาย (LAN) หรือแบบไร้สาย (WIFI)
  2. ส่วนอวกาศหรือดาวเทียมสื่อสารบรอดแบนด์ กลุ่มดาวเทียมที่จะถูกส่งขึ้นสู่วงโคจรระดับต่ำหลายร้อยดวง เพื่อให้กระจายตัวครอบคลุมทั่วโลก โดยระบบ Mini-Spider จะเป็นเหมือนอุปกรณ์นำอินเทอร์เน็ตจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งโดยไม่จำเป็นต้องเดินสายสัญญาณ เพียงแค่มีพื้นที่เปิดโล่งเห็นท้องฟ้าและมีระบบจ่ายไฟฟ้า (ไฟบ้าน) ก็สามารถใช้อินเทอร์เน็ตได้ทุกพื้นที่ในประเทศไทย

 

การทดสอบครั้งนี้อยู่ในพื้นที่ Sandbox เป็นระยะเวลา 5 ปี ทั้งในกรุงเทพ เชียงราย พิษณุโลก ชัยนาท นครนายก ระยองและภูเก็ต

เทคโนโลยีใหม่ที่ใช้คลื่นความถี่ย่าน Q/V ที่เป็นคลื่นความถี่สูง ที่มีแนวโน้มจะใช้งานมากขึ้นในอนาคตและเป็นคลื่นความถี่ที่ยังไม่เคยมีการใช้มาก่อนในไทย โดยข้อมูลที่ได้จากการวิจัยจะถูกส่งต่อให้ กสทช. พิจารณาออกกฎระเบียบที่เหมาะสมก่อนเปิดให้บริการในเชิงพาณิชย์ต่อไป รอติดตามกันได้ครับ

ที่มา https://mut.ac.th/mut-x-galaxyspace-space-economy/

VIGI มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อการเฝ้าระวังอย่างไม่หยุดนิ่ง ขยายกลุ่มสินค้าใหม่ในปี 2024 ครอบคลุมความต้องการมากขึ้น

บริษัท ทีพี-ลิงค์ เอ็นเตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย) จำกัด ตัวแทนผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์กล้องวงจรปิดรักษาความปลอดภัย VIGI เผย ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีในตลาดกล้องวงจรปิดประเทศไทย โดยแบรนด์ VIGI มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เริ่มเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2565 เรามุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีเพื่อช่วยให้การเฝ้าระวังความปลอดภัยมีประสิทธิภาพ และช่วยให้เราใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจมากยิ่งขึ้น
Mr. Hong Huafeng, Product Director บริษัท ทีพี-ลิงค์ เอ็นเตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “กล้องวงจรปิดและระบบรักษาความปลอดภัยเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในทุกวันนี้ นอกจากจะช่วยในการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินแล้ว ยังอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นเช่นกัน ส่งผลให้ประเทศไทยมีความต้องการใช้งานกล้องวงจรปิดรักษาความปลอดภัยที่สูงขึ้นตามมา จึงมีความเชื่อมั่นว่าแบรนด์ VIGI จะสามารถครองส่วนแบ่งตลาดกล้องวงจรปิดติด Top 3 ในประเทศไทยภายในปี 2569 ตามที่บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าหมายไว้”
โดยความสำเร็จของแบรนด์ VIGI จากการทำตลาดตลอด 2 ปีที่ผ่านมานั้น เป็นผลมาจากการดำเนินการใน 3 ส่วนด้วยกัน ส่วนแรกคือการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์การใช้งานในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งกล้องวงจรปิดสำหรับภายในและภายนอกอาคาร ตัวกล้องมีระบบประมวลผลภาพเพื่อการเก็บรายละเอียดภาพได้ดี ตัวกล้องมาพร้อมเทคโนโลยี AI เพื่อช่วยในการตรวจจับและแจ้งเตือนได้อย่างมีประสิทธิภาพซึ่งมาพร้อมอยู่ในกล้องวงจรปิดตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น รวมไปถึงฟังก์ชันการใช้งานเพื่อช่วยในการค้นหาและตรวจสอบเหตุการณ์ย้อนหลังได้อย่างรวดเร็ว

ส่วนที่สอง คือการจัดการสต๊อกสินค้า และการให้บริการหลังการขาย โดยทางบริษัทฯ มีคลังสินค้านำเข้าเป็นของตัวเองในประเทศไทย ทำให้สามารถบริหารจัดการสินค้าเพื่อให้ตรงกับความต้องการแกพันธมิตร และตัวแทนจำหน่ายได้อย่างรวดเร็ว หากเมื่อเกิดการขาดสต็อกสินค้าจะใช้เวลาในการรอสินค้าเพียงระยะเวลาอันสั้น รวมถึงการรับประกันสินค้าที่ยาวนานถึง 3 ปี ให้คุณใช้งานได้อย่างอุ่นใจ หากอุปกรณ์เสียหรือมีปัญหาในระยะเวลาการรับประกันจะมีการเปลี่ยนสินค้าใหม่ให้กับลูกค้าโดยไม่มีการนำมาแกะซ่อม อีกทั้งเรายังมีทีมงานพร้อมช่วยเหลือและให้คำปรึกษาในเรื่องของการติดตั้งและใช้งาน ผ่านช่องทาง Call Center และช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งานสินค้า VIGI

และส่วนสุดท้าย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้แบรนด์ VIGI มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องคือ พันธมิตรผู้จัดจำหน่ายอย่าง ซินเน็ค (ประเทศไทย) รวมไปถึงตัวแทนจำหน่ายและติดตั้งทั่วประเทศ โดยในปีนี้เราได้มีการเสริมทัพพันธมิตรผู้จัดจำหน่ายอย่าง เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) เข้ามาเพื่อสร้างความมั่นใจในผลิตภัณฑ์ และการบริการหลังการขายที่ดีมากยิ่งขึ้น

ในปี 2567 นี้ แบรนด์ VIGI มีการขยายกลุ่มสินค้าใหม่ให้ครอบคลุมการใช้งานในพื้นที่ห่างไกลที่ยากต่อการติดตั้งเดินสาย เพื่อตอบโจทย์การใช้งานในรูปแบบต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น เช่น ระบบจ่ายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อัจฉริยะพร้อมแบตเตอรี่ในตัว (Solar Panel) VIGI SP9030 และ VIGI SP6020 มีขนาดแผงโซล่าร์เซลล์ให้เลือกที่ 90W และ 60W ใช้ระบบควบคุมการชาร์จพลังงานแบบ MPPT เพื่อการเก็บพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถจัดการอุปกรณ์จากระยะไกลผ่านแอปฯ VIGI บนมือถือ, VIGI C540-4G กล้องวงจรปิด Pan/tilt ใส่ซิม 4G ความละเอียด 4 ล้านพิกเซล เพื่อการใช้งานสำหรับพื้นที่ห่างไกล หรืออินเทอร์เน็ตบ้านเข้าไม่ถึง
นอกจากนี้ VIGI ยังมีกล้องวงจรปิดเพื่อการเฝ้าระวังความปลอดภัยอีกหลายรุ่นที่กำลังจะเข้ามาในภายในปีนี้ เช่น VIGI C340S กล้องวงจรปิดที่มาพร้อมเทคโนโลยี ColorPro เพื่อการเก็บภาพในที่มืดได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีการอัพเกรดเทคโนโลยี AI ในการตรวจจับบุคคลและยานพาหนะขั้นสูง เพื่อการค้นหาเหตุการณ์ย้อนหลังได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น, VIGI C345 และ VIGI C445 กล้องวงจรปิดภาพสี 24 ชั่วโมง ความละเอียด 4 ล้านพิกเซล ทรง Bullet และทรง Turret มาพร้อมวัสดุโลหะทนทานในทุกสภาพอากาศ

VIGI มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อช่วยให้การเฝ้าระวังความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และใช้งานได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ตอบโจทย์การใช้งานกับที่พักอาศัยและธุรกิจในรูปแบบที่หลากหลาย ผู้ที่สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมของผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีต่าง ๆ ได้ที่เว็บไซต์ https://www.tp-link.com/th/business-networking/vigi-network-camera/ หรือดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/44qjsL6 และสามารถปรึกษา Solutions สำหรับธุรกิจองค์กรได้ที่ https://bit.ly/3pl8GpU

เริ่มกลัว สหรัฐออกกฏเข้ม สกัดเทคโนโลยีจีนอีกรอบ

สกัดเทคโนโลยีจีน

ตั้งใจตีนะ แต่ไม่ตาย แถมเตรียมฉกกลับด้วย

ที่ผ่านมา สหรัฐมีความพยายามอย่างหนักที่สกัดแสนยานุภาพเทคโนโลยีจากจีน โดยตั้งแต่ปี 2562 หัวเว่ยถูกขึ้นบัญชีดำการค้าของสหรัฐฯ ห้ามบริษัทสหรัฐฯ ขายเทคโนโลยี รวมถึงชิป 5G ให้กับหัวเว่ย โดยอ้างข้อกังวลด้านความมั่นคงของชาติ

ไม่นานมานี้ สหรัฐอเมริกาได้เพิกถอนใบอนุญาตส่งออกชิปบางส่วนให้กับหัวเว่ยเพิ่มเติม นับเป็นความพยายามล่าสุดในการจำกัดความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของจีน

เรื่องนี้ อาจเป็นผลมาจาก เมื่อ Huawei Consumer เปิดตัวสมาร์ทโฟน Mate 60 Pro ในเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว มันมาพร้อมชิปขั้นสูงที่ผลิตโดย SMIC ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของจีน สมาร์ทโฟนรุ่นนี้ยังมีการเชื่อมต่อ 5G ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สหรัฐฯ พยายามสกัดกั้น

หลายคนอาจงงว่า ตั้งแต่ปี 2562 ที่หัวเว่ยถูกขึ้นบัญชีดำ แล้วทำไมถึงยังมีการส่งชิปได้อยู่ จนทำให้สหรัฐต้องเข้มงวดอีกครั้ง เพราะมันยังมีข้อยกเว้นบางอย่างเช่น

1.ใบอนุญาตพิเศษ แม้จะมีข้อห้าม แต่บริษัทสหรัฐฯ บางแห่งยังคงได้รับอนุญาตพิเศษให้ขายเทคโนโลยีบางอย่างให้กับหัวเว่ยได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีที่ไม่เกี่ยวข้องกับ 5G หรือความมั่นคงของชาติโดยตรง

2.การขายผ่านบริษัทตัวกลาง หัวเว่ยยังสามารถซื้อชิปบางประเภทได้จากบริษัทต่างชาติที่ไม่ได้อยู่ภายใต้ข้อจำกัดของสหรัฐฯ แม้ว่าชิปเหล่านั้นอาจมีส่วนประกอบหรือเทคโนโลยีของสหรัฐฯ อยู่ก็ตาม

ทั้งนี้ กำไรสุทธิของหัวเว่ยในปี 2566 เติบโตขึ้น 144.5% จากปีก่อนหน้า เป็น 87 พันล้านหยวน ส่วนหนึ่ง น่าจะมาจากยอดขาย Mate 60 Pro ที่เพิ่มมากขึ้น

เรื่องนี้ ยังทำให้ Apple หวั่นใจไม่น้อย เพราะยอดขาย iPhone ในจีนร่วงลง 19.1% ในไตรมาสแรก ในขณะที่ยอดขายสมาร์ทโฟนของหัวเว่ยพุ่งสูงขึ้น 69.7% ตามข้อมูลของ Counterpoint Research (พวากเขาชาตินิยมมาก ๆ นะ)

ที่มา
https://www.cnbc.com/2024/05/08/us-revokes-some-export-licenses-to-sell-chips-to-chinas-huawei.html

จับไต๋ ใช้ AI โกงข้อสอบ ซ่อนกล้องในกระดุมเสื้อ

ช้ AI โกงข้อสอบ

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ตำรวจตุรกีได้จับกุมนักเรียนที่ถูกกล่าวหาว่าใช้เทคโนโลยี AI เพื่อโกงข้อสอบ TYT ซึ่งเป็นการสอบระดับชาติเพื่อวัดความถนัดทางวิชาการสำหรับเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย

นักเรียนคนดังกล่าวถูกจับได้ขณะกำลังทำข้อสอบในจังหวัด Isparta ทางตะวันตกเฉียงใต้ของตุรกี เพราะเขามีพฤติกรรมน่าสงสัย จึงถูกตำรวจตรวจค้นและพบอุปกรณ์โกงข้อสอบที่ใช้ AI ซ่อนอยู่

อุปกรณ์โกงข้อสอบนี้ประกอบไปด้วยกล้องขนาดเล็กที่ถูกติดไว้กับกระดุมเสื้อ และเชื่อมต่อกับซอฟต์แวร์ AI ผ่านทาง “Mobile Router” ที่ซ่อนอยู่ในพื้นรองเท้า กล้องจะทำหน้าที่สแกนข้อสอบ และส่งข้อมูลไปยังซอฟต์แวร์ AI จากนั้น จะทำการประมวลผลและส่งคำตอบที่ถูกต้องกลับมาให้เขาผ่านทางหูฟังขนาดเล็ก

ในไทยเราจะมีใครโกงไหมนะ แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ก็ถือเป็นเครื่องเตือนใจให้กับสถาบันการศึกษาทั่วโลกแหละ ว่าเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามากขึ้น ก็มีช่องทางให้ทุจริตมากขึ้น

ที่มา
arstechnica

Hot Issue