Home Blog Page 55

จัดคอนเสิร์ตในโลกเสมือนใน Music Valley ดูผ่าน Meta Quest

ถ้าใครชอบฟังเพลงสากล น่าจะเคยฟังเพลงะอย่าง Please, Please, Please” และ “Espresso ของ Sabrina Carpenter ที่ชิดอันดับ 1 มาหลายสัปดาห์

แต่ไม่นานมานี้ แต่ได้จัดแสดงคอนเสิร์ตในรูปแบบใหม่ผ่าน Meta Horizon Worlds ซึ่งเป็นโลกเสมือนจริง

โดยแฟนๆ ของเธอ สามารถรับชมคอนเสิร์ต VR นี้ได้ผ่าน Music Valley ซึ่งเป็นหนึ่งในโลกเสมือนจริงบน Meta Horizon Worlds ที่ใช้งานได้กับชุดหูฟัง Meta Quest (นั่นแปลว่าเราต้องมีชุดอุปกรณ์ของ Meta Quest ก่อน)

โดย Music Valley สามารถประสบการณ์การชมคอนเสิร์ตแบบเสมือนจริงราวกับนั่งอยู่หน้าเวที เราสามารถรับชมคอนเสิร์ต VR สดๆ และมีปฏิสัมพันธ์กับแฟนเพลงคนอื่น ๆ และร่วมสนุกไปกับบทเพลง รางวัลพิเศษ และเกมต่างๆ มากมายภายใน Music Valley ครับ

ในอนาคต อยากให้มีศิลปินไทยบ้างจัง……….

ที่มา
billboard

คันแรก รถบรรทุกไร้คนขับ ดูไบใช้งานจริงแล้ว

Evocargo N1

บริษัทขนส่งแห่งหนึ่งในดูไบ ประสบความสำเร็จในการทดสอบรถบรรทุกไร้คนขับคันแรก โดยนับเป็นความก้าวหน้าสำคัญของอุตสาหกรรมขนส่งในเมืองนี้

การทดสอบดังกล่าว จัดขึ้นโดยบริษัท Evocargo ร่วมกับเขตพื้นที่โลจิสติกส์ดูไบใต้ (Dubai South Logistics District) โดยรถบรรทุกไฟฟ้าไร้คนขับรุ่น Evocargo N1 สามารถวิ่งตามเส้นทางที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ภายในสภาพแวดล้อมควบคุม หรือสภาพที่ถูกออกแบบให้มีปัจจัยต่างๆ เช่น อุณหภูมิ ความชื้น แสงสว่าง ความร้อน และอื่น ๆ

นอกจากนี้ การทดสอบนี้มีการจำลองสถานการณ์การเจอกับผู้ร่วมทางประเภทต่างๆ บนถนนจริง เช่น รถยนต์ รถบรรทุก และคนเดินเท้า เพื่อประเมินความน่าเชื่อถือของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ระบบป้องกันอุบัติเหตุ และความพร้อมโดยรวมของตัวรถสำหรับการใช้งานบนถนนสาธารณะ และการทดสอบนั้นผ่านไปได้ด้วยดี

ทั้งนี้ ยานยนต์ไร้คนขับมีแนวโน้มที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ที่ยั่งยืน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งดูไบและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์โดยรวม ซึ่งส่วนตัวก็แอบดีใจนะ ที่เห็นทั่วโลกพยายามที่จะลดการปล่อยก๊าซให้มากขึ้น โดยเฉพาะกับเมืองใหญ่ ๆ

ที่มา
mashable

ทดสอบแล้ว ยาเบาหวานชนิดใหม่ ฟื้นฟูเซลผลิตอินซูลิน

Beta Cell

สายหวานต้องชอบ เมื่อทีมนักวิทยาศาสตร์จากสถาบันสุขภาพ Mount Sinai Health System ในนิวยอร์คซิตี้ ร่วมกับศูนย์วิจัยโรคเบาหวาน City of Hope ในลอสแอนเจลิส ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยและรักษาโรคมะเร็งที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา ได้พัฒนาวิธีการรักษาแบบผสมที่สามารถเพิ่มจำนวนเซลล์เบต้าที่ทำหน้าที่ผลิตอินซูลินของมนุษย์

Beta Cell เป็นเซลล์ชนิดหนึ่งที่อยู่ในตับอ่อน ทำหน้าที่สำคัญในการผลิตและปล่อยฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) โดยหากพบว่ามีน้ำตาลในเลือดเกิน Beta Cell ก็จะผลิตอินซูลินออกมา ช่วยให้เซลล์ต่างๆ ดึงกลูโคสเข้าไปใช้ ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง

แต่เมื่อเราอายุเยอะขึ้น c อาจผลิตอินซูลินได้น้อยลง โดยมาจากปัจจัยต่าง ๆ ทั้ง น้ำหนักเกิน ไม่ค่อยออกกำลังกาย กินของหวาน ความเครียด รวมถึงพันธุกรรม ทั้งหมดนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคเบาหวาน เพราะมีน้ำตาลในเลือดสูง ที่ผ่านมา เราสามารถใช้อินซูลินฉีดเข้าไปตรง ๆ แต่นั่นไม่ใช่วิธีการรักษาที่ยั่งยืน หากคนไข้ขาดวินัยในการกิน ก็จะกลับมาเป็นอีก

ทีมวิจัยจึงได้สร้างยาชนิดหนึ่งที่สามารถเพิ่มจำนวน Beta Cell ให้กลับมาผลิตอินซูลินได้เหมือนเดิม พวกเขาได้ทดลองในหนูที่เป็นเบาหวาน ผลลัพธ์คือ ยาสามารถเพิ่มจำนวน Beta Cell ในหนูทดลองได้ถึง 700% ภายในระยะเวลา 3 เดือน

ทำไมการค้นพบนี้ถึงสำคัญ?
+มันสามารถแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ แทนที่จะเพียงแค่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ยาตัวใหม่นี้มุ่งเน้นไปที่การแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุของโรคเบาหวาน นั่นคือ การเพิ่มจำนวนเซลล์ที่ผลิตอินซูลินให้กลับมาทำงานได้ตามปกติ

+ เพิ่มโอกาสในการหายขาด หากการทดลองในมนุษย์ประสบความสำเร็จ ยาตัวนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการรักษาโรคเบาหวานให้หายขาดได้ในอนาคต และทำให้ผู้ป่วยกลับมามีชีวิตที่ดีขึ้นครับ

ที่มา
techspot

ไม่เป็นส่วนตัว Apple เตือนสาวก iPhone เลิกเข้าเว็บผ่าน Chrome

[ฉันอยากจะย้ำ] เป็นที่ทราบกันดีว่า Apple และ Google คือคู่แข่งตลอดกาล โดยเฉพาะเรื่องบริการออนไลน์ต่าง ๆ ล่าสุดทาง Apple ได้ออกโฆษณา ‘Privacy on iPhone’ ชูการใช้ Safari ที่จะไม่แอบจับตามองการเข้าเว็บผู้ใช้ เหมือนเบราเซอร์บางตัว..

รายงานจาก Forbes เผยผู้ใช้ iPhone ประมาณ 30% มีการใช้เบราเซอร์ Chrome แทน Safari ซึ่ง Google ก็มีแผนเพิ่มผู้ใช้เป็น 50% ในเร็ว ๆ นี้ แน่นอนว่าฝั่ง Apple คงไม่ยอมง่าย ๆ จึงส่งแคมเปญ ‘Privacy’ โดยมาทั้งป้ายโฆษณา คลิปโฆษณา ยันโฆษณาในเว็บ ทั้งหมดต่างก็ชูว่า Safari คือเบราเซอร์ที่ให้ความเป็นส่วนตัว หากใช้เบราเซอร์อื่นก็อาจเสี่ยงถูกส่องการใช้งานได้นะ

แม้ Apple ไม่ได้บอกตรง ๆ ว่าเป็นเบราเซอร์ไหน แต่ผู้ใช้หลายคนก็เดาได้ว่าเป็น Google Chrome แน่ ๆ โดยทาง Forbes เผยเลยว่าโหมดกึ่งความเป็นส่วนตัวของ Chrome นั้น พบมีความเป็นส่วนตัวน้อยกว่าที่ผู้ใช้คิดไว้มาก และในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาก็พบอีกว่า Google แอบรวบรวมข้อมูลผู้ใช้ Chrome จากอุปกรณ์ต่าง ๆ แม้จะมีการตั้งค่าปิดซ่อนอยู่ ทว่าก็ไม่สามารถปิดใช้งานได้จริง ๆ

ในงานเปิดตัว Apple Intelligence ก็เห็นได้ชัดว่า Apple ชูเรื่อง Privacy เป็นพิเศษ ระดับที่มีเซิร์ฟเวอร์คลาวด์ AI แบบที่ไม่เก็บข้อมูลผู้ใช้ เพราะจะมีการลบข้อมูลใช้งานทันที พร้อมท้าให้ผู้เชี่ยวชาญเข้ามาตรวจสอบโค้ด (Soud Code) ที่รันหรือทำงานอยู่เบื้องหลังได้อีก เรียกได้ว่างานนี้ทาง Apple เตรียมชนกับ Google Chrome อย่างจริงจังมากขึ้น

ที่มา : Forbes

Meta ยอมเลี่ยง เลิกให้บริการ AI ในยุโรป หลังกฏ EU ปรับกฎเข้ม

[ขอไม่เสี่ยง] นอกจาก Apple แล้ว อีกบริษัทที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับสหภาพยุโรป (EU) มานานเหมือนกันคือ Meta หรือบริษัทแม่ของ Facebook ในปัจจุบัน ล่าสุดมีรายงานเผยทางบริษัท จะไม่เปิดให้ใช้บริการ AI ในแถบยุโรป เพราะมีกฎระเบียบที่ซับซ้อน

คล้ายกันกับกรณีของ Apple ที่ไม่เปิดตัวฟีเจอร์ Apple Intelligence ในยุโรป เนื่องจากข้อกังวลด้านกฎระเบียบ ทางด้าน Meta ก็มีความกังวลแบบเดียวกัน โดยมองเลยว่าทาง EU ขาดความชัดเจน ซึ่งอาจส่งผลต่อบริการ AI ต่าง ๆ ของตนเองในอนาคต

เริ่มแรกทาง Meta มีแผนเปิดตัว LLaMA หนึ่งในโมเดล AI ขนาดใหญ่จาก LLM ที่ทางบริษัทพัฒนาขึ้นเอง ซึ่งสามารถเข้าถึงข้อความ เสียง และรูปภาพได้ ทั้งยังเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะ ระดับที่สามารถช่วยงานนักวิจัยหรือวิศวกรได้อีกด้วย

สำหรับตัว LLaMA ทาง Meta ได้กล่าวกับ Axios เว็บไซต์สื่อของสหรัฐฯ เลยว่า บริษัทมีแผนจะเปิดตัวบริการ AI นี้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้แล้ว ทว่าจะไม่มีในแถบยุโรป เนื่องจากมีสภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบของที่คาดเดาไม่ได้

ย้อนกลับไปในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา Meta เคยประกาศว่าจะนำโพสต์ผู้ใช้ Facebook และ Instagram ที่เปิดเป็นสาธารณะ มาฝึกอบรมโมเดล AI ของตัวเองในอนาคต ทว่าก็ถูกทาง EU สั่งห้ามก่อน สร้างความงุนงงให้ไม่น้อย ซึ่งทาง Meta กล่าวว่าหากไม่มีข้อมูลส่วนนี้ ก็จะทำให้บริการ AI ขาดประสิทธิภาพไปเลย ทำให้ผู้ใช้ในยุโรปใช้งาน AI ได้ไม่เต็มที่

การระงับโมเดล AI ของ Meta นี้ อาจส่งผลกระทบในวงกว้าง โดยเฉพาะกับบริษัทต่าง ๆ ที่มีแผนใช้ AI ตัวนี้สร้างบริการต่าง ๆ ในยุโรป อย่างไรก็ตามทาง Meta จะมีเปิดตัว LLaMA 3 ที่เป็นโมเดล AI สำหรับข้อความเพียงอย่างเดียวในยุโรป ข้อกังวลหลัก ๆ คือไม่พ้นการนำข้อมูลมาฝึกอบรมตัว AI ที่จะต้องมาจากข้อมูลผู้ใช้ในยุโรป ซึ่งปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลอย่าง GDPR ด้วยนั้นเอง โดยหวังว่าจะไม่ติดขัดอะไรอีก

ที่มา : Engadget

ผลสำรวจชัด คนส่วนมากเชื่อ AI มีความคิดเป็นของตัวเอง

[จริงจัง ?] จนถึงตอนนี้ เชื่อว่าหลายคนก็ยังคงทึ่งกับ ChatGPT หรือแชท AI ตัวอื่น ๆ ที่นับวันยิ่งโต้ตอบได้เป็นธรรมชาติและฉลาดมากขึ้นเรื่อย ๆ ทว่าก็ไม่ 100% สมบูรณ์แบบซะทั้งหมด ยังต้องรอแก้ไขกันต่อไป แต่ล่าสุดพบแบบสำรวจหนึ่งในสหรัฐฯ เผยพบคนส่วนมากเชื่อสนิท ว่าแชทบอต AI เหล่านี้มีสติปัญญา !?

แบบสำรวจคนในสหรัฐฯ จำนวน 300 คนจากมหาวิทยาลัยวอเตอร์ลู (UW) พบกว่าสองในสาม (67%) ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า Large Language Model (LLM) ที่เป็นเบื้องหลังแชท AI ทั้งหลาย มีระดับจิตสำนึก เชื่อว่า LLM สามารถรับรู้และวางแผน สามารถใช้เหตุผลและมีอารมณ์มีความรู้สึกอีกด้วย

จุดน่าสนใจต่อมาคือ คนเหล่านี้ใช้ผลิตภัณฑ์ของ OpenAI เช่น ChatGPT บ่อยแค่ไหน ในแบบสำรวจก็ได้แบ่งคะแนนนไว้ระดับ 1 ถึง 100 พบคนที่ใช้งานบ่อย ๆ ก็จะยิ่งเชื่อว่า ChatGPT มีความคิดเป็นของตัวเอง

Dr. Clara Colombatto ศาสตราจารย์ภาควิชาจิตวิทยาของมหาวิทยาลัยวอเตอร์ลู ได้กล่าวถึงผลลัพธ์นี้เลยว่า มันคือการแสดงให้เห็นถึงพลังของภาษา เพียงแค่การสนทนาอย่างเดียว ก็ทำให้คนเราคิดว่าสิ่ง ๆ นั้นเป็นตัวแทนที่มีรูปลักษณ์และมีจิตใจได้แล้ว ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ ก็จะปฏิเสธว่า AI มีจิตใจ

ในวารสาร Neuroscience of Consciousness ได้ระบุถึงความเชื่อนี้ว่า “ผู้ใช้เริ่มพึ่งพา AI มากเกินไป” มากจนอาจถึงขั้นใช้เป็นตัวช่วยการตัดสินใจที่สำคัญเลยก็ยังได้ ฉะนั้นในแบบสำรวจนี้ก็เป็นการชี้ให้เห็นถึงการพัฒนา AI ว่า ควรต้องมีการออกแบบและควบคุมการใช้งานที่ปลอดภัยให้มากขึ้น

ครั้งหนึ่งเคยมีผู้ใช้ถาม ChatGPT ว่า มีสติหรือความรู้สึกหรือไหม ? คำตอบที่ได้รับคือ “ฉันไม่ได้มีสติหรือมีความรู้สึก ฉันไม่มีความคิด ความรู้สึก หรือการรับรู้ ฉันถูกออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือและให้ข้อมูลตามรูปแบบในข้อมูล แต่ไม่มีจิตสำนึกอยู่เบื้องหลังคำตอบของฉัน” โดยคำตอบนี้มีบางคนเชื่อว่าแชทบอทกำลังโกหก

ที่มา : Techspot

ฟูจิฟิล์ม เผยโฉมนวัตกรรมโปรเจคเตอร์ “Fujifilm FP-Z8000” ในงาน Infocomm Asia 2024 (IFASIA 2024)

บริษัท ฟูจิฟิล์ม (ประเทศไทย) จำกัด ตอกย้ำผู้นำนวัตกรรมยุคดิจิทัลครบวงจร เดินหน้าเขย่าตลาดโปรเจคเตอร์ระดับมืออาชีพด้วยการเผยโฉมนวัตกรรมล้ำสมัย “Fujifilm FP-Z8000 โปรเจคเตอร์ที่มาทลายข้อจำกัดของการฉายภาพคมชัดทุกรายละเอียดในแบบ Ultra-Short Throw ด้วยฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์การใช้งานทุกพื้นที่และสภาพแสง รองรับความต้องการทุกอุตสาหกรรม ทั้งการใช้งานในองค์กร การศึกษา อุตสาหกรรมความบันเทิง โรงแรม อีเวนต์ การโฆษณา การท่องเที่ยว ตลอดจนงานนำเสนอเชิงสร้างสรรค์ของพิพิธภัณฑ์และนิทรรศการศิลปะ โดยฟูจิฟิล์ม ได้นำนวัตกรรมเครื่องฉายภาพล่าสุด Fujifilm FP-Z8000 ไปจัดแสดงที่งาน InfoComm Asia 2024 นิทรรศการภาพและเสียงระดับมืออาชีพ (Pro AV) ครั้งยิ่งใหญ่ประจำภูมิภาคเอเชียที่รวมเทคโนโลยีจากแบรนด์ชั้นนำระดับโลก ซึ่งปีนี้จัดขึ้นที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ โดยบูธของฟูจิฟิล์มได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการชั้นนำทั่วทั้งเอเชียที่มาร่วมสัมผัสนวัตกรรมโปรเจคเตอร์สุดล้ำภายในงาน

โปรเจคเตอร์ Fujifilm FP-Z8000 มาพร้อมเทคโนโลยีการฉายภาพล้ำสมัยจากฟูจิฟิล์ม ที่พัฒนาขึ้นเพื่อปลดล็อกข้อจำกัดของการแสดงภาพสวยสด-คมชัดและสามารถฉายได้บนทุกพื้นที่ ฟูจิฟิล์ม ได้ต่อยอดประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านภาพและเลนส์คุณภาพสูงที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก เพื่อรังสรรค์นวัตกรรมโปรเจคเตอร์ที่พร้อมตอบโจทย์ทุกวงการมืออาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพ

พบกับฟีเจอร์เด่นของ Fujifilm FP-Z8000

  • ปลดปล่อยพลังแห่งภาพด้วยค่าความสว่าง 8,000 ลูเมน: โปรเจคเตอร์ Fujifilm FP-Z8000 มาพร้อมความสว่าง 8,000 ลูเมน พร้อมเลนส์คุณภาพสูงและนวัตกรรมการฉายภาพจากฟูจิฟิล์มที่ขจัดปัญหาภาพเบลอที่มุมขอบหรือมัวในบางจุด โดย Fujifilm FP-Z8000 มอบภาพที่คมชัด สีสดใส ทุกพื้นที่ สร้างความประทับใจและดึงดูดสายตาของทุกคนได้ในทุกสถานการณ์และทุกสภาพแสง
  • เติมเต็มทุกพื้นที่แบบไร้ขีดจำกัดด้วยเลนส์ Ultra-Short Throw: ฟูจิฟิล์มต่อยอดความเชี่ยวชาญในการผลิตเลนส์คุณภาพสูงสำหรับกล้องถ่ายรูปและวิดีโอ มาสร้างสรรค์เลนส์ Ultra-Short Throw ที่ทำให้ผู้ใช้งานสามารถวาง FP-Z8000 ไว้ใกล้กับหน้าจอได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงา เหมาะสำหรับพื้นที่แคบแต่ฉายภาพขนาดใหญ่ได้
    อย่างสบาย ๆ
    นอกจากนี้ยังสามารถติดตั้งเครื่องไว้ที่พื้น เพดาน หรือผนังเพื่อเปิดประสบการณ์นำเสนองานในมุมมองใหม่ ๆ ทั้งฉายบนเพดาน บนพื้น หรือมุมแคบบนผนัง เพราะแกนหมุนเลนส์ของ FP-Z8000 สามารถปรับมุมมองได้ตามองศาที่ต้องการโดยไม่ต้องหันเครื่องไปในทิศทางนั้น ๆ ทั้งยังฉายภาพแบบแนวตั้งได้โดยไม่ต้องเอียงตัวเครื่อง โปรเจคเตอร์ Fujifilm FP-Z8000 ยังมาพร้อมเทคโนโลยี Zero-offset Projection ซึ่งเหนือกว่าโปรเจคเตอร์แบบ Ultra-short Throw ทั่วไปเพราะสามารถฉายภาพได้ตรงกลางหน้าจอโดยไม่ต้องเผื่อระยะ จุดเด่นเหล่านี้ทำให้ FP-Z8000 เหมาะสำหรับการฉายงานสร้างสรรค์ของวงการศิลปะและตอบโจทย์การใช้งานของอาร์ตแกลเลอรีและพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ต้องการฉีกกรอบการฉายภาพผลงานแบบเดิม ๆ
  • ดีไซน์สวย กะทัดรัด ใช้งานง่ายและเชื่อมต่อไร้สะดุด: FP-Z8000 ชูดีไซน์ที่ล้ำสมัย สวยเรียบในสไตล์มินิมอล ตัวเครื่องมีขนาดกะทัดรัดและน้ำหนักเบาราว 18 กิโลกรัม ทำให้เคลื่อนย้ายและติดตั้งสะดวก นอกจากนี้ ยังมีอินเทอร์เฟซที่เข้าใจง่าย ใช้งานและควบคุมได้สะดวก พร้อมรองรับการเชื่อมต่อที่หลากหลาย ผ่านพอร์ต HDMI, DisplayPort, VGA และ USB เพื่อการใช้งานที่ไร้รอยต่อ

ฟูจิฟิล์ม มั่นใจโปรเจคเตอร์ FP-Z8000 ใหม่ล่าสุดเปี่ยมศักยภาพและนวัตกรรมล้ำสมัยพร้อมเจาะตลาดโปรเจคเตอร์สำหรับการใช้งานระดับมืออาชีพในทุกอุตสาหกรรม ตั้งแต่ห้องประชุมในองค์กรและสถาบันการศึกษา ไปจนถึงวงการบันเทิง โฆษณา อีเวนต์ ตลอดจนนิทรรศการศิลปะและพิพิธภัณฑ์ ที่ทุกรายละเอียดของภาพส่งผลต่อประสบการณ์และความรู้สึกของผู้รับชม

 ฟูจิฟิล์ม ยังคงมุ่งมั่นนำเสนอนวัตกรรมครบวงจรมายกระดับวงการภาพยุคใหม่ เพื่อส่งเสริมชีวิตยุคดิจิทัลที่สะดวกสบายและตอบโจทย์ความต้องการของอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

ร่วมสัมผัสโปรเจคเตอร์สุดล้ำกับ Fujifilm FPZ8000 ได้ที่บูธ B10 ในงาน InfoComm Asia 2024 ตั้งแต่วันที่ 17-19 ก.ค. 2567 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ พร้อมดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Fujifilm FPZ8000 ได้ที่ fujifilm.com/th/en/business/optical-devices/projector/fp-z8000 ผู้ที่สนใจสินค้าโปรดติดต่อ fujifilmth.opticaldevices@fujifilm.com

แพลตฟอร์มใหม่ เชื่อมต่อแหวนอัจฉริยะ ตรวจจับคลื่นหัวใจผิดปกติ

ปัจจุบัน อุปกรณ์อย่าง Apple Watch นั้นก็สามารถติดตามข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพของเราได้เป็นอย่างดี รวมทั้งสามารถติดตามภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ด้วย แต่การใส่นาฬิกานอนทุกคืน มันก็อาจทำให้เรารู้สึกรำคาญได้

ล่าสุด Ultrahuman เปิดตัวแพลตฟอร์ม PowerPlugs ที่สามารถติดตามภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ (AFib) เป็นครั้งแรกของโลกที่ทำงานร่วมกับ Ring AIR (แหวนอัจฉริยะ) ซึ่งนอกจากนี้ ยังมีแอปพลิเคชันอื่นๆ อีกมากมายที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดตามสุขภาพได้อย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นการติดตามปริมาณคาเฟอีนที่ดื่ม การตรวจสอบภาวะเจ็ตแล็ก หรือแม้แต่การวางแผนการตั้งครรภ์

สำหรับ AFib หรือ Atrial Fibrillation เป็นภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดหนึ่งที่เกิดห้องบนของหัวใจ ซึ่งจะทำให้หัวใจเต้นเร็วและไม่สม่ำเสมอ มีโอกาสทำให้เลือดคั่งในหัวใจและอาจก่อให้เกิดลิ่มเลือดอุดตัน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหลอดเลือดสมอง

สำหรับ PowerPlug มันสามารถปรับแต่งสุขภาพได้ตามต้องการ ผู้ใช้สามารถเลือกแอปพลิเคชันที่ต้องการใช้งานได้เอง เพื่อให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์และเป้าหมายสุขภาพของแต่ละบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมน้ำหนัก การปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับ หรือการดูแลสุขภาพสตรี หรือแม้กระทั่งการติดตั้งภาวะ AFib

Ultrahuman Ring AIR ที่พร้อมฟังก์ชัน AFib Detection นั้นถือเป็นก้าวสำคัญของเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพที่ช่วยให้ผู้คนสามารถเข้าถึงข้อมูลสุขภาพของตนเองได้อย่างง่ายดาย และนำไปสู่การดูแลสุขภาพที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน

แต่ข้อควรระวังสำหรับอุปกรณ์อัจฉริยะเหล่านี้ คือมันไม่ใช่การวินิจฉัยของแพทย์ ถ้าพบเจออาการควรรีบพบหมอเพื่อตรวจสอบโดยละเอียดอีกทีครับ

ที่มา
https://newatlas.com/technology/ultrahuman-smart-ring-app-platform/

คุมเข้ม สหรัฐเสนอกฎหมายใหม่ สกัดใช้ AI สร้าง Deepfake

[ก่อนบานปลาย] ความสะดวกที่ได้จาก AI นับว่ามหาศาล ทว่าขณะเดียวกันก็สร้างความกังวลด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะหากมีการนำไปใช้ในทางที่ผิด ไม่ว่าจะเป็น Deepfake , ข่าวปลอม หรือเนื้อหาที่มีลิขสิทธิ์ ล่าสุดทางวุฒิสภาสหรัฐฯ ได้เสนอร่างกฎหมายใหม่เพื่อควบคุมแล้ว โดยคุมตั้งแต่การพัฒนากันเลย

ปัจจุบันพบการใช้ AI ปลอมแปลงข้อมูลต่าง ๆ มากมาย ทั้งการใช้ Deepfake เพื่อปลอมแปลงใบหน้าเป็นคนดัง หรือคนอื่น ๆ ให้เกิดความเสียหาย การใช้ให้ช่วยเขียนเนื้อหาหรือข่าวปลอม หากปล่อยไว้นาน ๆ ย่อมไม่เป็นผลดีแน่ เป็นเหตุให้ทางด้านวุฒิสภาของรัฐบาลสหรัฐฯ ได้เสนอร่างกฏหมายใหม่ในชื่อว่า

Content Origin Protection and Integrity from Edited and Deepfaked Media Act (COPIED Act) ว่าด้วยการคุ้มครองแหล่งที่มาและความสมบูรณ์ของเนื้อหา พร้อมกับควบคุมการใช้เทคโนโลยี Deepfake ที่ผิดจรรยาบรรณ โดยจะเริ่มตั้งแต่การฝึกอบรมโมเดล AI หรือ Machine Learning ทั้งนี้ยังคุมไปถึงเนื้อหาที่มีลิขสิทธิ์ด้วย

ตัวร่างกฏหมายถูกเสนอและสนับสนุนโดยทั้ง Maria Cantwell จากวอชิงตัน กับ Martin Heinrich จากนิวเม็กซิโก พรรคเดโมแครต และ Marsha Blackburn จากเทนเนสซี พรรครีพับลิกัน

“ปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ทำให้มีผู้ไม่หวังดีสามารถสร้าง Deepfakes ให้กับทุกคนโดยไม่ได้รับความยินยอมได้ และยังมีการแสวงหาผลกำไรจากเนื้อหาปลอมอีก” Marsha Blackburn กล่าว

ด้านวุฒิสมาชิกยังมองว่า “Deepfake เป็นภัยคุกคามต่อประชาธิปไตยอย่างแท้จริง” จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่ากฏหมายนี้จะช่วยแก้ไขปัญหาได้ และช่วยปราบปรามเนื้อหาที่สร้างโดย AI ที่เป็นอันตรายกับหลอกลวงไปพร้อม ๆ กันด้วย ซึ่งจะช่วยปกป้องทั้งนักข่าว ศิลปิน และเหล่า Creator ได้ดีขึ้น จากการถูก AI นำเนื้อหาไปใช้โดยไม่ได้รับความยินยอม

ท้ายนี้ตัวร่างกฏหมายได้รับการสนับสนุนจากทั้งฝั่งผู้ผลิตเนื้อหามากมาย ไม่ว่าจะเป็น สมาคมนักแต่งเพลงนานาชาติแนชวิลล์, SAG-AFTRA, สมาคมผู้จัดพิมพ์เพลงแห่งชาติ, RIAA และองค์กรออกอากาศและหนังสือพิมพ์อีกหลายแห่ง โดยต่างออกมาชื่นชมในความพยายามครั้งนี้ ส่วนฝั่ง Google, Microsoft, OpenAI และผู้ให้บริการ AI รายอื่น ๆ ยังไม่มีความเคลื่อนไหว

ที่มา : Techspot

เปลี่ยนคอมเก่าให้เร็วขึ้น ย้ายข้อมูลอย่างไวได้ ไม่ต้องรอนาน

เปลี่ยนคอมเก่าให้เร็วขึ้นด้วย SSD แบบที่ย้ายข้อมูลอย่างไวได้ ไม่ต้องรอนาน

Techhub แนะนำวิธีย้ายข้อมูลจาก HDD รุ่นเก่า ไปยัง SSD ใหม่ แบบไม่ต้องลง Windows ใหม่ ข้อมูลทุกอย่างจะย้ายไปด้วยกัน โดยใช้วิธี System Migration มาดูวิธีทำแบบง่ายๆ กันได้เลย

1. เข้าไปดาวน์โหลดโปรแกรม DiskGenius ที่นี่ ติดตั้งโปรแกรมและใส่ SSD ที่เราต้องการจะย้ายข้อมูลไว้กับเครื่อง ต่อมาเลือก HDD ของเรา > คลิกที่ OSMigration

 

2. เลือกดิสก์ SSD ปลายทางที่ต้องการย้ายข้อมูลไปลง

 


**
คำเตือน: ไฟล์และพาร์ติชั่นบนดิสก์ที่เลือกจะถูกลบทำให้ว่าง ดังนั้นตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีข้อมูลสำคัญอะไรค้างใน SSD ที่ต้องการย้าย

3. กำหนดขนาดพาร์ติชันบนดิสก์ SSD ที่ต้องการ สามารถลากลูกศรระหว่างพาร์ติชันเพื่อกำหนดขนาดพาร์ติชันบนดิสก์ปลายทางได้


4.
พอจัดการข้อมูลที่ต้องการเสร็จแล้วก็กดปุ่ม Start เริ่มต้นการย้ายได้เลย

 

5. เลือกวิธีการย้ายระบบ (เลือก Hot Migration)
– Hot Migration: DiskGenius ย้ายระบบปฏิบัติการไปยังดิสก์เป้าหมายโดยไม่ต้องปิดระบบ
– Reboot WinPE: คอมพิวเตอร์จะรีบูตเป็นรุ่น DiskGenius WinPE เพื่อทำการโยกย้ายระบบให้เสร็จสมบูรณ์

 

6. รอให้กระบวนการย้ายระบบปฏิบัติการเสร็จสิ้น 

ข้อควรระวัง!: การย้ายระบบจะลบข้อมูลและพาร์ติชั่นที่มีอยู่ทั้งหมดบนดิสก์ใหม่ โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าไฟล์สำคัญบนดิสก์ได้รับการสำรองข้อมูลไว้ล่วงหน้าและอย่ารีบฟอร์แมตดิสก์ระบบดั้งเดิมหรือล้างข้อมูลก่อนที่จะแน่ใจว่าคอมพิวเตอร์ของคุณสามารถบูตจากดิสก์เป้าหมายได้สำเร็จ

Hot Issue