Home Blog Page 66

ซ่อมง่ายขึ้น โน้ตบุ๊กติด Copilot+ ได้คะแนนดีเยี่ยมจาก iFixit

[ช่างยกนิ้ว] ดูเหมือนข้อดีอีกอย่างของโน้ตบุ๊กติดชิป ARM คือ ‘ช่างยกนิ้วให้’ หมายถึงชื่นชมว่าซ่อมง่าย หลังโน้ตบุ๊ก Surface รุ่นล่าสุดของ Microsoft ได้รับคะแนนดีเยี่ยมจาก iFixit เว็บไซต์ที่เชี่ยวชาญการซ่อม (งัดแงะ) อุปกรณ์และจำหน่ายเครื่องมือช่วยซ่อมชื่อดัง

ย้อนไปเดือนก่อน Microsoft ได้เปิดตัว Surface Laptop และ Surface Pro รุ่นใหม่ ขับเคลื่อนด้วยชิป ARM อย่าง Snapdragon X Elite กับ Snapdragon X Plus พร้อมชูการรองรับ Copilot+ เต็มรูปแบบ และชูการใช้งานพลังงานต่ำแต่ยังคงประสิทธิภาพ

ล่าสุดพบข้อดีอีกอย่าง หลังทาง iFixit ได้คลิป Teardowns หรืองัดแงะตัว Surface Pro 11 กับ Surface Laptop 7 เพื่อให้คะแนนการซ่อม ผลคือได้ไป 8/10 ทั้งสองรุ่น บ่งบอกเลยว่าตัวเครื่องซ่อมง่ายมาก โดยในคลิปก็เผยถึง Wayfinder Markings หรือคู่มือแนะนำการซ่อมของ Microsoft ซึ่งให้รายละเอียดเกี่ยวกับหมายเลขและประเภทของสกรูที่ใช้ พร้อมกับมี QR Code ที่สามารถสแกนเพื่อรับลิงค์ดาวน์โหลดคู่มืออย่างเป็นทางการได้อีกด้วย

การเปลี่ยนแบตฯ Surface Laptop 7 ยังสามารถถอดออกได้ง่าย โดยไม่จำเป็นต้องใช้คู่มืออะไรเลย เพียงถอดฝาครอบด้านหลังออกเท่านั้น SSD ก็ยิ่งถอดออกง่ายเหมือนกัน ตรงกันข้ามกับ Surface Laptop รุ่นก่อนหน้า ที่ซ่อมยากจนทาง iFixit เคยวิจารณ์

ไม่แน่ชัดว่าโน้ตบุ๊กติด Copilot+ รุ่นอื่น ๆ นอกจาก Microsoft จะซ่อมง่ายเหมือนกันไหม อย่างไรก็ตามหากใช้ชิป ARM ของ Snapdragon เหมือนกัน ก็อาจได้โครงสร้างคล้ายกันก็เป็นได้

ที่มา : Techspot

เปลี่ยนใหม่ Google ปรับดีไซน์หน้าถัดไป ใช้ตัวเลขช่วยค้นหาได้เร็วขึ้น

[เลิกสกอร์นิ้ว] แม้หลายคนจะเข้า Google แค่เฉพาะหน้าแรกเท่านั้น จนถึงขั้นมีมีมที่เรียกว่า “Google Page Two” แต่สำหรับสายหาข้อมูลแล้ว คงไม่ได้เข้า Google Search แค่หน้าแรกแน่นอน ทว่าในการจะอ่าน ‘หน้าถัดไป’ ในอุปกรณ์พกพานั้น ก็ต้องใช้นิ้วไล่สกอร์หรือเลื่อนหน้าลงเรื่อย ๆ อย่างไม่มีสิ้นสุด สร้างความลำบากในการหาข้อมูลผ่านมือถือพอควร ล่าสุด Google ได้เตรียมยกเลิกวิธีใช้ดังกล่าวออกแล้ว

Google ตัดสินใจเอา Endless Scrolling หรือการเลื่อนลงเพื่อหาข้อมูลออก เตรียมนำ Page หน้าการคลิกตัวเลขเพื่อไปหน้าอื่นกลับมาอีกครั้ง เพื่อให้เข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ได้สะดวกกว่าเดิม ซึ่งจะอัปเดตทั้งฝั่งอุปกรณ์พกพาและฝั่ง Desktop PC ในบางเครื่องด้วย

ด้านโฆษกของ Google ได้เผยกับทาง Search Engine Land ว่า การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะช่วยให้แสดงผลการค้นหาได้เร็วขึ้น แทนที่จะโหลดผลลัพธ์โดยอัตโนมัติที่ผู้ใช้ไม่ได้ต้องการ (รวมถึงแอดด้วย เมื่อยนิ้วสุด ๆ) นับเป็นการปรับปรุงตามความพึงพอใจของผู้ใช้อย่างมีนัยสำคัญ

ใครที่ใช้ Google บน Desktop PC ก็คงคุ้นเคยกับหน้า Page ตัวเลขที่อยู่ขอบด้านล่างเป็นอย่างดี หากต้องการหาข้อมูลที่ลึกขึ้น ก็สามารถกดที่ตัวเลขข้ามไปมาได้อย่างสะดวก เมื่อเทียบกับฝั่งอุปกรณ์พกพาที่ต้องคอยเลื่อนลงต่อไปเรื่อย ๆ จนไม่รู้ว่าจะเจอเว็บที่ต้องการตอนไหน

ที่มา : Techspot

ความสำคัญของการตรวจสอบระบบไอทีใน Concert Stadium เฟลิกซ์ เบิร์นดท์ ผู้จัดการฝ่ายขายประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ Paessler

ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่โดดเด่นสำหรับผู้ชื่นชอบ การแสดง Live concert และที่ผ่านมามีการจัดคอนเสิร์ตที่โดดเด่นทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ประเทศไทยมีการแสดงคอนเสิร์ตและเทศกาลดนตรีที่น่าตื่นเต้นมากมาย ซูเปอร์สตาร์ระดับโลกอย่าง BamBam, Bruno Mars, Coldplay และ Ed Sheeran ล้วนมาจัดการแสดงโชว์สุดอลังการที่รัชมังคลากีฬาสถาน สนามกีฬาแห่งชาติ ข้อมูลที่น่าสนใจระบุว่า ศิลปินชาวไทย และศิลปินเกาหลีใต้  เป็นสองกลุ่มศิลปินที่ครองตำแหน่ง การจัดแสดงคอนเสิร์ตสูงสุดในประเทศไทย ด้วยการแสดงอันน่าตื่นตาตื่นใจและดึงดูดทุกสายตาของผู้ชมไว้ได้

เมื่อเทคโนโลยีพัฒนาไป คอนเสิร์ตขนาดใหญ่กำลังก้าวไปไกลกว่าแค่การเล่นดนตรี งานแสดงคอนเสิร์ตชั้นนำให้ความสำคัญกับกับการสร้างประสบการณ์ความบันเทิง ความประทับใจให้กับผู้ชมจนยากจะลืมเลือน และแม้ว่าสนามกีฬาจะเป็นที่นิยมและสามารถเนรมิตเป็นเป็นเวทีคอนเสิร์ตขนาดใหญ่ได้ แต่สนามกีฬาเหล่านั้นก็ต้องเผชิญกับความท้าทายจากสภาพแวดล้อมที่สลับซับซ้อน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนการแสดงคอนเสิร์ต ทีมงานเบื้องหลังจะต้องจัดเตรียมงานต่างๆอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะกับโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีที่สลับซับซ้อนที่จำเป็นต้องประสานงานทุกอย่าง ตั้งแต่เอฟเฟ็กต์ภาพและเสียงระหว่างการแสดง ไปจนถึงการจัดการตั๋ว การควบคุมฝูงชน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายทั่วทั้งบริเวณสถานที่จัดงาน

สำหรับประเทศไทยนั้น สนามกีฬาส่วนใหญ่ไม่ได้ถูกออกแบบให้พร้อมรองรับคอนเสิร์ตขนาดใหญ่ การจัดแสดงทุกครั้งจึงต้องเตรียมการล่วงหน้าเป็นเดือนกับการติดตั้งระบบ แสง เสียง ตลอดจนเอฟเฟคต่างๆ รวมไปถึงห้องควบคุม ซึ่งแน่นอนว่า การนำทุกสิ่งเข้าไปติดตั้งในสนามกีฬานั้นเป็นทั้งความเสี่ยง และความไม่แน่นนอน ต่อการเกิดขึ้นของปัญหาได้ทุกเวลา หัวใจสำคัญของการดำเนินการที่สลับซับซ้อนนี้ คือ การตรวจสอบด้านไอทีและโอที ทั้งนี้เพื่อให้แน่ใจว่าการแสดงคอนเสิร์ต จะเริ่มการแสดงตั้งแต่ต้นและดำเนินไปอย่างราบรื่นตลอดการแสดง หากยังนึกภาพไม่ออก ให้ลองจินตนาการถึง วาทยากรผู้ควบคุมวงออเคสตราที่ควบคุมให้เทุกเสียงสามารถรังสรรค์ออกมาได้อย่างราบรื่นไร้ที่ติ

ความเรียบง่ายกับการตรวจสอบที่ครอบคลุม

การขายตั๋ว ประตูทางเข้า บริการที่สนามกีฬา การควบคุมฟลัดไลท์ วิทยุ ระบบการชำระเงินแบบไร้สัมผัส ระบบวิเคราะห์วิดีโอ และนิทรรศการภายในงานที่แตกต่างกันไปตามแต่ละคอนเสิร์ต นั่นทำให้สนามกีฬาในปัจจุบันเป็นมากกว่าแค่สนามหญ้า อัฒจันทร์ และกองเชียร์ อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องเหล่านี้มักอยู่นอกขอบเขตของเครื่องมือตรวจสอบส่วนใหญ่ที่ครอบคลุมมาตรฐานงานด้านไอทีโดยเฉพาะ เว้นเสียแต่ว่าสนามกีฬาจะอัปเกรดระบบการตรวจสอบโครงสร้างพื้นฐานในเชิงรุก สนามกีฬาเหล่านั้นมีแนวโน้มที่จะดำเนินการไปแบบเดิมๆ โดยขาดการมองเห็นระบบและตรวจสอบทั่วทั้งเครือข่าย

ขณะที่การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) และเทคโนโลยีการปฏิบัติการ (OT) กลายเป็นส่วนประกอบพื้นฐานสำหรับส่วนงานต่างๆ เทคโนโลยีที่เป็นระบบอะนาล็อกได้ถูกแทนที่มากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากกิจกรรมในสนามกีฬามีขนาดใหญ่ขึ้น อุปกรณ์เหล่านี้จึงถูกรวมอยู่ในเครือข่ายมากขึ้น ดังนั้นการตรวจสอบที่ครอบคลุมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประสบการณ์ที่มีคุณภาพสูง แนวโน้มนี้นำไปสู่ความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นสำหรับทีมไอที ฝ่ายไอทีจำเป็นต้องได้รับแจ้งสถานะและประสิทธิภาพของไอทีและเทคโนโลยีทั้งหมดทั่วสนามกีฬาอยู่ตลอดเวลา  และจะต้องได้รับแจ้งเตือนทันทีในกรณีที่เกิดปัญหาหรือการหยุดชะงัก และต้องไม่เพียงแค่รู้ว่าปัญหาอะไร แต่ยังต้องทราบถึงสถานที่ สาเหตุ เพื่อที่จะได้ป้องกันและเแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงทีก่อนจะเกิดความเสียหาย ซึ่งการแจ้งเตือนจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีระบบการตรวจสอบสภาพแวดล้อมดิจิทัลและไอทีด้วยระบบการตรวจสอบที่เห็นภาพรวมทั้งหมดในที่เดียว เพื่อที่จะสามารถมอนิเตอร์ภาพรวมที่ครอบคลุมได้ ยิ่งภาพรวมของโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมดถูกมอมิเตอร์มากเท่าใด การตรวจจับและแก้ไขปัญหาก็จะยิ่งง่ายขึ้นเท่านั้น

เพราะเหตุใดการตรวจสอบด้านไอทีจึงเป็นสิ่งสำคัญ 

ในโลกที่น่าตื่นเต้นของการจัดงานในสนามกีฬาขนาดใหญ่ ที่ต้องการให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นนั้น ความน่าเชื่อถือไม่ได้เป็นเพียงสิ่งสำคัญและจำเป็น ลองนึกภาพแฟนเพลงนับพันที่กำลังตื่นเต้นกับบทเพลงที่เร้าใจ บนเวทีที่เตรียมไว้สำหรับการแสดงที่น่าจดจำ ตอนนี้ ลองจินตนาการว่าคอนเสิร์ตกำลังถูกรบกวนด้วยความผิดพลาดทางเทคนิคที่เป็นอุปสรรคขัดขวาง ทำให้การแสดงทั้งหมดต้องหยุดชะงักไปหลายนาที นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่การชะงักของระบบ แต่เป็นความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ของระบบและทีมงานการจัดแสดงครั้งนั้น และเป็นจุดที่การตรวจสอบด้านไอทีได้พิสูจน์ว่ามีความจำเป็นและสำคัญอย่างมาก แต่แท้จริงแล้วการทำงานเบื้องหลังนี้ เป็นการทำงานอย่างเงียบๆ เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนที่วางไว้ โดยมีระบบติดตามตรวจสอบ คอยเฝ้าระวังและตรวจจับความผิดปกติ และแจ้งหรือแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ปัญหาเหล่านั้นจะเกิดขึ้น และขัดจังหวะการแสดงคอนเสิร์ต

ระบบตรวจสอบด้านไอทีเป็นแพลตฟอร์มแบบครบวงจรในการตรวจสอบทั้งเครือข่ายไอทีและโครงสร้างพื้นฐาน  ซึ่งประกอบด้วยเซิร์ฟเวอร์ ระบบฐานข้อมูล ระบบจัดเก็บข้อมูล ไฟร์วอลล์ สวิตช์ และระบบสำรองข้อมูล ตลอดจนเทคโนโลยีบริหารสนามกีฬายุคใหม่ นอกจากนี้ เมื่อใช้ประโยชน์จากโซลูชันการตรวจสอบไอทีขั้นสูง ฝ่ายปฏิบัติงานสถานที่ยังสามารถเข้าถึงเซ็นเซอร์และอุปกรณ์ต่างๆ ที่กำหนดค่าไว้ล่วงหน้า ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น  ด้วยการบูรณาการข้อมูลจากอุปกรณ์ต่างๆ ทั่วทั้งสนาม

โดยสรุปแล้วฝ่ายปฏิบัติงานสถานที่สามารถใช้แนวทางตรวจสอบที่เป็นหนึ่งเดียวในการมอนิเตอร์สนามกีฬาทั้งหมด  ซึ่งช่วยให้สามารถจัดสรรทรัพยากรและการวางแผนตามความจุของสนามได้อย่างเหมาะสมที่สุด ช่วยลดความเสี่ยงของปัญหาคอขวดในบางพื้นที่ และช่วยรับประกันว่าการแสดงคอนเสิร์ตในสนามกีฬาจะดำเนินไปอย่างราบรื่น

นอกจากนี้ ระบบตรวจสอบด้านไอทียังให้ข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับประสิทธิภาพของส่วนประกอบต่างๆใน โครงสร้างพื้นฐาน  รวมถึงแดชบอร์ดและแผนที่แบบเป็นรูปภาพที่สามารถปรับแต่งได้ ซึ่งออกแบบมาเพื่อการตรวจสอบทั่วทั้งสนามกีฬาโดยเฉพาะ ระบบเหล่านี้จะตรวจสอบการทำงานหลักของเซิร์ฟเวอร์เครือข่าย การทำงานของอุปกรณ์ภาพและเสียง รวมถึงประสิทธิภาพของระบบตั๋ว ด้วยการติดตามตัวชี้วัดที่สำคัญ เช่น ความเร็วในการตอบสนอง ความพร้อมในการรับส่งข้อมูล และความพร้อมใช้งานของระบบ ฝ่ายปฏิบัติงานสถานที่จึงสามารถจัดการปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นล่วงหน้าก่อนที่จะเกิดขึ้น ช่วยรับประกันประสบการณ์ความบันเทิงที่ไม่หยุดชะงักสำหรับผู้ชมทุกคน

ประโยชน์ต่อผู้ชมคอนเสิร์ต
การตรวจสอบเทคโนโลยีสนามกีฬาและไอทีอย่างต่อเนื่องมีส่วนอย่างมากต่อความสะดวกสบายและความเพลิดเพลินของผู้ชมในระหว่างการแสดงคอนเสิร์ต แม้ว่าคนดูจะดูการแสดงจากที่บ้านก็ตาม

  1. เมื่อมาถึงสนามกีฬา: โซลูชันการติดตามด้านไอทีจะตรวจสอบระบบประตูทางเข้า (รวมถึงประตูหมุน) เพื่อให้แน่ใจว่าแฟนๆ ทุกคนจะเข้าไปในสนามได้ก่อนที่การแสดงจะเริ่มขึ้น
  2. การหาที่นั่งหรือพื้นที่ที่จัดไว้สำหรับยืนชม: ระบบป้ายภายในสนามกีฬาอยู่ภายใต้ขอบเขตของระบบตรวจสอบไอทีที่ทันสมัย เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงแต่ช่วยอำนวยความสะดวก แต่ยังช่วยในระบบความปลอดภัยโดยรวมอีกด้วย
  3. การดึงดูดด้วยภาพและเสียง: คอนเสิร์ตส่วนใหญ่ในปัจจุบันมีการปรับปรุงระบบการแสดงภาพและเสียงเพื่อสร้างความสุขและความสนุกให้กับแฟนๆ แม้ว่าวิศวกรเทคนิคมักจะพยายามอย่างเต็มที่แต่ก็มักจะมีช่องโหว่ แต่ระบบการตรวจสอบด้านไอทีจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าเครื่องมือทั้งหมดที่จำเป็นสำหรับวิศวกรเทคนิคทำงานได้โดยไม่มีปัญหา
  4. อาหารและเครื่องดื่ม: ระบบตรวจสอบด้านไอทีช่วยให้แน่ใจว่าระบบเครื่องบันทึกเงินสด เครื่องพิมพ์ แหล่งจ่ายไฟ และระบบเครือข่าย ณ จุดจำหน่ายทำงานได้อย่างถูกต้อง
  5. การถ่ายทอดสดทั้งภาพและเสียง: หลายครั้งที่มีการถ่ายทอดสดคอนเสิร์ตผ่านโซเชียลมีเดีย สถานีโทรทัศน์ และอื่นๆ ซึ่งเป็นความท้าทายอย่างมากกับการแสดงคอนเสิร์ต และด้วยโซลูชันการตรวจสอบระบบ ช่วยสร้างความมั่นใจให้ทีมไอทีว่าเครือข่ายและอุปกรณ์ที่จำเป็นในการส่งเนื้อหาไปทั่วโลกทำงานได้และได้ถ่ายทอดได้โดยไม่มีสัญญาณดีเลย์

เนื่องจากเทคโนโลยียังคงเป็นตัวกำหนดขอบเขตความบันเทิงใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง บทบาทของการตรวจสอบด้านไอทีภายในระบบนิเวศของสนามกีฬาที่ใหญ่ขึ้น จึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ตั้งแต่การขับเคลื่อนนวัตกรรมดิจิทัล ไปจนถึงการรับรองความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยของโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ฝ่ายไอที คือผู้อยู่เบื้องหลังที่ทำงานอย่างเงียบๆ ในการเป็นส่วนหนึ่งของการส่งมอบประสบการณ์คอนเสิร์ตที่ราบรื่นและน่าจดจำ

ในขณะที่ประเทศไทยยังคงเป็นศูนยแสดงแสดงดนตรีระดับโลกอย่างต่อเนื่องต่อไป ความสำคัญของการตรวจสอบด้านไอทีในสนามกีฬาคอนเสิร์ตก็จะมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้น เพื่อสร้างความมั่นใจว่าผู้ชมจะสามารถเพลิดเพลินไปกับการแสดงที่น่าจดจำได้อย่างราบรื่นตลอดการแสดง โดยไม่มีการหยุดชะงักจากสิ่งรบกวนต่างๆ

บทความโดย

เฟลิกซ์ เบิร์นดท์  ผู้จัดการฝ่ายขายประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ Paessler

เหมือนกว่าเดิม ทดลองติดผิวหนังเทียม สร้างหุ่นยนต์คล้ายคนจริง

[มีลักยิ้ม] อนาคตคงได้เห็นหุ่นยนต์ที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ไปยันผิว เดินปะปนกันแบบในหนัง Sci-Fi ก็เป็นได้ หลังมีนักวิจัยกลุ่มหนึ่ง ได้ทดลองสร้างผิวหนังสังเคราะห์สำหรับหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ เพื่อให้ดูเหมือนมนุษย์จริง ๆ ยิ่งขึ้น

แม้ตอนนี้จะเริ่มเห็นการพัฒนาหุ่นยนต์รูปร่างคล้ายมนุษย์มากขึ้น ถึงขั้นมีหุ่นยนต์ที่เคลื่อนไหวได้คล้ายกันก็มีมาแล้ว ขั้นต่อไปก็อาจเป็นการติดตั้งผิวหนังเทียม โดยล่าสุดได้มีทีมนักวิจัยจากสองมหาวิทยาลัยได้ร่วมพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวแล้ว

มหาวิทยาลัยโตเกียวร่วมกับมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เผยงานวิจัยใน Cell Reports Physical Science กล่าวถึงการพัฒนาผิวหนังเทียมสำหรับหุ่นยนต์ที่มีโครงสร้าง 3 ชั้น สามารถยึดเกาะได้คล้ายกับผิวหนังของมนุษย์ โดยเลียนแบบโครงสร้างของเอ็นผิวหนัง ที่ช่วยเพิ่มการยึดเกาะมากขึ้น ช่วยให้ไม่หลุดออกง่าย ๆ ขณะที่มีการเคลื่อนไหว

ทางทีมนักวิจัยยังได้เผยภาพตัวอย่างด้วย โดยเป็นภาพผิวหนังเทียมสีชมพูแบบ 3 มิติ (ที่ดูเหมือนใบหน้า) พร้อมจำลองการเคลื่อนไหว ก็พบตัวผิวมีความยืดหยุ่นทีเดียว ช่วยแสดงใบหน้าตอนยิ้มได้ชัดเจน แต่ก็ต้องมีการทดลองต่อไป โดยเฉพาะการพัฒนาผิวหนังเทียมส่วนอื่นที่ใหญ่กว่านี้ในอนาคต

ใครอยากดูงานวิจัยนี้เพิ่มเติม สามารถไปตามต่อได้ที่ www.cell.com

ที่มา : Engadget

Bitget ยืนหนึ่งเดือนพ.ค.เงินไหลเข้าสูงสุดในแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ขณะที่ Open Interest ตลาดอนุพันธ์เติบโตมากกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม

Bitget เปิดสถิติเดือนพฤษภาคมครองแชมป์ แพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ที่มีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้ามากที่สุดที่ 975.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ รวมถึงปริมาณการเปิดสัญญาซื้อขายตราสารอนุพันธ์เพิ่มขึ้น 39.2% สูงที่สุดในอุตสาหกรรม แม้ว่าตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในเดือนพฤษภาคมจะมีความผันผวน

นางสาวเกรซี่ เฉิน (Gracy Chen) กรรมการผู้จัดการของ บิตเก็ต (Bitget) แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซีและบริษัท Web3 ชั้นนำของโลก เปิดเผยว่าขณะที่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในภาพรวมยังมีความผันผวนแต่ยังสามารถสร้างสถิติการไหลเข้าของเงินทุนสูงสุดในบรรดาแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล Centralized Exchange ทั้งหมดในเดือนพฤษภาคมที่ 975.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามข้อมูล on-chain จาก DeFiLlama
นอกจากนี้ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำในด้านตลาดอนุพันธ์ แม้ว่าปริมาณการซื้อขายรวมทั้งตลาด Spot และอนุพันธ์บนแพลตฟอร์ม centralized exchange ทั้งหมดจะลดลง 20.1% เหลือที่ 5.27 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนพฤษภาคม ตามรายงานของ CCData แต่ยอดการเปิดสัญญาซื้อขายของ Bitget หรือ Open Interest เพิ่มขึ้น 39.2% แตะที่ 9.74 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรม

ขณะเดียวกัน Bitget ได้ลิสต์โทเค็นใหม่กว่า 62 โทเค็นซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึงระดับตั้งแต่ 260% ถึง 1430% สะท้อนถึงกลยุทธ์เชิงรุกของ Bitget ในการตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของตลาด และยังเน้นย้ำถึงศักยภาพอันมหาศาลสำหรับผลตอบแทนที่คุ้มค่าภายในระบบนิเวศของ Bitgetรวมถึงเพิ่มโทเค็นใหม่ 19 โทเค็นบน PoolX แพลตฟอร์มสำหรับการ Staking และการสร้างผลตอบแทน ซึ่งดึงดูดผู้เข้าร่วมกว่า 120,381 คน ด้วยเม็ดเงิน Stake รวม 427 ล้าน USDT

เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา Bitget ยังได้แต่งตั้ง Gracy Chen เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) คนใหม่ซึ่งเป็นสุภาพสตรีคนแรกในอุตสหากรรมที่นั่งตำแหน่งบริหารสูงสุดขององค์กร รวมถึงเปิดตัวแคมเปญ Elite Traderและร่วมฉลองวัน Pizza Day

นางสาวเกรซี่ เฉิน กล่าวด้วยว่า Bitget ยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาโปรดักต์ทั้งด้านของแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลรวมถึง Web3 ผ่าน Bitget Wallet เพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลที่น่าจะมีแนวโน้มเชิงบวกมากขึ้นในครึ่งปีหลังนี้จากนโยบายการเงินของสหรัฐฯที่ผ่อนคลายลงรวมถึงแรงกระตุ้นจากการที่สหรัฐฯผ่อนคลายความเข้มงวดของกฎระเบียบเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลลง

SiteMinder และ Cloudbeds ร่วมมือกันเพิ่มโอกาสใหม่ในการกระจายการขายและสร้างรายได้ให้กับโรงแรม

SiteMinder ผู้นำแพลตฟอร์มระดับโลกที่จะเข้ามาปลดล็อกศักยภาพในการสร้างรายได้เต็มรูปแบบให้กับโรงแรม ร่วมกับ Cloudbeds แพลตฟอร์มชั้นนำด้านการบริหารจัดการโรงแรม (PMS) สร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์เพื่อขยายการเชื่อมต่อระหว่างสองแพลตฟอร์ม และเพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้ให้กับโรงแรมกว่า 60,000 แห่งทั่วโลก

ความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยให้ลูกค้าของ Cloudbeds สามารถเข้าถึงแพลตฟอร์มการจัดการรายได้ของ SiteMinder ได้สะดวกมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงลูกค้าทางฝั่ง SiteMinder  ยังสามารถเข้าถึงแพลตฟอร์มระบบจัดการโรงแรม (PMS) ชั้นนำของ Cloudbeds อีกทั้งยังเป็นการขยายขีดความสามารถในการจัดจำหน่ายห้องพัก และให้ข้อมูลเชิงลึกแก่ผู้ประกอบการโรงแรม เพื่อช่วยให้พวกเขาตัดสินใจทางธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น

ความร่วมมือครั้งนี้ ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างพันธมิตรระหว่างแพลตฟอร์ม เพื่อมอบประสบการณ์ในการเริ่มต้นการใช้งานที่ดียิ่งขึ้น รวมถึงเพิ่มความแม่นยำในการทำงานที่ดีที่สุดสำหรับผู้ใช้บริการโรงแรมของทั้งสองแพลตฟอร์ม

“ปลายปี 2566 เราได้ประกาศพันธกิจในการทำให้โรงแรมทุกแห่งในโลกสามารถเข้าถึงการจัดการรายได้ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เรารู้สึกยินดีที่ได้ร่วมมือกับผู้นำในอุตสากรรมอย่าง Cloudbeds เพื่อขับเคลื่อนพันธกิจนี้ โดยการลดการกระจัดกระจายของข้อมูลจากการเป็นระบบจัดการแบบแยก” Sankar Narayan ซีอีโอและกรรมการผู้จัดการของ SiteMinder กล่าว “ความร่วมมือในครั้งนี้ยิ่งตอกย้ำความสามารถของแพลตฟอร์ม SiteMinder ที่มีการจัดการรายได้ให้กับโรงแรมถึง 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี รวมถึงจุดยืนที่เราเข้ามาเปลี่ยนแปลงระบบการจัดการรายได้ให้กับอุตสาหกรรมโรงแรมทั่วโลก สานต่อพันธกิจที่มีมาอย่างยาวนานของ SiteMinder ในการลดข้อจำกัดต่างๆ ในอุตสาหกรรมที่มีการกระจายตัวของข้อมูล”

Adam Harris, CEO ของ Cloudbeds กล่าวว่า “ความร่วมมือของเรากับ SiteMinder เป็นการรวมตัวกันของยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมเพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่างแพลตฟอร์มโรงแรม และสร้างมาตรฐานใหม่สําหรับผู้ประกอบการโรงแรมทั่วโลกอีกทั้งความร่วมมือนี้ ยังจะช่วยเพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบการโรงแรมทั่วโลก โดยเพิ่มการมองเห็นผ่านการควบคุมจากตัวกลางบนแพลตฟอร์มของเรา ซึ่งเรามีความยินดีอย่างยิ่งในการมอบโอกาสในการสร้างรายได้เพิ่มเติมให้แก่ผู้ประกอบการโรงแรม ในขณะเดียวกันก็เพิ่มประสิทธิภาพ และลดความยุ่งยากให้กับการดำเนินงานของโรงแรม”

‘การจัดการรายได้’หัวใจสำคัญของการแข่งขันในอุตสาหกรรมโรงแรมไทย โดย แบรด ไฮนส์ รองประธานฝ่ายภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิค บริษัท SiteMinder

ผู้ประกอบการโรงแรมในประเทศไทย เดินหน้าปรับตัวสู่ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของการท่องเที่ยว หลังปี 2566 อัตราการเข้าพักในโรงแรมของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั่วโลกเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 33% โดยในประเทศไทยเอง อัตราการเข้าพักในโรงแรมกว่า 90% มาจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ แม้ว่าราคาห้องพักโรงแรมโดยเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นถึง 19% ก็ตาม ตอกย้ำถึงความสนใจในการเดินทางสู่จุดหมายปลายทางชั้นนำของโลกที่กำลังเติบโตขึ้นของนักท่องเที่ยว

เทศกาลสำคัญของประเทศไทยมีส่วนช่วยกระตุ้นอัตราการจองโรงแรมให้เพิ่มมากขึ้น รวมถึงมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของการท่องเที่ยวนี้อีกด้วย ตัวอย่างเช่น เทศกาลสงกรานต์ที่จัดขึ้นในเดือนเมษายนที่ผ่านมา นำมาซึ่งการเดินทางเข้าประเทศของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเกือบ 2 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2566 ถึง 38% เช่นเดียวกับการท่องเที่ยวภายในประเทศที่คึกคักไม่แพ้กัน มีอัตราการจองโรงแรมจากนักท่องเที่ยวชาวไทยสูงถึง 23% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์กว่า 13%

แบรด ไฮนส์ รองประธานฝ่ายภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิค บริษัท SiteMinder

ตัวเลขเหล่านี้ ไม่ได้เพียงแสดงถึงความน่าสนใจของการท่องเที่ยวประเทศไทยอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังแสดงถึงการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้นด้วยเช่นกัน โดยในปีนี้ คาดการณ์ได้ว่าอัตราของห้องพักอาจมีเพิ่มขึ้นถึง 10,000 ห้อง เตรียมพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวชาวจีนและอินเดีย ที่อาจมีมากขึ้น จากนโยบายยกเว้นวีซ่าสำหรับทั้งสองสัญชาติของรัฐบาล

จากการแข่งขันภายในอุตสาหกรรมโรงแรมที่เพิ่มสูงขึ้น ผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องมีความตื่นตัว เพื่อเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ โดยในประเทศไทย โรงแรมที่มีความได้เปรียบในด้านรายได้มากที่สุด คือโรงแรมที่สามารถปรับตัวเข้ากับเทรนด์ใหม่ที่เกิดขึ้นได้เสมอ ผ่านการใช้ข้อมูลแบบเรียลไทม์ที่เชื่อถือได้ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ จะเป็นประโยชน์สำหรับโอกาสในการสร้างรายได้ที่ต้องอาศัยความรวดเร็วให้กับผู้ประกอบการ เช่น การจัดกิจกรรมในช่วงเทศกาลสำคัญ หรือการเปลี่ยนแปลงราคาของคู่แข่ง รวมไปถึงการเกิดขึ้นของตลาดนักท่องเที่ยวใหม่ ๆ

การจัดการรายได้ ไม่เพียงแต่เป็นทางเลือกหรือจำกัดเพียงแบรนด์โรงแรมใหญ่ๆอีกต่อไป แต่กลายเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นมากขึ้นสำหรับโรงแรมทุกแห่งในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น โรงแรมบูติกขนาดเล็ก หรือบังกะโลริมชายหาดก็ตาม คุณปณานันท์ ลียะวัฒนากุล  Director of Sales โรงแรม Neera Retreat กล่าวถึงความจำเป็นนี้ว่า “การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเดินทาง ทำให้เกิดความต้องการในการเดินทางไปพักผ่อนในพื้นที่ใกล้เคียงเพิ่มมากขึ้น ซึ่งแม้ปัจจุบันเรายังไม่มีคู่แข่งโดยตรงภายในพื้นที่ แต่เรายังคงทำการสำรวจโรงแรมที่มีลักษณะใกล้เคียงในบริเวณใกล้เคียง เพื่อคงความสามารถในการแข่งขันด้านกลยุทธ์ราคาของเราต่อไป”

สิ่งสำคัญคือความรวดเร็ว

ในสภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขันสูงในปัจจุบัน ความรวดเร็วถือเป็นสิ่งสำคัญ โดยจากการพัฒนาของสมาร์ทโฟน ทำให้การทำธุรกรรมต่างๆของลูกค้าง่ายดายขึ้น รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถให้กับธุรกิจต่างๆในการดำเนินกลยุทธ์ตามความต้องการอีกด้วย

สมาร์ทโฟนไม่ใช่สิ่งอำนวยความสะดวกที่แปลกใหม่สำหรับประเทศไทย ซึ่งกว่า 70% ของจำนวนประชากรทั้งหมดเป็นเจ้าของสมาร์ทโฟน อีกทั้งประเทศไทยยังถูกจัดอยู่ในอันดับสองของโลก ที่ใช้เวลากับอุปกรณ์เหล่านี้นานที่สุด โดยคิดเป็นประมาณ 9 ชั่วโมงต่อวัน เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของทั่วโลกซึ่งอยู่ที่ 6 ชั่วโมง 43 นาที

ด้วยเหตุนี้เอง SiteMinder จึงได้เปิดตัวแอปพลิเคชันบนมือถือที่ไม่เพียงแต่ช่วยลดความซับซ้อนในการจัดการรายได้ของโรงแรมในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังช่วยลดความซับซ้อนในการจัดการรายได้ของโรงแรมทั่วโลกให้สามารถเข้าถึงได้งานดายมากยิ่งขึ้น

ด้วยฟังก์ชันการทำงานแบบเรียลไทม์ แอปพลิเคชันดังกล่าวจะช่วยให้ผู้ประกอบการชาวไทยไม่พลาดโอกาสในการสร้างรายได้ โดยสามารถจัดการที่พักของตนได้อย่างง่ายดายผ่านโทรศัพท์มือถือ ผ่านทางแอปพลิเคชันที่มีการให้บริการในเวอร์ชั่นภาษาไทย  ซึ่งความคิดเห็นจากผู้ใช้งานในระยะแรกของแอปพลิเคชันชี้ถึงประสิทธิภาพในการตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของอุตสาหกรรมในท้องถิ่น:

“แอปพลิเคชันบนมือถือของ SiteMinder นั้นใช้งานได้อย่างง่ายดาย โดยเราสามารถเข้าถึงแดชบอร์ดและปรับราคาห้องพักได้ตลอดเวลา” คุณชาญชัย สุวรรณกิตติ General Manager โรงแรมทรอปิคานา จังหวัดชลบุรีกล่าว

ผู้ประกอบการโรงแรมชาวไทยสามารถก้าวเข้าสู่ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของการท่องเที่ยวได้อย่างมั่นใจ จากการสนับสนุนความสำเร็จต่างๆเหล่านี้

การจัดการรายไม่ได้เป็นเพียงตัวเลือกอีกต่อไป สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาสามารถบ่งชี้ได้ว่าการจัดการรายได้ถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับโรงแรมทุกแห่งในการรักษาและขยายธุรกิจของตนในทุกสภาวะทางเศรษฐกิจ จากความสามารถทางเทคโนโลยีจึงทำให้การจัดการรายได้สามารถเข้าถึงได้สำหรับผู้ประกอบการโรงแรมไทยทุกคน

ช้อปปี้ เร่งเครื่องส่ง Live Commerce ทุบสถิติยอดออเดอร์บน Shopee Live โตมากกว่า 40 เท่า พร้อมเดินหน้าสนับสนุนผู้ใช้งานรับอีคอมเมิร์ซปลายปีสุดคึกคัก

จากพฤติกรรมนักช้อปบนโลกออนไลน์ที่ไม่ได้เพียงมองหาการช้อปสินค้าเท่านั้น แต่ยังมองหาความบันเทิงในรูปแบบใหม่ๆ อย่าง Live Commerce ที่ผู้ใช้งานสามารถรับประสบการณ์การช้อปพร้อมความบันเทิง อีกทั้งยังสามารถมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายได้แบบเรียลไทม์ ทำให้มูลค่าตลาดของ Live Commerce มีแนวโน้มสูงถึง 121 หมื่นล้านบาทในปี 2568[1] ช้อปปี้ ในฐานะอีคอมเมิร์ซเบอร์ 1 ครองใจนักช้อปชาวไทย จับพฤติกรรมผู้ใช้งาน พร้อมมอบอีกขั้นของประสบการณ์การช้อป ผ่านฟีเจอร์ไลฟ์สตรีมมิ่งอย่าง Shopee Live เสริมแกร่งอีโคซิสเต็มเพื่อประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดีที่สุดแก่ผู้ใช้งาน

คุณการัน อำบานี ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจ ช้อปปี้ (ประเทศไทย) กล่าวว่า “เพื่อมอบอีกขั้นของประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ครบวงจร พร้อมสร้างโมเมนต์ 3S อันเป็นเอกลักษณ์ของช้อปปี้ ทั้งในแง่การตอบสนองความต้องการที่ซ่อนอยู่ให้โดนใจผู้บริโภค (Surprise) ความคุ้มค่า (Saving) และ ความสำเร็จในทุกแง่มุมของผู้ใช้งาน (Success) เราจึงสร้างฟีเจอร์ Shopee Live ที่ถือเป็นเจ้าแรกในไทยที่เปิดตัวฟีเจอร์ไลฟ์สตรีมมิ่งบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเชื่อมต่อระหว่างแบรนด์และผู้ขายให้ใกล้ชิดกับผู้ซื้อมากยิ่งขึ้น ด้วยการสร้างปฏิสัมพันธ์แบบเรียลไทม์ และเพื่อตอกย้ำความเป็นเบอร์ 1 ของวงการอีคอมเมิร์ซ ในช่วงครึ่งปีหลังนี้เราได้จัดเตรียมสร้างสรรค์กิจกรรมและแคมเปญทางการตลาดต่างๆ ที่จะมาสร้างความตื่นตาตื่นใจ ให้บรรยากาศการช้อปปิ้งออนไลน์คึกคักในช่วงอีคอมเมิร์ซไฮซีซั่นนี้”

ช้อปปี้ เร่งเครื่องส่ง Shopee Live หนึ่งในฟีเจอร์หลักยอดฮิตที่มีบทบาทสำคัญต่อผู้ซื้อและผู้ขายอย่างต่อเนื่อง

ฟีเจอร์ทางการตลาดที่เปิดตัวมากว่า 6 ปีอย่าง Shopee Live ไลฟ์สตรีมมิ่งที่เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อผู้ซื้อ ผู้ขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในแง่ของผู้ซื้อ เราได้มอบประสบการณ์ความคุ้มค่าทางการช้อปปิ้งบนแพลตฟอร์มควบคู่ความบันเทิง ในขณะเดียวกันเราก็ได้สนับสนุนร้านค้าและแบรนด์พันธมิตรให้เติบโตบนอีคอมเมิร์ซอย่างยั่งยืน จนทำให้ฟีเจอร์ Shopee Live ยังคงเป็นหนึ่งในฟีเจอร์ที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ใช้งานเสมอมา

ช้อปปี้ ประเทยไทย เผยสุดยอดสถิติ “Shopee Live” ในช่วงต้นปี 2567[2]

  • ยอดออเดอร์สินค้าบน Shopee Live พุ่งทะยานมากกว่า 40 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา
  • ผู้ขายสินค้าอุปโภคบริโภครายหนึ่งสามารถสร้างยอดออเดอร์ได้มากกว่า 3,500 ออเดอร์ ในระยะเวลาเพียง 1 นาที บน Shopee Live
  • นักช้อปให้ความสนใจกับ Shopee Live เป็นอย่างมาก โดยพบว่า Live session เติบโตกว่า 9 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา โดยหากเทียบระยะเวลาไลฟ์บน Shopee Live จะเทียบเท่ากับระยะเวลาบินไป-กลับ กรุงเทพ ปารีส มากกว่า 5 แสนรอบ
  • 3 สินค้ายอดฮิตยืนหนึ่งในใจนักช้อป คือ น้ำมันปาล์ม ลิปแมท และ กางเกงยีนส์เอวสูง
  • 3 จังหวัด ที่มีแฟนพันธุ์แท้ Shopee Live คือ ชลบุรี นครราชสีมา และ เชียงใหม่ โดยจังหวัดนครราชสีมา มีผู้เข้าชมเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว[3] เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา

พลิกโฉมกลยุทธ์ทางการตลาดรูปใหม่ผ่านรายการ “SELLVIVOR ภารกิจพิชิตยอดขาย” 

ช้อปปี้ประเดิมครึ่งปีหลังด้วยการผนึกกำลังกับพันธมิตรยักษ์ใหญ่ ONE31 และ aCommerce ที่รวมตัวกันสร้างสรรค์รายการวาไรตี้แข่งขันค้นหานักขายออนไลน์​ภายใต้ชื่อ “SELLVIVOR ภารกิจพิชิตยอดขาย” ที่จะทำให้วงการอีคอมเมิร์ซและนักขายออนไลน์เติบโตไปอีกขั้น พร้อมขยายโอกาสครั้งสำคัญทางสาขาอาชีพให้นักขายของออนไลน์ครั้งแรกในประเทศไทยอีกด้วย

สำหรับ “SELLVIVOR ภารกิจพิชิตยอดขาย” รายการวาไรตี้ที่ผู้เข้าแข่งขันต้องทำภารกิจโชว์สกิลการขาย เพื่อฝ่าด่านต่างๆ สุดท้าทาย เพื่อก้าวสู่การเป็น “สุดยอดนักขาย” เพียง 1 เดียว โดยผู้ชมจะได้พบกับความสนุก มันส์ครบรสทางความบันเทิง จากเหล่าคณะกรรมการ พร้อมด้วยทีมเทรนเนอร์ชื่อดังที่จะมาเผยเทคนิคการขายให้ลูกทีมอย่างเต็มเหนี่ยวโดยผู้ชมสามารถติดตามรับชมความสนุกของรายการ “SELLVIVOR ภารกิจพิชิตยอดขาย” ได้ทุกวันเสาร์ เวลา 18:00 น. เริ่มวันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคมนี้ เป็นต้นไปทางช่องวัน 31 และ Shopee Live บนช้อปปี้

ไม่เพียงเท่านี้ นักช้อป สามารถพบกับความบันเทิงและความคุ้มค่าอย่างต่อเนื่องได้บน Shopee Live พร้อมรับอีกขั้นของประสบการณ์ความบันเทิงผ่านแคมเปญ “ทุกวันที่ 1 ไลฟ์ ลด โหด”  ที่มาพร้อมความพิเศษให้กับนักช้อปตัวยง ให้ช้อปปิ้งมันส์ทั้งวันกับพิมรี่พาย โค้ดลดเพิ่มสูงสุด 120 บาท และดีลตัวท็อป ช้อปในไลฟ์ นอกจากนี้ นักช้อปยังจะได้พบกับสินค้าราคา Flash Sale ถึง 4 ช่วงเวลา พร้อมพบกับโค้ดส่วนลดที่อัพไซต์มูลค่าสูงสุด 500 บาท บน Shopee Live ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://shopee.co.th/m/shopee-live-hours

ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันช้อปปี้ได้ฟรีจาก App Store, Google Play Store และ App Gallery

[1] อ้างอิงจาก Thai e-Commerce Association

[2] ข้อมูลสถิติระหว่างมกราคม – พฤษภาคม 2567

[3] ข้อมูลสถิติระหว่างมกราคม – พฤษภาคม 2567

TikTok ปล่อยหมัดเด็ดกลยุทธ์การตลาดออนไลน์เพื่อสินค้าสินค้าอุปโภคบริโภคในไทย พลิกโฉมธุรกิจ FMCG ด้วยพลังแห่งคอนเทนต์และคอมมูนิตี้ที่แข็งแกร่ง พร้อมเผยเคล็ดลับทำคอนเทนต์สินค้า FMCG อย่างไรให้ปังบน TikTok

TikTok แพลตฟอร์มวิดีโอสั้นชั้นนำระดับโลก กำหนดนิยามใหม่ในการทำการตลาดสินค้าอุปโภคและบริโภค (FMCG: Fast-Moving Consumer Goods) ในประเทศไทย โดยการผสมผสานความบันเทิงและการสร้างคอมมูนิตี้ที่แข็งแกร่งที่ผู้บริโภคสามารถค้นพบและมีส่วนร่วมกับผลิตภัณฑ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปล่อยหมัดเด็ดข้อมูลเชิงลึกและกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้แบรนด์สามารถเชื่อมโยงและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุด ตอกย้ำการเป็นแพลตฟอร์มที่ยกระดับความคิดสร้างสรรค์อันไร้ขีดกำจัดและตอบโจทย์ทุกความท้าทายของการตลาดยุคใหม่ด้วยโอกาสในการสร้างการเติบโต

ผู้บริโภคในประเทศไทยได้พัฒนาไปสู่การเป็น Omni-Shopper ลูกค้าสามารถเข้าถึงการซื้อสินค้าได้หลายช่องทางทั้งออนไลน์และออฟไลน์ โดยรายงานของ กันตาร์เรื่อง “The Omni-Shopper Revolution” ได้เน้นย้ำให้เห็นถึงสถานการณ์ตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคในปัจจุบันที่ช่องทางการขายสินค้าออนไลน์ได้รับความนิยมจากหมู่ผู้บริโภคชาวไทยมากขึ้น ปัจจุบันเกือบครึ่งหนึ่งของครัวเรือนในประเทศไทยหรือประมาณ 45% ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคทางออนไลน์เป็นหลัก ทำให้แบรนด์ต้องหันมาทำความเข้าใจะและให้ความสำคัญกับช่องทางการขายออนไลน์มากขึ้น

“TikTok ได้กลายมาเป็นจุด ‘Eye-Level’ ใหม่ที่สามารถดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคและสร้างผลลัพธ์ให้กับสินค้า FMCG ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยผู้ใช้ชาวไทยกว่า 92%[1] ยกให้ TikTok เป็นพื้นที่แห่งความบันเทิงและการช้อปปิ้งที่พวกเขานึกถึง ซึ่งสอดคล้องกับภารกิจหลักของเรา ในการจุดประกายความคิดสร้างสรรค์และมอบความสุขให้กับผู้คน พร้อมเปิดโอกาสให้ธุรกิจรายย่อยตลอดจนแบรนด์และเอเจนซี่สามารถใช้แพลตฟอร์ม TikTok เพื่อสร้างการเติบให้กับธุรกิจ” สิรินิธิ์ วิรยศิริ Head of Business Marketing , TikTok ประเทศไทย กล่าว

ตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคเต็มไปด้วยผลิตภัณฑ์มากมายทำให้แบรนด์สร้างความโดดเด่นได้ยากขึ้น อีกทั้งผู้บริโภคยังมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแบรนด์เพื่อหาประสบการณ์ใหม่ๆ รวมถึงมองหาความคุ้มค่าและคุณภาพเป็นสิ่งสำคัญ แบรนด์จึงต้องทำคอนเทนต์นำเสนอสินค้ามากขึ้นเพื่อให้ถูกค้นพบโดยกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งคอนเทนต์อันกลมกลืนเป็นธรรมชาติบนหน้าฟีดของ TikTok ช่วยให้แบรนด์เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างตรงจุดและส่งอิทธิพลต่อผู้บริโภคมากกว่าแค่การรับชมคออนเทนต์ สอดคล้องกับผลการสำรวจผู้บริโภคของ Accenture Song ซึ่งจัดทำร่วมกับ TikTok ซึ่งชี้ให้เห็นว่ากว่า 78%[2] ของผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสินค้าเพราะรับชมคอนเทนต์เกี่ยวกับสินค้านั้นๆ บนแพลตฟอร์ม สะท้อนให้เห็นว่า TikTok เป็น Eye-Level จุดใหม่ในโลกธุรกิจ

ปัจจัยสำคัญ 3 ประการที่ช่วยปลดล็อกโอกาสในการทำการตลาดซึ่งขับเคลื่อนด้วยพลังในการค้นพบคอนเทนต์ที่ใช่บน TikTok

  1. การเติบโตของคอมมูนิตี้คอนเทนต์สินค้าอุปโภคบริโภคบน TikTok: ผู้ใช้งาน TikTok ให้ความสนใจกับคอนเทนต์เกี่ยวกับสินค้าอุปโภคบริโภคบนแพลตฟอร์มอย่างมีนัยสำคัญและมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคอมมูนิตี้คอนเทนต์ของสินค้าประเภทนี้มีการเติบโตสูงขึ้นในหลากหลายหมวดหมู่ อาทิ ผลิตภัณฑ์ดูแลบ้าน ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ตลอดจนผลิตภัณฑ์ความงาม ซึ่งการเติบโตดังกล่าวได้รับแรงผลักดันจากความสามารถอันโดดเด่นของ TikTok ในการเป็นพื้นที่แห่งการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งาน
  2. สร้างสะพานเชื่อมระหว่างแบรนด์กับครีเอเตอร์และคอมมูนิตี้: TikTok เชื่อมโยงแบรนด์กับคอมมูนิตี้ผ่านการมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันกับครีเอเตอร์ ช่วยให้แบรนด์และผู้บริโภคใกล้ชิดกันมากขึ้นและต่อยอดไปสู่การเติบโต โดย 83%[1] ของผู้ใช้หันมาพิจารณาแบรนด์หรือสินค้าอุปโภคบริโภคเพราะคอนเทนต์ของครีเอเตอร์ที่ค้นพบบนแพลตฟอร์ม ครีเอเตอร์บน TikTok จึงมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนความสำเร็จให้กับแบรนด์
  3. พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนจากการค้นพบสู่การกระทำ: พฤติกรรมของผู้บริโภคบน TikTok เปลี่ยนไปอย่างมากจากการค้นพบไปสู่การกระทำที่เป็นรูปธรรม โดย 90%[3] ของผู้ใช้ที่ค้นพบแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคบน TikTok จะค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมหลังจากนั้นทันที แสดงให้เห็นถึงความสามารถของแพลตฟอร์มในการกระตุ้นการมีส่วนร่วมที่ลึกซึ้ง และผู้ใช้ 2 ใน 3[1] ตั้งใจเสิร์จบน TikTok เพื่อค้นหาข้อมูลหรือสินค้าที่สนใจ สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของแพลตฟอร์มที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค

ปัจจัยเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและการมีส่วนร่วมของคอมมูนิตี้บน TikTok สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้บริโภคในการซื้อสินค้าทั้งในรูปแบบออฟไลน์และออนไลน์ที่จะช่วยส่งเสริมการเติบโตให้แก่ธุรกิจ

TikTok มุ่งมั่นสนับสนุนธุรกิจทุกขนาดให้เติบโตบนแพลตฟอร์มได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการเป็น ‘Eye-Level’ จุดใหม่ ที่มาพร้อมโซลูชันและโอกาสในการเชื่อมโยงกับกลุ่มเป้าหมาย เราเชื่อว่าการสนับสนุนธุรกิจและครีเอเตอร์ให้เติบโตในตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ จะช่วยสร้างผลกระทบในระดับมหภาคและขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลในประเทศไทยได้

*แหล่งอ้างอิง

  1. TikTok commissioned survey with Consumer Packaged Goods (CPG) decision makers in TH, conducted by Kantar Profiles in 2023
  2. Consumer research by Accenture Song, commissioned by TikTok, conducted in TH, Aug 2023
  3. TikTok commissioned survey on summer behaviours in TH, conducted by Kantar profiles in 2023

“บล.พาย” เผยผลงานครึ่งปีแรก มูลค่าการลงทุนของลูกค้าแตะระดับแสนล้านบาท พร้อมรุกหน้าเปิดตัวบริการ Digital Wealth Management

บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) หรือ Pi” “บล. พาย” บริษัทหลักทรัพย์ผู้ให้บริการด้านการเงินแบบครบวงจรในประเทศไทย เผยความสามารถในการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2567 มีมูลค่าการลงทุนของลูกค้าที่เชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ และการบริการแตะระดับ 1 แสนล้านบาท เติบขึ้นกว่า 10% เมื่อเทียบกับมูลค่าทรัพย์สิน ณ สิ้นปี 2566 รวมถึงประกาศเดินหน้าสร้างแพลตฟอร์มการลงทุนแบบครบวงจร และพัฒนาบริการใหม่ Digital Wealth Management เพื่อนำพาลูกค้าสู่ความ มั่งคั่ง มั่นคง และความยั่งยืนทางการเงินในอนาคต

“ถึงแม้ว่าตลาดจะมีความผันผวน เรายังมุ่งมั่นที่จะสร้างความมั่งคั่งให้กับลูกค้าของเราอย่างต่อเนื่อง กลยุทธ์ของเรา มุ่งเน้นให้นักลงทุนในประเทศไทยทุกคน สามารถสัมผัสประสบการณ์การลงทุนที่เหนือกว่า พร้อมรับคำแนะนำการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นไปตามคอนเซ็ปต์ ‘ Digital with a Human Touch’ คือการนำเอาความสะดวกสบายของนวัตกรรมดิจิทัล ผนวกเข้ากับความแข็งแกร่งของกลยุทธ์การลงทุน ทั้งนี้ เมื่อเดือนมีนาคม 2567 ที่ผ่านมา เราประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ในการเปิดตัวแอปพลิเคชัน Pi Financial ซึ่งแพลตฟอร์มนี้ จะช่วยสนับสนุนลูกค้าให้สามารถลงทุนได้ทั้งในตลาดหุ้นไทย และตราสารอนุพันธ์ เพื่อรองรับความผันผวนของตลาด นอกจากนี้ เรายังขยายขอบเขตผลิตภัณฑ์ โดยการนำเสนอการซื้อขายหุ้นต่างประเทศบนแอปพลิเคชัน ลูกค้าสามารถเข้าถึงหุ้นต่างประเทศ ในตลาด NASDAQ สหรัฐอเมริกา และตลาดหุ้นฮ่องกง ได้อย่างง่ายดายมากขึ้น ในขณะเดียวกัน เรายังขยายขอบเขตการดำเนินธุรกิจ ผ่านการเปิดตัว Pi Private Wealth เพื่อสนับสนุน และรองรับลูกค้ากลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ (High Net Worth) ด้วยผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ครบวงจร และสามารถปรับแต่งให้เหมาะสมกับความต้องการ และโปรไฟล์ความเสี่ยงของแต่ละบุคคล ในอนาคต เรากำลังเสริมสร้างความสามารถในการจัดการทรัพย์สินอย่างมีประสิทธิภาพด้วยการพัฒนาโซลูชัน Pi Digital Wealth ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของแผนการดำเนินงานของเรามร.บ๊อบ เวาเทอร์ส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) กล่าว

ในปัจจุบัน นักลงทุนมีการเปลี่ยนวิธีการลงทุนจากแบบดั้งเดิม ไปสู่แพลตฟอร์มดิจิทัลเพิ่มมากขึ้น และเริ่มมองหาโอกาสการลงทุนนอกตลาดประเทศไทย โดย บล. พาย อยู่ในระดับแนวหน้าของวงการการเงินดิจิทัล พร้อมมอบการลงทุนผ่านเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ และผลิตภัณฑ์ที่ครบวงจรตามที่นักลงทุนต้องการ ไม่เพียงแต่เพื่อตอบสนองต่อความต้องการทางดิจิทัลที่เติบโตขึ้นเท่านั้น แต่ บล.พาย ต้องการนำพาลูกค้าไปยังทิศทางการลงทุนที่คุ้มค่า ตอบโจทย์ และตรงตามความต้องการมากที่สุด ผ่านการให้ข้อมูลที่คัดสรรมาอย่างดีจากทีมรีเสิร์ช ที่อัปเดตข้อมูลทุกวันผ่านแอปพลิเคชัน

ทั้งนี้ ภายหลังจากการเปิดตัวแอปพลิเคชัน Pi Financial ปัจจุบัน มียอดดาวน์โหลดมากกว่า 100,000 ครั้ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ และยังพบว่า ปัจจุบันจำนวนผู้ใช้งานแอปพลิเคชันมีเพิ่มมากขึ้นถึง 114% และมีผู้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันมากกว่า 400 รายต่อวัน ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งของโซลูชันการลงทุนที่ตอบโจทย์ของ บล.พาย โดยทางบริษัทฯ เชื่อมั่นว่า จะเดินหน้าจะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ราว 500,000 ดาวน์โหลด ภายในปลายปี 2567 นี้

สำหรับ Pi Private Wealth หนึ่งในธุรกิจใหม่ของ บล.พาย มุ่งเน้นในการมอบโซลูชันการลงทุนที่คัดสรรมาเพื่อนักลงทุนแต่ละราย  โดยมีการนำเสนอผลิตภัณฑ์ และกลยุทธ์การลงทุนที่ครบถ้วน จาก CIO Office หรือทีมวิเคราะห์เศรษฐกิจ และข้อมูลด้านการลงทุน  ซึ่งนำทีมโดยผู้จัดการกองทุนมากประสบการณ์ ทำให้สามารถส่งมอบแผนการลงทุนที่เฉพาะเจาะจง พร้อมกลยุทธ์การจัดสรรสินทรัพย์ เพื่อตอบสนองความต้องการที่เฉพาะเจาะจงของนักลงทุนแต่ละรายได้อย่างดีเยี่ยม

คุณณัฐพล จันทร์สิวานนท์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้บริหารสูงสุดสายการลงทุน กล่าวว่า “ในภาวะตลาดปัจจุบันที่มีการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และความท้าทายในการฟื้นตัวของจีน นักลงทุนจำเป็นต้องมีความระมัดระวัง และปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยบริษัทหลักทรัพย์ พาย เรามีผลิตภัณฑ์ครบสำหรับการลงทุนในสภาวะตลาดที่หลากหลาย เช่น ตราสารทุนทั้งไทย และต่างประเทศ ตราสารหนี้ไทย และต่างประเทศ Structured Product กองทุนรวม กองทุนส่วนบุคคล และตราสารที่มีอนุพันธ์แฝง ซึ่งจะมอบความยืดหยุ่นในการลงทุนแม้ในช่วงที่ตลาดผันผวน”

ด้วยประสบการณ์ที่ยาวนานเกือบ 60 ปี บล.พาย ถือว่าอยู่ในแนวหน้าของอุตสาหกรรมการเงินไทยอย่างสม่ำเสมอ โดย บล.พาย ใช้ความเชี่ยวชาญที่มีในการวางแผนเชิงกลยุทธ์ และนำเอานวัตกรรมดิจิทัลมาปรับใช้เพื่อปรับตัวให้เข้ากับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และเพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า

“ความไว้วางใจ คือพื้นฐานสำคัญของการให้บริการที่ปรึกษาการลงทุน โดยที่บล.พาย และ Pi Private Wealth เรามุ่งมั่นที่จะให้บริการการลงทุนที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าของเรา ซึ่งเราได้มีการนำเสนอกลยุทธ์ และรูปแบบการลงทุนต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับความต้องการ และเป้าหมายทางการเงินของลูกค้าแต่ละราย และเรามีทีมงานมืออาชีพมากประสบการณ์ ที่พร้อมทุ่มเทในการวิเคราะห์และนำเสนอผลิตภัณฑ์ รวมถึงการจัดพอร์ตการลงทุน (Asset Allocation) เพื่อช่วยลูกค้าให้สามารถลงทุนในทุกสภาวะตลาดได้อย่างมั่นใจ เราเชื่อมั่นว่าการทำงานที่รวดเร็ว ทันต่อสถานการณ์ ประกอบกับการมีผลิตภัณฑ์ และบริการที่ครอบคลุมของเรา จะช่วยให้นักลงทุนทุกคน สามารถบรรลุเป้าหมายทางการลงทุนของทุกท่านได้คุณณัชชา สุนทรธาราวงศ์, Deputy CEO and Chief of Private Wealth บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริม

บล.พาย พร้อมมอบประสบการณ์การลงทุน และการจัดการความมั่งคั่งที่ปรับแต่งเฉพาะบุคคลให้แก่ลูกค้า   แต่ละราย โดยได้รับการสนับสนุนจากความเชี่ยวชาญของผู้แนะนำการลงทุนมากประสบการณ์ ทีมรีเสิร์ช และนวัตกรรมการลงทุนที่ล้ำสมัย นักลงทุนที่สนใจ สามารถข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.pi.financial/

Hot Issue