Home Blog Page 6

Telehouse กับบริการ Cross Connect ตัวช่วยธุรกิจเสริมแกร่งด้านการเชื่อมต่อ

Cross Connect คือการเชื่อมต่อสายสัญญาณโดยตรงระหว่างอุปกรณ์ของลูกค้าภายในดาต้าเซ็นเตอร์ เช่น การเชื่อมต่อผู้ให้บริการด้านคอนเทนต์และผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) เข้าด้วยกัน การเชื่อมต่อโดยตรงนี้จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าการแลกเปลี่ยนข้อมูลเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจที่ต้องการการตอบสนองทันที เช่น  บริการคลาวด์ แอปพลิเคชันทางการเงิน และการสตรีมมิ่ง

Integrated Connectivity Framework

ทำความรู้จักกับบริการ Cross Connect จาก Telehouse Bangkok

ศูนย์กลางการเชื่อมต่อ

หนึ่งในความโดดเด่นของ Telehouse Bangkok ผู้นำด้านการให้บริการ Colocation Data Center ระดับโลก คือการที่ลูกค้าสามารถเข้าถึงระบบนิเวศการเชื่อมต่อของกลุ่มผู้ให้บริการต่าง ๆ เช่น ผู้ให้บริการคลาวด์ ผู้ให้บริการโทรคมนาคม/ISP ผู้ให้บริการด้านคอนเทนต์ ภายในดาต้าเซ็นเตอร์ได้โดยตรงผ่านบริการ Cross Connect ซึ่งระบบนิเวศการเชื่อมต่อนี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถส่งมอบบริการให้กับผู้ใช้ปลายทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งมอบความอิสระในการเลือกใช้บริการจากผู้ให้บริการหลากหลายราย

การเชื่อมต่อที่มีความหน่วงต่ำ

การเชื่อมต่อเครือข่ายที่มีความหน่วงต่ำเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญอันดับต้น ๆ สำหรับธุรกิจ ซึ่งดาต้าเซ็นเตอร์ของ Telehouse ตั้งอยู่ในใจกลางเมืองกรุงเทพฯ ทำให้สามารถมอบการเชื่อมต่อเครือข่ายที่มีความหน่วงต่ำและครอบคลุมทั่วประเทศไทย รวมถึงเมืองสำคัญ ๆ ในอาเซียน โดยได้รับความร่วมมือจากผู้ให้บริการโทรคมนาคมชั้นนำ ซึ่งบริการ Cross Connect เหมาะอย่างยิ่งในการตอบโจทย์ธุรกิจด้านบริการคลาวด์ บริการทางการเงิน เกมออนไลน์ และการสตรีมมิ่ง ช่วยให้ได้รับประโยชน์จากการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่รวดเร็วและไม่สะดุด ส่งผลให้ธุรกิจดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง เพิ่มโอกาสในการแข่งขันในตลาดมากยิ่งขึ้น

การให้บริการที่มีประสิทธิภาพสูง

บริการ Cross Connect ของ Telehouse Bangkok ออกแบบมาเพื่อมอบประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือสูงสุด โดยใช้สายไฟเบอร์ออฟติกคุณภาพสูงในการเชื่อมต่อ ทำให้การรับส่งข้อมูลไปกลับได้ด้วยความเร็วแสง มีความหน่วงต่ำ มีความสม่ำเสมอ และมีคุณภาพสูง รองรับทุกความต้องการ โดยการผสมผสานระหว่างความเร็วและความเสถียรนี้เอง เป็นสิ่งสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมที่เน้นแข็งขันด้านประสิทธิภาพได้เป็นอย่างดี

การเชื่อมต่อที่มีทางเลือกสำรองพร้อมใช้งานได้อยู่เสมอ

โครงสร้างพื้นฐานที่รองรับบริการ Cross Connect ของ Telehouse ได้รับการออกแบบที่คำนึงถึงโครงสร้างสำรองหลายชั้น โดย Telehouse มีเส้นทางเชื่อมต่อไฟเบอร์ออฟติกใต้ดินที่หลากหลายถึง 4 เส้นทาง รวมถึงมีแหล่งจ่ายไฟคู่ เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีการเชื่อมต่อที่ใช้งานได้เสมอ  ความมุ่งมั่นด้านความน่าเชื่อถือนี้ได้รับการรับรองด้วย SLAs ที่เข้มงวด ซึ่งครอบคลุมไม่เพียงแต่ด้านพลังงานและการระบายความร้อนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประสิทธิภาพของ Cross Connects อีกด้วย

ราคาเดียวทุกการเชื่อมต่อ

รูปแบบการกำหนดราคาของ Telehouse ช่วยลดความซับซ้อนของค่าบริการด้วยราคาคงที่ ราคาเดียว ไม่ว่าจะเลือกเชื่อมต่อกับ Data Hall ใดใน Telehouse Bangkok ซึ่งจะช่วยให้การประมาณการด้านงบประมาณง่ายขึ้น และมั่นใจได้ว่าธุรกิจสามารถได้รับประโยชน์จากการเชื่อมต่อแบบ carrier-neutral ที่มีคุณภาพสูงโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ทำให้เป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการโซลูชันเครือข่ายที่เชื่อถือได้

บริการ Cross Connect ของ Telehouse ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ประโยชน์จากการเชื่อมต่อแบบ carrier-neutral หรือการเชื่อมต่อแบบไม่จำกัดผู้ให้บริการเครือข่าย เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการเชื่อมต่อสูงสุดสำหรับธุรกิจ นอกจากนั้นยังมุ่งเน้นด้านความยืดหยุ่นในการปรับและขยายตัวของธุรกิจ ด้วยรูปแบบการกำหนดราคาที่เรียบง่าย ซึ่งธุรกิจสามารถเชื่อมต่อเข้ากับ Data Hall ใดก็ได้ในอัตราคงที่ ทำให้สามารถคาดการณ์ต้นทุนได้อย่างง่ายขึ้น ตอบโจทย์การขยายการเติบโตของธุรกิจ และ บริการ Cross Connect ของ Telehouse Bangkok ยังตั้งอยู่ในใจกลางกรุงเทพฯ ย่านธุรกิจพระราม 9  พร้อมที่จะให้บริการการเชื่อมต่อที่มีประสิทธิภาพ เพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของทุกธุรกิจ

ยอดขายปัง! Shopee 9.9 ประเทศไทย พาผู้ประกอบการและร้านค้า กวาดพันล้านในเพียง 18 นาที ของวันที่ 9 เดือน 9

ช้อปปี้ อีคอมเมิร์ซเบอร์ 1 ที่ครองใจผู้ใช้งานในประเทศไทย ฉลองความสำเร็จปีที่ 9 กับการเป็นผู้ริเริ่มแคมเปญดับเบิ้ลเดท ‘9.9’ ซิกเนเจอร์แคมเปญที่คนไทยรู้จักกันดี เรามุ่งมั่นตอบสนองความต้องการและพัฒนาแอปพลิเคชันของเราให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้ใช้งานในทุกกลุ่ม ทำให้ช้อปปี้กลายเป็นแอปพลิเคชันยอดนิยมที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง พร้อม มุ่งเน้นการมอบประสบการณ์ช้อปปิ้งออนไลน์ที่ดีที่สุดให้แก่ผู้ใช้งานทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นผู้ซื้อ ผู้ขาย หรือเหล่าครีเอเตอร์นักสร้างสรรค์บนแพลตฟอร์ม Shopee 9.9 Super Shopping Day มีส่วนสนับสนุนการเติบโตและความยั่งยืนของพันธมิตรแบรนด์ ภาคธุรกิจ และผู้ประกอบการชาวไทยอย่างมาก

การัน อำบานี, ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจ ช้อปปี้ (ประเทศไทย) เผยว่า “ ช้อปปี้ รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่แคมเปญซิกเนเจอร์ของเราได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจากนักช้อป ไม่เพียงเท่านี้ ช้อปปี้ยังสามารถเป็นแรงผลักดันสำคัญในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้แก่ ผู้ประกอบการ แบรนด์พันธมิตร และเหล่าครีเอเตอร์นักสร้างสรรค์ โดย 9.9 ปีนี้ ในฐานะอีคอมเมิร์ซเบอร์ 1 เรามุ่งมั่นในการมอบประโยชน์สูงสุดให้แก่ผู้ใช้งาน ผ่านข้อเสนอและดีลที่คุ้มค่า  การมอบความสะดวกสบายผ่านโปรแกรมและเครื่องมือทางการตลาด ตลอดจนการมีส่วนร่วมผ่านฟีเจอร์สุดแกร่ง อย่าง Shopee Live, Shopee Video  เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ช้อปปี้จะสามารถช่วยปลดล็อคโอกาสในการเติบโตใหม่ๆให้กับผู้ประกอบการทั้งยังมอบความสุขและความเพลิดเพลินให้กับผู้บริโภค ด้วยการยกระดับประสบการณ์ช้อปปิ้งออนไลน์แบบครบวงจรในช่วงมหกรรมช้อปปิ้งช่วงปลายปีอย่างดีที่สุด”

เจาะลึก 9 ปีแห่งความสำเร็จผ่าน Shopee 9.9 วันช้อปแห่งปี

ช้อปปี้ ไม่เพียงเป็นแพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์เท่านั้น แต่เรามุ่งมั่นที่จะมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่าให้แก่ผู้ใช้งานอย่างเต็มที่ ในแคมเปญ 9.9 นี้ เราได้เห็นความสำเร็จที่น่าประทับใจ หลายประการที่ทำให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด

  • เปิดประตูสู่โอกาสด้วย Feature & Marketing Tools’ อันทรงพลัง – ช้อปปี้ถือเป็นตัวแปรสำคัญในการขับเคลื่อนนวัตกรรมเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมและสร้างมาตรฐานใหม่ในอีคอมเมิร์ซไทย เราพัฒนาแอปพลิเคชันอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานในปัจจุบันและเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต แคมเปญ 9.9 ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ซื้อ ผู้ขาย และครีเอเตอร์ ผ่าน Shopee Live, Shopee Video และ Shopee Affiliate Program
  • Shopee Live: ช้อปปี้ถือเป็นเจ้าแรกในไทยที่เปิดตัวฟีเจอร์ไลฟ์สตรีมบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ จนทำให้เป็นฟีเจอร์ทรงพลังที่ดีเสมอมา โดยวันที่ 9 เดือน 9 ที่ผ่านมา Shopee Live ช่วยให้ร้านค้าสร้างยอดขายโตกว่า 8 เท่า และร้านค้าท้องถิ่นรายหนึ่งสามารถสร้างยอดขายโตกว่า 23 เท่า โดยสะท้อนให้เห็นว่าร้านค้าสามารถดึงดูดและสร้างความบันเทิงให้กับผู้ซื้อด้วยเนื้อหาที่ยอดเยี่ยมและข้อเสนอที่ดีที่สุดบน Shopee Live อีกทั้ง เราพบว่า สกินแคร์ อุปกรณ์ทำอาหาร และอาหารสัตว์เลี้ยง คือสินค้าขายดีบน Shopee Live ในแคมเปญ 9.9
  • Shopee Video: ฟีเจอร์มาแรงแหล่งรวมคลังรีวีวที่ได้รับความนิยมจากนักช้อป คอนเทนต์ครีเอเตอร์ และแบรนด์พันธมิตร โดยวันที่ 9 เดือน 9 ที่ผ่านมา โดยร้านค้าและแบรนด์สามารถสร้างยอดขายทะลุกว่า 22 เท่า และ ในแคมเปญ 9.9 ทีผ่านมาร้านสินค้าอุปโภคบริโภคร้านหนึ่งสามารถสร้างยอดออเดอร์ทะยานไปกว่า 80 เท่า บน Shopee Video เมื่อเทียบกับช่วงเวลาปกติ และพบว่าสินค้าที่มีราคาแพงที่สุดที่ซื้อบน Shopee Video คือบ้านสำเร็จรูปที่มีราคาสูงกว่า 300,000 บาท
  • Shopee Affiliate Program: ตอกย้ำโปรแกรมทรงประสิทธิภาพและเครือข่ายเน็ตเวิร์คที่แข็งแกร่ง ในแคมเปญ 9.9 ช้อปปี้สามารถช่วยให้เหล่าครีเอเตอร์ที่ร่วมในโปรแกรม สร้างยอดขายให้กับแบรนด์บน Shopee Mall เติบโตมากกว่า  5 เท่า และพบว่า หนึ่งในร้านสกินแคร์ท้องถิ่นสามารถสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นมากกว่า 142 เท่าในช่วงแคมเปญ 9.9  และ  เครื่องใช้ภายในบ้าน, เสื้อผ้าแฟชั่นผู้หญิง และ ความงามและของใช้ส่วนตัว เป็น  3 หมวดหมู่สินค้าฮิตที่ครีเอเตอร์ตัวยงเลือกโปรโมทผ่าน Shopee Affiliate Program

และเพื่อสร้างคอนเทนต์อิโคซิสเท็มอย่างครบวงจร ช้อปปี้แทกทีมเหล่าแบรนด์พันธมิตรชั้นนำ กว่า 30 แบรนด์มาร่วมกิจกรรม Shopee 9.9 Creative Content Collaboration  ในวันที่ 9 เดือน 9 ผ่านคอนเซ็ปต์ “ที่สุดแห่งปี” โดยได้รับกระแสตอบรับในโลกโซเชียลมีเดียด้วยยอดการเข้าถึงทะลุไปกว่า 15 ล้านครั้ง

  • ยกระดับ ‘ความสะดวกสบาย’และ‘ความไว้วางใจ’ที่เหนือกว่า– ตลอดแคมเปญ 9.9 ช้อปปี้ เรามอบประสบการณ์การช้อปที่ดีที่สุด โดยมอบความสะดวกสบายและความไว้วางใจในทุกการช้อป ผ่านโปรแกรมที่ตอบโจทย์พฤติกรรมของนักช้อปอย่างครบถ้วน
  • ช้อปก่อน ผ่อนสบาย กับ SPayLater’: ช้อปปี้มอบประสบการณ์การช้อปปิ้งได้อย่างราบรื่น ไม่มีสะดุดผ่านการชำระเงินที่สะดวกสบายให้นักช้อปทุกคนในการเลือกช่องทางการชำระเงินที่หลากหลาย โดยพบว่าบริการการชำระเงินแบบ SPayLater เป็นหนึ่งในช่องทางที่นักช้อปนิยม พบว่าสินค้ากว่า 350 ล้านรายการ รองรับการชำระเงินที่สะดวกสบายด้วย SPayLater และ ความงามและของใช้ส่วนตัว เครื่องใช้ภายในบ้าน, เสื้อผ้าแฟชั่นผู้หญิง และ ความงามและของใช้ส่วนตัว ถือเป็นหมวดหมู่สินค้าที่นักช้อปใช้บริการ SPayLater มากที่สุดในแคมเปญ

  • เสิร์ฟดีลเดือด โปรสะใจ กับนักช้อปสายกิน: ShopeeFood เผย สุดยอดจังหวัดที่ยืน1 เรื่องการใช้ ShopeeFood คือ กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ และนนทบุรี และพบว่า นักกินออนไลน์เสิร์ชหาเมนู ส้มตำ หม่าล่า และยำ มากที่สุดในวันที่ 9 เดือน 9

นักช้อปสามารถติดตามรายละเอียดแคมเปญสุดยิ่งใหญ่ช่วงปลายปีที่กำลังจะมาถึงพร้อมกิจกรรมสุดพิเศษที่ห้ามพลาดของช้อปปี้ ได้ที่ https://shopee.co.th/

ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันช้อปปี้ได้ฟรีจาก App Store, Google Play Store และ App Gallery

ดันเศรษฐกิจไทยด้วยการลงทุนในอุตสาหกรรมเครื่องมือห้องปฏิบัติการ-เทคโนโลยีเพื่อสุขภาพ ในงาน Thailand LAB INTERNATIONAL, Bio Asia Pacific, FutureCHEM และ Health & Innovation Asia 2024

งาน Thailand LAB INTERNATIONAL, Bio Asia Pacific และ FutureCHEM INTERNATIONAL ครั้งที่ 14 ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการแล้วในวันนี้ ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค กรุงเทพฯ พร้อมกับการเปิดตัวงาน Health & Innovation Asia 2024 ครั้งแรก งานแสดงสินค้าจะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 11-13 กันยายน พ.ศ. 2567 โดยมีการนำเสนอสินค้านวัตกรรมจากแบรนด์ชั้นนำกว่า 500 แบรนด์ และคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 12,000 คนจากภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้แก่ อุปกรณ์ห้องปฏิบัติการ ชีววิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีชีวภาพ เคมี และสุขภาพ

พิธีเปิดงานได้รับเกียรติจากแขกผู้มีเกียรติหลากหลายท่านร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ นำโดย นายเพิ่มสุข สัจจาภิวัฒน์ ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.), ดร. จิตต์พร ธรรมจินดา  ผู้อำนวยการ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน), นายภูริพันธ์ บุนนาค รองผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน), นายพงศ์ศักดิ์ ฟูศิริ นายกสมาคมการค้าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, นางสาวปนัดดา ก๋งม้า รองประธานสายงานธุรกิจ บริษัท วีเอ็นยู เอเชีย แปซิฟิค จำกัด, ศ.เกียรติคุณ พญ.สมศรี เผ่าสวัสดิ์ นายกแพทยสภา และ นายแร็มโก ฟัน ไวน์คาร์เดิน เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ ประจำราชอาณาจักรไทย โดยแขกผู้มีเกียรติทุกท่านได้ร่วมเปิดงานอย่างเป็นทางการพร้อมเยี่ยมชมงานแสดงสินค้าที่นำเสนอความก้าวหน้าล่าสุดด้านวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมทางสุขภาพอย่างครบวงจร

“กระทรวง อว. มีวิสัยทัศน์ในการ “สานพลังการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมไทย พลิกโฉมให้ประเทศมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและยั่งยืน ยกระดับความสามารถในการแข่งขันด้วยเศรษฐกิจสร้างคุณค่า และพร้อมก้าวสู่อนาคต ซึ่งงาน Thailand LAB INTERNATIONAL 2024, Bio Asia Pacific 2024, FutureCHEM INTERNATIONAL 2024 และ Health & Innovation Asia 2024 ตอบโจทย์ในการเป็น Platform เพื่อการพบปะ เจรจาธุรกิจระหว่างนักวิจัย นักลงทุน ผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย ผู้ซื้อและผู้นำด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อให้เกิดความร่วมมือทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน ทั้งจากในและต่างประเทศ ซึ่งดำเนินการไปในทิศทางที่มีความเชื่อมโยงและสอดคล้องกับนโยบาย  ยุทธศาสตร์ และแผนด้านวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ” นายเพิ่มสุข สัจจาภิวัฒน์ ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าว

ผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อประเทศไทยผ่านงานแสดงสินค้า

ตลาดอุปกรณ์ห้องปฏิบัติการทั่วโลกคาดว่าจะมีมูลค่าถึง 53,700 ล้านดอลลาร์ภายในปีพ.ศ. 2570 และฐานที่ตั้งของไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ดีที่จะดึงดูดการลงทุนระดับนานาชาติเข้ามา งาน Thailand LAB INTERNATIONAL และงานที่เกี่ยวข้องเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศ โดยคาดว่าผู้เข้าร่วมงานจะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในประเทศกว่า 450

ล้านบาท รวมถึงการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ การสร้างงาน และการสนับสนุนความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม ซึ่งทั้งหมดนี้สอดคล้องกับนโยบายเศรษฐกิจ 4.0 ของประเทศไทยที่เน้นเศรษฐกิจฐานความรู้ ในส่วนของเทคโนโลยีสุขภาพมีบทบาทสำคัญในแผนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งมีศักยภาพสูงในการขยายตัวทั่วโลกที่คาดว่าจะมีมูลค่าถึง 600,000 ล้านดอลลาร์ภายในปีพ.ศ. 2568 งานแสดงสินค้าในครั้งนี้จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการผลักดันความสำเร็จทางเศรษฐกิจและสร้างพันธมิตรในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพและสุขภาพในอนาคตต่อไป

“Thailand LAB INTERNATIONAL ถือเป็นงานสำคัญในการนำงานอื่นๆ ให้พัฒนาไปพร้อมๆกัน เพื่อช่วยผลักดันให้กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายทั้ง 4 ในการการยกระดับในด้านการ ค้นคว้า วิจัย ผลิตสินค้าและบริการ และสามารถแข่งขันในตลาดโลก ตลอดจนกระตุ้นการลงทุนในตลาดการค้าเครื่องมือและอุปกรณ์ในห้องปฏิบัติการ งานวิจัยด้านชีววิทยาศาสตร์ เคมี รวมถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรม การแพทย์และสุขภาพสมัยใหม่ ให้พัฒนาอย่างยั่งยืนโดยงานในปีนี้มีผู้ประกอบการ หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน สมาคมทั้งในและต่างประเทศ เข้าร่วมงานทั้งสิ้นกว่า 300 บริษัท จาก 500 แบรนด์ชั้นนำ และมีบริษัทต่างชาติเข้าร่วมงานมากกว่าเดิมถึง 20% โดยมี International Pavilions จากเนเธอแลนด์ อินเดีย จีน ไต้หวัน และเกาหลีใต้ ครอบคลุมพื้นที่การจัดแสดงสินค้าทั้งหมดกว่า 14,000 ตารางเมตร ในศูนย์นิทรรศการประชุมไบเทค กรุงเทพฯ”  นางสาวปนัดดา ก๋งม้า รองประธานฝ่ายธุรกิจ บริษัท วีเอ็นยู เอเชีย แปซิฟิค กล่าว

“ในปีนี้ เราภูมิใจที่ได้นำเสนองาน “Bio Asia Pacific” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านการแพทย์และสุขภาพของประเทศไทย ภายใต้แนวคิด “ Life Science Technology for Sustainable Health Equity” ภายในงานปีนี้ ประกอบด้วย การจัดนิทรรศการและการประชุมสัมมนาจากผู้เชี่ยวชาญของไทยและนานาชาติ นอกจากนี ยังมีกิจกรรมเพื่อสนับสนุนให้เกิดการเชื่อมโยงความร่วมมือทางธุรกิจ สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับงานวิจัยเพื่อเข้าสู่การลงทุนในอุตสาหกรรมชีววิทยาศาสตร์ อาทิ Medical AI Accelerator program, Pitching Competition กิจกรรม One-on-One Partnering และการลงนาม MOU เพื่อสร้างเครือข่าย ส่งเสริมและเพิ่มขีดความสามารถของงานวิจัยและพัฒนา Thailand OECD GLP/Non-OECD GLP Preclinical Testing Network” กล่าวโดย ดร. จิตติ์พร ธรรมจินดา ผู้อำนวยการ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน)

“ผมขอชื่นชมงาน Thailand LAB INTERNATIONAL ที่ได้แสดงผลงานมาตลอด 13 ปีและย่างเข้าสู่ปีที่ 14 ในปีนี้ จนสามารถพัฒนาตนเองเป็นงานแสดงสินค้าและงานประชุมนานาชาติด้านเครื่องมือ เทคโนโลยี นวัตกรรมทางห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ และได้รับการยอมรับในระดับภูมิภาค” นายภูริพันธ์ บุนนาค รองผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) กล่าว “การขยายตัวของงาน ไม่เพียงแต่ช่วยตอกย้ำสถานะของประเทศไทยในฐานะจุดหมายอันดับหนึ่งของภูมิภาคอาเซียนสำหรับการจัดงานแสดงสินค้านานาชาติ ยังตอบสนองการเติบโตและขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรม และช่วยยกระดับการพัฒนาของประเทศ และสร้างผลสำเร็จเชิงธุรกิจของผู้ประกอบการ”

ขอเชิญผู้ที่สนใจร่วมเยี่ยมชมงาน Thailand LAB INTERNATIONAL, Bio Asia Pacific, FutureCHEM INTERNATIONAL, Health & Innovation Asia ระหว่างวันที่ 11-13 กันยายน พ.ศ. 2567 ณ ฮอลล์ 102- 104 ไบเทค กรุงเทพฯ ตั้งแต่เวลา 10:00-17:00 น.  ลงทะเบียนได้ที่บริวเณหน้างาน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม www.thailandlab.com  หรือ www.bioasiapacific.com  หรือ https://health-innovation-asia.com  สอบถามรายละเอียดได้ที่ 02-1116611 ต่อ 330-335 อีเมล communications@vnuasiapacific.com

Android โดนอีก เจอ แอปปลอมซ่อนมัลแวร์ ขโมยข้อมูลเงินดิจิทัล

แอปปลอมซ่อนมัลแวร์

มาใหม่ มัลแวร์ตัวใหม่บน Android ชื่อว่า SpyAgent มุ่งโจมตีผู้ใช้ Android หลอกให้ดาวน์โหลดแอปปลอมที่มีไวรัสซ่อนอยู่ เมื่อติดตั้งแล้ว SpyAgent จะขโมยข้อมูลสำคัญ เช่น ข้อความ, รายชื่อ, และรูปภาพจากโทรศัพท์

สิ่งที่ทำให้ SpyAgent น่ากลัวคือ มันสามารถสแกนรูปภาพเพื่อหารหัสผ่านของกระเป๋าเงินคริปโตได้ และต้องยอมรับว่า มัลแวร์ตัวนี้ฉลาดมาก สามารถหลบเลี่ยงการตรวจจับ และเบี่ยงเบนความสนใจของผู้ใช้ด้วยหน้าต่างปลอมที่หลอกให้ผู้ใช้ตายใจ

SpyAgent ค้นพบเจอครั้งแรกในเกาหลี แต่ตอนนี้แพร่กระจายไปยังที่อื่น ๆ แล้ว ตอนนี้แฮกเกอร์ก็ยังพยายามปรับปรุงเวอร์ชั่นมัลแวร์ตัวนี้อย่างต่อเนื่อง และเชื่อว่าจะมีเวอร์ชั่นที่ใช้โจมตี iOS ออกมาในอีกไม่นานครับ
SpyAgent มักจะหลอกให้เรากดลิงก์ โดยจะส่งมาจากคนที่เรารู้ หรืออาจรู้จัก ซึ่งอาจจะเป็นโปรไฟล์ปลอม และทำให้เรามีแนวโน้มจะกดคลิก

วิธีป้องกันที่ดีที่สุดแบบไม่ต้องเสียเงิน ให้ระวังตัวเองเป็นหลักแหลนะ โดยห้ามกดลิงก์ที่ไม่แน่ใจ ที่สำคัญคือ อย่าโหลดแอป APK ที่ไม่ได้มาจาก Play Store ซึ่งมีโอกาสสูงที่จะเป็นมัลแวร์ครับ

ที่มา
techspot

AirTags แฉแหลก ขยะรีเคิล ไม่ถูกรีจริง เป็นเพียงโครงการบังหน้าเท่านั้น

AirTags

Brandy Deason ชาวเมืองฮูสตันคนหนึ่ง มีความสงสัยเกี่ยวกับโครงการ รีไซเคิลขยะเคมีและขยะพลาสติก ใหม่ของเมือง ซึ่งอ้างว่าสามารถรับพลาสติกได้ทุกประเภท รวมถึงวัสดุที่ยากต่อการรีไซเคิลแบบดั้งเดิม เช่น โฟม

ไม่รู้แน่ชัดว่า อะไรทำให้เธอเกิดสงสัยนะ แต่เธอตัดสินใจใส่ Apple AirTag ลงไปในถุงพลาสติกหลาย ๆ ใบ เพื่อดูว่า มันจะถูกนำไปรีไซเคิลยังไง แต่สิ่งที่เธอค้นพบทำให้เกิดคำถามอย่างจริงจังเกี่ยวกับโครงการนี้

โครงการดังกล่าวชื่อว่า Houston Recycling Collaboration (HRC) ซึ่งเป็นความร่วมมือกับ บริษัท ExxonMobil และหน่วยงานอื่นๆ มีเป้าหมายคือการกำหนดมาตรฐานสำหรับการรีไซเคิลพลาสติกขั้นสูง

แต่แทนที่พลาสติกจะถูกขนส่งไปยังโรงงานรีไซเคิล ถุงพลาสติกทุกเกือบทุกใบกลับดันไปอยู่ Wright Waste Management ซึ่งเป็นโรงงานรีไซเคิลที่ตั้งอยู่ห่างจากใจกลางเมืองฮูสตันไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ 20 ไมล์ และภาพจากโดรนของ CBS News ได้เผยให้เห็นกองขยะพลาสติกที่ยังไม่ได้แปรรูปขนาดมหึมาในสถานที่ดังกล่าว เรื่องนี้ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะโครงการได้มีการเปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2022 แล้ว

การสืบสวนนี้จุดประกายให้เกิดการถกเถียงในวงกว้างเกี่ยวกับโครงการรีไซเคิลพลาสติก โดยนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมหลายคนแย้งว่า โครงการนี้แค่อยากออกสื่อประชาสัมพันธ์ มากกว่าการแก้ปัญหาที่แท้จริงสำหรับวิกฤตขยะพลาสติก

เรื่องนี้ทำให้เกิดคำถามถึงความโปร่งใสของโครงการรีไซเคิล และแสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีอย่าง AirTag สามารถช่วยให้ประชาชนตรวจสอบและเปิดโปงความจริงบางอย่างได้ บ้านเราก็น่าลองประยุกต์ใช้เหมือนกันนะ…

ที่มา
techspot

เอาจนได้ รัน เกม Doom แบบ 3 มิติ บนเครื่องโฮโลแกรม

เกม Doom

ก่อนหน้านี้ มีเหล่า Modder จำนวนมาก พยายามที่จะเอาเกม Doom ไปลงในเครื่องต่าง ๆ ทั้ง ตู้สั่ง McDonald’s, โปรแกรม Notepad, ในโคมไฟอัจฉริยะ, เครื่องตัดหญ้า ซึ่งก็เป็นอะไรที่น่าทึ่งอยู่แล้ว

นักประดิษฐ์และ YouTuber ชื่อว่า Ancient ได้สร้างจอโฮโลแกรมสามมิติขึ้นมาเอง จากนั้นเขาได้ลองเอามาเล่น เกม Doom โดยในคลิป เราจะเห็นว่าตัวเกมและฉากต่างๆ ลอยออกมาเป็นสามมิติอยู่กลางอากาศ แถมเขายังเลือกเล่นในมุมมองบุคคลที่สามอีกต่างหาก ทำให้เห็นตัวละครและฉากรอบๆ ได้กว้างขึ้น ครับ

นอกจากนี้ Ancient ยังใส่ Mod ที่เปลี่ยนกราฟิกในเกมให้เป็นสามมิติเข้าไปอีก ทำให้เกมดูล้ำยุคไปมาก นับเป็นอีกหนึ่งความพยายามของเหล่าเกมเมอร์ ที่อยากเห็น Doom ในรูปแบบใหม่ ๆ มากขึ้น

ดู ๆ ไปแล้ว มันเหมือนเป็นชาเลนจ์เหมือนกันนะ เอาล่ะ ต่อไปจะใครเอา Doom ไปรันบนอะไรอีกไหม…

ที่มา
techspot

NECTEC-ACE2024 โชว์ศักยภาพ โอกาสและทิศทางการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเซนเซอร์ไทย

NECTEC-ACE2024 ผนึกกำลังพันธมิตร ทั้งรัฐและเอกชน โชว์ศักยภาพ โอกาสและทิศทางการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเซนเซอร์ไทย มุ่งเป้าสู่ระบบนิเวศเซนเซอร์อัจฉริยะของโลก

ศาสตราจารย์ ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ เป็นประธานเปิดการประชุมวิชาการและนิทรรศการเนคเทคประจำปี 2567 (NECTEC Annual Conference & Exhibitions 2024: NECTEC-ACE 2024) ภายใต้แนวคิดฐานรากเทคโนโลยีก้าวไกล พัฒนาไทยก้าวหน้าซึ่งปีนี้มุ่งเน้นด้านเปิดโลกเทคโนโลยียุคใหม่ ด้วยเซนเซอร์ไทยอัจฉริยะ: The Next Era of Thai Intelligent Sensors” โดยมี ดร.จันทร์เพ็ญ เมฆาอภิรักษ์ รองปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(อว.) ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. และพันธมิตรภาครัฐและภาคเอกชน กว่า 1,000 คนเข้าร่วมงาน ณ ศูนย์การประชุมอิมแพค ฟอรั่ม เมืองทองธานี

ศาสตราจารย์ ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ ประธานกรรมการบริหารศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค สวทช.) กล่าวว่า เซนเซอร์และเซมิคอนดักเตอร์เปรียบเสมือนหัวใจสำคัญของเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน ซึ่งเป็นสององค์ประกอบหลักที่ขับเคลื่อนให้เทคโนโลยีสมัยใหม่ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว และมีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของเราอย่างที่เราคาดไม่ถึง ทั้งเป็นกุญแจสำคัญของเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) ที่ทำให้อุปกรณ์ต่างๆเชื่อมต่อกันและสื่อสารกันได้ทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตในภาคอุตสาหกรรมอีกทั้งยังมีผลในการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆอาทิปัญญาประดิษฐ์ยานยนต์ไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน

นอกจากนี้เซนเซอร์และเซมิคอนดักเตอร์ยังถูกใช้ในระบบขนส่งอัจฉริยะ ช่วยให้การจราจรมีความปลอดภัย สะดวกรวดเร็ว และประหยัดพลังงาน ถูกใช้ในระบบดูแลสุขภาพ ช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคได้อย่างแม่นยำ รักษาผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ติดตามสุขภาพของผู้ป่วยได้อย่างใกล้ชิด และถูกนำมาประยุกต์ใช้ในระบบเกษตรอัจฉริยะ ช่วยให้เกษตรกร สามารถเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน ดังนั้นเซนเซอร์และเซมิคอนดักเตอร์จึงมีความสำคัญ เพราะเป็นพื้นฐานสำคัญของเทคโนโลยีต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ที่ช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม จึงเป็นที่มาของการจัดงานประชุมวิชาการและนิทรรศการของเนคเทค ประจำปี 2567 หรือ NECTEC Annual Conference and Exhibitions 2024 (NECTEC–ACE 2024)  โดยมุ่งเน้นประเด็นเปิดโลกเทคโนโลยียุคใหม่ ด้วยเซนเซอร์ไทยอัจฉริยะ” The Next Era of Thai Intelligent Sensors ซึ่งจัดโดยเนคเทค สวทช. ถือว่ามีความสำคัญในการสนับสนุนให้ หน่วยงานทั้งรัฐและเอกชน ภาคเกษตร สถาบันการศึกษา สถาบันวิจัย ผู้ประกอบการ และนักลงทุน สามารถแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ถ่ายทอดประสบการณ์ รวมทั้งการสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ผลักดันผลงานวิจัยไปสู่ผู้ใช้งานจริงได้อย่างยั่งยืน โดยผ่านโครงสร้างพื้นฐานระดับชาติและเครือข่ายพันธมิตร เพื่อยกระดับการพัฒนาและการแข่งขันของประเทศ พร้อมทั้งสร้างสรรค์ผลงานวิจัยให้ตอบโจทย์การใช้งานภายในประเทศ

ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สวทช. โดยเนคเทคซึ่งมีบทบาทสำคัญในฐานะเป็นผู้เชื่อมโยงการวิจัย และพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคเกษตร สถาบันการศึกษา สถาบันวิจัย ผู้ประกอบการและนักลงทุน ในการสนับสนุนและถ่ายทอดผลงานวิจัยและพัฒนาไปสู่ การใช้ประโยชน์ต่อการพัฒนาสังคมและประเทศ ปัจจุบันเทคโนโลยีเซนเซอร์อัจฉริยะในประเทศไทย ตั้งแต่งานวิจัยพื้นฐานไปจนถึงการประยุกต์ใช้ ในอุตสาหกรรม และเซนเซอร์อัจฉริยะมีความสำคัญต่ออินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) และอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อการใช้งานเซนเซอร์อัจฉริยะจึงมีมากมายสามารถบูรณาการเข้ากับแอปพลิเคชันที่หลากหลายในอุตสาหกรรมต่างๆที่ปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาโดยในปีต่อๆไปคาดว่าอุตสาหกรรม

เซนเซอร์อัจฉริยะจะยังคงเติบโตและสร้างสรรค์ช่วยสร้างโอกาสในการพัฒนาและการลงทุนในอนาคต รวมถึงช่วยส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่อเร่งการพัฒนาเชิงพาณิชย์สำหรับเทคโนโลยีเซนเซอร์ของไทยให้เป็นหนึ่งที่สำคัญในระบบนิเวศเซนเซอร์อัจฉริยะของโลก

ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. กล่าวว่า งานประชุมวิชาการและนิทรรศการเนคเทค หรือ NECTEC-ACE มีเป้าหมายเพื่อผลักดันเทคโนโลยีและผลงานวิจัยไปสู่การใช้ประโยชน์ได้จริง เพื่อสนับสนุนการพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ โดยมุ่งเน้น 3 เทคโนโลยีหลัก ได้แก่ 1.Intelligent Sensors 2.Networking & Communication และ 3.AI & Big Data อย่างต่อเนื่อง ซึ่ง NECTEC-ACE2024 ในปีนี้นำเสนอเรื่องราวของเทคโนโลยีเซนเซอร์ ที่มีบทบาทสำคัญในยุคดิจิทัลและเป็นพื้นฐานในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัย ขับเคลื่อนให้เกิดนวัตกรรมใหม่ เสริมสร้างศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมทั้งในระดับประเทศและสากล ในฐานะที่เนคเทค สวทช. ได้ก่อตั้ง Thai Microelectronics Center (TMEC) เป็น MEMS Foundry แห่งแรกของไทย ตั้งแต่ปี 2538 เปิดให้บริการพัฒนาอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ MEMS และเซนเซอร์ ในกลุ่ม More Than Moore ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ การสร้างต้นแบบ การทดสอบไปจนถึงการผลิตเชิงพาณิชย์ในปริมาณน้อยถึงปานกลาง ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ ที่ผ่านมา ได้แก่  MEMS Pressure Sensors, Silicon Particle Detector, Si MEMS Microphones, Si MEMS Gyroscopes และ Ion-Sensitive Field-Effect Transistor (ISFET) อีกบทบาทสำคัญของ TMEC คือการเป็นโครงสร้างพื้นฐาน สำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของประเทศและเสริมสร้างกำลังคนเพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้ในอนาคต โดยเนคเทค สวทช. พร้อมนำองค์ความรู้ด้านเซนเซอร์และเซมิคอนดักเตอร์เข้าไปมีส่วนร่วมและเชื่อมโยงในมิติของภาครัฐภาคธุรกิจผู้ประกอบการและนักลงทุนทั่วไปที่จะร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานนวัตกรรมเสริมระบบนิเวศการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมเซนเซอร์อัจฉริยะภายในประเทศให้มีความพร้อมก้าวสู่ตลาดการแข่งขันในระดับสากล

ความพิเศษของการจัดงาน NECTEC-ACE 2024 ในปีนี้ ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 17 ยังคงได้รับการสนับสนุน และความร่วมมือเป็นอย่างดีจากหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐ และภาคเอกชนรวม 26 หน่วยงาน ที่เล็งเห็นประโยชน์ และความสำคัญในการสนับสนุน โดยมีผู้สนใจได้ลงทะเบียนเข้าร่วมงานมาแล้วทั้งสิ้น มากกว่า 1,000 คน ซึ่งปีนี้นำเสนอเรื่องราว ในหลากหลายมิติที่เกี่ยวข้องทางด้านเทคโนโลยีเซนเซอร์ ให้ทุกท่านได้เห็นถึงบทบาทของเซนเซอร์อัจฉริยะที่มีบทบาทสำคัญในยุคดิจิทัล และเป็นพื้นฐานในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัย ขับเคลื่อนให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ผ่านกิจกรรมภายในงาน ทั้งในรูปแบบการจัดสัมมนาวิชาการ และการจัดแสดงนิทรรศการ ที่ทุกท่านจะได้เรียนรู้

เกี่ยวกับสถานภาพปัจจุบัน และศักยภาพของเทคโนโลยีเซนเซอร์อัจฉริยะในประเทศไทย ตั้งแต่งานวิจัยพื้นฐานไปจนถึงการนำไปประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมไปถึงมุมมองด้านนโยบายการส่งเสริมสนับสนุนการวิจัยพัฒนา โอกาส ความท้าทายการลงทุน ทั้งในมิติของภาครัฐ ภาคธุรกิจ และผู้ใช้งาน ที่จะร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานนวัตกรรม เสริมระบบนิเวศ (Ecosystem) การพัฒนาเซนเซอร์อัจฉริยะที่จะนำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีอื่นๆให้เกิดขึ้นภายในประเทศไทยได้อย่างยั่งยืน

กิจกรรมภายในงานเต็มไปด้วยเนื้อหา สาระความรู้ เพื่อนำเสนอต่อผู้ที่สนใจทางด้านเซนเซอร์อัจฉริยะทุกท่านได้เข้ามาใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ ประกอบด้วย

  • 7 หัวข้อสัมมนาวิชาการ ที่ได้รวบรวมวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ จากภาครัฐ และเอกชน กว่า 40 ท่านมาร่วมนำเสนอความรู้ความก้าวหน้างานวิจัยและพัฒนาเซนเซอร์อัจฉริยะครบทุกมิติทั้งแต่ต้นน้ำกลางน้ำปลายน้ำรวมถึงด้านนโยบายการสนับสนุนโอกาสการลงทุนและการเติบโตในอนาคต
  • 50 บูธนิทรรศการ แสดงผลงานวิจัยพัฒนาด้านเซนเซอร์อัจฉริยะ จากเนคเทค สวทช. ที่พร้อมตอบโจทย์การประยุกต์ใช้งานในหลากหลายอุตสาหกรรม และงานวิจัยขั้นสูงสู่อนาคตเทคโนโลยีเซนเซอร์ พร้อมด้วยผลงานจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สมาคม สถาบันการศึกษา ร่วมนำนวัตกรรม บริการ โซลูชัน มาตรการสนับสนุน เพื่อผลักดันการเติบโตของอุตสาหกรรมเซนเซอร์ในประเทศ

โดยภายหลังการจัดงาน ยังเปิดให้ผู้ที่สนใจที่ไม่สามารถมาร่วมงานได้ สามารถติดตามบันทึกการสัมมนาย้อนหลังและข้อมูลนิทรรศการผลงานวิจัย ได้ที่เว็บไซต์ www.nectec.or.th/ace2024 ตั้งแต่ 30 กันยายน 2567 เป็นต้นไป

เผยสเปกใหม่ เชื่อมต่อ Bluetooth 6.0 แม่นยำระดับเซนติเมตร

[ขั้นถัดไป] นอกจาก Wi-Fi แล้ว ก็มี Bluetooth ที่หลายคนนิยมใช้กับอุปกรณ์ไร้สาย และในขั้นถัดไปอย่าง Bluetooth 6.0 เผยจะมาพร้อมระบบความปลอดภัยและมีะความแม่นยำมากขึ้น แม่นยำระดับเซนติเมตร

เผย Bluetooth 6.0 จะมาพร้อมคุณลักษณะใหม่อย่าง Channel Sounding สามารถระบุระยะทางระหว่างอุปกรณ์สองเครื่องด้วย โดยระบุได้แม่นยำระดับเซนติเมตรกันเลย ซึ่งจะช่วยให้จับคู่อุปกรณ์ หรือช่วยติดตามตำแหน่งได้แม่นยำยิ่งขึ้น เช่นใช้ร่วมกับ Find My ของ Apple นั้นเอง

ถัดมาคือระบบความปลอดภัยในการเชื่อมต่อ ที่รอบนี้ออกแบบให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เผยสามารถป้องกันการโจมตีแบบ Man-in-the-Middle (MitM) หรือป้องกันการดักฟังไม่ก็สอดแนมผู้ใช้จากระยะไกลได้นั้นเอง

สำหรับ Bluetooth 6.0 ยังต้องใช้เวลาพัฒนาอีกพักใหญ่ ถึงจะเปิดให้ใช้งานได้ทุกคน และรองรับในหลาย ๆ อุปกรณ์ ส่วนปัจจุบันอยู่ระหว่าง Bluetooth 5.3 ซึ่งยังเหลือขั้นสุดท้ายอย่าง 5.4 ก่อนไปเวอร์ชั่น 6.0 ในอนาคต

ที่มา : Theverge

เปิดโลก IoT รวมเซนเซอร์อัจฉริยะ ฝีมือคนไทย

ทุกวันนี้ IoT หรือ Internet of Things เข้ามาอยู่ใกล้ตัวเรามากขึ้น หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับ Smart Home หรือบ้านอัจฉริยะที่มีเชื่อมต่อด้วยอุปกรณ์เซนเซอร์มากมายที่ช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น แต่จริงๆ แล้ว IoT กำลังถูกพัฒนาเพื่อใช้งานที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการแพทย์ การเกษตรไปจนถึงอุตสาหกรรม

Techhub พาไปอัปเดตเทคโนโลยีเซนเซอร์อัจฉริยะ ผลงานของคนไทย ที่รวมไว้ในงาน NECTEC-ACE 2024 ที่ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) จัดขึ้นรับกับเทรนด์ The Next Era or Thai Intelligent Sensors สนับสนุนการผลักดันนวัตกรรม IoT และการเปลี่ยนผ่านสู่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ตั้งแต่รากฐานของงานวิจัย ไปสู่การประยุกต์ในเชิงการแพทย์ เกษตรและอุตสาหกรรม ที่ให้ความสำคัญกับ 3 เทคโนโลยีหลัก ที่เป็นเป้าหมายในอนาคต อย่าง

  1. Intelligent Sensors
  2. Networking & Communication
  3. AI & Big Data

จะมีอะไรที่น่าสนใจบ้าง ไปดูกันเลย

 

AIS Business จำลองการใช้งาน Solution IoT หลากหลายรูปแบบ ทั้งสมาร์ทฟาร์มใน Indoor และ Outdoor มากับ Embedded Sim หรือ ซิมที่ปลูกฝังลงในตัวอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่มีความทนทาน และพร้อมใช้ เป็นตัวรับส่งสัญญาณ ที่ธุรกิจสามารถเลือกใช้คู่กับโซลูชั่นที่มีได้อย่างไร้กังวล

ระบบหลีกเลี่ยงการชนของรถไฟ ด้วยเทคโนโลยีเรดาร์ย่านความถี่ X-Band และการประมวลผลภาพจากระยะไกล ช่วยค้นหาสิ่งกีดขวาง และแจ้งเตือนไปยังพนักงานขับรถไฟให้รู้ล่วงหน้าได้ เป็นอีกหนึ่งผลงานวิจัยที่ใช้เซนเซอร์ เข้ามาช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับระบบขนส่งสาธารณะ

ผลงานของหน่วยงานให้ทุน บพข. บริษัทเอกชน และการรถไฟแห่งประเทศไทย

HandySense ระบบเกษตรแม่นยำ ฟาร์มอัจฉริยะ ใช้อุปกรณ์ตรวจวัดและควบคุมสภาพแวดล้อมที่เป็นปัจจัยต่อการเจริญเติบโตของพืช โดยอาศัยความสามารถเทคโนโลยีเซนเซอร์และอุปกรณ์ IoT

ผลงานการพัฒนาพื้นผิวรูปแบบใหม่ Metaserfaces ให้สามารถใช้งานได้ตามโจทย์ที่ต้องการ เช่น วัสดุที่มีขนาดเล็กลง สามารถเลือกความยาวของคลื่นสัญญาณเพื่อประยุกต์ใช้งานได้ ตัวอย่างเช่น วัสดุที่ช่วยลดความเลนส์กล้องสมาร์ทโฟนได้

ผลงานวิจัยของทีมวิจัยเทคโนโลยีโฟโทนิกส์ กลุ่มวิจัยอุปกรณ์สเปกโทรสโกปีและเซนเซอร์

ระบบถ่ายภาพรังสี X ด้วยกล้อง DSLR ที่มีความละเอียดมากถึง 80 ไมครอน ใช้ในการวิเคราะห์พืชผลการการเกษตร อุตสาหกรรม รวมถึงแผงวงจร ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาร่วมกับการวิเคราะห์ภาพถ่ายด้วย AI เพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่มากขึ้นในอนาคต

TaraAnt อุปกรณ์รับส่งสัญญาณเทระเฮิร์ต ใช้วิเคราะห์คุณสมบัติของอาหารและยา

TaraBoot แผ่นบูสต์สัญญาณ 5G/6G ออกแบบขึ้นมารองรับความต้องการใช้งาน Wifi Booster ในอนาคต

แขนกล ช่วยตรวจสอบคุณภาพไข่ในฟาร์ม สามารถตรวจสอบปัญหา จุดที่เกิดแรงกระแทก อุณหภูมิ ความชื้น สามารถประยุกต์ใช้กับกระบวนการขนส่ง ไปจนถึงร้านค้าปลีกได้ โดยใช้แพลตฟอร์มเข้ามาช่วย

ผลงานของ Betagro

ตัวอย่างความก้าวหน้าของเซนเซอร์ทางการแพทย์ ที่พัฒนาให้มีขนาดเล็ก และแม่นยำ สามารถเข้าไปฝังอยู่ในร่างกายเพื่อตรวจจับหาสัญญาณความผิดปกติของโรคได้ล่วงหน้า เพื่อวินิจฉัยและรักษาได้อย่างรวดเร็ว เป็นอนาคตของการรักษาโรคที่ใช้เทคโนโลยีเซ็นเซอร์เข้ามาเป็นตัวช่วย

ผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร

แพลตฟอร์มวินิจฉัยโรค ด้วยเครื่องวัดและชิปขยายสัญญาณ ประมวลผลได้ด้วยระบบ AI ช่วยวินิจฉัยและคัดแยกผู้ป่วยได้อย่างแม่นยำ

MagikBot หุ่นยนต์ส่งยาภายในอาคาร ที่ทำงานร่วมกับลิฟต์ไร้สัมผัสได้โดยอัตโนมัติ สื่อสารผ่าน API และ Mobile Device ได้

ตัวอย่างชิปเซมิคอนดักเตอร์ MEMs ผลิตโดย TMEC โรงงานผลิตชิปต้นแบบไปจนถึงพาณิชย์ สามารถพัฒนาให้เหมาะสมกับการใช้งาน พร้อมทดสอบคุณสมบัติทางไฟฟ้า สนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในไทย

แพลตฟอร์ม IoT สำหรับจัดการน้ำ ใช้ตรวจวัดระดับน้ำ ที่ควบคุมได้จากระยะไกล ช่วยลดความเสี่ยงจากปัญหาน้ำท่วม ผลงานของสมาคมไอโอทีแห่งประเทศไทย

ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ 50 บูธนิทรรศการ แสดงผลงานวิจัยพัฒนาด้านเซนเซอร์อัจฉริยะ จากเนคเทค สวทช. ที่พร้อมตอบโจทย์การประยุกต์ใช้งานในหลากหลายอุตสาหกรรม และงานวิจัยขั้นสูงสู่อนาคตเทคโนโลยีเซนเซอร์ พร้อมด้วยผลงานจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สมาคม สถาบันการศึกษา ร่วมนำนวัตกรรม บริการ โซลูชัน มาตรการสนับสนุน เพื่อผลักดันการเติบโตของอุตสาหกรรมเซนเซอร์ในประเทศ

โดยภายหลังการจัดงาน ยังเปิดให้ผู้ที่สนใจที่ไม่สามารถมาร่วมงานได้ สามารถติดตามบันทึกการสัมมนาย้อนหลังและข้อมูลนิทรรศการผลงานวิจัย ได้ที่เว็บไซต์ www.nectec.or.th/ace2024 ตั้งแต่ 30 กันยายน 2567 เป็นต้นไป

ถึงจุดเปลี่ยน ตลาดฮาร์ดแวร์ AI เจอฟองสบู่ หุ้น Nvidia ร่วง สูญ 2.79 แสนล้าน

[ฟองสบู่ AI ?] ในตลาดฮาร์ดแวร์ AI ขั้นสูง ผู้นำของวงการนี้ย่อมไม่พ้น Nvidia ที่นับวันมีแต่ทุบสถิติรายได้อยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่นานมานี้บริษัทกลับเสียมูลค่าการตลาดไปถึง 279,000 ล้านดอลลาร์ฯ ภายในวันเดียว นับเป็นการเสียมูลค่าที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ ของบริษัททั้งหลายในสหรัฐฯ ด้วย

เผยหุ้น Nvidia ร่วงลงมากกว่า 9% เมื่อวันที่ 3 กันยายนที่ผ่านมา สืบเนื่องจากเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เกิดชะลอตัวอย่างหนัก และนักลงทุนเริ่มมองว่า AI ไม่สามารถตอบสนองความต้องการเติบโตเพิ่มเติมได้ เสมือนเป็นฟองสบู่ ส่งผลให้บริษัทเสียมูลค่าการตลาดไปถึง 2.79 แสนล้านดอลลาร์ฯ ทำลายสถิติบริษัทเจ้าของ Facebook อย่าง Meta ที่เคยเสียมูลค่าการตลาดไป 2.32 แสนล้านดอลลาร์ฯ ภายในวันเดียวเช่นกัน

ด้าน Bloomberg รายงานว่า Nvidia ได้รับหมายเรียกจากกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ มาสอบสวนเรื่องการผูกขาดตลาดชิปประมวลผล จนทำให้หุ้นร่วงลงอีก 2.4% ทว่าทาง Nvidia เผยไม่ได้รับหมายเรียกดังกล่าว

การการเติบโตของ Generative AI ได้สร้างความปั่นป่วนให้กับอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ในลักษณะที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน เหมือนสมัยตอนที่โลกมี WWW เป็นครั้งแรก มีหลายบริษัทต่างทุ่มงบมหาศาล เพื่อเข้าถึงเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องและเข้าสู่ตลาด AI นี้ให้ได้ ขณะเดียวกัน Nvidia ได้กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดเป็นอันดับ 3 ของโลก

ทว่าหากมองฝั่งผู้บริโภคส่วนใหญ่ กลับมองในแง่ลบ ทั้งเรื่องการถูกแทนที่ หรือมองเป็นภัยคุกคามไปเลย อีกส่วนคือไม่สนใจ จนทำให้นักลงทุนเริ่มมองว่ามันให้ผลตอบแทนช้าแล้ว ซึ่งมีรายงานน่าสนใจในเดือนกรกฎาคม เผยพบบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ จำเป็นต้องสร้างรายได้ถึง 600,000 ล้านดอลลาร์ฯ ต่อปี เพื่อให้คุ้มกับงบลงทุนด้านฮาร์ดแวร์ AI และยังรวมไปถึงเรื่อง ‘ความยั่งยืน’ ในอนาคต ที่ต้องหาพลังงานมหาศาล มาช่วยให้ AI ประมวลผลได้นั่นเอง

ที่มา : Techspot

Hot Issue