Home Blog Page 67

ข่าวประชาสัมพันธ์ SPU AI Transformation เดินหน้าสร้าง “AI Habit” ปลดล็อกศักยภาพ “คน” สู่มหาวิทยาลัย AI

ศรีปทุม มหาวิทยาลัยเอกชนชั้นนำ ก้าวสู่ยุค AI University ผ่านกลยุทธ์ “SPU AI Transformation” ปลดล็อกศักยภาพบุคลากร สร้าง “AI Habit” จัดอบรมสัมมนาผู้บริหาร 100% ผ่านโครงการ “SPU Executive AI Strategy and Operation” เสริมทักษะ วางกลยุทธ์ และแนวทางการประยุกต์ใช้ AIพัฒนาบุคลากรปฏิบัติการ ต่อเนื่องรุ่นละ 60 คน ผ่านหลักสูตร “Smart Work Smart Life with AI Helper” อบรม ให้รู้จักใช้ AI เป็น ผู้ช่วย ทลายขีดจำกัด ยกระดับงาน ในเฟสแรก ภายใน 1 ปี “คน” SPU รู้จักประยุกต์ใช้ AI ในสายงานได้ 100 % และมี วิธีคิด “Design Thinking” แก่นสำคัญทำให้ทรานสฟอร์มได้ทุกยุค เปิด AI Solution Clinic พื้นที่ปรึกษา วิเคราะห์ แก้ปัญหาการนำ AI มาใช้ สร้าง AI Forum ศูนย์กลางแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ แนวทางปฏิบัติที่ดี สร้าง Ecosystem ในการเรียนรู้

ผศ.ดร.ชลธิศ เอี่ยมวรวุฒิกุล ผู้ช่วยอธิการบดี มหาวิทยาลัยศรีปทุม เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยศรีปทุม ในฐานะDynamic university ที่มุ่งมั่นพัฒนาศักยภาพและคุณภาพการศึกษาให้ทันสมัย ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของเทคโนโลยีและโลกยุคใหม่ มองว่าการประยุกต์ใช้เครื่องมือ Generative AI จึงมีความจำเป็นเร่งด่วน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและให้สามารถแข่งขันได้ในยุคดิจิทัล ครบทุกมิติ โดยได้กำหนดนโยบาย ส่งเสริม และขับเคลื่อนองค์กรสู่ยุค AI (AI Transformation) เพื่อสร้าง “AI Habit” หรือนิสัยการใช้ AI ให้กับ “คน” ศรีปทุม ทุกระดับตั้งแต่ผู้บริหารทุกระดับ เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติงาน อาจารย์ และนักศึกษา เพื่อทุกคนมอง AI เป็น ผู้ช่วยหรือ “AI Helper” ก้าวข้ามจาก Comfort zone เดิม สู่การทำงานมิติใหม่ที่จะสามารถทรานสฟอร์มการทำงานที่สะดวก ก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้จากการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารและบุคลากร พบรู้จัก AI แต่ยังไม่รู้จะนำมาใช้ในการทำงานของตัวเองได้อย่างไร และพบว่าส่วนใหญ่ต้องการทำงานของตัวเองให้ออกมาดีที่สุดและกังวลว่างานของตัวเองจะไม่มีคุณภาพเมื่อเกิดปัญหาในการทำงาน ไม่มีไอเดียใหม่เพื่อแก้ไข เพราะไม่กล้าปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานและไม่มีเครื่องมือเป็นตัวช่วย ทั้งนี้จาก Pain Point ดังกล่าว การนำ AI เข้ามาช่วยสร้างไอเดีย วิธีการแก้ไขปัญหา และเติมเต็มยกระดับงานที่ไม่ถนัด และเพิ่มประสิทธิภาพของงานที่ถนัดจะเป็นการปลดล็อกการทำงานให้บุคลากรในทุกระดับ SPU จึงได้จัดทำหลักโครงการอบรมการใช้ AI 2 หลักสูตร ได้แก่

1.โครงการอบรมสัมมนา “SPU Executive AI Strategy and Operation” สำหรับผู้บริหารมหาวิทยาลัยทุกระดับ100% รวมประมาณ 120 คน เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจถึงศักยภาพและผลกระทบของ AI ต่อการดำเนินงานของสถาบันการศึกษา รวมถึงเป้าหมายและกลยุทธ์ในการบูรณาการเครื่องมือ AI ในการดำเนินงานและแนวทางการประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานในด้านต่างๆ เพื่อให้ผู้บริหารของมหาวิทยาลัยจะสามารถนำความรู้และทักษะที่ได้รับไปขับเคลื่อนและส่งเสริมสนับสนุนบุคลากร นำพามหาวิทยาลัยเข้าสู่ AI University ได้อย่างมีประสิทธิผล บนวัตถุประสงค์ สร้างความตระหนักในศักยภาพและผลกระทบของ AI ในการดำเนินงานของสถาบันการศึกษา สร้างความเข้าใจถึงเป้าหมายและกลยุทธ์ในการบูรณาการเทคโนโลยี AI ในการบริหารงานและกระบวนการดำเนินงานของมหาวิทยาลัย เกิดการเรียนรู้แนวทางในการนำ Generative AI มาประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานของหน่วยงาน

2. การฝึกใช้ Generative AI ในงานประจำวัน Smart Work Smart Life with AI Helper สำหรับบุคลากรระดับปฏิบัติการเข้าร่วมในเฟสแรกจำนวน 60 คนจากทุกแผนก เรียนต่อเนื่อง 19 วัน แบ่งเป็น Work Shop เรียนร่วมกัน 3 วัน เพื่อเปิดโอกาสให้เรียนรู้ได้อย่างเต็มที่ แบบจับมือทำเพื่อแลกเปลี่ยน แบ่งปันกันระหว่างผู้เข้าร่วม หลังจากนั้นส่งการบ้านทางออนไลน์ และมีการจัดประกวดเพื่อจูงใจให้เกิด “การเรียนรู้ได้อย่างเต็มที่ โดยบุคลากร SPU ทุกคนที่ผ่านการเรียนรู้จะต้องรู้จักการประยุกต์ใช้ AI เป็นนิสัย หรือ Helper ในการทำงาน เป็นผู้ช่วยในงานที่ไม่ถนัด และเป็นเพื่อนคู่คิดในงานที่ชำนาญ ให้ประสิทธิผลของานดียิ่งขึ้น และมีแผนพัฒนาบุคลากรปฏิบัติการ ต่อเนื่องรุ่นละ 60 คน

“หลักสูตรการอบรมจะฝึกแนวคิดพัฒนาตัวเองด้วย “Design Thinking” แก่นสำคัญของการทรานสฟอร์มตัวเองให้สามารถปรับตัวได้กับทุกยุค โดยมีเป้าหมายนำ AI เข้ามาเป็นผู้ช่วย เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้ รวดเร็ว มีประสิทธิภาพมากขึ้น” ผศ.ดร.ชลธิศ กล่าว

นอกจากนี้ SPU ได้เปิด AI Solution Clinic เป็นพื้นที่ที่ให้บริการปรึกษา วิเคราะห์ ไขปัญหาการนำ AI มาประยุกต์ใช้ในการทำงาน และการเรียนรู้ คลินิกนี้จะช่วยแก้ปัญหาอุปสรรค และสนับสนุนการใช้งาน AI อย่างมีประสิทธิภาพ และยังได้เปิดกลุ่ม AI Forum ศูนย์กลางรวบรวมกรณีตัวอย่าง เป็นเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และแนวทางปฏิบัติที่ดี เกี่ยวกับการประยุกต์ใช้ AI ในหลากหลายภาคส่วน นำเสนอกรณีศึกษาที่ประสบความสำเร็จ จากองค์กรชั้นนำ และผู้เชี่ยวชาญด้าน AI สร้างแรงบันดาลใจ และกระตุ้นให้องค์กรต่างๆ นำ AI มาประยุกต์ใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ สร้างโอกาสทางธุรกิจ และขับเคลื่อนนวัตกรรม จากแผนดังกล่าว SPU ถือมหาลัยวิทยาลัยเอกชน รายแรก ๆ ในภาคการศึกษาที่ทรานสฟอร์มการทำงานด้วย AI

นอกเหนือจาก การพัฒนาบุคลากรระดับบริหาร และปฏิบัติการของมหาวิทยาลัย แล้ว ตลอด 3-4 เดือนที่ผ่านมา ทุกคณะวิชาได้มีการจัดอบรมพัฒนาอาจารย์ และนักศึกษาให้ได้รู้จักเข้าใจในการใช้งาน AI พื้นฐานในการจัดการเรียนการสอนและการเรียนรู้ ในลำดับถัดไปจะได้ลงลึก ขั้น advanced สำหรับแต่ละวิชาชีพ เพื่อให้อาจารย์สามารถใช้ AI เป็นผู้ช่วยในการจัดการเรียนการสอน ตามแนวทาง Outcome Based Learning (OBL) ให้นักศึกษาเกิดการเรียนรู้จากเครื่องมือ AI ที่จะช่วยเปิดโลกวิชาชีพนอกห้องเรียน เกิด Deep Thinking และ Deep Learning ได้อย่างมีประสิทธิผล

 

แอลจีเปิดตัวโน๊ตบุ๊ค เกมมิ่งมอนิเตอร์ และสมาร์ทมอนิเตอร์ใหม่หลากหลายรุ่นรับตลาดปี 2567 อัดแน่นฟีเจอร์อัจฉริยะ ตอบสนองสมาร์ทไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ทุกกลุ่ม 

พร้อมท้าประลองความมันส์บนเกมมิ่งมอนิเตอร์ OLED ที่สุดแห่งเทคโนโลยีแสดงผลภาพสุดสมจริงและอัตรารีเฟรชเรทขั้นเทพ 

บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด ส่งไลน์อัพใหม่ล่าสุดในกลุ่มผลิตภัณฑ์ไอที ประจำปี 2567 ได้แก่ โน๊ตบุ๊ค LG gram และ LG gram Pro จอ LG UltraGear เกมมิ่งมอนิเตอร์ รุ่นพาเนล OLED รุ่นพาเนล Nano IPS รุ่นพาเนล Full HD IPS และจอ LG MyView Smart Monitor ทุกรุ่นอัดแน่นด้วยฟีเจอร์อันชาญฉลาดและดีไซน์ที่เรียบหรู ส่งเสริมสมาร์ทไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ที่กำลังมองหาอุปกรณ์ไอทีที่เร็ว แรง ประสิทธิภาพสูง ตอบโจทย์การใช้งานได้ทุกรูปแบบทั้งการเรียน ทำงาน เล่นเกม เปิดรับความบันเทิงได้อย่างเต็มอิ่มแบบครบจบในที่เดียว ตามสไตล์การออกแบบที่มุ่งเน้นให้ผู้บริโภคมีชีวิตที่ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น ตามแนวคิด ‘Innovation for a Better Life’ 

นายอำนาจ สิงหจันทร์ หัวหน้าฝ่ายการตลาด บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์ไอทีของแอลจีในปี 2567 ว่า “ในยุคที่ทุกอย่างต้องการความรวดเร็วและการเชื่อมโยงเข้าถึงกัน ผู้คนต่างมองหาเทคโนโลยีที่ไม่เพียงแค่ชาญฉลาด แต่ยังต้องตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ไม่หยุดนิ่งของพวกเขาด้วย แอลจีเข้าใจดีว่าผู้บริโภคยุคใหม่มองหาประสิทธิภาพและผลิตภาพ (Productivity) สูงสุดจากการทำงาน ดังนั้นอุปกรณ์ที่พวกเขาเลือกใช้จึงต้องมีทั้งคุณภาพ สามารถตอบสนองการใช้งานได้หลากหลาย และให้ประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ใช้งาน แอลจีมั่นใจว่าไลน์อัพสินค้าไอทีใหม่ล่าสุดทุกรุ่นที่โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีอันชาญฉลาดจะช่วยส่งเสริมให้ผู้บริโภคชาวไทยมีไลฟ์สไตล์ที่สมาร์ท มีชีวิตประจำวันง่าย มีประสิทธิภาพ รวมถึงสนุกยิ่งขึ้น ทั้งนี้ แอลจีสนับสนุนให้คนไทยรู้จักหันมาประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวันให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ในแบบของตัวเอง”

สำหรับการเปิดตัวไลน์อัพสินค้าไอทีใหม่ล่าสุดในปีนี้  ครอบคลุมทั้งผลิตภัณฑ์โน๊ตบุ๊ค จอเกมมิ่งมอนิเตอร์ และจอสมาร์ทมอนิเตอร์ เน้นกลุ่มเป้าหมายลูกค้าที่มองหาผลิตภัณฑ์ไอทีระดับพรีเมียม โดดเด่นด้วยดีไซน์ทันสมัย ประสิทธิภาพการใช้งานขั้นสูง และเทคโนโลยีอัจฉริยะที่มุ่งเน้นการใช้งานที่สะดวกและง่ายดายเป็นสำคัญ และคาดว่าการเปิดตัวไลน์อัพสินค้าไอทีที่หลากหลายจะมีส่วนช่วยสร้างการเติบโตด้านยอดขายในกลุ่มผลิตภัณฑ์ไอทีของแอลจีให้เพิ่มขึ้นถึง 30% สอดคล้องกับภาพรวมตลาดสินค้าไอทีที่มีแนวโน้มการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ไลน์อัพสินค้าไอทีใหม่ล่าสุด ประจำปี 2567 ประกอบไปด้วย

  • โน๊ตบุ๊คระดับพรีเมียม LG gram และ LG gram Pro ทั้งหมด 5 รุ่นย่อย 

LG gram และ LG gram Pro โน๊ตบุ๊คสุดพรีเมียม รุ่นใหม่ล่าสุดประจำปี 2567 มาใน 5 รุ่น ขนาด 16 นิ้ว และ 17 นิ้ว โดดเด่นด้วยดีไซน์เรียบหรู บางเบา โดย LG gram Pro รุ่นใหม่ มาพร้อมการ์ดจอแยก NVIDIA GeForce RTX™ 3050 4GB เสริมประสิทธิภาพการประมวลผลวิดีโอให้รวดเร็ว และเล่นเกมได้อย่างราบรื่น ในน้ำหนักเครื่องที่เบาเพียง 1.37 กก. ซึ่งนับว่าเป็นโน๊ตบุ๊คจอใหญ่ที่มาพร้อมการ์ดจอแยกและยังมีน้ำหนักเบาที่สุดในตลาด เหมาะสำหรับการใช้งานของเหล่าคอนเทนต์ครีเอเตอร์และเกมเมอร์ โดยโน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่นี้ยังมาพร้อมแบตเตอรี่ที่ใช้ได้ยาวนานกว่า 1 วันเมื่อชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง จึงเหมาะสำหรับการพกพาไปใช้งานในทุกที่ นอกจากนี้ โน๊ตบุ๊คไลน์อัพใหม่ล่าสุดนี้ยังขับเคลื่อนด้วยชิพประมวลผล Intel® Core™ Ultra 7 และ Ultra 5 ที่เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและการประมวลผลได้เสถียรมากขึ้น ด้วยอัตราส่วนหน้าจอแบบ 16:10 บนพาเนลแบบ IPS ยังให้มุมมองกว้างกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปที่มีอัตราส่วนหน้าจอ 16:9 และมีสีสันภาพที่แม่นยำสมจริง นอกจากนี้ ยังมาพร้อมความทนทาน ด้วยตัวเครื่องผลิตจากแมกนีเซียมอัลลอยดซึ่งเป็นวัสดุในการผลิตเครื่องบินและยังผ่านการรับรองมาตรฐานความทนทานและความน่าเชื่อถือตามมาตรฐาน
ทางการทหาร MIL-STD-810H 

LG gram รุ่นใหม่ล่าสุดนี้ยังคงโดดเด่นด้วยฟีเจอร์ระดับพรีเมียมมากมายที่เคยมีในรุ่นก่อนหน้า โดยในปีนี้ได้อัพเกรดฟีเจอร์อัจฉริยะอย่าง LG gram link ที่ตอบโจทย์การทำงานอัจฉริยะด้วยความสามารถมากมาย อาทิ การถ่ายโอนไฟล์ต่างๆ ระหว่างอุปกรณ์มือถือ แท็ปเล็ต และโน๊ตบุ๊คได้อย่างง่ายดาย การเชื่อมต่อกับแท็ปเล็ตเพื่อเพิ่มจำนวนหน้าจอใช้งานให้มากขึ้น ฟีเจอร์ LG gram link ยังรองรับการใช้งานร่วมกับระบบปฏิบัติการ iOS และ Android ทำให้ไลน์อัพใหม่ล่าสุดของ LG gram สามารถเติมเต็มการใช้งานที่อัจฉริยะและเพิ่ม Productivity ในการทำงานให้แก่เจ้าของเครื่องได้อย่างครบครัน

  • จอเกมมิ่งมอนิเตอร์ LG UltraGear 8 รุ่นย่อย 
  • LG UltraGear รุ่นพาเนล OLED ทั้งหมด 5 รุ่นย่อย 

เกมมิ่งมอนิเตอร์ พาเนล OLED ที่แสดงผลภาพได้เร็วที่สุด ด้วยอัตรารีเฟรชเรทถึง 240Hz และเวลาตอบสนอง 0.03ms (GtG) มีทั้งหมด 5 รุ่นย่อย ได้แก่ 32GS95UE, 45GS95QE, 39GS95QE, 34GS95QE, และ 27GS95QE ในขนาดหน้าจอ 32, 45, 39, 34, และ 27 นิ้วตามลำดับ ทุกรุ่นโดดเด่นด้วยคุณสมบัติของพาเนลจอ OLED ที่ทำงานโดยการเปล่งแสงเม็ดพิกเซลด้วยตัวเอง (Self-lit OLED) อัตราส่วนคอนทราสต์ที่สูงถึง 1.5 ล้านต่อหนึ่ง พร้อมเฉดสีภาพแบบ VESA DisplayHDR™ 400 True Black แสดงสีสันได้อย่างแม่นยำสูงสุด ผู้เล่นจึงมองเห็นทุกรายละเอียด หรือศัตรูที่ซ่อนอยู่ในมุมมืดของฉากในเกมได้อย่างชัดเจนและเป็นธรรมชาติ โดยรุ่น 45GS95QE, 39GS95QE และ 34GS95QE ยังมาพร้อมจอโค้ง 800R ให้มุมมองพาโนรามา มอบประสบการณ์สมจริงจนเหมือนคุณได้เข้าไปอยู่ในเกม 

ไฮไลต์พิเศษของเกมมิ่งมอนิเตอร์แอลจีคือการเปิดตัวรุ่น 32GS95UE ที่มาปฏิวัติวงการจอมอนิเตอร์ ด้วยการเป็นเกมมิ่งมอนิเตอร์รุ่นแรกของโลกที่มีคุณสมบัติ Dual-HZ OLED ให้ผู้ใช้สามารถสลับใช้อัตรารีเฟรชเรทระหว่าง OLED ที่ 240Hz และ Full HD ที่ 480Hz ด้วยการคลิกเมาส์เพียงครั้งเดียว ฟีเจอร์ผสมผสานนี้ทำให้มอนิเตอร์เครื่องนี้สมบูรณ์แบบสำหรับการเล่นเกมที่มีภาพกราฟิกที่สวยงาม หรือเกมแอคชั่นออนไลน์ที่ต้องการการตอบสนองที่รวดเร็วที่สุด มาพร้อมเทคโนโลยี Micro Lens Array (MLA) ที่ช่วยลดการสูญเสียแสง ป้องกันการสะท้อน จึงมองเห็นความสว่างสูงขึ้น 60% และมุมมองที่กว้าง 30% เมื่อเทียบกับจอแสดงผล OLED รุ่นเก่า จอมอนิเตอร์รุ่นใหม่นี้ยังแสดงรายละเอียดเสียงขั้นสูงระดับพิกเซลด้วยลำโพงวูฟเฟอร์ และ DTS® Virtual:X™ และยังรองรับระบบเสียง CSO (Cinematic Sound OLED) จากลำโพงที่ซ่อนอยู่ด้านหลังแผง OLED ช่วยเสริมเรื่องดีไซน์ที่สวยงามควบคู่ไปกับคุณภาพเสียงขั้นเทพ ไม่ต้องใช้ลำโพงภายนอก 

  • LG UltraGear รุ่นพาเนล Nano IPS ทั้งหมด 2 รุ่นย่อย 

LG UltraGear รุ่น 32GS85Q ขนาดหน้าจอ 32 นิ้ว มาพร้อมอัตรารีเฟรชภาพ 180Hz และรุ่น 27GS85Q ขนาดหน้าจอ 27 นิ้ว มีอัตรารีเฟรช O/C ถึง 200Hz ทั้งสองรุ่นเป็นเกมมิ่งมอนิเตอร์พาเนล Nano IPS ความคมชัดระดับ QHD (2560×1440) แสดงผลสีภาพได้อย่างโดดเด่นด้วยคุณสมบัติรองรับสเปกตรัม DCI-P3 ครอบคลุม 98% หมดกังวลเรื่องภาพค้างด้วยระยะเวลาตอบสนองแค่ 0.01ms (GtG) จึงเล่นเกมได้อย่างลื่นไหล ไม่สะดุด และจอแสดงผลยังได้รับการรับรอง VESA Adaptivesync ช่วยให้เล่นเกมได้อย่างมีอัตรารีเฟรชสูง และมีค่าความหน่วงต่ำได้อย่างราบรื่น อีกทั้งยังรองรับทั้งเทคโนโลยี NVIDIA® G-SYNC® และ AMD FreeSync™ จากทั้งสองค่าย จึงนับเป็นมอนิเตอร์ที่ออกแบบมาเพื่อเติมเต็มประสบการณ์การเล่นเกมอย่างสมบูรณ์แบบ

  • LG UltraGear รุ่นพาเนล Full HD IPS 

เกมมิ่งมอนิเตอร์อีกหนึ่งรุ่นที่เข้ามาเติมเต็มไลน์อัพของ LG UltraGear ในปีนี้คือรุ่น 27GS60F ขนาดจอ 27 นิ้ว เป็นจอประเภท IPS ที่มาพร้อมคุณสมบัติเอาใจคอเกม ด้วยการแสดงผลภาพสีได้ไม่ผิดเพี้ยน ไม่ว่าจะมองจากมุมใด รองรับ NVIDIA® G-SYNC® ใช้ระยะเวลาตอบสนองที่ไวถึง 1ms (GtG) ด้วยอัตรารีเฟรชเรท 180Hz ช่วยให้เล่นเกมได้อย่างไหลลื่นไม่มีสะดุด ลดเอฟเฟกต์ภาพซ้อนภาพเบลอได้ ทำให้คอเกมได้ดื่มด่ำไปกับรายละเอียดสีคุณภาพสูงบนหน้าจอได้ด้วยคุณสมบัติรองรับสีที่ถูกต้องแบบ sRGB 99% มาพร้อม HDR10 ให้คอนทราสต์แบบไดนามิกบนจอ Full HD อัตราส่วนจอ 16:9 (1920 x 1080) ให้มุมมองกว้าง ในรูปแบบจอที่ถูกออกแบบให้เป็นจอไร้ขอบทั้งสามด้าน เสมือนได้เข้าสู่โลกของเกมอย่างแท้จริง

  • จอสมาร์ทมอนิเตอร์ LG MyView Smart Monitor 3 รุ่นย่อย

สมาร์ทมอนิเตอร์ทั้ง 3 รุ่น ได้แก่ รุ่น 32SR85U, รุ่น 32SR50F และ รุ่น 27SR50F ได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับทั้งการทำงานและความบันเทิงได้อย่างครบครัน ด้วยจอแสดงผลแบบ IPS ความคมชัดสูงระดับ 4K สำหรับรุ่น 32SR85U และระดับ Full HD สำหรับรุ่น 32SR50F และรุ่น 27SR50F ในอัตราส่วน 16:9 มาพร้อมระบบปฏิบัติการ webOS 23 เช่นเดียวกับสมาร์ททีวีของแอลจีที่รองรับสตรีมมิ่งแอปพลิเคชันด้านความบันเทิงมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Netflix, Prime Video, Disney+, YouTube และ Apple TV รวมถึงแอปพลิเคชันเกมและกีฬาที่ติดตั้งมากับตัวเครื่อง อีกทั้งผู้ใช้ยังสามารถจัดการแอปพลิเคชันบนหน้าจอได้ตามความชอบส่วนตัว สะดวกสบายด้วยฟีเจอร์การเชื่อมต่อกับพีซีจากระยะไกลด้วยเทคโนโลยีคลาวด์ ช่วยให้สามารถเปลี่ยนบ้านเป็นโฮมออฟฟิศได้อย่างง่ายดาย

โดยไลน์อัพสินค้าไอทีทั้งหมดของแอลจี ประจำปี 2567 พร้อมวางจำหน่ายแล้ว ในราคาดังต่อไปนี้:

  • โน๊ตบุ๊คระดับพรีเมียม LG gram และ LG gram Pro ทั้งหมด 5 รุ่นย่อย ราคาเริ่มต้นที่ 46,020 – 73,090 บาท พิเศษ! ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิถุนายน 2567 กับโปรโมชัน Payday ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: https://www.lg.com/th/promotions/gram-laptop/ 
  • จอเกมมิ่งมอนิเตอร์ LG UltraGear 7 รุ่นย่อย พร้อมโปรโมชันสุดพิเศษ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: https://www.lg.com/th/promotions/oled_mnt2024/ 
    • รุ่นพาเนล OLED 5 รุ่น 32GS95UE, 45GS95QE, 39GS95QE, 34GS95QE, และ 27GS95QE  ราคาเริ่มต้นที่ 33,700 – 58,500 บาท
    • รุ่นพาเนล Nano IPS 2 รุ่น ได้แก่ 32GS85Q และ 27GS85Q ราคา 14,500 บาท และ 11,300 บาท ตามลำดับ
    • รุ่นพาเนล Full HD IPS ได้แก่ 27GS60F ราคา 5,350 บาท
    • จอสมาร์ทมอนิเตอร์ LG MyView Smart Monitor 3 รุ่นย่อย ได้แก่ รุ่น 32SR85U, รุ่น 32SR50F และ รุ่น 27SR50F ราคาเริ่มต้นที่ 6,500 – 17,000 บาท

ดูรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้าเพิ่มเติมได้ที่ https://www.lg.com/th/laptops/  หรือสอบถามข้อมูลที่ศูนย์ข้อมูลแอลจี 0-2057-5757 พร้อมติดตามกิจกรรมต่างๆ จากแอลจีได้ทางเฟซบุ๊ก แฟนเพจ LG Global อินสตาแกรม lg_thailand

สัมผัสประสบการณ์ AI เต็มรูปแบบ จาก OPPO AI Phone ใน “OPPO Reno12 Series 5G” ให้ก้าวไปอีกขั้นกับ AI Phone เครื่องแรก ดีที่สุด ล้ำที่สุด เทรนดี้ที่สุดสำหรับคนรุ่นใหม่ ในราคาหมื่นต้น

ออปโป้ ไทยแลนด์ ผู้นำตลาดสมาร์ตโฟนกับการก้าวไปอีกขั้นสู่การมอบประสบการณ์อัจฉริยะผ่าน OPPO AI Phone ด้วยการเปิดตัว “OPPO Reno12 Series 5G” รุ่นล่าสุด กับการเป็น AI Phone เต็มรูปแบบเครื่องแรกที่ดีที่สุดสำหรับคนรุ่นใหม่ ต่อยอดแนวคิดจาก The Portrait Expert สู่ The AI Portrait Expert เพื่ออัปเกรดฟีเจอร์ถ่ายภาพสุดปังด้วยเทคโนโลยี AI ไม่ว่าจะเป็นฟีเจอร์ยางลบ AI 2.0, AI Best Face, AI Clear Face, AI Studio และลูกเล่นล้ำๆ อีกมากมายตอบโจทย์การถ่ายภาพแบบคนรุ่นใหม่ มาพร้อมดีไซน์ไอคอนิคสุดเทรนดี้ เปิดตัวพร้อมกัน 3 รุ่น ได้แก่ OPPO Reno12 5G ราคา 14,999 บาท, OPPO Reno12 Pro 5G ราคา 19,999 บาท วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการวันที่ 28 มิถุนายน 2567 และ OPPO Reno12 F 5G จะวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการวันที่ 18 กรกฎาคม 2567 ณ OPPO Brand Shop ทุกสาขา และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ

ออปโป้ชวนก้าวไปอีกขั้นกับประสบการณ์สุดอัจฉริยะด้วย OPPO AI Phone เครื่องแรกที่ดีที่สุดสำหรับคนรุ่นใหม่กับ OPPO Reno12 Series 5G รุ่นล่าสุดในแนวคิด The AI Portrait Expert อัปเกรดฟีเจอร์ถ่ายภาพสุดปังด้วยเทคโนโลยี AI ให้ได้ภาพคุณภาพสูง โดดเด่น และสวยเป็นธรรมชาติ มาพร้อมฟีเจอร์ที่มอบประสบการณ์การทำงานที่เสถียรและรวดเร็ว ในดีไซน์ไอคอนิคสุดเทรนดี้ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากอนาคต เปิดตัวพร้อมกัน 3 รุ่นให้เลือกสรรตามไลฟ์สไตล์

ถูกใจคนรุ่นใหม่ให้ถ่ายรูปคนอย่างโปรกับ AI Portrait ด้วย OPPO Reno12 5G และ OPPO Reno12 Pro 5G รุ่นล่าสุดที่ก้าวไปอีกขั้นจาก The Portrait Expert สู่ The AI Portrait Expert ด้วยความสามารถระดับสูงจากเทคโนโลยี AI มอบฟีเจอร์เพื่อการถ่ายภาพที่สนุกยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ฟีเจอร์ยางลบ AI 2.0 รีทัชเนียนกริบเพียงปลายนิ้ว สามารถกำจัดโฟโต้บอมบ์ เสาไฟ ถังขยะ วัตถุอื่นๆ รวมไปถึงลบคนที่ไม่ต้องการในภาพแบบอัตโนมัติเพียงครั้งเดียว พร้อมกับเติมพื้นหลังเนียน นอกจากนี้ การถ่ายภาพหมู่กับเพื่อนจะไม่มีคำว่ากล้องใครคนนั้นรอดอีกต่อไป เพราะ AI Best Face จะซ่อมรูปพังให้ปัง รอดกันทุกคนด้วยการแก้ไขใบหน้าที่พลาด ไม่ว่าใครจะเผลอหลับตาตอนถ่ายภาพก็จะถูกแก้ไขให้ภาพกลับมาเป๊ะทุกคน ฟีเจอร์ AI Clear Face ที่ประมวลผลและปรับปรุงรายละเอียดโครงหน้า ผม และคิ้วได้สูงถึง 10 คน มอบภาพคมชัด ไม่มีใครดร็อป รวมถึงมีฟีเจอร์ AI Studio ที่ช่วยเนรมิตรูปธรรมดาให้กลายเป็นภาพในจินตนาการแบบที่อยากเป็น ไม่ว่าจะเป็น ภาพในโลกไซเบอร์พังก์ ภาพวาด ฯลฯ ที่เอาไปใช้เป็นภาพอวตารดิจิทัลได้

OPPO Reno12 5G มาในดีไซน์ไอคอนิคสุดเทรนดี้ด้วยจอโค้ง 3D ไร้ขอบขนาด 6.7 นิ้ว ใช้งานลื่นไหลไม่มีสะดุดในรีเฟรชเรท 120Hz น้ำหนักเบา เพรียวบาง จับถือสบายมือ มาพร้อมฝาหลังที่ได้รับแรงบันดาลใจจากอนาคต Futuristic Fluid มอบริ้วคลื่นสุดล้ำในสีเงิน Astro Silver ให้ความรู้สึกผสมผสานระหว่างจินตนาการไซไฟและแฟชั่นล้ำสมัย นำเสนอพร้อมตัวเลือกสีใหม่ อย่าง สีชมพู Sunset Pink และสีน้ำตาล Matte Brown ที่ให้สัมผัสสุดคลาสสิกและป้องกันรอยนิ้วมือ

อัปเกรดสู่รุ่นท็อปเพื่อประสบการณ์ใช้งานแบบโปรไปอีกขั้นกับกับ OPPO Reno12 Pro 5G ที่มอบความจุอย่างจุใจ RAM 12GB+ROM 512GB สำหรับการใช้งานแอปหรือพื้นที่เก็บภาพถ่าย เพิ่มตัวเลือกดีไซน์ตัวเครื่องในสองสไตล์ที่แตกต่าง ทั้งสีเงิน Nebula Silver ที่ผสมกับสีม่วงพร้อมสัมผัสแบบริ้วคลื่นบนพื้นกระจกเรียบ และสีน้ำตาล Space Brown ในดีไซน์มันเงาแบบทูโทนสุดเก๋

OPPO AI Phone เครื่องแรกในทั้งสองรุ่นย่อยนี้นี้สามารถใช้งานสื่อสารได้อย่างลื่นไหล มอบสัญญาณเสถียรและเชื่อมต่อไวด้วย AI LinkBoost เครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพสัญญาณเครือข่ายที่ออปโป้พัฒนาขึ้นเอง ขจัดปัญหาสัญญาณไม่เสถียรเวลาอยู่ในลานจอดรถ ลิฟต์ รถไฟใต้ดิน หรือในฮอลล์คอนเสิร์ต เสริมความสามารถด้วย BeaconLink ที่อัปเกรดการเชื่อมต่อ Bluetooth ได้ดีขึ้น 300% สามารถโทรด้วยเสียงระหว่างอุปกรณ์ผ่าน Bluetooth ในระยะทางสูงสุด 200 เมตร แม้อยู่ในที่อับสัญญาณ นอกจากนี้ตัวเครื่องยังทนทานด้วยการปกป้องรอบด้านด้วยกรอบโลหะผสมทนทานสูงและฟองน้ำไบโอนิคกันกระแทก มาตรฐานกันน้ำและฝุ่น IP65 และ Splash Touch ที่ทำให้สัมผัสหน้าจอได้ไม่มีสะดุดแม้หน้าจอเปียก แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5,000mAh ที่มาพร้อมระบบชาร์จไว 80W SUPERVOOC ที่สามารถชาร์จจาก 1% ถึง 100% ได้ภายใน 46 นาที โดย OPPO Reno12 5G มีความจุให้เลือก 2 ขนาด RAM 12GB+ROM 256GB วางจำหน่ายในราคา 14,999 และรุ่น RAM 12GB+ROM 512GB ราคา 16,999 บาท และสำหรับ OPPO Reno12 Pro 5G วางจำหน่ายในราคา 19,999 บาท

OPPO Reno12 F 5G รุ่นเริ่มต้น สมาร์ตโฟน OPPO AI Phone กับดีไซน์ Halo Light วงแหวนไฟรอบกล้อง พร้อมที่สุดของความทนทาน

OPPO Reno12 F 5G ถ่ายรูปคนอย่างโปรด้วย AI Portrait ที่ยังคงอัดแน่นฟีเจอร์เพื่อการถ่ายภาพสุดปังได้อย่างง่ายดายและสนุกได้เหมือนสมาร์ตโฟนรุ่นพี่ ทั้งฟีเจอร์ยางลบ AI 2.0 รีทัชเนียนลบคนและวัตถุได้พร้อมกันในคลิกเดียว พร้อมเติมพื้นหลังเนียนไม่บ้ง ไม่พลาดทุกโมเมนต์สำคัญในการถ่ายรูปด้วย AI Best Face ซ่อมรูปพังให้ปัง พร้อมเป็นสตูดิโอถ่ายรูปสุดสร้างสรรค์กับ AI Studio ที่สานฝันเป็นจริงด้วยการสร้างฉากและสไตล์ในฝันได้อย่างง่ายดาย ทนทานด้วยการปกป้องรอบด้านด้วยกรอบโลหะผสมทนทานสูงและฟองน้ำไบโอนิคกันกระแทก ช่วยป้องกันความเสียหายจากการตกกระแทกได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังกันน้ำและฝุ่นตามมาตรฐาน IP64 และ Splash Touch ให้ใช้งานไม่สะดุดแม้หน้าจอเปียก แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5,000 mAh ที่มาพร้อมระบบชาร์จไว 45W SUPERVOOC พร้อมหน่วยความจำจุใจ RAM 12GB+ROM 256GB และสามารถเชื่อมต่อกับสัญญาณได้อย่างเสถียรและรวดเร็วด้วย AI LinkBoost และ BeaconLink ทำให้ใช้โทรหรือรับสายโทรศัพท์ได้แม้ไม่มีสัญญาณ มาในดีไซน์ใหม่สุดเทรนดี้กับ Halo Light มอบเอฟเฟ็กต์วงแหวนไฟกระพริบเมื่อมีการแจ้งเตือนระหว่างชาร์จแบตเตอรี่ มีสายเรียกเข้า หรือกำลังเล่นเพลงจาก Music Party ที่สามารถเปลี่ยนสีไฟตามท่วงทำนอง เพิ่มสัมผัสของความเทรนดี้แบบคนรุ่นใหม่ด้วยฝาหลังสีใหม่นำเทรนด์อย่างสีส้ม Amber Orange และสีเขียว Olive Green ที่โดดเด่นและมีสไตล์ โดยจะวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการวันที่ 18 กรกฎาคม 2567

สัมผัสกับ OPPO Reno12 Series 5G รุ่นใหม่ OPPO AI Phone เครื่องแรกที่ดีที่สุดหรับคนรุ่นใหม่ สมาร์ตโฟนถ่ายคนอย่างโปรที่ก้าวไปอีกขั้นสู่แนวคิด The AI Portrait Expert ได้แล้ววันนี้ ณ OPPO Brand Shop ทุกสาขา และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ โดย

  • OPPO Reno12 5G และ OPPO Reno12 Pro 5G สมาร์ตโฟน AI เครื่องแรก ที่ดีที่สุดสำหรับคนรุ่นใหม่ในราคาระดับกลาง จะวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 28 มิถุนายน เป็นต้นไป
  • OPPO Reno12 F 5G สมาร์ตโฟน AI ในราคาระดับเริ่มต้น ที่สุดของความทนทาน จะวางจำหน่ายวันที่ 18 กรกฎาคม เป็นต้นไป

พิเศษ! สำหรับผู้ที่ซื้อ  OPPO Reno12 Series 5G ระหว่างวันที่ 28 มิถุนายน 2567 – 31 กรกฏาคม 2567 จะได้รับของสมนาคุณเป็น OPPO E-VIP Card เเละ OPPO AI Gift Box ประกอบไปด้วย

  1. OPPO E-VIP Card สิทธิการประกันจอเเตก จํานวน 1 ครั้ง ภายในระยะเวลา 1 ปี
  • การประกันจอเเตก รุ่น OPPO Reno12 5G มูลค่า 6,500 บาท
  • การประกันจอเเตก รุ่น OPPO Reno12 Pro 5G มูลค่า 8,000 บาท
  • การประกันจอเเตก รุ่น OPPO Reno12 F 5G มูลค่า 5,000 บาท
  1. OPPO AI Gift Box มูลค่า 2,999 บาท ประกอบด้วย
  • ลําโพงบลูทูธ
  • กระเป๋าผ้า
  • แกวนํ้าเปลี่ยนสี (เมื่อใส่นํ้าเย็น หรือ นํ้าเเข็ง)

**ของสมนาคุณมีจํานวนจํากัด เฉพาะร้านค้าที่รวมรายการ**

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/oppothai/

#Reno12SeriesTH #AIPortraitExpert #ก้าวไปอีกขั้นกับOPPOAI

คอร์สออนไลน์สุดฮิต Data Scientist และ UX Researcher เรียนฟรีไม่มีวันหมดอายุ

เรียนได้ตลอดไม่มีหมดอายุ คอร์ส Data Scientist และ UX Researcher ระดับพื้นฐาน

หลายคนคงรู้สึกว่าเป็นงานที่ต่างกันอย่างสุดขั้ว แต่ในความจริงแล้วทั้ง 2 หน้าที่นี้มีเป้าหมายร่วมกันคือการเข้าใจผู้ใช้งานเพื่อออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์การใช้งานมากขึ้น

คอร์สเรียนจะพูดถึงกระบวนการที่บริษัทชั้นนำของโลกนำข้อมูลปริมาณมหาศาลที่เก็บมาจากแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ต่างๆ มาประกอบการตัดสินใจในกระบวนการออกแบบ 

ตั้งแต่ขั้นตอนการทำความเข้าใจผู้ใช้งาน การทดสอบไอเดีย ไปจนถึงการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ตอบความต้องการของลูกค้าจริงๆผู้เรียนจะได้เรียนรู้ความสำคัญของการตัดสินใจโดยไม่ยึดตัวเลขแต่เพียงอย่างเดียว แต่ใช้ข้อมูลเชิงคุณภาพประกอบการตัดสินใจด้วย

ทางไปเรียน >> Data-Informed Design (1 ชั่วโมง)

มีทั้งหมด 4 บทเรียน

– UX Researchers vs. Data Scientists

– Designing with Data

– Be Data-Informed , Not Data-Driven

– Working Together

นอกจากเนื้อหาที่แนะนำไปแล้ว ยังมีคอร์สเรียนอีกมากมายให้ได้อัปสกิลกันที่

จิ้มลิ้งก์เลย >> techhub productivity  

#UX #Data #TechhubUpdate

เทคโนโลยีดักจับคาร์บอน ช่วยได้จริงหรือ

เทคโนโลยีดักจับคาร์บอน

สถานการณ์โลกร้อนในปัจจุบันถือว่าอยู่ในระดับวิกฤตอย่างมาก หลักฐานทางวิทยาศาสตร์หลาย แห่งบ่งชี้ว่าอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และผลกระทบที่เกิดขึ้นก็รุนแรงและกว้างขวางมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้ง

ภัยพิบัติทางธรรมชาติ การละลายของน้ำแข็ง การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ รวมทั้งผลกระทบต่อสุขภาพ บริษัทในหลายประเทศจึงได้มีการคิดค้นเทคโนโลยีดักจับคาร์บอนขึ้นมา เพื่อช่วยดูดซับคาร์บอน์ให้มากขึ้น ทั้งจากโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ และคาร์บอนที่มีอยู่ในอากาศ เพื่อช่วยความรุนแรงที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต

Techhub ได้การมีสัมภาษณ์พิเศษกับคุณ แอนเดรียส มอลทิเชน ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงาน ประจำภูมิภาคเอเชีย  บริษัทเอบีบี เกี่ยวกับเทคโนโลยีการดักจับคาร์บอนในปัจจุบัน ซึ่งท่านได้ให้ความเห็นไว้อย่างน่าสนใจครับ

โดยในปัจจุบันนั้น มีแนวทางที่แตกต่างกันสำหรับการกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture Storage) อยู่หลายวิธี ตั้งแต่ การดักจับก่อนการเผาไหม้ การดักจับหลังการเผาไหม้ การดักจับการเผาไหม้ด้วยออกซิเจน และการดักจับคาร์บอนในอากาศโดยตรง (DAC) ซึ่งการดักจับหลังการเผาไหม้ถือได้ว่าเป็นเทคโนโลยี CCS ที่มีการนำไปใช้อย่างแพร่หลายมากที่สุด เนื่องจากสามารถปรับให้เข้ากับโรงงานอุตสาหกรรมที่มีอยู่ในปัจจุบันได้

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน เริ่มมีความสนใจและการลงทุนการพัฒนาเทคโนโลยีการดักจับและจัดเก็บคาร์บอนในอากาศโดยตรง และการผลิตพลังงานชีวภาพด้วยการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (BECCS) สำหรับการใช้งานในวงกว้าง ซึ่ง BECCS ถือเป็นเครื่องมือที่สำคัญมากในแนวทางการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยที่เทคโนโลยีดังกล่าวถือเป็นเทคโนโลยีการปล่อยคาร์บอนเป็นลบ เนื่องจาก BECCS แทนที่เชื้อเพลิงฟอสซิลด้วยเชื้อเพลิงชีวมวล (อินทรียวัตถุ) และดักจับก๊าซ CO2 ที่ปล่อยออกมาจากการเผาไหม้ชีวมวล และกำจัดออกในทันที

สำหรับ เอบีบี ได้มมีสนับสนุนลูกค้าในการดำเนินโครงการริเริ่มการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยการจัดหาระบบควบคุมอัตโนมัติ/ ICSS การใช้พลังงานไฟฟ้า และโซลูชันดิจิทัล เพื่อตรวจสอบ ควบคุม และเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการในวงจรการผลิตทั้งหมดตั้งแต่ต้นทางจนกระทั่งถึงปลายทาง ทั่วทั้งเครือข่ายตั้งแต่การดักจับ ไปจนถึงการขนส่ง และการอัดเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ใต้ผิวดิน

โดยเอบีบีรับรองการควบคุมกระบวนการเหล่านี้อย่างมีประสิทธิผล และเพิ่มประสิทธิภาพในเรื่องของต้นทุนการดำเนินงานตลอดอายุการใช้งานในแง่ของการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานครับ

เทคโนโลยีดักจับคาร์บอนในอากาศ ช่วยได้ขนาดไหน หากเทียบกับการดักจับคาร์บอนจากที่ได้จากโรงอุตสาหกรรม ?

เทคโนโลยีดักจับคาร์บอนในอากาศ หรือ Direct Air Capture (DAC) ถือว่าเป็นแนวทางเชิงลบสุทธิ (ดีกว่าที่เป็นศูนย์สุทธิ) เนื่องจากจะแยกและกำจัด CO2 ออกจากบรรยากาศโดยไม่จำเป็นต้องแยก CO2 ออกจากเชื้อเพลิงฟอสซิลหรือจากกระแสก๊าซไอเสียที่เผาไหม้ในกิจกรรมทางอุตสาหกรรม

อย่างไรก็ตาม นี่เป็นวิธีการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่มีราคาแพงมาก เนื่องจากความเข้มข้นของ CO2 ในชั้นบรรยากาศนั้นต่ำกว่าความเข้มข้นของก๊าซ CO2 ทางอุตสาหกรรม และต้องใช้พลังงานสูงในการจัดการ

ปัจจุบันมีโครงการการดักจับคาร์บอนในอากาศโดยตรง (DAC) ที่ริเริ่มขึ้นทั่วโลก และมีโครงการบางส่วนที่กำลังดำเนินงานในระดับขนาดเล็กอยู่ แต่จำเป็นต้องขยายขนาดเพื่อให้สามารถดำเนินการได้ในเชิงเศรษฐกิจ

เทคโนโลยีทั้งสองแบบเป็นส่วนเสริมซึ่งกันและกัน และจำเป็นสำหรับแนวทางที่ครอบคลุมในการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แม้ว่าการกักเก็บคาร์บอนทางอุตสาหกรรมหรือ CCS จะมีความสำคัญอย่างยิ่งในการลดการปล่อยก๊าซจากแหล่งกำเนิด แต่เทคนิคของ DAC ถือเป็นทางเลือกใหม่ ในการจัดการกับการปล่อยก๊าซ CO2  ซึ่งจะมีส่วนช่วยสร้างสมดุลในแง่ของการจัดการก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ทั่วโลก

เทคโนโลยีดักจับคาร์บอนในอากาศแบบใดบ้าง ที่ ABB ได้เข้าไปมีส่วนร่วม

ในด้าน CCS นั้น ABB ได้สนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ของอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติมาตั้งแต่ปี 1996 โดยเริ่มจากโรงงานอัดเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ใต้ผิวดินนอกชายฝั่ง Sleipner ซึ่งอยู่นอกชายฝั่งนอร์เวย์ ลึกลงไปใต้ทะเลเหนือ

เอบีบีได้มีการจัดการด้านกระบวนการและระบบควบคุมความปลอดภัย ระบบจ่ายไฟฟ้า และระบบโทรคมนาคม เพื่อทำให้กระบวนการผลิตเป็นอัตโนมัติและควบคุมกระบวนการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

โครงการถัดมา คือ โครงการ Snohvit CCS และ Test Center Monstad (TCM) ก็เป็นอีกสองโครงการที่โดดเด่นที่เอบีบี ได้จัดหาโซลูชั่นด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยในการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

โครงการล่าสุดที่ ABB สนับสนุนผ่าน ICSS โซลูชันการใช้พลังงานไฟฟ้าและการดำเนินงานระยะไกล คือโครงการ Northern Lights โครงการนี้คาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2567

นอกจากนี้ ABB ยังลงทุนในความร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมเพื่อลดอุปสรรคในการนำไปใช้ เช่น Pace CCS (UK) และ CMG Canada ในการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลทวิน โดยเมื่อเร็วๆ นี้ เอบีบี และมหาวิทยาลัยอิมพีเรียลคอลเลจ ได้ขยายความร่วมมือไปทั่วโลกในโครงการนำร่องการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยเฉพาะ ซึ่งจะฝึกอบรมให้มีผู้เชี่ยวชาญด้านคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ ตลอดจนวิศวกรและนักวิทยาศาสตร์ในอนาคตต่อไป

ท้ายสุด เราต้องยอมรับกันจริง ๆ ว่า ตอนนี้ สถานการณ์โลกร้อนนั้นเข้าขั้นวิกฤตแล้ว ซึ่งตัวเราเองก็สามารถช่วยโดยการลดใช้การพลังงานให้มากที่สุด และในภาคอุตสาหกรรมนั้นพวกเขาก็ไม่ได้นิ่งดูดาย เทคโนโลยีดักจับคาร์บอนถือเป็นความหวังในการบรรเทาสถานการณ์โลกร้อน ถึงแม้จะเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหา แต่ก็เป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยให้โลกมีอนาคตที่ยั่งยืนมากขึ้น

Apple ยอมรับเอง ฟีเจอร์ใหม่ของ Mac ใช้กับแรม 8GB ไม่ได้

แรม 8 GB ไม่พอ

ก่อนหน้านี้ Apple เพิ่งจัดการประชุม World Wide Developers Conference (WWDC) ประจำปี ซึ่งได้ประกาศเปิดตัวฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ใหม่ๆ มากมาย รวมถึง Apple Intelligence

ในการประชุม Apple ยังได้ประกาศซอฟต์แวร์ใหม่สำหรับนักพัฒนา รวมถึง Xcode 16 ซึ่งใช้ในการสร้างแอพสำหรับ iOS และ macOS และหนึ่งในฟีเจอร์ของ Xcode คือต้องใช้ชิปซีรีส์ M ที่มีหน่วยความจำรวมอย่างน้อย 16GB

ฟีเจอร์ใหม่ใน Xcode 16 ที่ต้องการหน่วยความจำมากกว่า 8GB คือ Predictive Code Completion ซึ่งใช้ machine learning เพื่อทำนายและเขียนโค้ดให้ผู้พัฒนาโดยอัตโนมัติ ฟีเจอร์นี้กำลังเป็นที่นิยมในวงการพัฒนาซอฟต์แวร์มากขึ้น

ปัจจุบันนั้นก็ยังมี Macbook หลายรุ่นที่ใช้แรม 8GB และ Apple ก็ยังขายอยู่ด้วย ซึ่งก็สามารถใช้ Xcode 16 ได้ แต่จะไม่สามารถใช้ฟีเจอร์อย่าง Predictive Code Completion

เมื่อปลายปี 2023 สื่อหลายสำนักอ้างถึงแหล่งข่าวภายใน Apple ที่ระบุว่า RAM 8GB ใน Mac นั้นเทียบเท่ากับ 16GB ใน PC และเพียงพอสำหรับผู้ใช้ส่วนใหญ่ ซึ่งถ้าหากข่าวนี้เป็นจริง Apple กำลังจะบอกหรือเปล่าว่า นักพัฒนาคือผู้ใช้ส่วนน้อย ?

ส่วนตัวมองว่า Macbook และ iMac ในปัจจุบันไม่ควรจะมีแรมเริ่มต้นแค่เพียง 8GB แล้ว เพราะมันน้อยมาก หากใครเคยใช้ทำกราฟฟิกจริง มันไม่พอเลย ซึ่งเมื่อก่อน Apple ยังไม่มีตัวเลือกแรม 24GB ด้วยซ้ำ จะมีสูงสุดแค่ 16GB ซึ่งตอนนี้ก็ค่อนข้างจะเต็มกลืนแล้วครับ …

ที่มา
https://www.extremetech.com/computing/apple-relents-finally-says-8gb-of-ram-is-not-enough

รถพกพาสุดล้ำ WALKCAR 2 ไอเท็มใหม่คล้ายสเก็ตบอร์ด โดนใจคนขี้เกียจ

WALKCAR 2

WALKCAR 2 เป็นอุปกรณ์คล้ายสเก็ตบอร์ดขนาดเล็ก พกพาง่าย น้ำหนักเบาเพียง 2.9 กิโลกรัมและมีขนาดมีขนาดเท่ากับโน้ตบุ๊ก 15 นิ้ว

WALKCAR 2 นั้นมีสองรุ่น คือ WALKCAR 2 และ WALKCAR 2 Pro เปิดตัวตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2567 มันได้รับความได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจากผู้คนในเมือง ที่บางครั้งก็ขี้เกียจเดิน

WALKCAR 2 ทำความเร็วสูงสุดได้ 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และวิ่งได้ไกล 7 กิโลเมตร ส่วน WALKCAR 2 Pro ทำความเร็วได้ถึง 15 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และวิ่งได้ไกล 8 กิโลเมตร

ตัวมอเตอร์นั้น ใช้มอเตอร์ในล้อที่เล็กที่สุดในโลก พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษสำหรับ WALKCAR โดยจะอยู่ที่ล้อด้านหน้า ให้แรงบิดเทียบเท่ากับรถจักรยาน ทำให้สามารถขึ้นทางลาดชันได้ถึง 12 (สำหรับรุ่น Pro)

การควบคุม ทำได้โดดการกดปลายเท้าทั้งสองข้างเพื่อเร่งความเร็ว และหากจะลดความเร็วก็แค่ยกปลายเท้าข้างใดข้างหนึ่งขึ้นเล็กน้อย เวลาเลี้ยวก็เอียงน้ำหนักไปข้างที่เราต้องการจะเลี้ยวครับ ดูเหมือนจะไม่ยากนะ

ตัวเครื่องมีระบบชาร์จเร็ว สามารถชาร์จ 0-80 ได้ในเวลาเพียง 30 นาที แต่ราคานั้นก็ค่อนข้างสูง เริ่มต้นที่ 36,xxx ส่วนรุ่น Pro นั้นอยู่ที่ 55,xxx เหมาะกับคนในเมืองที่มีอยู่ใกล้รถไฟฟ้า แล้วขี้เกียจเดินแหละ

ที่มา
https://www.yankodesign.com/2024/06/25/i-need-this-walkcar-in-my-life-because-im-too-lazy-to-walk

พับโปรเจค โครงการเซิร์ฟเวอร์ใต้น้ำ ทำสำเร็จแต่ไม่ได้ไปต่อ

โครงการเซิร์ฟเวอร์ใต้น้ำ

ไมโครซอฟท์ประกาศยุติโครงการ Natick ที่เป็นโครงการทดลองศูนย์ข้อมูลใต้น้ำ โดยอาศัยความเย็นจากน้ำทะเลช่วยระบายความร้อนให้กับเซิร์ฟเวอร์

โครงการดังกล่าวเริ่มต้นตั้งแต่ 2561 โดยนำเซิร์ฟเวอร์ทั้งหมด 855 เครื่องลงไปอยู่ในน้ำนอกชายฝั่งสกอตแลนด์

ผ่านมาหลายปี Microsoft ได้ออกมาประกาศว่า มันประสบความสำเร็จนะ โดยพบว่าเครื่องเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ใต้น้ำ มีอัตราการเสียหายน้อยกว่าเครื่องที่อยู่บนบก และยังมีค่าบำรุงรักษาที่น้อยกว่า เพราะสามารถพึ่งพาความเย็นจากใต้ทะเลได้

แต่ตอนนี้ โครงการ Natick เหมือนกำลังถูกพับเก็บ โดยผู้บริหารของ Microsoft บอกในรายงานว่า โครงการนี้ ให้ความรู้มากมายเกี่ยวกับการทำงานใต้ทะเล แรงสั่นสะเทือน และผลกระทบต่อเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งจะนำความรู้นี้ไปประยุกต์ใช้ในกรณีอื่นๆ ต่อไป แต่ยังไม่มีข้อมูลว่าจะทำต่อหรือไม่

สำหรับ Natick บริษัทกำลังรีไซเคิลส่วนประกอบต่างๆ ของการทดลองอย่างเหมาะสม และฟื้นฟูสภาพพื้นทะเลให้กลับสู่สภาพเดิม

ในแง่หนึ่ง หากโปรเจคประสบความสำเร็จ มันจะสร้างความน่าเชื่อถืออย่างมากให้กับ Microsoft แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนว่า ทำไมต้องหยุดโครงการนี้ไว้ ในขณะที่จีนที่กำลังทำโครงการในลักษณะเดียวกันในเกาะไหหลำนั้น กำลังเดินเครื่องอย่างเต็มที่ครับ หรือมันอาจจะสร้างผลกระทบในทางทะเลมากเกินไปหรือเปล่านะ …

ที่มา
extremetech

โดนแบนเฉย สหรัฐคว่ำบาตร Kaspersky เหตุเพราะกลัวโดนขโมยข้อมูล

โดนจนได้ กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้ประกาศคว่ำบาตรผู้บริหารบริษัท Kaspersky จำนวน 12 คน ซึ่งล้วนเป็นผู้บริหารระดับสูงทั้งหมด โดย 6 คนเป็นผู้บริหารระดับสูงสุด (C-suite) และ 4 คนเป็นกรรมการบริษัท ส่วนที่เหลือเป็นผู้จัดการอาวุโสและรองประธาน

โดยผู้ใช้ Kaspersky ในสหรัฐฯ ได้รับคำเตือนว่าการอัปเดตซอฟต์แวร์จะหยุดลงในวันที่ 29 กันยายน 2567 ซึ่งจะทำให้ซอฟต์แวร์นั่นเป็นเวอร์ชั่นเก่า และไม่สามารถรับมือกับภัยคุกคามจากมัลแวร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

บริษัทในเครือที่โดนไปด้วยคือ บริษัท AO Kaspersky Lab, OOO Kaspersky Group และ Kaspersky Ltd. ซึ่งได้ถูกกำหนดให้เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของสหรัฐ เนื่องจากมีความกังวลว่าซอฟต์แวร์ของ Kaspersky อาจถูกใช้เพื่อขโมยข้อมูลที่ละเอียดอ่อนของผู้ใช้ ซึ่งอาจนำไปสู่ข้อกล่าวหาเรื่องการจารกรรม

Brian Nelson รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังด้านการก่อการร้ายและข่าวกรองทางการเงิน กล่าวว่ารัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะปกป้องประชาชนจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ (แต่นี่อาจจะเป็นแค่ข้ออ้างหนึ่ง)

เพราะจริง ๆ เรื่องนี้ อาจเป็นผลมาจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยืดเยื้อ และความกังวลว่าประชาชนสหรัฐฯ อาจตกเป็นเป้าหมายของการโจรกรรมข้อมูลส่วนบุคคล หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ ออกมาสนับสนุนยูเครนอย่างเปิดเผยนั่นเองครับ

สำหรับตอนนี้ ใครที่ใช้ Kaspersky อยู่ ไม่จำเป็นต้องมีความกังวลใด ๆ ครับ เพราะดูแลแล้ว มันไม่ได้เป็นปัญหามาจากผลิตภัณฑ์ แต่เป็นเรื่องของความขัดแย้งระหว่างประเทศ ซึ่งไทยเอง ก็ไม่มีปัญหาอะไรกับรัสเซียครับ

ที่มา
https://www.techradar.com/pro/us-announces-sanctions-for-kaspersky-antivirus-executives

มาใหม่ หุ่นยนต์ HumanPlus เลียนแบบพฤติกรรมคน

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดได้สร้างหุ่นยนต์ที่เรียกว่า ‘HumanPlus’ เป็นหุ่นยนต์ที่สามารถเลียนแบบท่าทางของมนุษย์ได้อย่างรวดเร็ว และยังสามารถเรียนรู้จากการกระทำของมนุษย์ได้เพียงแค่สแกนการเคลื่อนไหว

ทีมวิจัยกล่าวว่าหุ่นยนต์สามารถเรียนรู้การเล่นเปียโน การตีลูกปิงปองไปมา และอื่นๆ ใช้กล้องเพียงตัวเดียวเชื่อมต่อกับโปรแกรมในหุ่นยนต์ที่มีเทคโนโลยีแบบซับซ้อน

HumanPlus ต้องศึกษาโดยใช้ข้อมูลการเคลื่อนไหวของมนุษย์นานกว่า 40 ชั่วโมง เพื่อเรียนรู้ภารกิจและทำตามทีละขั้นตอน และติดตามมนุษย์โดยใช้กล้องและจำลองท่าทางได้แบบเรียลไทม์ได้อีก

หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ตัวนี้มีใช้ชิ้นส่วนจากหลายบริษัท เช่นตัวของหุ่นยนต์จะเป็นรุ่น H1 ของบริษัท Unitree ในส่วนแขนและมือมาจาก Inspire-Robots เป็นต้น

ลักษณะพิเศษอย่างของหุ่นยนต์คือการออกแบบเป็นโอเพ่นซอร์ส ซึ่งหมายความว่าฟังก์ชันการทำงานสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามต้องการในอนาคต

โดยทีมนักวิจัยจะเร่งพัฒนาหุ่นยนต์เพื่อให้ทันต่อความต้องการในอนาคต ที่มีแนวโน้มว่าหุ่นยนต์ในรูปแบบฮิวแมนนอยด์จะเติบโตแบบก้าวกระโดดในอีกหลายปีข้างหน้า

เพราะหลายบริษัทก็เริ่มหันมาให้ความสนใจและเดินหน้าผลิตเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นหุ่นยนต์จาก Tesla ที่ติดตั้งหุ่นยนต์ Optimus ให้ทำงานจริงแล้ว

อ่านเพิ่มเติม >> techhub 

 

ที่มา : interestingengineering  

#TechhubUpdate

Hot Issue