Home Blog Page 7

เห็นต่างกูเกิล Opera ยอมให้ใช้ uBlock Origin ปิดกั้นโฆษณา บนหน้าเว็บ

Opera

ก่อนหน้านี้ Google ได้เปลี่ยนแปลงนโยบายเกี่ยวกับส่วนเสริม โดยบังคับให้ส่วนเสริมต่างๆ ต้องเปลี่ยนไปใช้ Manifest V3 ซึ่งเป็นเฟรมเวิร์กใหม่ ที่มีข้อจำกัดมากกว่า Manifest V2 เดิม ซึ่ง uBlock Origin นั้นรองรับการใช้งานบน Manifest V2 จึงจะไม่สามารถใช้งานบน Chrome เวอร์ชั่นใหม่

uBlock Origin คือส่วนเสริมของเบราว์เซอร์ หรือ Externsion ที่จะช่วยบล็อกเนื้อหาบางอย่างบนเว็บไซต์ โฆษณาที่น่ารำคาญ คุ๊กกี้ รวมถึงมัลแวร์

ซึ่งสำหรับใครที่ต้องการใช้งาน uBlock Origin บน Chrome อยู่ จะใช้ได้จนถึงมกราคมปี 2024 หลังจากจากนั้น Google จะเปลี่ยนไปใช้เฟรมเวิร์กใหม่ ที่บอกว่ามีความปลอดภัยมากขึ้น

แต่หากใครต้องการใช้งานต่อ ยังมีเบราว์เซอร์อื่นที่รองรับ โดย Opera ได้ประกาศว่า จะยังคงรองรับการใช้งาน uBlock Origin อยู่ไปอีกนาน นอกจากนี้ Opera ยังมีการพัฒนาเวอร์ชั่นใหม่ออกมาในชื่อ Opera One R2 ที่ม0าพร้อมฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เช่น แถบคำสั่งสำหรับโต้ตอบกับ Aria ซึ่งเป็นส่วนประกอบ AI ของ Opera รวมถึงการสร้างรูปภาพ และความสามารถขั้นสูงอื่นๆ

Opera ยังปรับโฉมดีไซน์ใหม่ ด้วยธีมแบบไดนามิก พื้นหลังเคลื่อนไหว และ “เสียงเบราว์เซอร์” แม้ว่าเอฟเฟกต์เสียงในเบราว์เซอร์จะมีมาตั้งแต่ยุค Windows 98 แต่การผสานรวม AI จะช่วยผู้ใช้ได้สัมผัสประสบการ์ที่ดูดีขึ้น

สรุปก็คือ ตอนนี้ Opera มีการปรับปรุงเบราว์เซอร์ใหม่ มี AI เข้ามาช่วย และยังรองรับส่วนเสริมสำคัญที่ช่วยบล็อคโฆษณาได้อย่าง uBlock Origin ใครผิดหวังกับ Chrome ก็ลองเปลี่ยนเบราว์เซอร์ดูครับ

ที่มา
https://www.techspot.com/news/105332-opera-confirms-continued-support-ublock-origin-old-chrome.html

ปลดล็อกศักยภาพสูงสุดของคุณด้วย HP OmniBook AI PC ซีรีส์ใหม่จาก HP ยกระดับการทำงาน เล่น และใช้ชีวิตของคนไทยด้วยพลังของ AI ผ่านโน้ตบุ๊ก AI PC รุ่นใหม่ล่าสุด ที่ออกแบบมาเพื่อให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และยืดหยุ่นตามความต้องการ

เอชพี ประเทศไทย ตอกย้ำการเป็นผู้นำในตลาดคอมพิวเตอร์ ตอบรับรูปแบบการทำงาน การเล่น และการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของผู้คน มุ่งส่งมอบเทคโนโลยี AI ให้ผู้บริโภคชาวไทยสามารถเข้าถึงได้มากขึ้น ผ่าน HP OmniBook ซีรีส์ AI PC เจเนอเรชันใหม่จากเอชพีทั้งสองรุ่น ได้แก่ OmniBook Ultra Flip และ OmniBook X โดยเปิดตัวครั้งแรกภายในงาน  “The Intelligent A.I. for the Future” ณ เอ็มไพร์ ทาวเวอร์ กรุงเทพฯ

การดำเนินชีวิตและการทำงานในปัจจุบันได้ข้ามขีดจำกัดแบบเดิม ๆ ไปสู่การสร้างสรรค์ผลงานจากหลากหลายพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน ร้านกาแฟ หรือใจกลางเมือง ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงนี้ ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI กำลังก้าวขึ้นมาเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงของผลิตภาพ ความคิดสร้างสรรค์ และรูปแบบการทำงานของคนยุคใหม่ นายสุธี สุวงศ์วัฒนากุล ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ กลุ่มคอนซูเมอร์ พีซี เอชพี อิงค์ ประเทศไทย กล่าวว่า  “เอชพีประเทศไทยภาคภูมิใจที่จะสานต่อภารกิจในการทำให้เทคโนโลยี AI เข้าถึงได้มากขึ้นสำหรับผู้บริโภคชาวไทยทุกคน เราสนับสนุนให้ผู้คนทำงานและใช้ชีวิตได้อย่างที่ต้องการ ส่งเสริมการเติบโต ความสำเร็จ และปลดล็อกนวัตกรรมที่ไร้ขีดจำกัด ความมุ่งมั่นของเราในการแสวงหาความเป็นเลิศทางเทคโนโลยี ผลักดันให้เราคิดค้นผลิตภัณฑ์และโซลูชันที่ปลดล็อกขุมพลังของ AI เพื่อมอบประโยชน์สูงสุดให้กับผู้บริโภคของเรา โดยเราตั้งใจที่จะช่วยให้ผู้บริโภคได้ใช้พลังของ AI เพื่อยกระดับชีวิตประจำวันและการทำงานอย่างเต็มที่ ด้วยการเปิดตัวซีรีส์ AI PC รุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง HP OmniBook Ultra Flip และ OmniBook X

“ด้วยการนำเสนอโซลูชันที่เข้าถึงได้และใช้งานง่ายกับผู้ใช้ เราหวังว่าพีซี AI อัจฉริยะของเอชพีทั้งสองรุ่นนี้ จะเป็นเพื่อนคู่ใจที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้ใช้งาน ทั้งระดับมืออาชีพไปจนถึงผู้ที่กำลังเริ่มต้นมองหาพีซี AI มาร่วมทาง เรามุ่งมั่นในการเป็นผู้นำในตลาดอย่างต่อเนื่องผ่านการนำขุมพลัง AI มาพัฒนาและส่งมอบพอร์ตโฟลิโอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายที่สามารถเชื่อมให้ผู้คนและ AI ได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นอย่างยั่งยืนต่อไป” สุธีกล่าวสรุป

โน้ตบุ๊กทำงานอันเรียบหรู เน้นคล่องตัว มอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยขั้นสูง: HP OmniBook Ultra Flip

HP OmniBook Ultra Flip 14 นิ้ว Next-Gen AI PC เป็นโน้ตบุ๊ก AI PC แบบ 2-in-1 ตัวแรกของเอชพีที่นำเสนอความบางเบา มาพร้อมการผสมผสานระหว่างสไตล์ ประสิทธิภาพ และความยืดหยุ่นแบบไม่ลดทอนรายละเอียด เหมาะสำหรับผู้ที่มองหาประสบการณ์การสร้างสรรค์ AI ที่สมบูรณ์แบบ

  • ออกแบบมาเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ: สร้าง แก้ไข และร่างผลงานบนแล็ปท็อปที่บางเฉียบ สลับเปลี่ยนการใช้งานได้อย่างง่ายดายระหว่างโหมดแล็ปท็อป แท็บเล็ต และเต็นท์ มาพร้อมจอแสดงผล OLED 8K มอบประสบการณ์ภาพที่คมชัดและสีสันสวยสะดุดตา และหน้าจอทัชสกรีน พร้อมปากกาสไตลัสไว้ขีดเขียน เหมาะสำหรับการวาดภาพหรือตรวจสอบงานออกแบบ สร้างคอนเทนต์ที่เป็นเอกลักษณ์ หรือประชุมทางวิดิโอและสร้างสรรค์ผลงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยกล้อง 9 MP ความละเอียดสูงที่เปิดใช้งาน AI และ Poly Audio
  • สมรรถนะที่ทรงพลังและประหยัดพลังงาน: สร้างสรรค์ผลงานนอกสถานที่ได้อย่างมั่นใจบนอุปกรณ์ที่เร็ว แรง และมีประสิทธิภาพสูง ด้วยโปรเซสเซอร์รุ่นใหม่ล่าสุดจาก Intel® Core™ Ultra (Series 2) ที่มีหน่วยประมวลผล AI ทำให้สามารถใช้งานแบตเตอรี่ได้ยาวนานสูงสุดถึง20 ชั่วโมง[1] (สำหรับการเล่นวิดีโอในเครื่อง) มอบประสบการณ์การสร้างสรรค์ที่ราบรื่นไม่สะดุด
  • ระบบรักษาความปลอดภัยที่น่าเชื่อถือ ผ่านพลังของ AI: HP Wolf Security มอบความปลอดภัยระดับมืออาชีพให้กับผู้บริโภค ด้วยความปลอดภัยเฉพาะตัวเอกสิทธิ์เฉพาะจาก HP รักษาความปลอดภัยของข้อมูลและป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ McAfee Smart AI™ Deepfake Detector ตรวจหาเสียงปลอมที่สร้างขึ้นโดย AI เพื่อแจ้งเตือนผู้ใช้ถึงความเสี่ยงของการหลอกลวงและข้อมูลเท็จ

สร้างช่วงเวลาที่มีความหมายตลอดทั้งวันกับ HP OmniBook X

HP OmniBook X 14 นิ้ว Next-Gen AI PC ยกระดับงานประจำวันของคุณด้วยเครื่องมือและโซลูชัน AI ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน โดยเฉพาะเมื่อคุณต้องทำงานนอกสถานที่ด้วยแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานที่สุด

  • ขับเคลื่อนการทำงานของคุณด้วยพลังของ AI: ยกระดับงานประจำวันของคุณด้วย HP AI Companion ชุดเครื่องมือและโซลูชัน AI ที่ใช้ประโยชน์จากโปรเซสเซอร์ QC Snapdragon เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของคุณและทำให้คุณทำงานได้ต่อเนื่องที่สุด สัมผัสพลังของ NPU ที่ได้รับการเพิ่มประสิทธิภาพเพื่อมอบประสบการณ์ Copilot+ PC ที่ไม่เหมือนใคร พร้อมความมั่นใจในการรักษาความปลอดภัยขั้นสูง
  • พลังงานที่เหนือกว่าสำหรับการทำงานเคลื่อนที่: เติมพลังให้ความคิดสร้างสรรค์ของคุณด้วยประสิทธิภาพอันทรงพลังและแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานสูงสุดถึง 26 ชั่วโมง ในโน้ตบุ๊กสำหรับใช้งานทั่วไปของ HP[2]
  • ประสบการณ์ที่สมจริง: เพิ่มประสิทธิภาพการมองเห็นของคุณด้วยหน้าจอสัมผัส Eyesafe® Certified Display ขนาด 14 นิ้ว ความละเอียด 2K และสัมผัสประสบการณ์เสียงที่เหนือกว่าด้วยการปรับแต่งเสียงโดย Poly Studio ลดการรบกวนและหยุดการขัดจังหวะด้วยเครื่องมือการทำงานร่วมกันของ Windows Studio Effects เพื่อการสนทนาที่ชัดเจน

ความยั่งยืนเพื่อวันนี้และวันพรุ่งนี้

HP มุ่งมั่นที่จะลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า HP OmniBook Ultra Flip ผลิตขึ้นจากโลหะรีไซเคิล 90%, พลาสติกรีไซเคิลหลังการใช้งาน 50% และได้รับการรับรองมาตรฐาน EPEAT® Gold with Climate+ และ ENERGY STAR® ในขณะที่ HP OmniBook X ได้รับการออกแบบโดยใช้โลหะรีไซเคิล 50% และพลาสติกรีไซเคิลจากท้องทะเลหลังการใช้งาน 50% ได้รับการรับรองมาตรฐาน EPEAT® Gold Registered และ ENERGY STAR®

ค้นหาคู่หูที่สมบูรณ์แบบของคุณได้แล้ววันนี้

AI PC ซีรีส์ใหม่ล่าสุด 3 โมเดล มาพร้อมการรับประกัน 3 ปี (On-site)

  • OmniBook Ultra Flip (14-fh0054TU) Intel® Core™ Ultra 7-258V (8C)/ Intel® Arc™ Graphics/ Intel® AI Boost (47 NPU TOPS)/ LPDDR5X 32GB / 1TB M.2 NVMe™ Performance PCIe® 4.0 SSD / 14-inch 2.8K (2880 x 1800) OLED Touch screen 120Hz refresh rate / Stylus Pen / 64 WHr. / WiFi 7 / 1.349 kg / Windows 11 Home / Microsoft office H&S 2021 ราคา65,990 บาท
  • OmniBook Ultra Flip (14-fh0055TU) Intel® Core™ Ultra 5-226V (8C)/ Intel® Arc™ Graphics/ Intel® AI Boost (up to 48 NPU TOPS) / LPDDR5X 16GB / 1TB M.2 NVMe™ Performance PCIe® 4.0 SSD / 14-inch 2.8K (2880 x 1800) OLED Touch screen 120Hz refresh rate / Stylus Pen / 64 WHr. / WiFi 7 / 1.349 kg / Windows 11 Home / Microsoft office H&S 2021 ราคา 59,990 บาท
  • OmniBook X (14-fe1012QU):Snapdragon® X1P-42-100 (8C)/ Qualcomm® Adreno™ GPU / Qualcomm® Hexagon™ NPU 45 TOPs / LPDDR5X 16GB / 512GB M.2 NVMe™ PCIe® 4.0 SSD / 14-inch 2.2K (2240 x 1400) Touch screen 120Hz refresh rate / 59 WHr. / WiFi 7 / 1.349 kg / Windows 11 Home/ Microsoft office H&S 2021 ราคา 44,990 บาท

ค้นหาคู่หูที่สมบูรณ์แบบของคุณ ได้แล้ววันนี้ ที่ร้าน HP World ทั้ง 3 สาขา ได้แก่ เดอะมอลล์บางกะปิ, ศูนย์การค้าฟอร์จูนและ วัน แบงค็อก, ร้านค้าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำ และร้านค้าออนไลน์อย่างเป็นทางการของ HP หรือ แวะชมและทดลองสินค้านวัตกรรมใหม่ ๆ พร้อมบริการให้คำปรึกษาและแก้ไขปัญหาตัวเครื่องแบบครบวงจรได้ที่ ศูนย์บริการ HP Experience and Service Center สาขาตึกเอ็มไพร์ ทาวเวอร์ ชั้น M

ติดตามข่าวสารและโปรโมชั่นล่าสุดได้ที่ HP Thailand Facebook: www.facebook.com/hpthailand

[1],2  อ้างอิงตามการวิเคราะห์ภายในของ HP สำหรับพีซีรุ่นที่ใช้ชิป NPU 40-60 TOPS ณ เดือนพฤษภาคม 2024 อายุการใช้งานแบตเตอรี่ได้รับการทดสอบโดย HP โดยใช้การเล่นวิดีโอ FHD แบบต่อเนื่องที่ความละเอียด 1080p (1920×1080), ความสว่าง 200 นิต, ระดับเสียงของระบบตามค่าเริ่มต้นของภาพ, ความดังเสียงจากเครื่องเล่นอยู่ที่ 100%, เล่นวิดีโอแบบเต็มหน้าจอจากพื้นที่จัดเก็บในระบบของเครื่อง, มีการเชื่อมต่อหูฟังหรือผ่านลำโพง (ถ้าไม่มีพอร์ตแจ็คอุปกรณ์ระบบเสียง) และเปิดการทำงานระบบไร้สาย แต่ไม่ได้เชื่อมต่อเครือข่ายใดๆ ทั้งนี้ ระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่อาจแตกต่างกันไปตามการกำหนดค่า และความจุสูงสุดจะลดลงตามเวลาและการใช้งาน

Binance TH จับมือ MemeCore พร้อมด้วย 9 Cat Digital Group และ BitArcade เปิดตัวเทศกาล MemeWonder ครั้งแรกในเอเชียในงาน Thailand Blockchain Week

Binance TH จับมือ MemeCore พร้อมด้วย 9 Cat Digital Group และ BitArcade ในฐานะผู้จัดงาน เปิดตัว MemeWonder งาน Memetertainment ครั้งแรกในเอเชีย พบกับทอลค์จากสปีคเกอร์ระดับโลกทั้งจากวงการเทคโนโลยี การเงิน และเอนเตอร์เทนเมนท์ ในวันที่ 10-11 พฤศจิกายนนี้ ณ Sphere Hall ชั้น 5M ห้างสรรพสินค้า EMSPHERE กรุงเทพฯ ประเทศไทย ซึ่งถือเป็น Official Partner ของ Thailand Blockchain Week 2024 งานเปิดโลกการลงทุนและเทคโนโลยีแห่งโลกดิจิทัลซึ่งจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 ในปีนี้

“เรารู้สึกขอบคุณและยินดีที่ได้จับมือกับ MemeCore ในการสร้างสรรค์งาน MemeWonder เพื่อส่งต่อพื้นที่ที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมในโลกบล็อกเชน” คุณพิพัฒน์ วัฒนมงคลสิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร จาก 9 Cat Digital Group กล่าว

“เราเชื่อว่าพลังของ Meme Supercycle จะดึงดูดผู้คนเข้าด้วยกันผ่านวัฒนธรรม และเราเชื่อว่าการมีตัวเชื่อมระหว่างโลกออนไลน์และออฟไลน์อย่างงาน MemeWonder จะรวมชุมชนมีมทั้งหมดมาพบปะกันและสนุกไปด้วยกัน” คุณณัฐชนน เอกรังษี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร จาก BitArcade (Thailand) Co.,LTD. กล่าว

MemeCore เป็นบล็อกเชนเลเยอร์ 1 ที่ใช้มาตรฐาน EVM (Ethereum Virtual Machine) ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อรวมชุมชนมีมเข้าด้วยกัน โดย MemeCore มุ่งหวังที่จะสร้างพื้นที่ที่มีสนุกและชีวิตชีวาสำหรับชุมชนมีมในระบบนิเวศบล็อกเชน โดยมีพันธกิจที่จะส่งเสริมพื้นที่ที่ “มีมได้” (memeable) ซึ่งกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ ความเป็นกันเอง และนวัตกรรม เพื่อประโยชน์แก่ชุมชนคนรักมีม โดยล่าสุด MemeCore กำลังจัดตั้งกองทุนกว่ากองทุนกว่า 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 330 ล้านบาทโดยประมาณเพื่อสนับสนุน Startup และ Project WEB3 (Eco-fund)

“ในยุคที่การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิตอลเติบโตอย่างรวดเร็ว เราเห็นการยอมรับเพิ่มขึ้นจากสถาบันการเงินทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง meme coins ที่ดึงดูดนักลงทุนด้วยความสนุกและการเข้าถึงง่าย” ดร.กร พูนศิริวงศ์ Chief Strategy Officer ของ Binance TH Academy กล่าว “Binance TH มุ่งหวังเป็นส่วนหนึ่งในการเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้ผู้ใช้งานเข้าถึงสินทรัพย์ดิจิตอลผ่านความบันเทิงที่จับต้องได้ในทุก ๆ วัน”

นอกจากนี้ MemeCore, Binance TH, 9 CAT DIGITAL, และ BitArcade ยังพร้อมนำเสนอ CryptoZonic Festival  เทศกาลดนตรี EDM สำหรับคนรักคริปโต ที่ปีนี้ได้รับเกียรติเป็น Official Afterparty ของ Thailand Blockchain Week เพื่อเปิดพื้นที่ให้คนทั้งในและนอกวงการบล็อกเชนและคริปโต ได้มาพบปะสังสรรค์และเปิดโอกาสใหม่ ๆ ในโลกการเงินและเทคโนโลยีที่มีเสียงดนตรีเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ ในคืนวันที่ 12 พฤศจิกายนนี้ ที่ MU:IN Bangkok

ร่วมค้นหาคำตอบว่ามีมคืออะไร อะไรสร้างมีม และมีมจะกำหนดทิศทางโลกการเงิน เทคโนโลยี และการตลาดแห่งอนาคตอย่างไรได้ในงาน MemeWonder 2024 ในวันที่ 10-11 พฤศจิกายน 2567 ลงทะเบียนเข้าร่วมงาน MemeWonder ได้ที่ https://lu.ma/scrianyk และ CryptoZonic Festival ได้ที่ https://lu.ma/v8cwcj94

จีนพัฒนาเอง สร้างอิฐดวงจันทร์ เตรียมตั้งฐานในอนาคต

นักวิจัยชาวจีนได้พัฒนาอิฐจากวัสดุคล้ายกับดินบนดวงจันทร์ โดยหวังว่าจะสร้างฐานบนดวงจันทร์ได้ในอนาคต

มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหัวจง (HUST) ได้ใช้ดินจำลองบนดวงจันทร์เพื่อสร้างอิฐที่มีความแข็งแรงมากกว่าอิฐแดงหรืออิฐคอนกรีตมากกว่า 3 เท่า รวมถึงขึ้นรูปด้วยการใช้เทคโนโลยีหุ่นยนต์พิมพ์รูป 3 มิติ

โดยใช้ดินจำลองถึง 5 ชนิดที่มีลักษณะแตกต่างกันออกไป ยกตัวอย่างเช่น ดินที่มีบะซอลต์เยอะจากการเก็บตัวอย่างจากยานฉางเอ๋อ-5  หรือเป็นดินที่มีแอนอทไซต์ที่เป็นดินส่วนใหญ่ของดวงจันทร์ เป็นต้น

เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพและคัดเลือกวัสดุไปสร้างฐานบนดวงจันทร์ เพราะสภาพแวดล้อมของดวงจันทร์มีทั้งอุณหภูมิสูงเกิน 180 องศา และติดลบในเวลากลางคืน

อิฐทั้งหมดจะถูกส่งไปยังสถานีอวกาศของจีนบนยานอวกาศขนส่งสินค้าเทียนโจว-8 เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพเชิงกลและความร้อน รวมถึงการทนต่อรังสีคอสมิก คาดว่าอิฐดวงจันทร์ก้อนแรกจะกลับคืนสู่โลกภายในสิ้นปี 2025

เพื่อนำไปต่อยอดสร้างฐาน สิ่งก่อสร้าง หรือที่อยู่อาศัยของนักบินอวกาศในการทำภารกิจบนดวงจันทร์ต่อไป

เมื่อไม่นานมานี้จีนประสบความสำเร็จ ในภารกิจสำรวจดวงจันทร์แถมเก็บดินของดวงจันทร์มาวิจัยต่อด้วย

อ่านต่อ >> techhub 

ที่มา : english.news  

#ดินดวงจันทร์ #อิฐดวงจันทร์ #TechhubUpdate

สกาย ชูระบบ Biometric หนึ่งในเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวในสนามบิน

สกาย” เป็นผู้ให้บริการระบบ Biometric ภายในสนามบิน ด้วย OneID เพียงใช้ใบหน้าของนักท่องเที่ยวก็สามารถเดินทางผ่านทุกจุดเช็คอินได้อย่างสะดวกสบาย ที่ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของท่าอากาศยานไทย (AOT) โดยเริ่มให้บริการกับผู้โดยสารภายในประเทศในวันที่ 1 พ.ย.นี้ และจะพร้อมใช้งานสำหรับผู้โดยสารระหว่างประเทศตั้งแต่ 1 ธ.ค. เป็นต้นไป นับเป็นอีกพันธกิจที่ช่วยผลักดันสนามบินไทยสู่สนามบินชั้นนำระดับ World Class และตอบโจทย์การเข้าสู่ Touchless Society

นายสิทธิเดช มัยลาภ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ สกาย กรุ๊ป (SKY Group) กล่าวว่า บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ให้บริการเทคโนโลยีด้านอุตสาหกรรมการบินชั้นนำของประเทศไทย ล่าสุดนำระบบพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล (Automated Biometric Identification System: Biometric) หรือ ระบบข้อมูลชีวมาตร คือ การพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลโดยใช้การสแกนใบหน้าเพื่อเข้าสู่ระบบสนามบิน ซึ่งเทคโนโลยีนี้สามารถนำมาใช้ในการยืนยันตัวตนของผู้โดยสารในสนามบินได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว เทคโนโลยี Biometrics นี้จะเริ่มให้บริการกับผู้โดยสารภายในประเทศก่อนในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 และพร้อมใช้งานสำหรับผู้โดยสารระหว่างประเทศในวันที่ 1 ธันวาคม 2567 ภายในท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ AOT ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานหาดใหญ่

ปัจจุบันสนามบินชั้นนำในหลายประเทศทั่วโลกได้เริ่มนำเอาระบบ Biometric นี้ มาใช้เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกผู้โดยสาร เช่น สนามบินชางงี ประเทศสิงคโปร์ สนามบินดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สนามบินฮาร์ทสฟิลด์-แจ็คสัน เมืองแอตแลนตา ประเทศสหรัฐอเมริกา สนามบินซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย และสนามบินฮาเนดะ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งประเทศไทยนับว่าอยู่ในกลุ่มประเทศแรกๆ ของโลกที่นำระบบนี้มาใช้ภายในสนามบินเช่นกัน

นายสิทธิเดช กล่าวต่อว่า การนำ Biometric มาใช้ในสนามบินสามารถอำนวยความสะดวกให้แก่ทั้งนักท่องเที่ยวและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานภายในสนามบิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการลดขั้นตอนต่าง ๆ เพิ่มความรวดเร็ว เนื่องจากนักท่องเที่ยวไม่จำเป็นต้องถือพาสปอร์ตและ Boarding Pass เพื่อยืนยันตัวตนแก่เจ้าหน้าที่อีกต่อไป แต่ด้วยระบบ Biometric ที่พัฒนาขึ้นมานี้ นักท่องเที่ยวสามารถใช้ใบหน้าของตัวเองเป็นทางผ่านได้เลย ซึ่งนอกจากความรวดเร็วแล้วยังส่งผลโดยตรงมาในส่วนความสะอาด (Hygienic) เพราะจะช่วยลดการสัมผัสภายในสนามบิน เนื่องจากอย่างที่ทราบกันเป็นอย่างดีว่าสนามบินเป็นแหล่งรวมของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศเป้าหมายของนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยปีที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าออกประเทศไทยถึง 100 ล้านคน และคาดว่าในปีนี้จะมีนักเดินทางเข้าออกประเทศเพิ่มขึ้นจากเดิมอีก 20 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งการมีระบบนี้เข้ามา มั่นใจว่าจะช่วยเจ้าหน้าที่ให้บริการได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และอำนวยความสะดวกและประหยัดเวลาให้แก่นักท่องเที่ยวได้มากขึ้นด้วย

ขั้นตอนการทำงานของ ระบบ Biometric เพื่อใช้ใบหน้าเป็น One-ID เริ่มจากผู้โดยสารแสดงบัตรประชาชนหรือพาสปอร์ต พร้อมกับสแกนหน้าเพื่อยืนยันตัวตนที่ระบบออกตั๋วโดยสารที่เคาน์เตอร์ (CUTE: Common Use Terminal Equipment) หรือระบบออกตั๋วโดยสารด้วยตัวเอง (CUSS: Common Use Self-check in System) หลังจากยืนยันตัวตนเสร็จแล้ว ระบบจะสร้าง Travel Token ของผู้โดยสารแต่ละคนขึ้นมา ช่วยให้ผู้โดยสารสามารถสแกนใบหน้าผ่านเข้าไปยังพื้นที่ภายในสนามบินจนกระทั่งผ่าน Boarding Gate ได้อย่างสะดวก ไม่ต้องแสดงเอกสารต่างๆ อีก

 Biometric Flow

 Passenger Journey การให้บริการภายในสนามบินด้วยเทคโนโลยีทั้ง 6 เทคโนโลยีจาก SKY

ที่ผ่านมาสกายฯ ในฐานะผู้พัฒนาระบบด้านเทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่นักเดินทางภาคพื้นดิน ได้พัฒนาระบบบริการผู้โดยสารก่อนขึ้นเครื่องหรือ CUPPS (Common Use Passenger Processing System)มาใช้ใน สนามบินภายในประเทศไทย โดยระบบ CUPPS ที่ปัจจุบันดำเนินการเป็นที่เรียบร้อยประกอบไปด้วย CUTE (Common Use Terminal Equipment) ระบบออกตั๋วโดยสารที่เคาน์เตอร์, CUSS (Common Use Self-check in System) ระบบออกตั๋วโดยสารด้วยตัวเอง, CUBD (Common Use Bag Drop) ระบบโหลดกระเป๋าสัมภาระอัตโนมัติด้วยตัวเอง, PVS (Passenger Validation System) ระบบการคัดกรองผู้โดยสาร, SBG (Self-Boarding Gate) ระบบประตูทางออกขึ้นเครื่องอัตโนมัติ และล่าสุด คือ ระบบ Biometric หรือ OneID ซึ่งทั้ง 6 ระบบ ที่ถูกพัฒนาขึ้น เรามั่นใจว่าจะสามารถทำให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ Touchless Society ตั้งแต่ก้าวแรกที่นักท่องเที่ยวได้สัมผัสประเทศไทย ซึ่งเป็นประตูด่านหน้าก่อนเดินทางเข้าประเทศ และเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ที่จะทำให้นักท่องเที่ยวได้รู้สึกถึงความสะดวกสบายในการเดินทางมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ตรงเป้าหมายที่สกายช่วยในการพัฒนาประเทศในช่วงเปลี่ยนผ่านจาก New Normal สู่ Now Normal เพื่อให้ผู้เดินทางได้เดินทางอย่างปลอดภัย และสะดวกสบาย (Save, Secure and Convenience)

เทคโนโลยีทั้ง 6 เทคโนโลยีที่สกายพัฒนาเพื่อให้บริการภายในสนามบิน

โบกมือลา Floppy Disk สหรัฐทุ่มงบหมื่นล้าน ยกเครื่องระบบเก็บข้อมูลรถไฟ

[ยกระบบ] หลังมีข่าวตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา เผยพบระบบรถไฟในซานฟรานซิสโกหรือ SFMTA ยังใช้ Floppy Disk ในการจัดเก็บข้อมูลอยู่ (ตั้งแต่ปี 1998) ล่าสุดทางหน่วยงานได้ทุ่มงบกว่า 7 พันล้านบาท ถอดระบบดังกล่าวออกยกชุดแล้ว

นับเป็นเคสที่แสดงให้เห็นเลยว่า ทำไมหลาย ๆ หน่วยงานยังคงใช้ระบบเทคโนโลยีสุดโบราณอยู่ แม้จะเสี่ยงเรื่องความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการใช้งานก็ตาม หลังมีหน่วยงานคมนาคมขนส่งของซานฟรานซิสโก (SFMTA) ได้ลงทุนปรับปรุงระบบครั้งใหญ่ พบใช้งบมากถึง 700 ล้านดอลลาร์ฯ หรือประมาณ 23,673 ล้านบาท เปลี่ยนจากการใช้ Floppy Disk ขนาด 5.25 นิ้ว ที่เคยเก็บข้อมูลในระบบควบคุมรถไฟอัตโนมัติ (ATCS) มาเป็นระบบใหม่ที่ทันสมัยมากขึ้น

ในงบส่วนหนึ่งก็มาจากข้อตกลงระหว่าง SFMTA กับทาง Hitachi Rail ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของญี่ปุ่นด้วย โดยมีมูลค่าถึง 212 ล้านดอลลาร์ฯ หรือประมาณ 7,167 ล้านบาท เพื่อมาช่วยพัฒนาระบบ ATCS ใหม่ยกแผง ทั้งระบบจัดเก็บข้อมูล ระบบควบคุมรถไฟอัตโนมัติ ระบบสื่อสารด้วย Wi-Fi กับสัญญาณมือถือ และระบบส่งข้อมูลผ่านเซิร์ฟเวอร์ แทนที่การใช้ Floppy Disk ทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนทั้งหมดอาจใช้เวลาจนถึงปี 2027 หรือ 2028 เพราะต้องมีการเปลี่ยนสายเคเบิล และเทคโนโลยีเก่าอื่น ๆ อีกมากมายด้วย กับยังมีขั้นตอนการติดตั้งเทคโนโลยีบนถนน คาดจะเสร็จสิ้นสุดการยกระบบทั้งหมดคือปี 2033 หรือ 2034 กันเลย

ย้อนกลับไปในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา พบญี่ปุ่นได้ถอดระบบ Floppy Disk ออกจากหน่วยงานของรัฐบาลทั้งหมด ทว่ายังคงมีบางบริษัทที่ใช้งานระบบดังกล่าวอยู่ เพราะความชื่นชอบ

ที่มา : Techspot

Google จัดให้ SynthID Text เครื่องมือใส่ลายน้ำ ป้องกันคนละเมิดสิทธิ์

SynthID

Google เปิดตัวเครื่องมือ SynthID Text ใส่ลายน้ำลงในข้อความที่สร้างโดย AI เพื่อทำให้นักพัฒนา มีความรับผิดชอบต่อ AI ที่ตัวเองสร้างขึ้น ซึ่งในอีกมุมหนึ่ง ก็ยังเป็นการปกป้องสิทธิ์ของตัวเอง

ให้อธิบายเข้าใจง่าย ๆ คือ สมมติว่าเราสร้างเครื่องพิมพ์เงิน ที่สามารถพิมพ์ธนบัตรออกมาได้เหมือนจริงมาก จนแยกไม่ออกว่าใบไหนจริงใบไหนปลอม Google ก็เลยคิดค้น “ลายน้ำล่องหน” ขึ้นมา เพื่อฝังลงในธนบัตรที่พิมพ์จากเครื่องนี้โดยเฉพาะ เวลาเราสงสัยว่าธนบัตรใบไหนเป็นของปลอม ก็เอาไปส่องกับเครื่องตรวจจับพิเศษ มันก็จะรู้เลยว่าใบไหนพิมพ์จากเครื่องพิมพ์เงินของเรา โดยตัวเครื่องพิมพ์ ก็เปรียบเสมือนกับ AI ที่นักพัฒนาสร้าง

SynthID Text ก็เหมือนลายน้ำล่องหนแบบนั้นแหละครับ แต่ใช้กับข้อความที่สร้างโดย AI แทนที่จะเป็นธนบัตร Google สร้างเครื่องมือนี้ขึ้นมา เพื่อให้นักพัฒนา ที่สร้าง AI เขียนข้อความ สามารถตรวจสอบได้ว่าข้อความไหนที่ AI ของตัวเองเป็นคนเขียน

ยกตัวอย่างง่าย ๆ คือ
– นักพัฒนา A สร้าง AI ที่เขียนบทความข่าวได้ เขาใช้ SynthID Text ฝังลายน้ำของตัวเองลงไปในทุกๆ บทความที่ AI เขียน
– นักพัฒนา B สร้าง AI ที่แต่งนิยายได้ เขาก็ใช้ SynthID Text ฝังลายน้ำของตัวเองลงไปในนิยายที่ AI แต่ง

ทีนี้ สมมติว่ามีบทความข่าวปลอม หรือ นิยายที่ละเมิดลิขสิทธิ์ เผยแพร่อยู่บนอินเทอร์เน็ต นักพัฒนา A และ B ก็สามารถใช้ SynthID Text ตรวจสอบได้ว่า ข้อความเหล่านั้น ถูกสร้างขึ้นโดย AI ของตัวเองหรือเปล่า ซึ่ง SynthID Text เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักพัฒนา AI สามารถ “อ้างสิทธิ์ความเป็นเจ้าของ” และ “รับผิดชอบ” ต่อข้อความที่ AI ของพวกเขาสร้างขึ้นนั่นเอง

ประโยชน์ของ SynthID Text ก็คือ
– ช่วยป้องกันการนำข้อความที่สร้างโดย AI ไปใช้ในทางที่ผิด เช่น ปลอมแปลงเอกสาร เผยแพร่ข่าวปลอม หรือสร้างความเกลียดชัง
– ช่วยให้นักพัฒนา AI รับผิดชอบต่อผลงานของตัวเองมากขึ้น
– ติดตามแหล่งที่มา ช่วยติดตาม ตรวจสอบ และวิเคราะห์การใช้งานเนื้อหาที่ AI สร้างขึ้น เช่น บทความ โค้ด หรือบทกวี
– ลดการเผยแพร่ข้อมูลเท็จ ช่วยระบุแหล่งที่มาของข้อมูล ลดปัญหาข่าวปลอม และข้อมูลบิดเบือนที่สร้างโดย AI
– สำนักข่าว ใช้ SynthID Text เพื่อติดลายน้ำในข่าวที่ AI เขียน เพื่อแสดงความรับผิดชอบ และป้องกันการนำข่าวไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

ที่มา
https://deepmind.google/technologies/synthid/

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จับมือ กรีนเยลโล่ ปรับโซลูชั่นระบบปรับอากาศใหม่ทั้งโรงงานเพื่อประสิทธิภาพที่ยั่งยืน

นายมงคล ตั้งศิริวิช ประธาน ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ดูแลกลุ่มคลัสเตอร์ ประเทศไทย ลาว เมียนมา ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง กับ นายสเตฟาน ดูเฟรน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์และพันธมิตร กรีนเยลโล่ ประเทศไทย เพื่อยกระดับระบบปรับอากาศ HVAC ด้วยการออกแบบใหม่ตามเทคโนโลยีล่าสุดในโรงงานผลิตของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ณ นิคมอุตสาหกรรมบางปู เพื่อลดต้นทุนด้านพลังงาน และลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ พร้อมทั้งรองรับสายการผลิตในอนาคต โดย กรีนเยลโล่ จะใช้โซลูชั่นจาก ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่มีจุดเด่นในการสร้างความยั่งยืน พร้อมกันนี้ กรีนเยลโล่ จะดูแลเรื่องการบริการ การบำรุงรักษา ตามมาตรฐานของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค อีกด้วย

ความร่วมมือในครั้งนี้ของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค และ กรีนเยลโล่ มีเจตนารมณ์เดียวกัน คือ การยกระดับและตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนการทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัล เพื่อสร้างความยั่งยืน โดยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและค่าบำรุงรักษา พร้อมทั้งลดการปล่อยคาร์บอนได้ในคราวเดียวกัน ซึ่งได้คาดการณ์ไว้ว่า หลังจากการติดตั้งระบบต่างๆ พร้อมใช้งาน จะช่วยให้โรงงานชไนเดอร์ อิเล็คทริค ในประเทศไทย ลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึง 720 ตัน ต่อปี

เทคโนโลยีที่ กรีนเยลโล่ ใช้ในการปรับปรุงและยกระดับระบบปรับอากาศ HVAC ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ที่เชื่อมต่อกันได้แบบ IoT เซ็นเซอร์ที่ใช้ในการตรวจจับและรวบรวมข้อมูล โดยใช้ซอฟต์แวร์ EcoStruxure Building Operation รุ่นล่าสุด ช่วยในการบริหารจัดการอาคาร สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกและวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพในแบบเรียลไทม์ ลดกระบวนการทำงานที่ซ้ำซ้อน ลดต้นทุนด้านการซ่อมบำรุง และที่สำคัญช่วยให้สามารถใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยังมีความพร้อมในการถ่ายทอดองค์ความรู้ผ่านผู้เชี่ยวชาญของโรงงาน โดยใช้โรงงานเป็นต้นแบบและกรณีศึกษา ในด้านการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน เพื่อให้คู่ค้าและลูกค้าที่มีเป้าหมายเดียวกัน ได้เห็นผลลัพธ์ที่แท้จริงตามเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน และ Net Zero ในอนาคตอีกด้วย

เปิดตัวในไทยแล้ว ฟีเจอร์ YouTube Shopping ปักหมุดตะกร้าหารายได้เสริม

หารายได้เสริม ฟีเจอร์ YouTube Shopping เปิดตัวในไทยแล้ว ที่จะทำให้เหล่าครีเอเตอร์ในแอปสามารถปักหมุดตะกร้า เปิดช่องทางให้ผู้ติดตามช้อปปิ้งออนไลน์ได้ง่ายขึ้นและเจ้าของช่องก็ได้ค่าขนมไปด้วย

ประเทศไทยนับว่าเป็นประเทศที่ 4 ของโลก ที่ได้ใช้งาน YouTube Shopping เป็นอันดับแรก ๆ ที่ต่อยอดความสำเร็จจากการเปิดตัวในสหรัฐอเมริกา เกาหลี และอินโดนีเซีย 

ได้ร่วมมือกับ Shopee ใช้โปรแกรม Affiliate ให้ครีเอเตอร์รับค่าคอมมิชชั่นจากการแท็กสินค้าในวิดีโอ ไม่ว่าจะเป็นการไลฟ์สด , อัปโหลดวิดีโอล่าสุด หรือย้อนกลับไปติดปักตะกร้าในวิดีโอเก่า ๆ ของตัวเองได้อีก

ครีเอเตอร์ที่สามารถใช้ฟีเจอร์นี้ได้จะต้องมีผู้ติดตามมากกว่า 10,000 คนขึ้นไป และอยู่ใน YouTube Partner Program และไม่ได้เป็นช่องที่เกี่ยวข้องกับเด็ก 

ในอนาคตจะเตรียมขยายไปตลาดอีคอมเมิร์ซรายอื่นๆ ด้วย นอกจาก YouTube Shopping ยังมีฟีเจอร์อีกมากมายที่แอปเปิดให้หารายได้ ไม่ว่าจะเป็น รายได้จากการโฆษณา , การเป็นสมาชิกที่ผู้ติดตามสามารถซับพอร์ตเจ้าของช่องได้ เป็นต้น 

ดูคลิปเพิ่มเติม >> https://youtu.be/k3NlQiF_yOY?si=zKeQFxm1gj75qDvx

ติดตามYouTube ช่อง Techhub คลับของคนไอที >> http://bit.ly/35qb5Ak

#YouTubeShopping #YouTube #TechhubUpdate

Solar, Cloudsec Asia, มจธ. และ สกมช. ประกาศผลและมอบรางวัลการประกวดแข่งขัน Cybersecurity งาน Cyber Range Thailand 2024

Solar บริษัท คลาวด์เซค เอเซีย จำกัด มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) และ สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.)  ร่วมกันจัดงานประกวดแข่งขัน ประกาศผลและมอบรางวัล “Cyber Range Thailand 2024” เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2567 ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี โดยเป็นการแข่งขันทางด้าน Cybersecurity ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมประโยชน์ของ Cyber Range ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและ Cybersecurity ในประเทศไทย และเพิ่มทักษะให้กับสถาบันการศึกษา นักวิชาการ นักวิจัย คณาจารย์ นักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนที่สนใจในด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ในด้านเทคโนโลยีและการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ และตระหนักถึงความสำคัญในการสร้างองค์กรที่มีความยืดหยุ่นด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ รวมถึงการมีเครื่องมือและวิธีการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการ ซึ่ง Cyber ​​Range เป็นการจำลองสภาพแวดล้อมเสมือนจริงเฉพาะทางที่จำลองโครงสร้างพื้นฐาน IT/OT ให้เหมือนกับโลกแห่งความเป็นจริงเพื่อการฝึกอบรม การทดสอบ และพัฒนาทักษะด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์

รศ. ดร.สุวิทย์ แซ่เตีย อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี กล่าวว่า “มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีมีนโยบายสำคัญในการส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนานวัตกรรม ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ รวมถึงสร้างความตระหนักด้านสถานการณ์เกี่ยวกับภัยคุกคามทางไซเบอร์  และมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนให้การสนับสนุนและได้รับเกียรติเป็นสถานที่จัดการประกวดแข่งขัน “Cyber Range Thailand 2024” โดยเห็นว่าเป็นการพัฒนา สนับสนุน และเตรียมบุคลากรให้มีความพร้อม ความรู้ความเข้าใจ และความเชี่ยวชาญในสถานการณ์เกี่ยวกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ จึงให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่กับทุกภาคส่วน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน นวัตกรรม บุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญ ยกระดับทักษะความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ การเรียนการสอนให้ได้ปฏิบัติและทดลองจริงที่จะเป็นพลังสำคัญให้เกิดคุณค่าและความเข้มแข็งของประเทศ และขอแสดงความยินดีกับทีมที่ได้รับรางวัล และทุกๆ ท่านที่เข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ ท่านจะเป็นกำลังสำคัญของประเทศในการขยายผลต่อยอดสร้างนวัตกรรมด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์และเศรษฐกิจของประเทศต่อไป”

นาวาเอกหญิง ศิริเนตร รักษ์วงศ์ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) กล่าวว่า “สกมช. มีนโยบายให้ความสำคัญในการสร้างนวัตกรรมการรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์ เพื่อเป็นกลไกและต่อยอดสู่การสร้างสรรค์เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงส่งเสริมให้เกิดวัฒนธรรมด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยที่แพร่หลายในกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ และประชาชนในประเทศไทย อันนำมาซึ่งการขับเคลื่อนให้มีความแข็งแกร่งทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยให้มีความก้าวหน้าอย่างยั่งยืน และยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้สนับสนุนการประกวดแข่งขันทางด้าน Cybersecurity ในงาน “Cyber Range Thailand 2024” ครั้งนี้ เพื่อให้เกิดความพร้อมในการรับมือกับภัยคุกคามและรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ รวมทั้งได้รับความรู้ทั้งทางทฤษฎีและปฏิบัติในสถานการณ์จำลองเสมือนจริง เพื่อให้มีความพร้อมสูงสุดในการรับมือกับภัยคุกคามไซเบอร์ และสร้างแรงงานออกสู่ตลาดแรงงานในอนาคต”

Mr. Artem Padeyskiy, International Sales Director แห่ง Solar กล่าวว่า การประกวดแข่งขันในครั้งนี้ได้รับการตอบรับจากนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนเป็นอย่างมาก และขอแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับรางวัลฯ และขอบคุณผู้ร่วมเข้าแข่งขันทุกท่านที่สร้างสรรค์ส่งผลงานอันมีคุณค่าเข้าประกวด โดยปีนี้มีผู้สนใจส่งผลงานมากกว่า 400 ท่านจากสถาบันการศึกษาทั่วประเทศและประชาชนทั่วไป มีผู้ผ่านรอบสุดท้ายและมาร่วมแข่งชิงชนะเลิศจำนวน 45 ท่านโดยแบ่งออกเป็น 9 ทีมในวันแข่งขัน ซึ่งเวทีนี้เปิดโอกาสให้ทุกท่านได้แสดงความสามารถและความคิดสร้างสรรค์ได้ไร้ขีดจำกัด เพื่อรองรับนโยบาย Digital Economy ของรัฐบาลไทย อันจะนำไปสู่การเติบโตอย่างก้าวหน้าในอนาคตต่อไป”

คุณเอกชัย อรุณสกุล กรรมการผู้จัดการ  บริษัท คลาวด์เซค เอเซีย จำกัด (CLOUDSEC ASIA COMPANY LIMITED) กล่าวว่า “บริษัทฯ เป็นผู้นำในการให้บริการด้านความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศและเทคโนโลยีโซลูชันด้านความปลอดภัยข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาและลดความเสี่ยงของความปลอดภัยอย่างครบวงจรและมีประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงการฝึกอบรมและการให้คำปรึกษาเพื่อเสริมสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าช่วยให้รู้เท่าทันภัยไซเบอร์ และสร้างอนาคตของโลกดิจิทัลให้มั่นคงปลอดภัย สำหรับการประกวดแข่งขันในครั้งนี้ ขอขอบคุณสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ นักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ที่ส่งบุคลากรเข้าร่วมแข่งขันพร้อมกันนี้ขอแสดงความยินดีกับทีมที่ได้รับรางวัล ที่มาร่วมสร้างสรรค์วางแผน ฝึกทักษะ อบรมปฏิบัติ เพื่อพัฒนาประสบการณ์ การเรียนรู้ และแนวคิดในการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนและฝึกใช้โซลูชันความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ อีกทั้งยังจะเป็นกำลังสำคัญในการสร้างผู้เชี่ยวชาญให้กับอุตสาหกรรมต่อไป”

สำหรับรูปแบบของการประกวดแข่งขันจะประกอบด้วย :

การพัฒนาทักษะ: มีการอบรมฝึกซ้อมการตอบสนองด้านความปลอดภัยคุกคามทางไซเบอร์ และเปิดรับทักษะใหม่ ๆ ผ่านระบบ Cyber Range ระดับโลก ผู้เข้าร่วมการแข่งขันสามารถมีส่วนร่วมในการตอบสนองต่อการจำลองภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่สมจริงผ่านแบบฝึกหัดการตอบสนองเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ถูกจำลองขึ้นได้

Talent Gap: การฝึกอบรมภาคปฏิบัติ เพื่อเสริมสร้างทักษะและลดช่องว่างให้กับบุคลากรด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ และช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม

ส่งเสริมนวัตกรรม: การแข่งขันจะกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาและนำนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ใช้ในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์มาใช้ บุคลากรที่เข้าแข่งขันสามารถทดสอบแนวคิด แก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนและโต้ตอบกับโซลูชันความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ที่สามารถจำลองเหตุการณ์ภัยคุกคามที่เกิดขึ้นจริงได้

สำหรับผู้ที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายจำนวนทั้งหมด 45 ท่าน ได้แบ่งเป็น 9 ทีม โดยมีผลการประกวดแข่งขันดังต่อไปนี้

ทีมชนะเลิศรางวัลที่ 1 ได้รับเงินรางวัลรวม 15,000 บาทพร้อมใบประกาศเกียรติบัตร ประกอบด้วย

– นายจักรพันธ์ ปาทาน คณะวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระเจ้าเกล้าธนบุรี

– นายเชษฐมาส ตั้งสุขสันต์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

– ผศ.ดร.ชินพงศ์ อังสุโชติเมธี สำนักนวัตกรรมดิจิทัลและระบบอัจฉริยะ

มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

– นายธฤต ทองเปลว ห้องแลป SEC. 520 ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC)

– ร้อยเอกศิระ ทรงพลโรจนกุล กองทัพบก

ทีมชนะรางวัลที่ 2 ได้รับเงินรางวัลรวม 10,000 บาทพร้อมใบประกาศเกียรติบัตร ประกอบด้วย

– นายภูวสิษฏ์ เนื้อไม้หอม มหาวิทยาลัยขอนแก่น

– นายสิปปกร วรวัฒนานุกุล มหาวิทยาลัยขอนแก่น

– นายกับตัน พึ่งเป็นสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

– นายธนนรินทร์ ใจแจ้ง โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยธนบุรี

ทีมชนะรางวัลที่ 3 ได้รับเงินรางวัลรวม 5,000 บาทพร้อมใบประกาศเกียรติบัตร

– ร.ต.อ.ภาวีร์ วีรวิทยาเศรษฐ์ ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

– ร.ท.วีรภัทร จันทร์เหล็ก กองทัพอากาศ

– ร.ท.กันต์ฐรัตน์ บัวคลี่ กองทัพอากาศ

– นนอ.กัลยกฤต สุขเกษม โรงเรียนนายเรืออากาศนวมินทกษัตริยาธิราช

– นายวรวุธ มะโณสงค์ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (กพ.)

บทสัมภาษณ์ผู้ชนะเลิศการประกวดแข่งขัน “Cyber Range Thailand 2024”

ทีมชนะเลิศรางวัลที่ 1 กล่าวว่า “เราไม่ได้ตั้งชื่อทีม การเข้ามาแข่งขันครั้งนี้ เพื่อหาประสบการณ์ใหม่ ๆ ในตลาดไซเบอร์ นอกจากนี้เห็นน้อง ๆ นักศึกษาเล่นแล้ว อยากเล่นด้วย ปกติส่งคนอย่างเดียว และเมื่อได้มารวมกันในหลายฝ่ายที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน มีการจัดการด้วยการแชร์เอกสารไว้ตรงกลาง หากใครไปเจออะไรก็ให้นำมาใส่ไว้ตรงกลาง จะได้ไม่มีการทำงานซ้ำซ้อนกัน เวลาจะเข้า VM จะมีการเตรียมตัวกันก่อนว่าใครจะเข้าตรงไหน จะได้ไม่ชนกัน และคุยกันว่าทุกคนมีความเข้าใจในแนวทางเดียวกันว่ากำลังทำอะไรกันอยู่ มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน ไม่มีการทำงานซ้ำซ้อนกัน และ กระจายงาน การที่ได้รับรางวัลชนะเลิศนี้จะนำประสบการณ์ไปต่อยอดในส่วนของไซเบอร์ และการทำงานสายงานนี้ต่อไปในอนาคต”

ทีมชนะรางวัลที่ 2 กล่าวว่า “ทีมเราไม่ได้ตั้งชื่อทีมเช่นกัน เรามีจุดหมายอยากทำงานในด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ เนื่องจากงานด้านนี้ยังไม่ค่อยมีคนสนใจมากนัก เพราะเป็นการทำงานที่ซ้ำ ๆ เดิม ๆ แต่ภัยทางไซเบอร์มีเกิดขึ้นแบบใหม่ ๆ แปลก ๆ ตลอดเวลา ทำให้ต้องมีการพัฒนาเพื่อก้าวไปข้างหน้า ที่ผ่านมาไม่มี AI แต่ตอนนี้มี AI และมีศาสตร์ทางด้านโซเชียลเอ็นจิเนียริ่ง และภัยคุกคามก็มีจำนวนมาก งานในด้านนี้ยังขาดกำลังคน การแข่งขันฯ นี้เป็นเหมือนศาสตร์ที่ 2 เพราะทำให้ได้มาต่อยอดการฝึกฝนให้มีความรู้มากขึ้น การได้รับรางวัลจะนำไปทำ portfolio สำหรับการทำงานและอื่น ๆ ต่อไป”

ทีมชนะรางวัลที่ 3 กล่าวว่า “ตั้งชื่อทีมว่า “เทเบิ้ลเซเว่น” อยากเปิดโลกทัศน์และหาประสบการณ์เกี่ยวกับโลกของไซเบอร์และการแข่งขันอะไรใหม่ ๆ เพราะเพิ่งเรียนจบ จึงอยากเปิดตัวหาเครือข่าย ที่ผ่านมาการแข่งขัน Cyber Range ในประเทศไทยมีน้อย ทำให้ไม่ค่อยได้ฝึกฝนกัน การได้เข้าแข่งขันเป็นการฝึกทักษะและได้รู้ว่าอยู่ในระดับไหน ทำให้ได้ประสบการณ์มาพัฒนาตนเอง และฝึกจากสถานการณ์ที่เหมือนกับการทำงานจริง ๆ ทำให้มีการจัดการและบริหารทีม ในฐานะหัวหน้าทีม มองว่าทุกคนมีดีในตัวเองอยู่แล้ว จึงบริหารจัดการด้วยการจัดทำ document กลางให้คนในทีมนำข้อมูลมาวางรวมกัน ทุกคนเข้าถึงได้ และเวลาที่ทุกคนมีไอเดียอะไรก็จะนำมาแชร์กัน แล้วก็ไปตาม Flow นั้น และไม่ได้บังคับว่าใครจะต้องทำอะไรเป็นพิเศษ ถ้าเจอคนในทีมว่างอยู่ก็จะขอให้ช่วยทำ สำหรับการแข่งขันครั้งนี้เราไม่ได้ตั้งทีมกันมาก่อน ซึ่งทีมมาจากการเลือกแบบสุ่มแต่ละคนก็จะมีความสามารถฝึกฝนกันมาไม่เหมือนกัน ในการแข่งขันทุกคนก็จะมีเทคนิคในการหาที่ไม่เหมือนกัน อย่างใครที่เคยทำงานมาก่อนก็จะใช้เครื่องมือเป็นสามารถหาข้อมูลและรู้ว่าอยู่ตรงไหน บางคนไม่เคยทำงานนี้มาก่อนก็จะเข้าไปในเครื่องเลยจะไม่ค่อยได้ใช้เครื่องมือในการมอนิเตอร์หาข้อมูล ในการแข่งขันฯ รู้สึกเสียดายที่เตรียมตัวและฝึกยังมายังไม่มากพอ ทีมเราคงทำได้ดีกว่านี้ สำหรับการแข่งขันฯ เป็นการเปิดโอกาสให้ได้แสดงความสามารถทางด้านไซเบอร์ ในประเทศไทยมีเวทีให้แข่งขันน้อย อย่างคนที่มีประสบการณ์เขาก็ไม่รู้ว่าต้องแสดงความสามารถได้ในเวทีไหนบ้าง ซึ่งเวทีนี้จีงเป็นเวทีที่ได้โชว์ความสามารถและประสบการณ์ได้อย่างเต็มที่”

แล้วพบกันใหม่ในการประกวดแข่งขัน “Cyber Range Thailand 2025” ในปีหน้าที่จะยิ่งเข้มข้นและท้าทายมากยิ่งขึ้น ตามสภาพแวดล้อมทางไซเบอร์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พร้อมกับภัยคุกคามทางที่ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น

Hot Issue