Home Blog Page 59

Google ยอมรับเอง ปล่อย CO2 เพิ่มเกือบ 50% ใช้พลังงาน รันโมเดล AI

พับโปรเจครักษ์โลกสวนทางกับทุกคน

ค่ายยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Google ยอมรับปล่อยก๊าซเพิ่มขึ้นเนื่องจากบริษัทต้องพึ่งพาศูนย์ข้อมูลที่ต้องการพลังงานมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อเอามาใช้กับระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI)

ปล่อยก๊าซเรือนกระจกของบริษัทเพิ่มขึ้น 48% ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา Google กล่าวว่าการใช้ไฟฟ้าของศูนย์ข้อมูลและการปล่อยก๊าซเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 

โดยปี 2023 บริษัทได้ทำการปล่อยก๊าซเพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าแตะระดับ 14.3 ล้านเมตริกตัน ทำให้การใช้เทคโนโลยีต้องแลกมากับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อให้ AI มีความซับซ้อนมากขึ้น

ศูนย์ข้อมูลมีบทบาทสำคัญรองรับโมเดล AI เช่น Gemini ของ Google และ GPT-4 ของ OpenAI ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนแชทบ็อต ChatGPT 

การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของ Google เพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2019 ซึ่งเป็นปีที่บริษัทตั้งเป้าจะลดก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ ซึ่งบริษัทต้องกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ให้ได้มากที่สุดแต่ก็ดูเหมือนจะต้องพับโปรเจคไปก่อน

 

ที่มา : theguardian 

#ก๊าซเรือนกระจก #AI #Google #TechhubUpdate

AJAX กางแผนรุกตลาด ขยายตัวแทนขาย พร้อมส่ง 3 ผลิตภัณฑ์ใหม่ เจาะกลุ่ม B2B และ เจ้าของกิจการ ชูแอป ‘โซลูชั่นศูนย์บัญชาการความปลอดภัย’ครบเครื่อง

ตลาดโซลูชันความปลอดภัยอัจฉริยะไร้สาย (Intelligent Security Solution) มาแรงตอบโจทย์การใช้ชีวิต Smart life เผยเทรนด์ Smart Building และ Smart City ภาวะเศรษฐกิจบีบคั้น สังคมสูงวัย กระตุ้นตลาด คาดตลาดโลกจะเติบโตไปถึง 334.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2572 และอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) อยู่ที่ 6.2% ระหว่างปี 2566-2571 ตลาดไทยมีมูลค่า 27,000 ล้านบาท เมื่อปีก่อน AJAX โซลูชันพิทักษ์ความปลอดภัย มาตรฐานยุโรป ผ่านแอปฯ AJAX บนมือถือและ แอป AJAX PRO สำหรับศูนย์เฝ้าระวัง Monitoring Center พร้อมเปิดตัว 3 ผลิตภัณฑ์ใหม่ AJAX NVR เชื่อมกล้อง CCTV กับระบบตรวจจับขโมย และ ตรวจจับไฟไหม้ พร้อมแจ้งเตือนเรียลไทม์, KeyPad TouchScreen ควบคุมง่ายแค่ปลายนิ้ว, ManualCallPoint (Red) ปุ่มกดเตือนไฟไหม้และเหตุฉุกเฉินอื่นๆ พร้อมเดินหน้าขยายตลาด ผ่านพาร์ทเนอร์กลุ่มกล้องวงจรปิด ผู้ทำระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ เจาะลูกค้า B2B ทุกกลุ่มธุรกิจบริการจัดการอาคาร อสังหาฯ โรงงาน โรงเรียน โรงพยาบาล และหน่วยงานภาครัฐ พร้อมร่วมออกบูธในงานวิศวกรรมแห่งชาติ 2567 ในวันที่ 24-26 กรกฎาคม 2567 ณ ชั้น 1 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

นางนิสา มังกรทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชิสเท็ม 2000 จำกัด Exclusive Distributor ของผลิตภัณฑ์ AJAX ในประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดโซลูชันเพื่อความปลอดภัยกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วทั้งในและต่างประเทศคาดว่าจะเติบโตไปถึง 334.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2572 อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) คาดว่าจะอยู่ที่ 6.2% ระหว่างปี 2566-2571 กลุ่มที่เติบโตสูง ได้แก่ ระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ กล้องวงจรปิด (CCTV) ระบบควบคุมการเข้าออก ระบบตรวจจับการบุกรุก รวมถึงระบบเตือนภัย อัจฉริยะ เพื่อป้องกัน เช่นเตือนไฟไหม้ น้ำท่วม เตือนอันตรายในการทำงานต่างๆ ด้านตลาดในประเทศไทย คาดว่าตลาดระบบรักษาความปลอดภัยในประเทศไทย จะมีมูลค่า 27,000 ล้านบาท ในปี 2566 กลุ่มที่เติบโตสูง ได้แก่ ระบบรักษาความปลอดภัย สำหรับบ้านพักอาศัย ระบบรักษาความปลอดภัย สำหรับธุรกิจ

โดยเฉพาะโซลูชันอัจฉริยะไร้สาย (Intelligent Security Solution ) ปัจจุบันความกังวลด้านความปลอดภัยอาชญากรรม การก่อการร้าย ภัยไฟไหม้และภัยธรรมชาติ เพื่อดูแลคนและทรัพย์สินเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการเพิ่มขึ้นของอาชญากรรมและการโจรกรรมต่างๆ ในสภาวะเศรษฐกิจบีบคั้น การใช้ชีวิตในยุค Smart life และสังคมผู้สูงอายุ รวมถึงการเติบโตของเทคโนโลยี เช่น IoT ปัญญาประดิษฐ์ และ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในตลาดโลก ทำให้เกิดความต้องการ โซลูชันอัจฉริยะไร้สาย (Smart Security) ที่สามารถเชื่อมต่อกับระบบและอุปกรณ์เตือนภัยเดิมเช่น อุปกรณ์ตรวจจับไฟไหม้ที่ติดตั้งในอาคารต่างๆ อุปกรณ์ตรวจจับการรั่วไหลของแก๊ส รวมถึงกล้องวงจรปิด IP Cameraฯลฯ ยิ่งไปกว่านั้น ซึ่งปัจจุบันผู้พัฒนาอุปกรณ์เหล่านี้ยังไม่มีการพัฒนาแอปพลิเคชัน เชื่อมโยงการแจ้งเตือนบนมือถือ ในบางรายที่มีก็มีต้นทุนค่าใช้จ่ายในการเชื่อมต่อโมบายแอปที่สูงมาก ทำให้มีช่องว่างทางการตลาด โซลูชั่นของ AJAX เข้าไปตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นโซลูชั่นที่สามารถเชื่อมโยงกับอุปกรณ์ระบบแจ้งเตือนภัยและ IP Camera ง่ายในการเชื่อมต่อ, วิธีการใช้งาน, ความเสถียรของระบบ และความปลอดภัยทางไซเบอร์

ทั้งนี้ โซลูชันของ AJAX ดูแลเรื่องความปลอดภัยครบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันขโมย อุปกรณ์ระบบตรวจจับแจ้งเหตุไฟไหม้ อุปกรณ์ตรวจจับน้ำท่วมพร้อมวาล์วอัตโนมัติ สวิตช์ไฟอัตโนมัติสำหรับอาคารพาณิชย์และที่พักอาศัย จุดเด่นที่แตกต่างจากโซลูชั่นอื่น ๆ คือ ความสามารถในการเชื่อมต่อระบบเข้ากับกล้องวงจรปิดแบบ ONVIF ที่ติดตั้งอยู่เดิม, เชื่อมต่อการเตือนภัยจากเหตุเพลิงไหม้ หรือต่อ Relay เพื่อให้สามารถควบคุมการทำงานของอุปกรณ์อัตโนมัติอื่นๆที่ติดตั้งอยู่ ด้วยแอป AJAX ได้นอกจากนี้ ยังส่งสัญญาณเตือนภัยไปยังผู้ใช้งานได้พร้อมกัน ถึง 200 users เป็นการอัปเกรดให้เกิดความคล่องตัวในการประสานงานขณะเกิดเหตุได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ช่วยลดความเสียหาย เพิ่มประสิทธิภาพในการสอดส่องเข้าถึงพื้นที่ และช่วยลดค่าใช้จ่ายในการจ้างพนักงานรักษาความปลอดภัย

นอกจากนี้ AJAX ยังเป็นโซลูชั่นแบบไร้สาย ที่ออกแบบมาให้ง่าย ตั้งแต่ขั้นตอนการติดตั้ง ไปจนถึงการใช้งาน พร้อมระบบตรวจสอบสถานะการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆที่ติดตั้งอยู่บนตัว HUB ด้วยตนเอง ตลอด 24 ชั่วโมง ตอบโจทย์เจ้าของกิจการ ที่ต้องการหาเครื่องมือง่ายๆแต่มั่นใจได้ ในการควบคุมและตั้งค่าระบบ รวมทั้งรับสัญญาณเตือนภัยจากบ้าน อาคาร ของตนเองแบบเรียลไทม์ เปรียบเสมือนเป็น “ศูนย์บัญชาการความปลอดภัยเชิงป้องกัน” ที่ส่งตรงถึงมือถือทุกคนที่เกี่ยวข้อง สามารถระงับเหตุความเสียหายได้ทันท่วงที

ในไตรมาสที่ 2 นี้ AJAX ได้เปิดตัวนวัตกรรมใหม่ถึง 3 ผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย ได้แก่

1. AJAX NVR ศูนย์กลางควบคุมระบบกล้องวงจรปิด ช่วยให้มองเห็นทุกมุมแบบเรียลไทม์ ควบคุมง่ายด้วยปลายนิ้ว เชื่อมต่อสัญญาณ Alert เข้าไปกดดูภาพบนแอปพลิเคชัน AJAX ในสมาร์ทโฟนได้ทันทีที่มีผู้บุกรุกเลือก Videowall จากกล้องหลายตัว พร้อมกันหรือแบบเต็มจอ บันทึกภาพคมชัด ด้วยระบบเก็บข้อมูลออนไซด์ ไม่ขึ้นคราวน์ รองรับกล้อง IP Camera ได้หลากหลาย พร้อมแอปศูนย์เฝ้าระวังเหตุ ที่สามารถเข้าไปเลือกดูกล้องจากหน่วยงานสาขาที่อยู่ต่างโลเคชัน ได้อย่างชัดเจนแบบเรียลไทม์

2. AJAX KeyPad TouchScreen ความปลอดภัยแค่ปลายนิ้ว เป็นกุญแจสู่ระบบรักษาความปลอดภัยที่ทันสมัย หน้าจอสัมผัสขนาด 5 นิ้ว ใช้งานง่ายเหมือนแอปพลิเคชัน AJAX บนสมาร์ทโฟน รองรับหลายภาษาความปลอดภัยสูงด้วย เทคโนโลยี DESFire และ BLE จัดการระบบง่ายดาย ทั้งการตั้งค่าระบบรักษาความปลอดภัย เปิด ปิด ระบบ ตรวจสอบสถานะควบคุมอัจฉริยะเชื่อมต่อกับอุปกรณ์สมาร์ทโฮมอื่น ๆได้ สามารถแจ้งเตือนเมื่อมีเหตุการณ์ผิดปกติ เช่น เกิดไฟไหม้ หรือมีผู้บุกรุก แบบเรียลไทม์

3. ManualCallPoint(Red) ปุ่มกดฉุกเฉิน แจ้งเตือนไฟไหม้ และเตือนภัยอื่น ๆ เหมาะสำหรับการเตือนภัยร้ายแรงฉุกเฉิน กดปุ่มเดียว ระบบเตือนภัย ไซเรน ทั้งอาคาร หรือทั้งชั้น ทำงานทันที ไม่ต้องลุกไปกดที่แผงควบคุม ติดตั้งง่าย ไร้สาย เหมาะกับทุกพื้นที่ เหมาะสำหรับติดตั้งในโรงเรียน อาคารสถานที่ราชการ หรือเอกชนที่เปิดเป็นพื้นที่สาธารณะ ที่อาจถูกบุกรุกจากผู้ก่อการร้าย หรือผู้คลุ้มคลั่งขาดสติ ทำให้ช่วยระงับเหตุได้รวดเร็วทันสถานการณ์

สำหรับแผนขยายตลาด AJAX จะเพิ่มพาร์ทเนอร์ตัวแทนจำหน่าย ในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มการจัดการความปลอดภัย และหน่วยงานภาครัฐ โดยจะมีทีมผู้เชี่ยวชาญของ AJAX ฝึกอบรมให้ความรู้กับพาร์ทเนอร์อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพประยุกต์การออกแบบและติดตั้งระบบนำเสนอลูกค้า โดยพาสเนอร์จะได้ใบรับรอง AJAX เมื่อผ่านการฝึกอบรม เพื่อให้พาร์ทเนอร์มีความเข้าใจในตัวโซลูชันและนำเสนอได้ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าของตนเอง

“เรามั่นใจว่า AJAX จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการด้านความปลอดภัยของลูกค้าได้อย่างครอบคลุม และจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการ บ้าน คอนโด ร้านค้า ห้างร้าน โรงงาน โรงเรียน โรงพยาบาล และหน่วยงานภาครัฐ เพื่อช่วยยกระดับการพิทักษ์ดูแลความปลอดภัยให้แก่ชีวิต และลดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของเจ้าของธุรกิจในทุกระดับ” นางนิสา กล่าว

นอกจากนี้ AJAX จะไปร่วมออกบูธในงานวิศวกรรมแห่งชาติ 2567 ในวันที่ 24-26 กรกฎาคม 2567 ณ ชั้น 1 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยจัดแสดงการเชื่อมต่อโซลูชั่นของ AJAX เข้ากับอุปกรณ์ระบบอื่นๆ รวมทั้งการสาธิตการใช้งานของแอปฯ ที่ออกแบบมาเป็นอย่างดี ใช้งานง่ายและสะดวกเข้ากับวิถีชีวิตในยุคปัจจุบัน ด้วยระบบอุปกรณ์มาตรฐานระดับโลก

ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บริษัท ซิสเท็ม 2000 จำกัด ผ่านทาง Line @S2000

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค คว้าตำแหน่งบริษัทที่ยั่งยืนที่สุดในโลก จากนิตยสาร Time และ Statista

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้นำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นด้านการบริหารจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติ ได้รับการจัดอันดับให้เป็น World’s Most Sustainable Companies for 2024 หรือ บริษัทที่ยั่งยืนที่สุดในโลก ประจำปี 2024 โดยนิตยสาร Time และ Statista โดยการจัดอันดับในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทและความมุ่งมั่นของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ในการบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน ด้วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่แต่เฉพาะในองค์กรเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความมุ่งมั่นในการช่วยลูกค้าประหยัดพลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอีกด้วย

Time และ Statista ทำการคัดเลือกบริษัทที่มีความยั่งยืนมากที่สุดในโลกประจำปี 2024 อย่างโปร่งใสในหลายขั้นตอน เริ่มจากการจัดกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ที่ทรงอิทธิพลมากกว่า 5,000 แห่ง ไม่นับรวมบริษัทที่ไม่เข้าข่ายด้านความยั่งยืน และพิจารณา 4 ปัจจัยสำคัญหลัก ได้แก่ การให้คะแนนความยั่งยืนจากภายนอก คำมั่นสัญญา ผลรายงานการดำเนินงานขององค์กร และตัวชี้วัดประสิทธิภาพด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม ซึ่งเกณฑ์การคัดเลือกดังกล่าวนำไปสู่การจัดอันดับบริษัท 500 แห่ง จากกว่า 30 ประเทศ

Time และ Statista มองเห็นถึงความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค รวมถึงความมุ่งมั่นในโครงการ Schneider Sustainability Impact (SSI) ซึ่งเป็นโครงการที่สร้างการขับเคลื่อนและชี้วัดความคืบหน้าในการดำเนินงานของบริษัท เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายความยั่งยืนระดับโลกของปี 2021-2025 โดยยึดคำมั่นสัญญาสำคัญ 6 ข้อ ครอบคลุมทุกมิติในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) นับเป็นความมุ่งมั่นของบริษัทที่ช่วยให้ลูกค้าลดและหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ถึง 553 ล้านตันนับตั้งแต่ปี 2018 นอกจากนี้ บริษัทยังมีความคืบหน้าในการปฏิรูปซัพพลายเชนขององค์กรอีกด้วย ซัพพลายเออร์ชั้นนำของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จำนวน 1,000 ราย สามารถลดการปล่อยคาร์บอนลงถึง 27 เปอร์เซ็นต์ และพันธมิตรด้านซัพพลายเชนเชิงกลยุทธ์ของบริษัท 21 เปอร์เซ็นต์ สามารถบรรลุมาตรฐานการทำงานของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้เป็นอย่างดี

“เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นบริษัทที่ยั่งยืนที่สุดในโลก” ปีเตอร์ เฮอร์เวค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เผย “ความสำเร็จครั้งนี้เป็นบทพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ของเราในการสร้างความยั่งยืน ซึ่งปลูกฝังอยู่ในทุกสิ่งที่เราทำ ทั้งในการตัดสินใจและการดำเนินงานประจำวันของเรา เราคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลที่ดี นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เราผลักดันอย่างเต็มที่ จนสามารถพัฒนาเพื่อบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนของเรามากยิ่งขึ้นไป พร้อมมั่นใจได้ว่าทุกคนมีส่วนร่วมในการสร้างผลกระทบที่ดีได้อย่างยั่งยืน”

นอกจากนี้ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยังถูกจัดอยู่ใน Dow Jones Sustainability World Index เป็นปีที่ 13 ติดต่อกัน โดยครองอันดับ 1 ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน และครองตำแหน่งใน Europe index ความสำเร็จนี้สะท้อนให้เห็นถึงการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) โดยมีความยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์

#PressRelease #Sustainability #Awards

เฉลยแล้ว! Samsung x POP MART เตรียมพบกับ Crybaby ครองพื้นที่กับ The new Galaxy เร็วๆ นี้

ซัมซุง ยักษ์ใหญ่แห่งโลกเทคโนโลยีและนวัตกรรมระดับโลก จับมือ POP MART ไลฟ์สไตล์แบรนด์ยักษ์ใหญ่สุดฮิตของนักสะสมอาร์ตทอยทั่วโลก ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญเผยโฉมคาแรกเตอร์สุดฮิต Crybaby ผลงานอาร์ตทอยสุดฮิตจากศิลปินชาวไทย ที่จะมาคอลแลปกับ Samsung สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ กับการปรากฏตัวพร้อมกับ The new Galaxy ที่คาดไม่ถึง มาเตรียมพบกับการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างแบรนด์เทคโนโลยีและความน่ารักของ Crybaby ได้เร็ว ๆ นี้ 

พร้อมร่วมลุ้นและเป็นส่วนหนึ่งกับปรากฏการณ์ครั้งสำคัญจาก Samsung x POP MART คอลเลกชันสุดลิมิเต็ดที่จะทำให้เหล่าสาวก Crybaby ต้องกรี๊ด เพราะนี่อาจเป็นครั้งเดียวที่คุณจะได้เป็นเจ้าของ ‘The new Galaxy Cry Box’ สุดเอ็กซ์คลูซีฟมูลค่าสูงสุด 65,120 บาท เพียงลงทะเบียนที่ https://smsng.store/handraiserNow ตั้งแต่วันนี้ ถึง 10 กรกฎาคมนี้เท่านั้น

#SamsungUnpacked #SamsungxCrybaby

เบนท์ลีย์ แบงค็อก เชิญร่วมสัมผัสปรากฏการณ์ความหรูหราแห่งอัครยนตรกรรม พร้อมเปิดประสบการณ์ลักชูรีไดรฟ์ใจกลางไข่มุกแดนอีสาน

เบนท์ลีย์ แบงค็อก โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เบนท์ลีย์อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย เชิญชาวอุดรและจังหวัดใกล้เคียงร่วมสัมผัสปรากฏการณ์ความหรูหราแห่งอัครยนตรกรรม Bentley Bentayga Hybrid และ Bentley Flying Spur Hybrid พร้อมเปิดประสบการณ์ลักชูรีไดรฟ์ที่จะมอบความเร้าใจในการขับขี่ฉบับเบนท์ลีย์ด้วยสุดยอดสมรรถนะและประสิทธิภาพจากขุมพลังเครื่องยนต์ไฮบริดที่เหนือชั้น และพบกับข้อเสนอที่ดีที่สุดสำหรับรถยนต์เบนท์ลีย์พร้อมส่งมอบและสินค้าไลฟ์สไตล์คอลเลกชันเบนท์ลีย์ใหม่ล่าสุดในงาน ‘Bentley Bangkok Extraordinary Showcase in Udon Thani 2024’ วันที่ 10 – 16 กรกฎาคม 2567 บริเวณลานกิจกรรมชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัล อุดร จังหวัดอุดรธานี ผู้สนใจครอบครองรถยนต์เบนท์ลีย์สามารถนัดหมายเข้าร่วมงานล่วงหน้าได้ที่เบอร์ 080-925-9999 หรือ LINE Official Account: @bentleybangkokaas คลิก https://lin.ee/4JOaZyE8V

ภายในงานฯ ผู้ร่วมงานจะได้มีโอกาสทดลองขับอัครยนตรกรรมแบบอเนกประสงค์รุ่น Bentley Bentayga Hybrid ที่มาพร้อมกับสมรรถนะและประสิทธิภาพในการขับขี่ที่ดีเยี่ยมจากขุมพลังเครื่องยนต์เบนซินรุ่น V6 แบบไฮบริด โดยผู้ที่สนใจทดลองขับจะได้สัมผัสประสบการณ์การขับขี่ร่วมกับที่ปรึกษาการขายผู้เชี่ยวชาญที่จะกำกับดูแลและให้ข้อมูลเรื่องรถอย่างใกล้ชิดตลอดระยะเวลาการทดลองขับ นอกจากนี้ ผู้ร่วมงานจะได้สัมผัสกับอีก 2 อัครยนตรกรรมพร้อมส่งมอบที่มาพร้อมกับการออกแบบที่หรูหราและร่วมสมัย เช่นเดียวกับภายในห้องโดยสารที่ตกแต่งอย่างประณีตและงดงามของ Bentley Flying Spur Hybrid เฉดสีเขียวเข้ม Midnight Emerald และ Bentley Bentayga Hybrid ในเฉดสีน้ำเงิน Sequin Blue และพบกับสินค้าไลฟ์สไตล์คอลเลกชันเบนท์ลีย์ใหม่ล่าสุดนำเข้าจากโรงงานเบนท์ลีย์ มอเตอร์ส ประเทศอังกฤษที่ทางเบนท์ลีย์ แบงค็อกจัดมาให้ชาวอุดรและจังหวัดใกล้เคียงได้เลือกสรรกันอย่างหลากหลาย

ผู้สนใจครอบครองรถยนต์เบนท์ลีย์สามารถนัดหมายเข้าร่วมงานล่วงหน้าได้ที่เบนท์ลีย์ แบงค็อก โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เบนท์ลีย์อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย โทร. 080-925-9999 หรือ LINE Official Account: @bentleybangkokaas คลิก https://lin.ee/4JOaZyE8V

GARMIN เปิดตัว ‘APPROACH Z30’ เครื่องวัดระยะระบบเลเซอร์สุดล้ำ รุ่นใหม่ล่าสุด พร้อมเปิดตัว GARMIN GOLF CLUB ครั้งแรกในไทย

  • ยกระดับการออกรอบไปอีกขั้นด้วยการวัดระยะระบบเลเซอร์ที่รวดเร็วและแม่นยำ วัดไกลสูงสุด 400 หลา พร้อมกำลังขยาย 6 เท่า และแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวนานหนึ่งปีเต็ม
  • ใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ใน GARMIN GOLF ECOSYSTEM อย่างลื่นไหลด้วยฟีเจอร์ Range Relay 
  • พร้อมดึง 3 โปรกอล์ฟ โปรซุ้ง-อรรณพ โปรแจ็คนพไพสิษฐ์ และโปรปาน-ณัจขภัทร์ ร่วมสร้างคอมมูนิตี้เพื่อนักกอล์ฟโดยเฉพาะ

Garmin ผู้ส่งมอบความหลากหลายทางเทคโนโลยี GPS ตั้งแต่อุตสาหกรรมการบิน ยานยนต์ การเดินทะเล ฟิตเนส และกิจกรรมกลางแจ้ง เดินหน้ายกระดับ GARMIN GOLF ECOSYSTEM เพื่อที่สุดของเกมกอล์ฟอันเหนือชั้น เติมเต็มสินค้าซีรีย์ APPROACH เพิ่มตัวเลือกที่หลากหลายยิ่งขึ้น กับการเปิดตัว APPROACH Z30 เครื่องวัดระยะระบบเลเซอร์รุ่นใหม่ล่าสุดที่ช่วยให้ผู้เล่นสามารถวัดระยะทางได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำได้สูงสุดถึง 400 หลา1 ขยายกำลังการมองถึง 6 เท่า มาพร้อมฟีเจอร์ Range Relay ที่สามารถเชื่อมต่อข้อมูลระยะไปยังสมาร์ทวอทช์ที่รองรับหรือส่งไปยังแอปพลิเคชั่น GARMIN GOLF บนสมาร์ทโฟน เมื่อผู้ใช้ตั้งเป้าล็อคธง APPROACH Z30 จะส่งสัญญานสั่นแจ้งเตือน และปรากฏข้อมูลระยะ รวมถึงเส้นโค้งบอกระยะบนแผนที่ให้ผู้เล่นเห็นภาพตำแหน่งหลุมและสิ่งต่างๆ ที่อยู่โดยรอบบนอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกัน ให้นักกอล์ฟสนุกไปกับการใช้งานเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์อันหลากหลายภายใต้ GARMIN GOLF ECOSYSTEM ร่วมกันได้อย่างลื่นไหลไม่มีสะดุด เพื่อยกระดับการออกรอบของนักกอล์ฟให้เหนือขั้นในทุกๆ เกม 

นอกจากการพัฒนาสินค้าและบริการที่ออกแบบมาเพื่อนักกอล์ฟแล้ว ปีนี้ Garmin ยังมาพร้อมการเปิดตัว GARMIN GOLF CLUB (G/G/C) คอมมูนิตี้ของคนรักกีฬากอล์ฟอย่างเป็นทางการครั้งแรกในประเทศไทย พร้อมชวน 3 โปรกอล์ฟ โปรซุ้ง-อรรณพ ตั้งกมลประเสริฐ โปรแจ็ค-นพไพสิษฐ์ กัณหาเจริญ และโปรปาน-ณัจขภัทร์ คุ้มถนอม ร่วมสร้างพื้นที่ในการพบปะสำหรับนักกอล์ฟและผู้ชื่นชอบกีฬากอล์ฟให้สามารถพูดคุย แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์เพื่อพัฒนาทักษะและสร้างแรงบันดาลใจสู่การเป็นยอดนักกอล์ฟในอนาคต

คุณหรรษา อาภานุกูล ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การตลาด การ์มิน ประเทศไทย กล่าวว่า “GARMIN GOLF ECOSYSTEM เกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นที่จะสร้างประสบการณ์การออกรอบที่ดีกว่าที่เคย ด้วยการส่งมอบข้อมูลที่นักกอล์ฟต้องการอย่างรอบด้าน เราจึงมุ่งมั่นในการพัฒนาสินค้าและบริการเพื่อนักกอล์ฟทั้ง 4 กลุ่ม อันได้แก่ สมาร์ทวอทช์ระบบจีพีเอส เครื่องวัดระยะระบบเลเซอร์ อุปกรณ์ฝึกซ้อมกอล์ฟ รวมถึงแอปพลิเคชั่น GARMIN GOLF อย่างไม่หยุดยั้ง หลังจากที่เราได้เปิดตัว APPROACH S70 ไปเมื่อปีที่ผ่านมา ครั้งนี้เรากลับมาพร้อมการเปิดตัว APPROACH Z30 ที่สามารถให้ข้อมูลระยะต่างๆ ในสนามได้อย่างเร็วและแม่นยำ ช่วยให้นักกอล์ฟเข้าใจเกมและรู้จักสนามได้ดียิ่งขึ้น ที่สำคัญผู้ใช้ยังสามารถเชื่อมต่อและใช้งานร่วมกับอุปกรณ์อื่นๆ ใน GARMIN GOLF ECOSYSTEM ได้อย่างง่ายดาย ให้การออกรอบสนุกและพัฒนาไปยิ่งกว่าที่เคย นอกจากนี้เรายังมาพร้อมการเปิดตัว GARMIN GOLF CLUB เป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยหวังว่าจะเป็นพื้นที่ให้คนรักกอล์ฟได้มารวมตัว ทำความรู้จัก และทำกิจกรรามต่างๆ ร่วมกันเพื่อพัฒนาทักษะการเล่นให้ก้าวไปอีกขั้น รวมถึงเป็นอีกจุดเริ่มต้นให้คนไทยหันมาสนใจกีฬากอล์ฟกันมากยิ่งขึ้นด้วย

เพิ่มมิติการออกรอบให้เหนือขั้น – Add Range to Your Game

นักกอล์ฟทุกระดับไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือโปรกอล์ฟก็สามารถสนุกไปกับฟีเจอร์กอล์ฟของ Garmin ที่ช่วยให้ผู้เล่นสามารถวัดระยะได้อย่างแม่นยำ และสามารถเลือกไม้กอล์ฟได้อย่างเหมาะสม

  • บอกข้อมูลสำคัญต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งปัจจุบันถึงตำแหน่งหลุม รวมถึงบอกระยะหน้ากรีนและหลังกรีน ช่วยให้นักกอล์ฟสามารถประเมินและเลือกตีช็อตได้อย่างแม่นยำ2
  • ฟีเจอร์ PlaysLike Distance จะช่วยผู้เล่นในการประเมินว่าควรตีแต่ละช็อตอย่างไรเมื่อต้องตีขึ้นหรือลงเนิน ผู้เล่นยังสามารถจับคู่กับอุปกรณ์ที่รองรับเพื่อรับข้อมูลระยะ PlaysLike ที่วิเคราะห์ร่วมกับปัจจัยความหนาแน่นของอากาศ ซึ่งจะช่วยให้ผู้เล่นตีได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น 
  • ผู้ใช้สามารถใช้ประโยชน์จาก GARMIN GOLF ECOSYSTEM ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพด้วยฟีเจอร์ Range Relay เชื่อมต่อ APPROACH Z30 เข้ากับแอปพลิเคชั่น GARMIN GOLF หรือสมาร์ทวอทช์ที่รองรับ อาทิ APPROACH S70 APPROACH S62 APPROACH S42 FENIX 7 ซีรีย์ EPIX (Gen 2) ซีรีย์ MARQ (Gen 2) และอีกมากมาย
  • เมื่อผู้เล่นเลือกโหมด Tournament ไฟแสดงสถานะจะปรากฏเพื่อให้ผู้อื่นทราบว่าผู้ใช้กำลังใช้งานในรูปแบบที่ถูกต้องตามกฎของทัวร์นาเมนต์
  • ผู้ใช้สามารถพกพาเครื่องวัดระยะระบบเลเซอร์ไปออกรอบได้สะดวก ด้วยการใช้แม่เหล็กในตัวเครื่องติดเข้ากับรถกอล์ฟ APPROACH Z30 ยังมาพร้อมกระเป๋าเคสและห่วงเกี่ยวนิรภัย (Carabiner) ให้ผู้ใช้สามารถห้อยไว้กับกระเป๋ากอล์ฟระหว่างเดินในสนามหรือหลังออกรอบได้
  • หากนักกอล์ฟลืม APPROACH Z30 ไว้บนสนาม สามารถใช้ฟีเจอร์ Find My Garmin บนแอป GARMIN GOLF ในการค้นหาตำแหน่งที่ใช้ล่าสุดได้อย่างรวดเร็ว 

APPROACH Z30 ได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงการออกรอบท่ามกลางสภาพอากาศทุกรูปแบบ มีความสามารถในการกันน้ำระดับ IPX7 ทนทานต่อฝน ลม และแสงแดด ยังมาพร้อมแบตเตอรี่ที่สามารถถอดเปลี่ยนได้ ให้ผู้เล่นสามารถใช้งานได้ยาวนานสูงสุดถึงหนึ่งปีเต็ม

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับ Garmin Golf – Become a Garmin Golf Member

นอกเหนือจากการใช้งานฟีเจอร์ระดับพรีเมียมบนแอปพลิเคชั่น GARMIN GOLF แล้ว ผู้ใช้ APPROACH Z30 ยังสามารถรับบริการเพิ่มเติมจากการสมัครสมาชิก GARMIN GOLF (ราคา $9.99 หรือประมาณ 299 บาทต่อเดือน)3 ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลโครงร่างกรีน (Green Contour Data) แสดงข้อมูลความชันของสนามและช่วยคำนวณว่าเมื่อลูกตกแล้วจะไหลไปทางไหน ด้านใดของหลุมที่พัตต์ได้ดีกว่า รวมถึงสถานการณ์ที่แย่ที่สุด เพื่อให้นักกอล์ฟสามารถวางแผนการตีช็อตหรือพัตต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำยิ่งขึ้น 

APPROACH Z30 มาในราคา 15,490 บาท พร้อมให้ผู้ที่ชื่นชอบกีฬากอล์ฟจับจองเป็นเจ้าของได้แล้ววันนี้ที่ตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ Garmin ทุกสาขา พร้อมรับประกันยาวนาน 2 ปี ติดตามข้อมูลสินค้าเพิ่มเติมได้ที่ https://gar.mn/GgPQDXAGj หรือที่ เฟซบุ๊กแฟนเพจ Garmin Thailand และ อินสตาแกรม Garmin Thailand

1 ข้อมูลระยะจะแม่นยำที่สุดในระยะ 1 หลา

2 เมื่อเชื่อมต่อกับแอป Garmin Golf หรืออุปกรณ์ Garmin ที่รองรับการใช้งานร่วมกัน

3 สมัครสมาชิก Garmin Golf ได้ในราคา $9.99 หรือประมาณ 299 บาทต่อเดือน อาจเปลี่ยนแปลงตามอัตราแลกเปลี่ยน

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโปรดเยี่ยมชมศูนย์ข่าวของการ์มิน หรือติดตามเราได้ที่ 

เฟซบุ๊กแฟนเพจ Garmin Thailand
อินสตาแกรม Garmin Thailand
YouTube ช่อง Garmin Thailand

 

แอลจี เข้าซื้อกิจการ Athom ยกระดับธุรกิจพื้นที่อัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วย AI

เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์และรูปแบบการใช้งานของลูกค้าพร้อมเร่งขยายธุรกิจ LG ThinQ AI Home

บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ จำกัด (แอลจี) ได้เข้าซื้อหุ้น 80% ของ Athom บริษัทแพลตฟอร์มบ้านอัจฉริยะชั้นนำจากเมืองแอ็นสเคอเด ประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยข้อตกลงนี้ยังรวมถึงแผนการเข้าซื้อหุ้นที่เหลืออีก 20% ภายใน 3 ปีข้างหน้า การลงทุนเชิงกลยุทธ์ครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างระบบนิเวศบ้านอัจฉริยะแบบเปิด (Open Smart Home Ecosystem) ของแอลจี โดยการผสานรวมความสามารถของ Athom เข้ากับเทคโนโลยี Affectionate Intelligence อันล้ำสมัยของแอลจี เพื่อก้าวขึ้นเป็นผู้นำในยุคแห่งนวัตกรรมบ้านอัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วย AI

แอลจีมุ่งมั่นที่จะนำเทคโนโลยีจากระบบเครือข่ายของ Athom ซึ่งเชื่อมต่อการใช้งานของเครื่องใช้ไฟฟ้า เซนเซอร์ตรวจจับ และอุปกรณ์ไฟต่างๆ กว่าพันชนิด มาผสานกับแพลตฟอร์ม LG ThinQ ที่ขับเคลื่อนด้วย Generative AI เพื่อสร้างบ้านระบบ AI ที่สามารถเข้าใจความต้องการของลูกค้าในเชิงลึก และมอบทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับพื้นที่ใช้สอยที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานได้ดียิ่งขึ้น ภายในบ้านระบบ AI ของแอลจี ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึง Generative AI ที่ควบคุมดูแลเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ และอุปกรณ์ IoT (Internet of Things) ภายในบ้าน เพื่อสร้างบรรยากาศที่สะท้อนบุคลิกภาพและความต้องการของผู้ใช้งานอย่างแท้จริง

แอลจีมุ่งมั่นที่จะขยายประสบการณ์ของลูกค้าในการใช้บ้านระบบ AI ไปสู่พื้นที่อื่นๆ ที่ลูกค้าใช้เวลาอยู่เป็นประจำ เช่น พื้นที่เชิงพาณิชย์และพื้นที่สัญจร เพื่อส่งเสริมและพัฒนาแนวคิด ‘Intelligent Space’ หรือพื้นที่อัจฉริยะให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

Athom เป็นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำที่พัฒนาอุปกรณ์ศูนย์รวมบ้านอัจฉริยะ ‘Homey’ ที่สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและอุปกรณ์ IoT ได้อย่างมีประสิทธิภาพ บริการสมาชิกบนคลาวด์อันเชี่ยวชาญของ ‘Homey’ ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในทวีปยุโรปตั้งแต่ปี 2557 และมีลูกค้าทั่วโลกมากกว่าหลายแสนคนในปี 2566 อุปกรณ์จาก Homey ได้วางจำหน่ายในหลายประเทศรวมถึง ออสเตรเลีย สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา แคนาดา และทวีปยุโรป

Athom ได้พัฒนาฮับ (Hub) และระบบปฏิบัติการ (OS) เพื่อสร้างระบบนิเวศบ้านอัจฉริยะที่เป็นอิสระ เครื่อง Homey Pro สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ได้มากกว่า 50,000 เครื่อง และรองรับการเชื่อมต่อทางไวไฟ, บลูทูธ, Z-Wave, Matter และ Thread ทำให้ใช้งานได้ง่ายและมีความเปิดกว้างมากขึ้น

แอปพลิเคชัน Homey App Store เป็นแอปที่รองรับการเชื่อมต่อและควบคุมอุปกรณ์ในบ้านมากกว่า 1,000 รายการ เช่น Philips Hue และ IKEA โดยแอปพลิเคชันเหล่านี้ได้รับการพัฒนาร่วมกับพันธมิตรทางการเพื่อให้สามารถใช้งานร่วมกับ Homey ได้สะดวกมากขึ้น นอกจากนี้ กลุ่มนักพัฒนาที่เข้าร่วมในการสร้างแอปใน Homey App Store ยังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและปรับปรุงระบบการทำงานของ Athom ทำให้ Homey สามารถรองรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์และแบรนด์ต่างๆ ได้อย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพสูง

แอลจีพร้อมที่จะขยายบริการบ้านอัจฉริยะของตนอย่างเต็มที่ด้วยระบบ AI ที่มีประสิทธิภาพสูง โดยผนวกเทคโนโลยีจากแพลตฟอร์ม LG ThinQ กับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ IoT จาก Athom การเข้าซื้อกิจการ Athom เป็นขั้นตอนที่เตรียมพร้อมและมีความสำคัญ ไม่เพียงแต่ช่วยให้แอลจีสามารถผสานอุปกรณ์และบริการจากผู้ให้บริการอื่นๆ เข้ากับระบบของตนได้ แต่ยังช่วยให้เข้าใจและตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้นได้ด้วยข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมที่มีให้ใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

“การร่วมมือกับ Athom เป็นรากฐานสำคัญของธุรกิจบ้านอัจฉริยะที่ใช้เทคโนโลยี AI ของแอลจี” นายจอง คี-ฮยอน รองประธานบริหารและหัวหน้าศูนย์ธุรกิจแพลตฟอร์มของแอลจี กล่าว “การผสานจุดแข็งของทั้งสองบริษัทจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้เราสามารถขยายระบบการทำงานแบบเปิดและรองรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ภายนอกได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างประสบการณ์ที่เหนือระดับแก่ลูกค้า”

หลังจากการควบรวมกับแอลจี  Athom ยังคงดำเนินธุรกิจอย่างอิสระเช่นเดิม โดยยังคงรักษาโครงสร้างการดำเนินงานและแบรนด์ไว้ กลยุทธ์นี้เน้นที่การสนับสนุนศักยภาพในการเติบโตและจุดแข็งของ Athom อย่างเต็มที่ และส่งเสริมการร่วมมือระหว่างทั้งสองบริษัทในด้านธุรกิจ การวิจัย และพัฒนา รวมถึงการใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มร่วมกัน เพื่อสร้างนวัตกรรมบ้านอัจฉริยะที่ทันสมัยและยิ่งขึ้น

ความร่วมมือดังกล่าวตอกย้ำความมุ่งมั่นของแอลจีในการก้าวข้ามจากธุรกิจฮาร์ดแวร์ไปสู่การเป็นผู้นำด้านธุรกิจแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์อย่างเต็มรูปแบบ โดยในปี 2564 แอลจีได้ขยายธุรกิจโทรทัศน์จากฮาร์ดแวร์ไปสู่ซอฟต์แวร์ โดยเปิดตัวแพลตฟอร์ม webOS สำหรับสมาร์ททีวี และได้เข้าซื้อกิจการ Alphonso บริษัทเทคโนโลยี AI ชั้นนำจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านสื่อโทรทัศน์ แมชชีนเลิร์นนิง และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ ปัจจุบัน Alphonso ทำงานภายใต้ชื่อ LG Ad Solutions ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของธุรกิจคอนเทนต์และบริการบนแพลตฟอร์ม webOS

แอลจีมุ่งมั่นที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยการมอบคุณค่าที่แตกต่างให้แก่ลูกค้าผ่านบริการบ้านระบบ AI ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงองค์กรให้กลายเป็น ‘Smart Life Solution Company’

จากข้อมูลของบริษัทวิจัยการตลาด TechNavio ระบุว่า ตลาดบ้านอัจฉริยะทั่วโลกคาดว่าจะเติบโตอย่างรวดเร็วจาก 81.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2566 เป็น 260.24 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2571 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ประมาณ 26.23%

“แอลจีกำลังก้าวไปสู่การเป็นบริษัทด้าน Intelligent Space Solutions ซึ่งเชื่อมต่อและขยายประสบการณ์ในพื้นที่อยู่อาศัยที่หลากหลาย พวกเรายังคงมุ่งเน้นการลงทุนเชิงกลยุทธ์เพื่อเปลี่ยนกระบวนทัศน์ทางธุรกิจของเรา ดังที่เห็นได้จากการ เข้าสู่บริการและโซลูชันเครื่องใช้ไฟฟ้าบนแพลตฟอร์มอย่างต่อเนื่อง เช่น แพลตฟอร์มโฆษณา webOS และบ้านอัจฉริยะที่ใช้ประโยชน์จากระบบ AI” วิลเลียม โช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แอลจี อิเลคทรอนิกส์ กล่าว

ใครไม่อยากป่วยฟังทางนี้! ทำความรู้จักการรักษาสมดุลความชื้นในอากาศ อีกหนึ่งแนวทางในการดูแลสุขภาพให้ห่างไกลโรคทางเดินหายใจ และภูมิแพ้ ในช่วงฤดูฝน

ฤดูฝนใกล้เข้ามาแล้ว หลายคนที่เป็นโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ และโรคภูมิแพ้ทั้งทางจมูก และทางผิวหนัง  อาจเริ่มกังวลกับความชื้นที่มาพร้อมกับหน้าฝน ไม่ว่าจะเป็นเชื้อไวรัส เชื้อรา แบคทีเรีย และกลิ่นอับชื้น  วันนี้เรามีคำแนะนำดีๆจาก แพทย์หญิงศิวาพร ทรัพย์สพรั่ง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันวิทยา เจ้าของเพจ @wawa.allergy ที่มีผู้ติดตามกว่าสามหมื่นคนบน TikTok ที่จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับการรักษาสมดุลความชื้นในอากาศเพื่อสุขภาพที่ดีของคนในบ้าน พร้อมทั้งแนวทางการดูแลรักษาสุขภาพในช่วงหน้าฝนให้ห่างไกลจากโรคภัยต่างๆ ที่มาพร้อมกับฝนและความเหนียวเหนอะหนะ ไม่สบายตัว และกลิ่นเหม็นอับชื้น  ให้ทุกคนได้รักษาสุขภาพ ห่างไกลจากโรคภัยต่างๆในช่วงฤดูฝนกัน

ความชื้นในอากาศคืออะไร

ความชื้น (Humidity) คือความเข้มข้นของไอน้ำที่มีอยู่ในอากาศ โดยระดับความชื้นในอากาศที่เหมาะสม และช่วยให้ร่างกายรู้สึกสบายตัวมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 40% RH – 60% RH และหากในบ้านมีความชื้นมากเกินไปนอกจากจะทำให้ร่างกายรู้สึกอึดอัดแล้ว ยังทำให้อากาศภายในห้องเกิดไอน้ำ คราบน้ำ หรือละอองน้ำจำนวนมาก ซึ่งเชื้อราและแบคทีเรียจะเจริญเติบโตได้ดีในที่ที่มีความชื้น ที่นอกจากจะส่งกลิ่นเหม็นอับแล้ว สปอร์ของเชื้อรายังเป็นภัยคุกคามที่เข้าไปกระตุ้นโรคภูมิแพ้และหอบหืด อีกทั้งยังทำให้ร่างกายเหนียวเหนอะหนะและรู้สึกไม่สบายตัวอีกด้วย นอกจากนี้ความชื้นที่มากเกินไปยังส่งผลให้วัสดุที่เป็นผ้า พรม เฟอร์นิเจอร์ หรือแม้แต่เครื่องใช้ไฟฟ้าอย่าง ทีวี ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ ได้รับความเสียหายอีกด้วย

มารู้จักความสำคัญของความสมดุลของความชื้นในอากาศกันเถอะ

แพทย์หญิงศิวาพร ทรัพย์สพรั่ง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันวิทยา

ความชื้นกับฤดูฝนเป็นของคู่กัน การที่มีความชื้นสูงในอากาศมากเกินไป อาจทำให้ร่างกายรู้สึกอึดอัดไม่สบายตัว นอกจากนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ เนื่องจากอากาศที่มีปริมาณความชื้นสูงสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อรา แบคทีเรีย และไวรัสบางชนิดทำให้มีโอกาสติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้ง่ายขึ้น  เช่น ไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ ปอดอักเสบ ภูมิแพ้กำเริบ หอบหืด รวมถึงโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อรา ผดร้อน ผื่นลมพิษต่างๆ ที่อาจโดนกระตุ้นจากอุณหภูมิและความชื้น

การดูแลสุขภาพและเพิ่มคุณภาพชีวิตเริ่มต้นได้ง่ายๆจากการรักษาสมดุลความชื้นในอากาศภายในบ้าน เนื่องจากความชื้นที่สมดุลสามารถช่วยลดการเจริญเติบโตของเชื้อรา แบคทีเรีย และไวรัส ทำให้บ้านสะอาดและปลอดภัยจากสารก่อภูมิแพ้ ดังนั้น การรักษาระดับความชื้นที่เหมาะสม ประมาณ 40% RH– 60% RH  จะช่วยลดการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย และเชื้อรา ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของอาการภูมิแพ้ เช่น คัดจมูก น้ำมูกไหล จาม และคันตา หรือแม้แต่โรคภูมิแพ้ผิวหนังกำเริบนั่นเอง

จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อความชื้นในอากาศไม่สมดุล

  • ความชื้นมากเกินไป เอื้อต่อการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อทางเดินหายใจ ทำให้คนที่แพ้สิ่งกระตุ้นเหล่านี้มีอาการภูมิแพ้กำเริบ ไม่ว่าจะเป็นโรคภูมิแพ้ทางจมูกหรือหอบหืด และอาจทำให้ผู้ป่วยที่ไวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศมีอาการคัดจมูก จาม น้ำมูกไหล หรือเป็นลมพิษได้
  • ความชื้นน้อยเกินไป ทำให้เยื่อบุทางเดินหายใจแห้งลง ขนพัดโบกในจมูกทำงานได้ลดลง(Mucociliary Clearance) ทำให้ทางเดินหายใจเกิดการระคายเคืองง่าย เกิดอาการแสบจมูก เลือดกำเดาไหลง่าย เจ็บคอ คอแห้ง ไอ และยังทำให้ติดเชื้อทางเดินหายใจง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้ตาแห้ง เคืองตา และผิวหนังแห้งหยาบกร้านและเกิดผื่นได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

ฤดูฝนนี้ไม่อยากป่วยบ่อย ต้องทำอย่างไร

การป้องกันคือหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่เราแพ้ รวมไปถึงปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อโรคภูมิแพ้ เช่น กำจัดไรฝุ่น ทำความสะอาดห้องเป็นประจำ เปิดระบายอากาศในห้องเพื่อไม่ให้ความชื้นสูงเกิน อาจใช้เครื่องลดความชื้น ที่มีมาตรฐานสามารถปรับความชื้นที่เหมาะสมในห้องเพื่อลดการเจริญเติบโตของเชื้อราและแบคทีเรีย ปรับสภาพแวดล้อมในที่อยู่อาศัยให้อากาศในห้องไม่ชื้นและสะอาด ใช้เครื่องลดความชื้นในบ้าน อีกทั้งยังควรรักษาความสะอาดของร่างกาย ล้างมือบ่อยๆ เพื่อลดการติดเชื้อที่มากับฤดูฝน ดื่มน้ำให้มากขึ้น รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และนอนพักผ่อนให้เพียงพอ ใช้ยาคุมอาการตามแพทย์สั่ง และคอยสังเกตอาการตนเอง หากมีอาการกำเริบควรปรึกษาแพทย์เพื่อปรับยา

บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้านนวัตกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านระดับโลก ขอแนะนำนวัตกรรมเครื่องลดความชื้น LG PuriCare™ ที่มาพร้อม ดูอัล อินเวอร์เตอร์ (Dual Inverter) ระบบคอมเพรสเซอร์ที่ทรงประสิทธิภาพ ทนทาน ประหยัดพลังงาน และลดเสียงรบกวนในขณะทำงาน มาพร้อมระบบ Ionizer ที่ช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรียในอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยหลักการทำงานที่ตัวเครื่องจะดูดความชื้นในอากาศกลั่นออกมาเป็นน้ำเก็บไว้ในแทงก์ภายในตัวเครื่อง หรือระบายออกทางท่อน้ำทิ้ง สามารถลดความชื้นได้ 19 ลิตรต่อวัน และยังสามารถลดความชื้นได้สูงสุด 30 ลิตรในวันที่ความชื้นสัมพัทธ์สูงถึง 80 เปอร์เซ็นต์ เพื่อคืนสมดุลความชื้นในอากาศพร้อมความรู้สึกสบายตัว ไม่เหนียวเหนอะหนะช่วยให้คุณและคนครอบครัวใช้ชีวิตได้สบายขึ้น หายใจสะดวก และลดโอกาสการก่อสารเกิดภูมิแพ้ที่เป็นอันตราย

ความเร็วสูง เครื่องบิน evTOL Airwolf ความเร็วสูงสุด 228 กม./ชั่วโมง

[ซิ่งกลางเวหา] แม้จะช่วงจะเงียบ ๆ ไปบ้าง แต่วงการ evTOL ยังพัฒนาต่อไป ล่าสุดทาง UDX บริษัทจากสาธารณรัฐเช็ก ได้เปิดตัว Airwolf มอเตอร์ไซค์บินได้ความเร็วสูง มาพร้อมพลังขับเคลื่อน 430 แรงม้า ช่วยให้บินด้วยความเร็วสูงสุดถึง 228 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

แรงบันดาลใจจากนกฮัมมิ่งเบิร์ด UDX เปิดตัว Airwolf เครื่องบิน evTOL หรือ Hoverbike มอเตอร์ไซค์บินได้ความเร็วสูง มาพร้อมพลังขับเคลื่อน 430 แรงม้า ช่วยให้บินด้วยความเร็วสูงสุดถึง 142 ไมล์ หรือประมาณ 228 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เร่งความเร็วจาก 0 ถึง 60 ไมล์ต่อชั่วโมงได้ภายในเวลาเพียง 3 วินาที บรรทุกผู้โดยสารได้ 2 คน พร้อมขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าทั้งหมด โดยตัวเครื่องมีมอเตอร์ 4 ใบพัด สามารถบินได้ประมาณ 25 นาที

สำหรับเป้าหมายกันพัฒนา Airwolf นั้น ก็เพื่อการสร้างยานพาหนะที่ลดการติดขัดของจราจร ลดเสียงรบกวนในเมือง และลดการปล่อยมลพิษแบบ 100% เมื่อเทียบกับยานพาหนะทั่วไป ท้ายนี้ยังเป็นการกระตุ้นให้เกิดการพัฒนา evTOL จากบริษัทอื่น ๆ อีกด้วย

หากใครต้องการขับขี่ ก็จำเป็นต้องผ่านการฝึกบินเป็นเวลา 20 ชั่วโมงก่อน ถึงจะได้รับใบอนุญาตให้ใช้งานตัวต้นแบบได้ อีกทั้งตัว Airwolf ก็มาพร้อมราคาสูงถึง 320,000 ดอลลาร์ฯ หรือราว ๆ 11.6 ล้านบาทกันเลย อีกทั้งทางบริษัทเผยตัวเครื่องยังต้องพัฒนาอีกมาก และยังต้องดูเรื่องการผลิตจำนวนมากต่อไป

ที่มา : Thebrighterside

รอดหวุดหวิด AMD เคยเกือบล้มละลาย แต่ได้ Sony PS4 ช่วยชีวิต

[หวุดหวิด] กว่าจะมาเป็น AMD ผู้ผลิตชิปประมวลผลยักษ์ใหญ่ ครั้งหนึ่งบริษัทเคยเกือบล้มละลายมาแล้ว แต่ด้วยการมาของ PlayStation 4 หนึ่งในเครื่องเล่นเกมคอนโซลที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ส่งผลให้บริษัทรอดพ้นอย่างหวุดหวิดจนทุกวันนี้

Phil Park วิศวกรผู้ดูแลเรื่อง Infinity Fabric และระบบหน่วยความจำจาก AMD ได้ยืนยันข้อมูลจาก LinkedIn ของ Rentaro Fragale ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายลูกค้าและเกมของ AMD ที่กล่าวถึง PlayStation 4 ว่าเป็นตัวช่วยให้บริษัทรอดพ้นจากการล้มละลายจริง

โดย Phil Park เล่าเลยว่า AMD ในปี 2008 นั้น เคยอยู่ในสถานะที่ย่ำแย่อย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้ต้องลดเงินเดือนพนักงานส่วนมากชั่วคราว และบริษัทต้องจำใจขาย IP หรือทรัพย์สินทางปัญญาไปหลายรายการ โดยหนึ่งในนั้นก็มี Imageon ด้วย (ปัจจุบันคือ Adreno ชิปกราฟฟิกตัวดังของ Qualcomm) ผนวกกับการมาของ Core series จากฝั่งคู่แข่งอย่าง Intel บวกกับบริษัทได้ทุ่มเงินเข้าซื้อกิจการของ ATI ไปจำนวนไม่น้อย ก็ยิ่งทำให้ AMD ต้องดิ้นรนหนักขึ้นอีก

ในที่สุดทาง AMD ก็เริ่มเห็นทางรอด โดยช่วงนั้นบริษัทได้พัฒนาสถาปัตยกรรมชิปใหม่อย่าง Bobcat ที่มุ่งเน้นการใช้ทั้งพลังงานและต้นทุนการผลิตต่ำ จากนั้นในช่วงปี 2013 ก็พัฒนาต่อในชื่อใหม่ว่า Jaguar และชิปนี้เอง คือชิปที่ทาง Sony เลือกมาใช้ในเครื่องเล่นเกมคอนโซลเปลี่ยนยุคอย่าง PlayStation 4 หรือ PS4

ตามรายงานในปี 2022 เผย PS4 ปิดยอดขายไปได้ประมาณ 117 ล้านเครื่องทั่วโลก ซึ่งความสำเร็จนี้ก็ส่งผลกับ AMD ที่เป็นผู้ผลิตชิปประมวลผลหลักให้ด้วย ถึงขั้นที่ว่า Jaguar เป็นหนึ่งในชิปที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายมากที่สุด และเป็นหนึ่งในความสำเร็จสูงสุดในประวัติศาสตร์ของบริษัทกันเลย ซึ่งทั้ง Rentaro Fragale กับ Phil Park ต่างช่วยยืนยันว่า AMD รอดได้เพราะ PlayStation 4 ของ Sony

ปัจจุบัน AMD มีสถาปัตยกรรม Zen และ RDNA เป็นหัวเรือใหญ่ ซึ่งถูกใช้ทั้งใน PlayStation 5 เครื่องเล่นเกมรุ่นล่าสุดของ Sony และ Xbox Series ของ Microsoft ในปีหน้า AMD ได้วางแผนเปิดตัว Zen 5 และ RDNA 5 ชิปตัวใหม่ ที่จะมาขับเคลื่อนวงการเกมต่อไปในเร็ว ๆ นี้

ที่มา : Techspot

Hot Issue