Home Blog Page 46

Whoscall ผนึกกำลังตำรวจไซเบอร์ส่งแคมเปญปกป้องแม่-ลูกจากมิจฉาชีพทางโทรศัพท์ พร้อมมอบของขวัญวันแม่สุดล้ำค่า ด้วยการแจกโค้ด Whoscall พรีเมียม 500,000 โค้ด ฟรี! ถึง 31 สิงหาคม 2567

Gogolook บริษัทผู้นำด้านเทคโนโลยีเพื่อความเชื่อมั่น (TrustTech) ผู้พัฒนา แอปพลิเคชัน Whoscall แอปพลิเคชันระบุตัวตนสายเรียกเข้าที่ไม่รู้จัก และป้องกันสแปมสำหรับสมาร์ทโฟน ร่วมกับกองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) จึงถือโอกาสช่วงเทศกาลวันแม่ส่งวิดีโอแคมเปญ #ไม่มีใครตัดสายเก่งเท่าแม่คุณ ชวนลูกทุกคนมอบของขวัญสุดล้ำค่าเพื่อปกป้องแม่ ด้วยการโหลดแอปฯ Whoscall พร้อมแจกโค้ด Whoscall พรีเมียม เบสิก ฟรี! 2 เดือน ตั้งแต่วันนี้ – 31 สิงหาคม 2567

จากสถิติการรับแจ้งความออนไลน์ล่าสุดของ บช.สอท. ระหว่างเดือน มีนาคม 2565 – มิถุนายน 2567 เผยให้เห็นว่าคนไทยตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพมากกว่า 575,500 คดี มูลค่าความเสียหายสะสมกว่า 65,715 ล้านบาท หรือ เฉลี่ยมูลค่าความเสียหายวันละ 80 ล้านบาท โดย 64% เกิดขึ้นกับกลุ่มเพศหญิงวัยทำงานตอนกลางจนถึงวัยสูงอายุ ตั้งแต่อายุ 30 – 60 ปีขึ้นไป สูงถึงกว่า 248,800 คดี ดังนั้น Gogolook ในฐานะบริษัทที่มีความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ในการป้องกันกลลวงจากมิจฉาชีพ พร้อมส่งเสริมให้ทุกคนหันมาปกปัองคนที่คุณรักจากภัยคุกคามจากการหลอกลวงในรูปแบบต่างๆ

นางสาว มนประภา รัตนกนกพร หัวหน้าฝ่ายการตลาด บริษัท โกโกลุก (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้บริการแอปพลิเคชัน Whoscall กล่าวว่า “การปกป้อง ‘แม่’ หรือผู้สูงอายุจากมิจฉาชีพเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งในปัจจุบันในขณะที่เราสามารถปกป้องมิจฉาชีพได้ด้วยตนเอง ‘แม่’ ของเราอาจรู้ไม่เท่าทัน โดยจากการสำรวจของบริษัทเมื่อไม่นานมานี้ พบว่า การมีเงินเก็บเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นเงินออม เงินเกษียณ หรือ เงินบำนาญ และความไม่ชำนาญในการใช้เทคโนโลยีที่ซับซ้อน เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้สูงอายุมักตกเป็นเป้าหมายของมิจฉาชีพ ซึ่งปัจจุบัน Whoscall เป็นหนึ่งในแอปพลิเคชันที่ไทยนิยมใช้มากที่สุดสำหรับการป้องกันภัยจากมิจฉาชีพ ดังนั้นในช่วงเทศกาลวันแม่ปีนี้ เราจึงได้ร่วมมือกับ บช.สอท. ออกวิดีโอแคมเปญ เพื่อร่วมรณรงค์การเฝ้าระวังภัยจากมิจฉาชีพ พร้อมจัดกิจกรรมแจกโค้ด Whoscall พรีเมียม เบสิก ฟรี เป็นของขวัญสุดล้ำค่าให้แก่คนที่เรารัก”

วิดีโอแคมเปญภายใต้คอนเซปต์ #ไม่มีใครตัดสายเก่งเท่าแม่คุณ ที่จะปล่อยออกมาในช่วงเทศกาลวันแม่นี้ เป็นการนำเสนอไอเดียการสื่อสารผ่านหนังโฆษณาที่มุ่งเน้นไปที่การปกป้องผู้ใช้จากการรับสายและข้อความที่ไม่พึงประสงค์ โดยแคมเปญนี้ได้มีการหยิบยกเคสตัวอย่างจริง ซึ่งทางแบรนด์ได้มีการตรวจสอบและขออนุญาตจากผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายแล้ว โดยเคสที่หยิบยกขึ้นมาเป็นเคสตัวอย่างของคุณแม่หลายท่านที่ถูกมิจฉาชีพหลอกเงิน ตามมาด้วยความสูญเสีย

มหาศาลทั้งทางทรัพย์สินและสภาพจิตใจ ที่มาพร้อมวลีเด็ด “อย่าให้ค่าน้ำนมกลายเป็นค่าเสียหาย” เพื่อเป็นการย้ำเตือนให้ลูกๆ ตระหนักถึงปัญหา และอยากถือโอกาสเชิญชวนลูกทุกคนลุกขึ้นมาร่วมมือกันปกป้องคุณแม่จากมิจฉาชีพด้วยการโหลดแอปพลิเคชัน Whoscall และแจ้งเบาะแสของการหลอกลวงกับสายด่วนตำรวจไซเบอร์ 1441

พ.ต.ท. ดร.ปุริมพัฒน์ ธนาพันธ์สิริ รอง ผกก.4 บก.สอท.1 ผู้แทนหน่วยกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กล่าวว่า “จากข่าวมิจฉาชีพที่ได้เห็นกันมาตลอด ทำให้คนไทยเริ่มตื่นตัวและระวังภัยจากมิจฉาชีพที่เข้ามาในรูปแบบต่างๆ กันมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่มักจะเป็นคนรุ่นใหม่ที่อัพสกิลการเอาตัวรอด และรู้วิธีการต่อกรกับมิจฉาชีพในคราบคอลเซ็นเตอร์หลากหลายรูปแบบได้ แต่ไม่ใช่กับคนรุ่นแม่หรือผู้สูงอายุ จากสถิติล่าสุดของ บช.สอท. สามารถสรุปได้ว่า กลุ่มผู้หญิงวัยทำงานไปจนถึงผู้สูงวัย หรือบรรดาแม่ เป็นเป้าหมายหลักของมิจฉาชีพ โดยคดีการหลอกลวงทางออนไลน์จากมิจฉาชีพที่สร้างมูลค่าความเสียหายให้กับประเทศไทยมากที่สุด คือ ‘คดีหลอกให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์’ โดยมีมูลค่าความเสียหายรวมเกือบ 7 หมื่นล้านบาท ยังไม่รวมถึงคดีที่อยู่ในระบบออฟไลน์ หรือผู้ที่ไม่ได้มาแจ้งความ ดังนั้นความร่วมมือกับ Whoscall ถือเป็นความร่วมมือที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะสม ในจังหวะที่ สถานการณ์มีความรุนแรง และมูลค่าความเสียหายสะสมมีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ เราพร้อมร่วมมือกับ Whoscall เพื่อปกป้องชุมชนจากภัยคุกคาม และป้องกันกลุ่มผู้สูงอายุที่มีความเปราะบางมากที่สุด”

ดังนั้นพิเศษ! ในช่วงเทศกาลวันแม่ปีนี้ Whoscall จัดกิจกรรมแจกโค้ด Whoscall พรีเมียม เบสิก เป็นระยะเวลา 2 เดือน ให้ทั้งแม่และลูก ฟรี! จำนวน 500,000 โค้ด รวมมูลค่ากว่า 29 ล้านบาท

ผู้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Whoscall ได้ฟรี! ทั้ง iOS และ Android และ กรอกโค้ด WHOSCALLSAVEMOM ที่ https://redeem.whoscall.com/ เพื่อเข้าถึงฟีเจอร์การใช้งานต่างๆ อาทิเช่น การบล็อกสายมิจฉาชีพ ระบบอัพเดทหมายเลขโทรศัพท์ภายในเครื่องโดยอัตโนมัติ รวมไปถึงการป้องกันลิงก์จาก SMS ปลอม ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 สิงหาคม 2567

สามารถรับชมวิดีโอแคมเปญได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=5cLr3l7JoPE

สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Whoscall ได้ฟรี! ทั้ง iOS และ Android ที่ https://app.adjust.com/1fh6zchh

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://whoscall.com/th/blog/articles/1306  และ https://www.facebook.com/whoscall.thailand

#ไม่มีใครตัดสายเก่งเท่าแม่คุณ #อย่าให้ค่าน้ำนมเป็นค่าเสียหาย #แม่ไม่ใช่เหยื่อของโจรอีกต่อไป #Whoscall #แอปกันมิจฉาชีพ

ETDA ประกาศผล EDC Pitching Season 2 ทีม Play Spirit คว้าสุดยอดแคมเปญแห่งปี Digital Wellness Lifestyle

สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จับมือพาร์ทเนอร์ ได้แก่ มูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย, เทใจดอทคอม, มูลนิธิคีนันแห่งเอเซีย และ บริษัท เด็กดี อินเตอร์แอคทีฟ จำกัด (Dek-D) จัดใหญ่ EDC Pitching Season 2 รอบชิงชนะเลิศ ภายใต้แนวคิด “Digital Wellness Lifestyle” ที่ SCBX NEXT TECH ชั้น 4 สยามพารากอน จาก 69 ทีม คัดเลือกและแข่งขันอย่างเข้มข้น จนในที่สุด ทีม Play Spirit จากแคมเปญ “Play Spirit: Happy Clear Screen” ชนะใจกรรมการ คว้ารางวัลชนะเลิศ สุดยอดแคมเปญที่รณรงค์การใช้ชีวิตออนไลน์แบบเหมาะสม พอดีและมีสติ จนรับเงินรางวัล 80,000 บาท และโอกาสในการร่วมเป็นเครือข่ายพลเมืองดิจิทัลคุณภาพ ต่อยอดผลงานสู่การใช้งานจริงโดยผนวกกับหลักสูตร ETDA Digital Citizen หรือ EDC

นายชัยชนะ มิตรพันธ์ ผู้อำนวยการ ETDA เปิดเผยว่า อย่างที่เราทราบ วันนี้คนไทยใช้อินเทอร์เน็ตติด Top อันดับต้นๆ ของโลก จากรายงาน ‘Global Digital Report’ ปี 2024 พบว่า เราใช้เวลา 1 ใน 3 ของทั้งวัน หรือราวเกือบ 8 ชั่วโมง ไปกับการท่องโลกอินเทอร์เน็ต ทั้งการสตรีมมิ่ง ดูหนัง-ฟังเพลง การอ่านข้อมูล การทำงาน หรือแม้แต่การซื้อของออนไลน์ ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล

ที่นับวันจะยิ่งมีจำนวนของการใช้งานเพิ่มมากขึ้น ด้วยวิถีชีวิตติดออนไลน์ นอกจากนำไปใช้ในเชิงสร้างสรรค์แล้ว คงปฏิเสธไม่ได้ว่า สิ่งที่มาควบคู่เป็นเงาตามตัวนอกจากภัยคุกคามทางออนไลน์จากเหล่ามิจฉาชีพที่มาในทุกรูปแบบ ยังมีอีกประเด็นที่ ETDA อยากชวนฉุกคิด นั่นคือ ปัญหาสุขภาพทางกาย รวมไปถึงสุขภาวะทางใจ โดยผลการศึกษา Future of Thailand Digital Well-being โดย ศูนย์คาดการณ์อนาคต (Foresight Center by ETDA) จาก ETDA ได้เผยภาพสุขภาวะของคนไทยในอีก 10 ปีข้างหน้า ระบุว่า การใช้ชีวิตดิจิทัลอย่างไม่สมดุลนี้ อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพกายและใจที่รุนแรงมากขึ้นในอนาคต ในขณะที่รายงานดัชนีชี้วัดสุขภาวะดิจิทัล หรือ Thailand Cyber Wellness Index ได้สะท้อนภาพรวมของคนไทยมีสุขภาวะทางดิจิทัลอยู่ใน ระดับพื้นฐาน (Basic) โดยมีถึง 44.04% ที่ยังอยู่ใน ระดับต้องพัฒนา (Improvement) ข้อมูลเหล่านี้ ส่งผลให้คนไทยยังจำเป็นที่ต้องเพิ่มทักษะความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ดิจิทัลอย่างมีคุณภาพให้มากขึ้น

ดังนั้น ETDA ในฐานะหน่วยงานที่มีบทบาททั้งในมุมการกำกับดูแลธุรกิจบริการดิจิทัล แล้วยังมีในมุมของการส่งเสริมให้คนไทยมีความเชื่อมั่นในการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์อย่างปลอดภัยควบคู่กันไปด้วย จึงได้ผนวกเรื่องการใช้ชีวิตดิจิทัลอย่างมีสุขภาพดี (Digital Wellness Lifestyle) เข้ามาเป็นหนึ่งในแนวคิดสำคัญในงานขับเคลื่อนกิจกรรมและแคมเปญต่างๆ ภายใต้โปรเจค ETDA Digital Citizen หรือ EDC ทั้งการสอดแทรกอยู่ในเนื้อหาของ “หลักสูตรการสร้างความตระหนักรู้ในการใช้อินเทอร์เน็ต หรือ ETDA Digital Citizen (EDC)” ที่ตอนนี้ได้มีการพัฒนาเนื้อหาเป็น “หลักสูตร EDC Plus” ซึ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา โดยได้นำประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการใช้ดิจิทัลอย่างเหมาะสม พอดีและมีสติ เข้ามาผสานกับหลักสูตรในมิติ Digital Use หรือการใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม หนึ่งในโมดูลของหลักสูตร ที่ถือเป็นประเด็นหนึ่งที่ถูกพูดถึงในระดับนานาชาติ ซึ่งภายใต้หลักสูตร EDC นี้ ยังได้เผยแพร่สื่อที่เชื่อมโยงกับประเด็น Hot issue ในสังคมผ่านช่องทางต่างๆ ที่เข้าถึงคนไทยแล้วไม่น้อยกว่า 32.75 ล้านการเข้าชม กิจกรรมอบรมและถ่ายทอดความรู้ภายใต้หลักสูตรไปยังกลุ่มเป้าหมาย ทั้งเยาวชน (Gen Z) นักศึกษา ครู บุคลากรภาครัฐ สมาคมฯ รวมถึงคนพิการ และผู้ต้องขัง รวมแล้วกว่า 58,079 คน และอบรม EDC Trainer ที่พร้อมต่อยอดสู่การเป็นเทรนด์เนอร์ดิจิทัลส่งต่อความรู้ให้กับกลุ่มเป้าหมายในสังคมแล้ว 1,993 คน ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ต่อยอดขยายผลสู่การแข่งขันประกวดแคมเปญสร้างสรรค์สังคมดิจิทัลประจำปีกับ EDC Pitching Season 2 ที่ปีนี้มาในธีม “Digital Wellness Lifestyle” เพื่อเฟ้นหาสุดยอดแคมเปญรณรงค์จากคนรุ่นใหม่ ภายใต้ 3 โจทย์ย่อย ประกอบด้วย 1) Screen Time Management 2) Digital Detox และ 3) Digital Mindfulness ซึ่งตั้งแต่เริ่มกิจกรรมในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มีทีมสมัครเข้าร่วมกิจกรรมทั้งหมด 69 ทีม ก่อนคัดเลือกอย่างเข้มข้นให้เหลือ 10 ทีมสุดท้ายที่ได้ไปต่อ ได้แก่ 1. ทีมหน้าจอไม่ใช่โลกทั้งใบ 2. ทีมสตูดิโออยู่ในบ้าน 3. ทีมนอยด์อ่า 4. ทีมนางฟ้านางสวรรค์ 5. ทีม Play Spirit 6. ทีมขวัญตามหาชน (ไก่) 7. ทีม Yappy Yappah Aha! 8. ทีมทอมแอนด์เจอร์รี 9. ทีม KSR Green-White Power และ 10. ทีม MANTA RAY ซึ่งทุกทีมต่างก็ได้เข้าร่วมกิจกรรม Workshop เพื่อลับคมไอเดีย กับหลากหลายผู้เชี่ยวชาญทั้งจาก ETDA และภาคเอกชน

ก่อนเข้าสู่โค้งสุดท้าย ในวันนี้ (7 สิงหาคม) กับ กิจกรรม EDC Pitching Season 2 รอบชิงชนะเลิศ ที่ทุกทีมจะได้เข้าร่วมกิจกรรมการแข่งขันในรูปแบบ Pitching นำเสนอแผนแคมเปญและไอเดียที่จะเข้ามาช่วยรณรงค์และร่วมสร้างสุขภาพสังคมที่ดีให้คนไทยเกิดใช้งานออนไลน์อย่างพอดีและมีสติ ต่อเหล่าคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่ คุณอัจฉราพร หมุดระเด่น ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร จาก ETDA และ หัวหน้าโครงการ ETDA Digital Citizen (EDC), ดร.ศรีดา ตันทะอธิพานิช กรรมการและเลขานุการ มูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย, คุณสิรินาท ต่อวิริยะเลิศชัย Social Impact & Partnership Director เทใจดอทคอม และ คุณกันฐพงศ์ เจียวก๊ก ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กร มูลนิธิคีนันแห่งเอเซีย ภายในเวลาที่กำหนดพร้อมตอบคำถามจากเหล่าคณะกรรมการ ซึ่งทุกทีมต่างก็แสดงศักยภาพและความโดดเด่นในการตอบคำถามต่อเหล่าคณะกรรมการทุกท่านกันอย่างเต็มที่

จากการพิจารณาตัดสินกันอย่างเข้มข้นของเหล่าคณะกรรมการ ในที่สุด ก็ได้ทีมที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ คว้าสุดยอดแคมเปญ Digital Wellness Lifestyle ที่จะเข้ามาช่วยสร้างสรรค์ให้คนไทยเกิดการใช้งานออนไลน์อย่างพอดีและมีสติ คือ ทีม Play Spirit จากแคมเปญ “Play Spirit: Happy Clear Screen” ที่ชวนเด็กๆ พักหน้าจอ มาร่วมสนุกกับกิจกรรมพัฒนาสมองและร่างกาย เพื่อสร้างอนาคตสดใส ด้วย Animatic Video และ School Tour รับเงินรางวัล 80,000 บาท พร้อมโล่รางวัลและเกียรติบัตร ส่วนทีมที่ได้รับรางวัลรองชนะเลิศ อันดับที่ 1 ได้แก่ ทีม MANTA RAY จากแคมเปญ “กันน๊อค ล๊อคอินใจ” ที่ช่วยลดการใช้เทคโนโลยีในกลุ่มไรเดอร์ผ่านการสร้างเครือข่ายออนไลน์และการผลิตคอนเทนต์ให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพในยุคดิจิทัล ได้รับเงินรางวัล 40,000 บาท พร้อมโล่รางวัล และเกียรติบัตร และรางวัลรองชนะเลิศ อันดับที่ 2 ได้แก่ ทีมนางฟ้านางสวรรค์ จากเเคมเปญ จัดทำแอป “Your Mind” เพื่อช่วยแก้ปัญหาการใช้เวลาหน้าจอเกินความจำเป็น ด้วยแนวคิด 3R: Reduce, Reconnect, Relive พร้อมฟีเจอร์บันทึกอารมณ์ พร้อมกิจกรรมร่วมสนุกชิง Reward ได้รับเงินรางวัล 20,000 บาท พร้อมโล่รางวัล และเกียรติบัตร และรางวัลชมเชย จำนวน 2 รางวัล ได้แก่ ทีม KSR Green-White Power จากแคมเปญ “KSR Digitox Day” และ ทีม สตูดิโออยู่ในบ้าน จากเเคมเปญ จัดทำแอป “Catwalk” ได้รับเงินรางวัล 5,000 บาท พร้อมเกียรติบัตร

นอกจากนี้ ในงานยังมีพิธีมอบประกาศนียบัตรให้กับ EDC Trainer รุ่นที่ 3 ที่เป็นอีกกิจกรรมสำคัญที่ ETDA ได้พัฒนาเทรนด์เนอร์ดิจิทัลประจำปี ถึง 530 คน ที่ปีนี้กระจายลงพื้นที่นอกจากกรุงเทพฯ ยังมีเชียงใหม่ และขอนแก่น เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการขยายผลส่งต่อความรู้เท่าทันภัยออนไลน์ ภายใต้หลักสูตร EDC ไปสู่สังคม

“EDC Pitching ถือเป็นก้าวสำคัญของ ETDA ในการร่วมสร้างนิยามดิจิทัลไลฟ์สไตล์ในรูปแบบใหม่ให้กับสังคมไทย ภายใต้การขับเคลื่อนของเครือข่าย Community จากคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพในทุกช่วงวัยและบุคลากรตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่มาร่วมกันผลักดันและทำงานร่วมกันในมิติต่างๆ รวมไปถึงการพัฒนาแคมเปญที่สร้างสรรค์ในการร่วมสร้างสุขภาพสังคมที่ดี ที่ไม่ได้จำกัดความสำเร็จเพียงแค่บนเวทีการแข่งขัน แต่ยังขยายไปถึงการต่อยอดไอเดียสู่การใช้งานจริงในการประยุกต์ใช้ในการทำงานเชิงพื้นที่ รวมถึงการเป็นแนวคิดใหม่ ๆ ในการสร้างสรรค์สื่ออบรมต่าง ๆ ของโปรเจค EDC เพื่อสร้างวัฒนธรรมแห่งโลกดิจิทัลที่เข้มแข็งและยั่งยืนอย่างสร้างสรรค์ให้เกิดในสังคมไทย เพื่อให้คนไทยทุกคนสามารถรับมือกับความท้าทายในยุคดิจิทัลได้อย่างรู้เท่าทัน พร้อมกันนี้ น้องๆ ที่ผ่านการคัดเลือกในการแข่งขันทุกทีมจะได้รับโอกาสในการร่วมเป็นส่วนหนึ่งของทีมทำงานคุณภาพไปกับ ETDA เพื่อฝึกทักษะเพิ่มศักยภาพให้พร้อมสู่การทำงานจริงในอนาคตไปกับบุคลากรผู้เชียวชาญหลากหลายสาขาอีกด้วย” นายชัยชนะ กล่าวทิ้งท้าย

Bitdefender Cybersecurity Forum Fortifying Digital Frontiers เพื่อปกป้องข้อมูลและสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ

Bitdefender ผู้นำด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ระดับโลก เป็นเจ้าภาพจัดงานเสวนาในหัวข้อ “Fortifying Digital Frontiers” ณ โรงแรม เอส 31 สุขุมวิท กรุงเทพมหานคร โดยมี สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ร่วมให้ความรู้และนโยบายของประเทศ ซึ่งงานเสวนาฯ นี้เป็นการรวมตัวของผู้นำในด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ทั้งเจ้าหน้าที่ภาครัฐและผู้นำภาคธุรกิจ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความรู้เกี่ยวกับภูมิทัศน์ด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ที่กำลังถูกภัยคุกคามที่มีความซับซ้อนและรุนแรงเพิ่มขึ้นตลอดเวลา พร้อมทั้งนำเสนอนวัตกรรมทางโซลูชั่นเพื่อปกป้ององค์กรจากภัยคุกคามนี้

ความท้าทายทางด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์

พลอากาศตรี อมร ชมเชย เลขาธิการ สกมช. กล่าวเกริ่นนำการเสวนาด้วยปาฐกถาพิเศษเกี่ยวกับปัญหาความท้าทายและโครงการริเริ่มเชิงกลยุทธ์ที่จำเป็นในการเสริมสร้างระบบนิเวศด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ของประเทศไทย โดยได้เน้นย้ำถึงความซับซ้อนและความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นของภัยคุกคามทางไซเบอร์ และความจำเป็นที่จะต้องมีแนวทางการทำงานร่วมกันที่แข็งแกร่งเพื่อรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ของประเทศ

ดร.ปริญญา หอมเอนก ประธานและซีอีโอของ ACIS Professional Center นำเสนอ ” Cybersecurity Ecosystem Challenges in Thailand ” โดยชี้ให้เห็นถึงอุปสรรคต่าง ๆ ที่ประเทศกำลังเผชิญอยู่ ตั้งแต่การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล (Digital Transformation) อย่างรวดเร็ว ความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้นของการโจมตีทางไซเบอร์ และยังได้เน้นยำความจำเป็นในการเพิ่มความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนให้มากยิ่งขึ้น

Mr. Paul Hadjy รองประธานภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและการบริการความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ของ Bitdefender นำเสนอหัวข้อ “Protecting Data, Empowering People ” บรรยายเกี่ยวกับบทบาทของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ โดยชี้ให้เห็นว่า AI สามารถช่วยปรับปรุงมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้นได้อย่างไร พร้อมทั้งได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการตรวจจับภัยคุกคามและกลยุทธ์การตอบสนองในเชิงรุก

Mr. Michal Dominik กรรมการผู้จัดการ Indochina Country Partner กล่าวแนะนำว่าทุกองค์กรจะต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการโจมตีใหม่ๆ ที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้อยู่เสมอ โดยให้ข้อมูลเชิงลึกที่ชี้ให้เห็นความจำเป็นในการปรับปรุงและปรับตัวตามแนวทางปฏิบัติที่ดีในการป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ (Cybersecurity Practices) ที่จะต้องทำอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลเชิงลึกนี้เน้นย้ำถึงขั้นตอนสำคัญอย่างยิ่งยวดที่จำเป็นต้องทำคือต้องมีการสร้างกรอบการกำกับความพร้อมในการรับมือภัยคุกคามไซเบอร์ (Resilient Cybersecurity Framework) ให้มีความสามารถในการเตรียมตัว และตอบสนองต่อภัยคุกคามทางไซเบอร์ รวมถึงการกู้คืนระบบให้กลับมาดำเนินการได้ตามปกติ

พบกับโซลูชันการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ขั้นสูง– ที่ปกป้องตั้งแต่ Endpoint Security ครอบคลุม EDR จนถึง MDR

คุณทรงกลด ศรีภูมิบาง ผู้จัดการผลิตภัณฑ์อาวุโส ของ Bitdefender เน้นถึงประโยชน์ของบริการรักษาความปลอดภัยเชิงรุก การทดสอบการเจาะระบบ (Penetration Tests) และแพลตฟอร์มข่าวกรองภัยคุกคาม (Threat Intelligence Platforms) พร้อมทั้งให้ละเอียดว่าบริการเหล่านี้สามารถช่วยระบุช่องโหว่ก่อนที่ผู้โจมตีจะโจมตีได้อย่างไร ทำให้องค์กรสามารถมีกลยุทธ์การป้องกันในเชิงรุก

การเสวนาครั้งนี้มีอีกหนึ่งในไฮไลท์คือการนำเสนอ Bitdefender GravityZone ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการรักษาความมั่นคงปลอดภัยและการวิเคราะห์ความเสี่ยงแบบรวมศูนย์ (Unified Security and Risk Analytics Platform) โดยว่าที่ร้อยโทภาวุต โลขัน วิศวกรที่ปรึกษาของ Bitdefender นำเสนอการสาธิตวิธีการที่ GravityZone ขยายการรักษาความมั่นคงปลอดภัยอุปกรณ์ปลายทางให้ครอบคลุมถึง EDR (Endpoint Detection and Response : การตรวจจับปลายทางและการตอบสนอง), XDR (Extended Detection and Response : การตรวจจับและการตอบสนองแบบขยาย), MDR (Managed Detection and Response : การตรวจจับและการตอบสนองที่มีการจัดการ) และมาตรการ

รักษาความปลอดภัยขั้นสูงอื่น ๆ แนวทางที่ครอบคลุมอย่างสมบูรณ์นี้ทำให้มั่นใจได้ว่าองค์กรจะสามารถตรวจจับและตอบสนองต่อภัยคุกคามได้ทั่วทั้งโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมดได้

ผู้เข้าร่วมงานยังได้รับชมการสาธิตการตามล่าภัยคุกคามทางไซเบอร์โดย คุณฟ้าธานี อิ่มสิน สถาปนิกโซลูชันของ Bitdefender นำเสนอเทคนิคการตรวจจับและตอบสนองภัยคุกคามแบบเรียลไทม์

การอภิปรายเกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์

ปิดท้ายรายการด้วยการอภิปรายแลกเปลี่ยนเรื่องความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ที่กระตุ้นความคิดเกี่ยวกับการสร้างสมดุลระหว่างความมั่นคงปลอดภัยของชาติและความเป็นส่วนตัว ดำเนินรายการโดย พลอากาศตรี อมร ชมเชย ดร.ปริญญา หอมเอนก และ ดร.กำพล ศรธนะรัตน์ โดยมีคุณ นรินทร์ฤทธิ์ เปรมอภิวัฒโนกุล เป็นผู้ดำเนินการอภิปราย  สำหรับการอภิปรายเจาะลึกถึงบทบาทของภาครัฐและภาคเอกชนในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ในขณะเดียวกันต้องเคารพสิทธิความเป็นส่วนตัวของแต่ละบุคคลไปพร้อมกันด้วย

Bitdefender Endpoint Protection Platform ด้วย EDR ที่สามารถขยายครอบคลุม XDR, MDR, CSPM+, และอื่นๆ  

โซลูชันของ Bitdefender ซึ่งจัดแสดงตลอดทั้งงานนี้ ได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์อย่างเต็มรูปแบบ แพลตฟอร์ม GravityZone นำเสนอระบบการป้องกันอุปกรณ์ปลายทางที่แข็งแกร่ง ปรับปรุงโดย EDR และขยายเป็น XDR เพื่อการตรวจจับและตอบสนองภัยคุกคามที่ครอบคลุมสมบูรณ์ พร้อมทั้งมีบริการ MDR ที่มีการจัดการโดยผู้เชี่ยวชาญในการดำเนินการด้านความมั่นคงปลอดภัย ช่วยปลดปล่อยองค์กรต่าง ๆ ให้มุ่งเน้นไปที่ธุรกิจหลักของตนได้

นอกจากนี้ โซลูชัน CSPM+ (Cloud Security Posture Management) ของ Bitdefender ยังช่วยรักษาความมั่นคงปลอดภัยให้แก่สภาพแวดล้อมคลาวด์ ทำให้มั่นใจได้ถึงการปฏิบัติตามข้อกำหนดและการป้องกันภัยคุกคามเฉพาะบนคลาวด์ บริการข่าวกรองภัยคุกคาม (Threat Intelligence Services ) นำเสนอข้อมูลเชิงลึกที่นำไปปฏิบัติได้เกี่ยวกับภัยคุกคามที่เกิดขึ้นใหม่ พร้อมทั้งมีระบบการรักษาความมั่นคงปลอดภัยสำหรับคอนเทนเนอร์ (Security for Containers) ช่วยให้มั่นใจได้ว่าแอปพลิเคชันในคอนเทนเนอร์จะปลอดภัยตั้งแต่ขั้นการพัฒนาไปจนถึงขั้นการใช้งาน

เวทีกลางสำหรับการสร้างเครือข่ายและการทำงานร่วมกัน

Bitdefender Cybersecurity Forum จัดเวทีเสวนาที่โดดเด่นสำหรับมืออาชีพในการสร้างเครือข่าย แบ่งปันความรู้ และทำงานร่วมกันในการปรับปรุงกลยุทธ์ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ กิจกรรมจบลงด้วยการช่วงถามตอบ การจับรางวัล และการรับประทานอาหารค่ำ ซึ่งผู้เข้าร่วมสามารถอภิปรายข้อมูลเชิงลึกของวันนั้นในบรรยากาศที่เป็นกันเองมากขึ้น

ในขณะที่ภัยคุกคามทางไซเบอร์ยังคงพัฒนาต่อไป กิจกรรม เช่น Bitdefender Cybersecurity Forum จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการส่งเสริมความร่วมมือและนวัตกรรมในสาขานี้ ด้วยการนำผู้เชี่ยวชาญและผู้นำของ Bitdefender และ สกมช. มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความรู้ร่วมกัน จะช่วยปูทางไปสู่อนาคตดิจิทัลที่มีความมั่นคงปลอดภัยยิ่งขึ้นแก่ประเทศไทย

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโซลูชั่นรักษาความมั่นคงปลอดภัยที่ครอบคลุมของ Bitdefender โปรดเยี่ยมชมเว็บไซต์ของ https://www.bitdefender.com/business/

เกี่ยวกับ Bitdefender:

Bitdefender เป็นผู้นำด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ที่นำเสนอโซลูชันที่ดีที่สุด (best-in-class) ในการป้องกัน การตรวจจับ และการตอบสนองต่อภัยคุกคามที่ใช้กันทั่วโลก ปกป้องสภาพแวดล้อมให้แก่ผู้บริโภคนับล้าน รวมทั้งองค์กร และหน่วยงานภาครัฐจำนวนมาก Bitdefender เป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุดในอุตสาหกรรมการกำจัดภัยคุกคาม ปกป้องความเป็นส่วนตัว อัตลักษณ์ตัวตนดิจิทัล (Digital Identity) และข้อมูลดิจิทัล และทำให้

องค์กรต่างๆ มีความสามารถในการเตรียมความพร้อมรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์ (Cyber Resilience) ด้วยการลงทุนอย่างหนักในการวิจัยและพัฒนา ทำให้ Bitdefender Labs สามารถค้นพบภัยคุกคามใหม่ๆ หลายร้อยรายการได้ในทุกๆ นาที และทำการตรวจสอบค้นหาภัยคุกคามนับพันล้านรายการได้เป็นประจำทุกๆ วัน บริษัทได้บุกเบิกนวัตกรรมที่ก้าวล้ำในด้านการป้องกันมัลแวร์ ความมั่นคงปลอดภัยของอุปกรณ์ IoT การวิเคราะห์พฤติกรรม และปัญญาประดิษฐ์ โดยเทคโนโลยีของบริษัทได้รับอนุญาต (Licensed by) จากแบรนด์เทคโนโลยีที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในโลกมากกว่า 180 แบรนด์ Bitdefender ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2544 มีลูกค้าในมากกว่า 170 ประเทศและมีสำนักงานทั่วโลก สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปที่ https://www.bitdefender.com

Trusted. Always.

เกี่ยวกับ สกมช. : สำนักงานความมั่นคงทางไซเบอร์แห่งชาติ (NCSA) ประเทศไทย มุ่งมั่นที่จะเพิ่มความพร้อมในการรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์ (Cybersecurity Resilience) ของประเทศผ่านการพัฒนานโยบาย โครงการริเริ่มเชิงกลยุทธ์ และความร่วมมือกับพันธมิตรระหว่างประเทศ

เร็วเหนือเสียง Mako ขีปนาวุธแบบใหม่ เตรียมใช้กับเครื่องบินรบ

[Mach 5+] ก่อนจะมีอินเทอร์เน็ต ครั้งหนึ่งก็เคยถูกใช้ในทางการทหารมาก่อน จึงกล่าวได้ว่าเทคโนโลยีล้ำ ๆ หลายอย่าง เคยถูกใช้เพื่อการรบมาแล้ว ซึ่งอาจรวมถึงกรณีนี้ด้วย หลังทาง Lockheed Martin บริษัทด้านอากาศยานและผู้พัฒนาอาวุธที่ใหญ่ที่สุดในโลก ล่าสุดได้เปิดตัว ‘Mako’ ขีปนาวุธเร็วเหนือเสียง เตรียมใช้กับเครื่องบินรบในสหรัฐฯ หลายเครื่อง

Lockheed Martin ประกาศเปิดตัว Mako ขีปนาวุธชนิดใหม่ มาพร้อมความเร็วเหนือเสียง สามารถเร่งความเร็วได้ถึงมัค 5 หรือราว ๆ 6125 กม./ชม. ทั้งนี้ยังมาพร้อมความยาว 3.6 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 33 เซนติเมตร และมีน้ำหนักประมาณ 590 กิโลกรัม ซึ่งเป็นขนาดเล็กพอที่จะติดตั้งในเครื่องบินรบรุ่นที่ 5 (Gen V) ของ F-16 , F-22 และ F-35 ได้ โดยสามารถบรรทุกได้สูงสุด 6 ลูก

เพื่อลดเวลาและต้นทุน ตัว Mako ยังถูกออกแบบให้แยกส่วนเพื่อติดตั้งหัวรบอื่น ๆ เช่น ‘นิวเคลียร์’ กับติดตั้งระบบนำวิถีหรือโมดูลอื่น ๆ ได้ง่าย เนื่องด้วยตัวขีปนาวุธมีสถาปัตยกรรมระบบเป็นแบบดิจิทัลทั้งหมด เช่น การพิมพ์ 3 มิติ ทำให้ใช้งานได้หลายหลายตามไปด้วย โดยจะใช้โจมตีภาคพื้นดิน ทำลายเรือ และระบบป้องกันภัยทางอากาศก็ได้หมด กระทั่งหากจำเป็น จะติดตั้งบนเรือและเรือดำน้ำก็ยังได้

แน่นอนว่าทาง Lockheed ยังปิดข้อมูลจำเพาะอื่น ๆ ของ Mako เป็นความลับ จุดเด่นหลัก ๆ ที่ทราบคือ เป็นขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง เหมาะกับภารกิจหลายแบบ และใช้งบการสร้างที่คุ้มทุน คือจากแต่เดิมขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงมักมีราคาสูง แต่ Mako ใช้ต้นทุนการผลิตเพียงเพียง 1 ใน 10 เท่านั้น

อ้างอิงจากสถานการณ์ปัจจุบัน พบจีนและรัสเซียกำลังสร้างระบบป้องกันภัยทางอากาศขนาดใหญ่และยังมีความซับซ้อนขึ้น และอาจมีการพัฒนาอากาศยานที่ทรงพลังมากขึ้นด้วย ขีปนาวุธ Mako จึงพัฒนามาเพื่อการนี้เอง

ที่มา : MIL

คุมเข้ม แก้ปัญหาอัปเดต Windows หลังเจอวิกฤตจอฟ้าทั่วโลก

[บทเรียนร่วม] ไม่เพียงแต่ CrowdStrike ที่กำลังจะเจอฟ้องคดีแบบกลุ่ม ทางฝั่ง Microsoft ก็แอบมีร้อน ๆ หนาว ๆ อยู่เหมือนกัน ล่าสุดบริษัทเตรียมยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัยสำหรับ Windows พร้อมเพิ่มความยืดหยุ่นในการรับมือกับอัปเดตที่ผิดพลาดครั้งต่อไป

Microsoft ยังต้องทำงานร่วมกับ CrowdStrike ต่อไป เพื่อนำเครื่อง PC ที่มีปัญหาหลายล้านเครื่องกลับมาใช้งานอีกครั้ง พร้อมเพิ่มมาตรการใหม่ของ Windows ทั้งการรักษาความปลอดภัย และการเพิ่มความยืดหยุ่นของระบบปฏิบัติการ ให้ทำงานร่วมกับซอฟต์แวร์จากบริษัทภายนอกได้มากขึ้น เพื่อไม่ให้เกิด ‘มหกรรมจอฟ้า’ หรือ Blue Screen of Death (BSOD) พร้อมกันทั่วโลกอีก

สาเหตุสำคัญของเหตุการณ์ CrowdStrike ก็เกิดจากการ ‘ให้สิทธิ์’ บริษัทซอฟต์แวร์ด้านความปลอดภัยเข้าถึง Windows ในระดับเคอร์เนล (Kernel) หรือแก้ไขไฟล์สำคัญของระบบปฏิบัติการได้ ซึ่งพอเจอการอัปเดตที่ผิดพลาดเข้าไป ก็พลอยทำให้ Windows พังไปด้วย จุดนี้ทาง Microsoft ได้วิพากษ์วิจารณ์หน่วยงานกำกับดูแลของยุโรป ที่กำหนดให้ผู้จำหน่ายระบบความปลอดภัยภายนอก สามารถเข้าถึง Kernel ได้นั้นเอง

John Cable รองประธานของ Microsoft เผย Windows เป็นแพลตฟอร์มที่เปิดกว้าง แต่หลังความล้มเหลวของ CrowdStrike ก็ได้เน้นย้ำถึงความน่าเชื่อถือใหม่ในทุกองค์กร จึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงด้านความปลอดภัยของระบบปฏิบัติการ โดยเฉพาะการยกระดับความยืดหยุ่นแบบครบวงจร ซึ่งยังคงมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกับพันธมิตรอย่างเต็มที่

การยกระดับที่ว่า ก็มีทั้งการสำรองข้อมูล การคืนค่าอุปกรณ์ Windows ได้ในระยะเวลาอันสั้น การใช้คุณลักษณะ VBS enclave การเปิดใช้งาน Hyper-V หรือซอฟต์แวร์จำลองเสมือน และการใช้บริการ Microsoft Azure Attestation (MAA) ช่วยตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแพลตฟอร์ม และความสมบูรณ์ของ Binary File ด้วย

ดูเหมือนทาง Microsoft ได้เลือกคำพูดอย่างระมัดระวัง เชื่อว่าบริษัทอาจต้องการให้ Windows มีคล้ายกับ macOS ที่เป็นระบบปิดมากขึ้น ซึ่งมีการจำกัดสิทธิ์เข้าถึง Kernel จากซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยภายนอกไปเลย

ที่มา : Techspot

OMODA C5 EV ชูวิ่งไกล 505 กม. ระบบป้องกันรอบคัน

[ครบวงจร] เปิดตัวอย่างเป็นทางการเรียบร้อยกับ OMODA C5 EV รถไฟฟ้า 100% รุ่นแรกจากแบรนด์ Omoda & Jaecoo ภายใต้ Chery Automobile บริษัทด้านเทคโนโลยียานยนต์ชั้นนำระดับโลกสัญชาติจีน ชูมาพร้อมระบบความปลอดภัย ADAS + DMS และความสะดวกสบายแบบจัดเต็ม

จุดเด่นหลัก ๆ ของ OMODA C5 EV คือระบบความปลอดภัย ADAS + DMS ที่มากถึง 17+1 รายการ ประกอบด้วยเซ็นเซอร์ทั้งภายในและภายนอก โดยหลัก ๆ ก็มีเซ็นเซอร์ช่วยจอดรถด้านหน้าและด้านหลัง มีกล้องแสดงภาพรอบทิศทางแบบ 540 องศา แสดงภาพด้านหลังขณะถอยได้

มีระบบช่วยแจ้งเตือนผู้ใช้อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ระบบเตือนการล็อกประตู , เตือนฝากระโปรงหน้าหรือบานประตูท้ายปิดไม่สนิท , เตือนการออกนอกเลน , เตือนจุดอับสายตาขณะถอยหลัง , เตือนการชนด้านหน้าและหลัง , เตือนเมื่อเปิดประตู คือหากตัวรถพบมีมอเตอร์ไซน์หรือรถคันอื่นวิ่งมาใกล้ ๆ ประตูรถ ก็จะมีไฟแจ้งเตือนบริเวณประตูภายในเป็นสีแดง

นอกนั้นก็มีระบบช่วยต่าง ๆ ทั้ง ระบบช่วยเบรก ลดกำลังขับเคลื่อนหรือควบคุมความเร็ว ป้องกันรถไหลหรือล้อหมุน ช่วยรักษารถให้อยู่กลางเลน ลดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำ ช่วยตรวจสอบจุดอับสายตา และระบบช่วยตรวจจับความเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่

ด้านสมรรถนะ ก็มาพร้อมกำลังมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุดที่ 150 กิโลวัตต์ หรือ 204 แรงม้า ขับเคลื่อนผ่านล้อหน้า มีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ที่ 7.2 วินาที ให้ความเร็วสูงสุดที่ 172 กม./ชม.โดยประมาณ สามารถวิ่งได้ไกลสูงสุด 505 กิโลเมตร ต่อการชาร์จไฟหนึ่งครั้ง ส่วนระบบชาร์จไฟ ก็รองรับการชาร์จผ่าน AC ได้ที่ 9.9 กิโลวัตต์ และ DC ที่ 80 กิโลวัตต์

ภายในมาพร้อมจอแสดงผลขนาด 24.6 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนผ่าน Apple Carplay และ Andriod Auto พร้อมมีแท่นชาร์จไร้สาย 50W ซึ่งมีระบบช่วยให้เครื่องเย็นของตัวสมาร์ทโฟนที่นำมาชาร์จไฟด้วย

สำหรับ OMODA C5 มีแบ่งออกเป็นสองรุ่นย่อย ได้แก่ OMODA C5 EV รุ่น Long Range Plus ในราคา 899,000 บาท และ รุ่น OMODA C5 EV รุ่น Long Range Ultimate ในราคา 949,000 บาท มาพร้อมข้อเสนอพิเศษสำหรับผู้ที่จองและรับรถ OMODA C5 EV ภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2567 เฉพาะ 1,000 คันแรก

  1. การรับประกันครอบคลุมระยะเวลา 8 ปี หรือระยะทาง 200,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)*
  • การรับประกันคุณภาพรถใหม่ (Warranty)
  • การรับประกันระบบมอเตอร์ขับเคลื่อน (Driving motor system)
  • การรับประกันแบตเตอรี่แรงดันสูง (High Voltage Battery)
  1. บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน (Roadside Assistance) 5 ปี ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่จำกัดจำนวนครั้ง*
  2. ฟรี! ประกันภัยชั้น 1 เป็นระยะเวลา 1 ปี*
  3. ฟรี! โฮมชาร์จเจอร์ พร้อมติดตั้ง*
  4. ดอกเบี้ยพิเศษ เริ่มต้น 68%*
  5. ของสมนาคุณสุดพิเศษ OMODA | Earthology Studio*
  6. สินค้าไลฟ์สไตล์ให้ลูกค้าเลือกได้ 1 อย่าง ระหว่าง Apple Watch SE GPS 44 mm หรือ Harman Kardon Aura Studio 4 หรือ บัตรชาร์จไฟฟ้า มูลค่า 10,000 บาท*

เงื่อนไข

*ข้อกำหนดและเงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด
*บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขข้างต้นโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

นอกจาก OMODA C5 EV แล้ว ทาง OMODA ยังเปิดตัว JAECOO 6 EV รถออฟโรดพรีเมียมพลังงานไฟฟ้า 100% เวอร์ชันพวงมาลัยขวา รุ่นก่อนผลิตจริง (Pre-production) ครั้งแรกในโลก ที่ผสมผสานความคลาสสิกเข้ากับเทคโนโลยียนตรกรรม ภายใต้คอนเซ็ปต์ “OFF-ROAD TRENDY” สามารถดูรายละเอียดได้ที่นี่

โอโมดา แอนด์ เจคู ประเทศไทย เปิดราคา OMODA C5 EV อย่างเป็นทางการ เริ่มต้นที่ 899,000 บาท เปิดจองแล้ววันนี้ เตรียมส่งมอบคันแรกไตรมาส 3

พร้อมเผยโฉม JAECOO 6 EV พรีเมียมเอสยูวี เวอร์ชันพวงมาลัยขวา ครั้งแรกในโลก! เสริมความมั่นใจด้วยบริการหลังการขายด้วยผู้จำหน่ายในประเทศ กว่า 40 สาขา และคลังอะไหล่พื้นที่กว่า 1,000 ตรม.

โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) หรือ OMODA & JAECOO (Thailand) ภายใต้ Chery Automobile บริษัทด้านเทคโนโลยียานยนต์ชั้นนำระดับโลกสัญชาติจีน ที่ส่งออกรถยนต์ไปกว่า 80 ประเทศทั่วโลก เปิดตัวรถ OMODA C5 EV อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ด้วยราคา 899,000 บาท สำหรับรุ่น Long Range Plus และราคา 949,000 บาท สำหรับรุ่น Long Range Ultimate พร้อมโปรโมชันและของสมนาคุณสุดพิเศษสำหรับลูกค้ากลุ่มแรกที่จอง โดยในงานเปิดตัวเดียวกัน ยังได้เผยโฉมรถ JAECOO 6 EV ออฟโรดพรีเมียมพลังงานไฟฟ้า 100% พวงมาลัยขวา รุ่นก่อนผลิตจริง (Pre-production) ครั้งแรกในโลก เพื่อให้ชาวไทยได้ยลโฉมรถรุ่นที่ทุกคนตั้งตาคอยก่อนใครก่อนเปิดราคาจริง พร้อมข้อเสนอพิเศษสำหรับผู้สนใจจองสิทธิ์วันนี้เตรียมรับมอบรถตั้งแต่ตุลาคมนี้เป็นต้นไป โดยงานนี้ ได้รับเกียรติจาก นางสาว ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นางสาวไพลิน เทียนสุวรรณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้แทนจากหน่วยงานรัฐบาลไทย เข้าร่วมอีกด้วย นอกจากนี้ โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย)  ยังแสดงความเชื่อมั่นในศักยภาพการบริการหลังการขายของทั้งสองแบรนด์ ที่พร้อมให้บริการแก่ลูกค้าแบบครบวงจร ผ่านผู้จำหน่าย OMODA & JAECOO ทั่วประเทศ ที่พร้อมให้บริการทั้ง 25 แห่ง และภายในปีนี้จะขยายถึงกว่า 40 แห่ง และยังพิสูจน์ความพร้อมด้านคลังอะไหล่บนพื้นที่กว่า 1,000 ตารางเมตร และบริการหลังการขายที่ครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ลูกค้าชาวไทยที่สนใจรถยนต์ของ OMODA & JAECOO ทั้งนี้ รถไฟฟ้า OMODA C5 EV พร้อมให้ลูกค้าชาวไทยที่สนใจทดลองขับและจับจองเป็นเจ้าของได้แล้ววันนี้ ที่ผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการทั่วประเทศ ทั้ง 25 สาขา

นายเฉิน ชุนชิง รองประธาน เชอรี่ อินเตอร์เนชันแนล กล่าวว่า “Chery Automobile ในฐานะบริษัทแม่ของโอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) มีประสบการณ์ด้านยานยนต์ระดับโลกมากว่า 27 ปี ที่ผลิตและจำหน่ายรถยนต์ไปยังกว่า 80 ประเทศทั่วโลก ขึ้นแท่นเป็นผู้ส่งออกรถยนต์นั่งส่วนบุคคล (passenger car) รายใหญ่ที่สุดของจีน ด้วยศักยภาพและการพัฒนาที่ไม่หยุดนิ่งเราพร้อมเติมเต็มประสบการณ์ของผู้ขับขี่ให้รถยนต์เป็น “มากกว่ารถยนต์” และส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่ดีที่สุด และวันนี้ เราพร้อมแล้วที่จะส่งมอบประสบการณ์ระดับโลกเหล่านั้นแก่ลูกค้าชาวไทยอย่างเป็นทางการ ภายใต้แบรนด์ โอโมดา แอนด์ เจคู ซึ่งเป็นแบรนด์รถยนต์ที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก การเข้ามาในประเทศไทยครั้งนี้ เรามุ่งส่งเสริมการพัฒนาพื้นที่และอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยให้ทัดเทียมกับมาตรฐานระดับโลก และพร้อมเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้าชาวไทย”

นายฉี เจี๋ย ประธาน บริษัท โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) มุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างธุรกิจที่แข็งแกร่งและตั้งใจสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนในประเทศไทย ผ่านการร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ พันธมิตร และผู้แทนจำหน่ายภาคเอกชนต่าง ๆ ในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทย โดย โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) มีสำนักงานใหญ่อย่างเป็นทางการที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งตั้งอยู่ ณ อาคารวัน แบ็งค็อก พร้อมด้วยผู้บริหารและทีมงานคนไทย ที่เข้าใจความต้องการของลูกค้าคนไทยอย่างแท้จริง เราได้ตั้งศูนย์อบรม (Training center) ศูนย์ตรวจสอบคุณภาพรถยนต์ก่อนส่งมอบ (PDI Center) และคลังอะไหล่บนเนื้อที่กว่า 1,000 ตารางเมตร ที่พร้อมให้บริการตั้งแต่สิงหาคมนี้หรือก่อนส่งมอบรถยนต์คันแรกของเราถึงมือผู้ขับขี่ชาวไทย เรายังมีแผนขยายศูนย์บริการและผู้จำหน่ายมากถึง 40 แห่งทั่วประเทศภายในสิ้นปี ไม่เพียงเท่านี้ ภายในกลางปี 2568 โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) จะเริ่มดำเนินการผลิตและประกอบรถยนต์ในประเทศไทย เพื่อจำหน่ายทั้งในประเทศและส่งออกไปยังภูมิภาคอาเซียน ออสเตรเลีย และตะวันออกกลางต่อไป”

ด้าน นายพิชญุตม์ วงศ์พัฒนาสิน รองประธานฝ่ายขาย การตลาด และเครือข่ายผู้จำหน่าย บริษัท โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่าสำหรับรถ OMODA C5 EV จะเป็นรถไฟฟ้า 100% รุ่นแรกจากแบรนด์ โอโมดา แอนด์ เจคู ที่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย โดยแบ่งออกเป็นสองรุ่นย่อย ได้แก่ รุ่น OMODA C5 EV Long Range Plus ที่มีสี Lunar White, Space Black และ Mercury Grey ราคา 899,000 บาท และรุ่น OMODA C5 EV Long Range Ultimate ที่มีสี Lunar White (Black Roof), Space Black, Mercury Grey, Volcanic Red และ Mint Green (Black Roof) ราคา 949,000 บาท ยนตรกรรมที่ผสมผสานการออกแบบแห่งอนาคต เข้ากับ 17+1 เทคโนโลยีสุดอัจฉริยะ ADAS+DMS พร้อมทั้งฟังก์ชันความปลอดภัยและความสะดวกสบายแบบจัดเต็ม พร้อมให้ประสบการณ์ที่เป็น ‘มากกว่ารถยนต์’

ข้อเสนอพิเศษสำหรับผู้ที่จองและรับรถ OMODA C5 EV ภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2567 เฉพาะ 1,000 คันแรก*

  1. การรับประกันครอบคลุมระยะเวลา 8 ปี หรือระยะทาง 200,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)*
  • การรับประกันคุณภาพรถใหม่ (Warranty)
  • การรับประกันระบบมอเตอร์ขับเคลื่อน (Driving motor system)
  • การรับประกันแบตเตอรี่แรงดันสูง (High Voltage Battery)
  1. บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน (Roadside Assistance) 5 ปี ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่จำกัดจำนวนครั้ง*
  2. ฟรี! ประกันภัยชั้น 1 เป็นระยะเวลา 1 ปี*
  3. ฟรี! โฮมชาร์จเจอร์ พร้อมติดตั้ง*
  4. ดอกเบี้ยพิเศษ เริ่มต้น 68%*
  5. ของสมนาคุณสุดพิเศษ OMODA | Earthology Studio*
  6. สินค้าไลฟ์สไตล์ให้ลูกค้าเลือกได้ 1 อย่าง ระหว่าง Apple Watch SE GPS 44 mm หรือ Harman Kardon Aura Studio 4 หรือ บัตรชาร์จไฟฟ้า มูลค่า 10,000 บาท*

ขณะเดียวกัน ในงาน โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) ยังได้เผยโฉม JAECOO 6 EV รถออฟโรดพรีเมียมพลังงานไฟฟ้า 100% เวอร์ชันพวงมาลัยขวา รุ่นก่อนผลิตจริง (Pre-production) ครั้งแรกในโลก ที่ผสมผสานความคลาสสิกเข้ากับเทคโนโลยียนตรกรรม ภายใต้คอนเซ็ปต์ “OFF-ROAD TRENDY” อัดแน่นไปด้วยพลังสุดแข็งแกร่งและสุนทรียะที่งดงาม ตัวถังผลิตจากอะลูมิเนียมทั้งหมด พร้อมด้วยแบตเตอรี่ลิเธียมฟอสเฟต ระยะยื่นหน้าและหลังที่สั้นทำให้การขับขี่แบบออฟโรดมีความคล่องตัวสูงไฟหน้าแบบ “Headlamp Matrix Adaptive” สะดุดตาส่องได้กว้างและไกลกว่า กับโหมดการขับขี่ 6 แบบที่ตอบโจทย์ทั้งการขับขี่ในเมืองและการขับขี่แบบสมบุกสมบัน มี 2 รุ่นด้วยกัน ได้แก่ รุ่น JAECOO 6 EV Long Range 2WD ราคาคาดการณ์ 1,099,000 บาท และรุ่น JAECOO 6 EV Long Range 4WD ราคาคาดการณ์ 1,249,000 บาท ผู้ที่สนใจสามารถจองสิทธิ์ได้แล้ววันนี้ และสำหรับ 1,000 คนแรก ที่จองสิทธิ์ตั้งแต่วันนี้และรับมอบรถก่อน 30 พฤศจิกายน 2567 จะได้รับ นาฬิกา Garmin Forerunner 165 รุ่นพิเศษที่ผลิตเฉพาะลูกค้าคนไทยกลุ่มแรกเท่านั้น

ข้อเสนอพิเศษสำหรับผู้ที่จองสิทธิ์ JAECOOO 6 EV และรับรถภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2567 เฉพาะ 1,000 คันแรก*

  1. การรับประกันครอบคลุมระยะเวลา 8 ปี หรือระยะทาง 200,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)*
  • การรับประกันคุณภาพรถใหม่ (Warranty)
  • การรับประกันระบบมอเตอร์ขับเคลื่อน (Driving motor system)
  • การรับประกันแบตเตอรี่แรงดันสูง (High Voltage Battery)
  1. บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน (Roadside Assistance) 5 ปี ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่จำกัดจำนวนครั้ง*
  2. ฟรี! ประกันภัยชั้น 1 เป็นระยะเวลา 1 ปี*
  3. ฟรี! โฮมชาร์จเจอร์ พร้อมติดตั้ง*
  4. นาฬิกา Garmin Forerunner 165 รุ่นพิเศษ JAECOO X GARMIN

นางสาวสุชาดา ชูสงค์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและภาพลักษณ์องค์กร บริษัท โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเสริมว่า “วันนี้เรายังได้เปิดตัว 4EVE ศิลปินเกิร์ลกรุ๊ปแถวหน้าของเมืองไทยในฐานะพรีเซ็นเตอร์ของรถ OMODA C5 EV ซึ่งเป็นครั้งแรกของ 4EVE กับบทบาท Brand Presenter ของรถยนต์ การได้ 4EVE มาร่วมเป็นครอบครัวเดียวกันกับ โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) ในครั้งนี้ จะช่วยตอกย้ำภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่มุ่งเน้นเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ และผู้หลงใหลในความทันสมัยของเทคโนโลยีอัจฉริยะ รวมถึงเพลิดเพลินไปกับความคิดสร้างสรรค์นอกกรอบ สำหรับกลุ่มผู้ขับขี่รุ่นใหม่นี้ รถไม่ได้เป็นเพียงยานพาหนะสำหรับการเดินทาง แต่ยังเป็นเครื่องบ่งบอกรสนิยม และรูปแบบการใช้ชีวิตกลุ่มผู้ขับขี่เจเนอเรชั่นใหม่ E-LOHAS หรือ E-Lifestyle on Health and Sustainability ที่ให้ความสำคัญกับการมีชีวิตที่ดีควบคู่ไปกับสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน เปลี่ยนสู่อนาคตอย่างมีสไตล์ นอกจากนี้ โอโมดา แอนด์ เจคู ประเทศไทย ยังร่วมมือกับ EARTHOLOGY STUDIO แบรนด์ไลฟ์สไตล์ที่ขับเคลื่อนด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อต่อยอดเป้าหมายด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดย EARTHOLOGY STUDIO ได้ร่วมออกแบบและผลิตชุดยูนิฟอร์มรักษ์โลกที่ผลิตจากเส้นใยพลาสติกรีไซเคิลให้แก่ที่ปรึกษาการขายของเราทั่วประเทศ ซึ่งชุดยูนิฟอร์มที่ประกอบไปด้วย เสื้อโปโล เสื้อแจ็คเก็ต และกางเกงคาร์โก แต่ละชุดเทียบเท่ากับการนำขวดพลาสติกเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล 40 ขวด หรือเทียบเท่าการลดการปล่อยคาร์บอนไดซ์ออกไซด์ 25 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์ (kgCO2) นอกจากจะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ชุดยูนิฟอร์มของเรายังสะท้อนภาพลักษณ์แบรนด์แห่งอนาคต ในขณะเดียวกัน แบรนด์ JAECOO ได้ตอกย้ำภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่มุ่งเน้นเข้าถึงกลุ่มคนที่ชื่นชอบการใช้ชีวิตแบบแอคทีฟไลฟ์สไตล์ โดยเป็นสปอนเซอร์หลักของงาน Garmin Run Asia Series 2024 Thailand Half Marathon ที่จะจัดขึ้นเดือนตุลาคมนี้ และยังร่วมมือผลิตนาฬิกา Garmin รุ่นเอ็กซ์คลูสีฟ JAECOO | Garmin Forerunner 165 สำหรับผู้ขับขี่ชาวไทย 1,000 คนแรกอีกด้วยค่ะ”

สำหรับผู้สนใจสามารถสัมผัสประสบการณ์การขับขี่ OMODA C5 EV และจองรถทั้ง 2 รุ่นได้แล้ววันนี้ ที่ผู้จำหน่ายทั่วประเทศของ OMODA & JAECOO ทั้ง 25 แห่ง ครอบคลุมทุกภูมิภาค ทั่วประเทศไทย หรือพบกับ OMODA C5 EV และ JAECOO 6 ได้ที่ เซ็นทรัลลาดพร้าว ชั้น G โซน B ในวันที่ 22 – 28 สิงหาคมนี้ พร้อมมั่นใจได้กับบริการหลังการขายที่ครอบคลุมครบวงจรของโอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) ต่อไป

เงื่อนไข

*ข้อกำหนดและเงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

*บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขข้างต้นโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

เอไอเอ ประเทศไทย เดินหน้าแคมเปญ “AIA+ Go Green” ปักหมุดภารกิจ ESG ครั้งสำคัญ

AIA+ (เอไอเอ พลัส)​ แอปพลิเคชันที่​รวมทุกบริการจาก เอไอเอ เพื่อความสะดวกในการจัดการกรมธรรม์แบบครบวงจรตามสโลแกน “แอปเดียวจบ ครบทุกบริการ” เปิดตัวแคมเปญ ESG ครั้งใหญ่ AIA+ Go Green” ภายใต้สโลแกน “ลดการพรินต์ เพิ่มการปลูก สู่หมื่นต้นกับ AIA+” เชิญชวนผู้ถือกรมธรรม์หันมาดำเนินธุรกรรมไร้กระดาษบนแอปพลิเคชัน  AIA+ กับบริการ e-Document และ e-Receipt โดยตั้งเป้าหมาย 100,000 กรมธรรม์ ภายในสิ้นปี 2567 โดยทุกๆ 10 กรมธรรม์ เอไอเอ จะช่วยปลูกต้นไม้ 1 ต้น เพื่อนำไปสู่การเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับประเทศไทย ด้วยการปลูกต้นไม้รวม10,000 ต้น

แคมเปญ AIA+ Go Green เป็นการเดินหน้าตามนโยบาย ESG ของ เอไอเอ ประเทศไทย ที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้คนมากมายในสังคมไทยตลอดระยะเวลากว่า 86 ปี โดยเอไอเอตระหนักถึงความสำคัญของการยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจโดยควบคู่กับการดูแลด้านสิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบต่อสังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social, and Governance – ESG) ซึ่งช่วยส่งเสริมสุขภาพและยกระดับชีวิตของทุกคนให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ทั้งยังตระหนักถึงผลกระทบของภาวะโลกเดือด (Global Boiling) ที่จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการรับมือและแก้ไข

AIA+ จึงริเริ่มแคมเปญ “AIA+ Go Green” ขึ้นเพื่อเชิญชวนให้ผู้ถือกรมธรรม์เอไอเอทุกราย ได้มีส่วนร่วมในการลดการใช้ทรัพยากรและหันมาดำเนินธุรกรรมไร้กระดาษ (Paperless Transactions) ผ่านแอปพลิเคชัน AIA+ และใช้บริการ e-Document (เอกสารอิเล็กทรอนิกส์) และ e-Receipt (ใบเสร็จรับเงินชำระเบี้ยฯ รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์) ที่สะดวก ใช้งานง่าย และสามารถช่วยจัดเก็บทุกเอกสารสำคัญได้อย่างปลอดภัยพร้อมใช้งานตลอดเวลา

ดร. คริสเตียน โรแลนด์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์และดิจิทัล เอไอเอ ประเทศไทย

ดร. คริสเตียน โรแลนด์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์และดิจิทัล เอไอเอ ประเทศไทย เผยว่า “อีกหนึ่งการขับเคลื่อนสำคัญของแนวปฏิบัติ ESG ของ เอไอเอ คือการนำเทคโนโลยียุคดิจิทัลเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพ ความสะดวกสบาย และลดการใช้ทรัพยากรในทุกกระบวนการดำเนินงานของบริษัท นอกจากแคมเปญ AIA+ Go Green จะทำให้ลูกค้าได้ร่วมลดการใช้กระดาษกับเราได้ง่าย ๆ แล้ว เรายังอยากให้ลูกค้าได้รับความสะดวกจากการใช้แอป AIA+ ซึ่งมีระบบความปลอดภัยขั้นสูง ทำให้ลูกค้ามั่นใจว่าเอกสารสำคัญทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกรมธรรม์ ใบแจ้งยอดชำระเงิน ใบเสร็จรับเงิน ไปจนถึงเอกสารเกี่ยวกับสินไหม จะอยู่ในแอปอย่างปลอดภัยและพร้อมใช้งานตลอดเวลา ช่วยตัดปัญหาการค้นหาเอกสารสำคัญไม่เจอ เรามั่นใจว่าลูกค้าจะได้รับความสะดวกสบายทุกครั้งที่ใช้แอป AIA+”

สำหรับแคมเปญ AIA+ Go Green เริ่มขึ้นตั้งแต่ 1 สิงหาคม- 31 ธันวาคม 2567 ซึ่ง เอไอเอ ประเทศไทย เชื่อมั่นว่าแคมเปญนี้จะช่วยสร้างพลังการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมและสามารถเชิญชวนให้ลูกค้ามีส่วนร่วมได้เป็นอย่างดี พร้อมตั้งเป้าเปลี่ยน 100,000 กรมธรรม์ สู่การปลูกต้นไม้ 10,000 ต้น เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวและร่วมต่อสู้กับภาวะโลกเดือด (Global Boiling) โดยจะขยายความสำเร็จของโครงการ นำทีมโดย คุณพลับ จุฑาภัทร เหล่าธรรมทัศน์ และทีมผู้บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย พร้อมด้วยพนักงานอาสาสมัครที่จะมาร่วมปลูกต้นไม้ 10,000 ต้น ในต้นปี 2568

คุณอลิสา สิมะโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ เอไอเอ ประเทศไทย

คุณอลิสา สิมะโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ เอไอเอ ประเทศไทย เสริมว่า “แคมเปญ AIA+ Go Green เป็นการตอกย้ำว่าพวกเราทุกคนต่างมีบทบาทในการดูแลสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างโลกที่ยั่งยืนร่วมกัน ปัจจุบันที่ เอไอเอ ประเทศไทย เราใช้กระดาษมากกว่า 60,000,000 แผ่นต่อปี เพื่อส่งเอกสารถึงผู้ถือกรมธรรม์ทุกท่าน หากผู้ถือกรมธรรม์เปลี่ยนมารับเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ทั้ง e-Document และ e-Receipt ผ่านแอป AIA+ และบรรลุเป้าหมายของแคมเปญ 100,000 กรมธรรม์ภายในสิ้นปี เราจะประหยัดกระดาษได้ถึง 400,000 แผ่น

“เรามั่นใจว่าผู้ถือกรมธรรม์ เอไอเอ จะดาวน์โหลดแอป AIA+ และรับเอกสารอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยแคมเปญ AIA+ Go Green เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมสำคัญที่สนับสนุนพันธกิจ AIA One Billion ที่ต้องการให้ผู้คนกว่าหนึ่งพันล้านคนทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้มีส่วนร่วมเพื่อการมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นภายในปี 2573”

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ AIA+ Go Green เพื่อมุ่งสู่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ลดภาระให้สิ่งแวดล้อม เปลี่ยนสู่ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีความสะดวกและปลอดภัย ด้วยการดาวน์โหลดแอป AIA+ พร้อมสมัครรับบริการ e-Document และ e-Receipt เพียงเท่านี้ก็สามารถช่วยรักษ์โลกไปกับ เอไอเอ ประเทศไทย

ลูกค้า เอไอเอ สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน AIA+ และลงทะเบียนรับ e-Document และ e-Receipt ได้แล้ววันนี้ผ่านสมาร์ตดีไวซ์บนระบบปฏิบัติการ iOS และ Android หรือสแกนคิวอาร์โค้ดด้านล่าง

Lenovo Yoga 7i รุ่นใหม่ Core Ultra 7 ตอบโจทย์ Creator ติดชิป AI ในตัว

โน้ตบุ๊กแบบไหน ถึงตอบโจทย์ Creator วันนี้ลองมาดู Yoga 7i 2-in-1 14IML9 โน้ตบุ๊กไฮบริดระดับพรีเมี่ยมจาก Lenovo ใช้งานได้หลากหลาย ตอบโจทย์ Creator พร้อมติดชิป AI ในตัวจาก Intel Evo รองรับการใช้งาน Copilot จาก Microsoft และฟีเจอร์อัจฉริยะจาก AI ต่าง ๆ ได้ทันที

แกะกล่อง ภายในก็มาพร้อมตัว Soft Case สีเทาอย่างงาม และมาพร้อมปากกา Lenovo Active Pen สำหรับใช้ร่วมกับหน้าจอสัมผัสของตัวเครื่อง Lenovo Yoga 7i 2-in-1 14IML9

ตัวเครื่อง Lenovo Yoga 7i 2-in-1 14IML9 ก็มาพร้อมโลโก้หรือตรารับรอง Intel Evo การันตีถึงความเป็นโน้ตบุ๊กระดับพรีเมี่ยม ที่ทั้งบางเบา สเปกแรง และแบตฯ อึด

เริ่มจากงานออกแบบ ตัวเครื่องใช้อลูมิเนียมทั้งตัว แข็งแรงทนทานระดับ Military Grade และบางเพียง 16.64 มม. กับหนัก 1.49 กก. เท่านั้น มาพร้อมสีพิเศษอย่าง Tidal Teal ที่ดูสวยสมชื่อโน้ตบุ๊กเพื่อชาว Creator โดยแท้

เบาจริงอะไรจริงกับตัว Lenovo Yoga 7i 2-in-1 14IML9

ในส่วนคียบอร์ด สังเกตได้เลยว่าตัวปุ่มกดมีระยะห่างกำลังดีเลย ช่วยให้กดพิมพ์ได้สะดวกขึ้น ข้าง ๆ กันก็มีลำโพงคู่ที่รองรับ Dolby Atmos ด้วย และมาพร้อมไฟ LED Backlight ช่วยให้มองเห็นคียบอร์ดได้ดีในที่สว่างน้อย

และด้วยตัวเครื่องเป็น 2-in-1 ก็รองรับการใช้งานได้หลากหลายทั้ง Notebook Mode , Stand Mode , Tent Mode และ Tablet Mode

ในส่วนพอร์ตเชื่อมต่อ ก็มีทั้งพอร์ต Thunderbolt™ 4 Type-C ให้ถึง 2 ช่อง กับมี HDMI 2.1 และช่องเสียบหูฟัง อีกฝั่งก็มี USB Type-A ให้อีกหนึ่ง กับช่องใส่ Micro SD Card และสุดท้ายปุ่ม Power เปิดปิดตัวเครื่องที่ด้านข้าง

สำหรับหน้าจอของ Lenovo Yoga รุ่นนี้ นับเป็นไฮไลท์สำคัญของตัวเครื่องเลย โดยมาพร้อมจอสัมผัสแบบ OLED ขนาด 14 นิ้ว ความละเอียด 2.8K และยังมีค่าสี DCI-P3 ถึง 100% กันเลย ให้สีสันสวยคมแบบสุด ๆ

การใช้งาน Touch Screen ก็ทำได้อย่างลื่นไหล ส่วนบนก็มีกล้อง Webcam ที่มาพร้อมบานเลื่อนเปิดปิดเพื่อความปลอดภัยด้วย

มาถึงส่วนสำคัญแล้ว สำหรับสเปกตัวเครื่อง Lenovo Yoga 7i 2-in-1 14IML9 นี้ มาพร้อมชิปIntel® Core™ Ultra (Series 1) อย่าง i7-155H กับชิปกราฟฟิก Intel® Arc และแรม LPDDR5x-7467 ขนาด 32GB และ SSD ขนาด 1TB M.2 Gen 4 ทั้งหมดก็ให้ความแรงได้ระดับรัน ‘เวิร์กโหลด’ ได้ดี นำไปเรนเดอร์งาน 3D ก็ทำได้ แม้ไม่เสียบสายชาร์จก็ตาม

ส่วนแบตฯ ก็ใช้งานได้ยาว ๆ 11 ชั่วโมงกันเลย แต่หากเปิดใช้งานโหมดประหยัดแบตฯ แบบเต็มที่ ก็อาจอยู่ได้ยาว ๆ ถึง 1 วันเต็ม ๆ

ตัวเครื่องมาพร้อมปุ่ม Copilot จาก Microsoft สามารถกดเพื่อเรียกใช้งานผู้ช่วย AI ได้ทันที และส่วนนี้เอง ก็ทำให้เห็นเลยว่า หากโน้ตบุ๊กมีชิป AI การประมวลผลก็จะทำได้อย่างเร็วรวดมาก ๆ ถามตอบได้ทันใจ

สุดท้ายนี้ตัว Lenovo Yoga 7i 2-in-1 14IML9 เปิดราคาประมาณ 3 หมื่นปลาย ๆ กับมีสเปกให้เลือกหลากหลาย ใครชอบโน้ตบุ๊ก 2-in-1 เอาใจสาย Creator นี้ ลองไปดูกันได้ที่ Lenovo Thailand ได้เลยครับ

NASA โชว์เหนือ สตรีมวิดีโอ 4K ครั้งแรก จากเครื่องบินไปสถานีอวกาศ

ทีมวิจัย Glenn Research Center ของ NASA โชว์เหนือสตรีมวิดีโอ 4K จากเครื่องบินไปยังสถานีอวกาศนานาชาติและกลับมาเป็นครั้งแรกโดยใช้ระบบสื่อสารแบบออปติคอลหรือเลเซอร์ 

ความสำเร็จนี้เป็นส่วนหนึ่งของการทดสอบเทคโนโลยีใหม่ที่สามารถถ่ายทอดวิดีโอสดของนักบินอวกาศบนดวงจันทร์ระหว่างภารกิจอาร์เทมิส

ที่ในอดีต NASA อาศัยคลื่นวิทยุในการส่งข้อมูลไปและกลับจากอวกาศ แต่ปัจจุบันได้พัฒนาระบบสื่อสารแบบเลเซอร์โดยใช้แสงอินฟราเรดในการส่งข้อมูล ซึ่งเร็วกว่าระบบความถี่วิทยุ 10 – 100 เท่า

โดย NASA ติดตั้งเทอร์มินัลเลเซอร์แบบพกพาที่ใต้ท้องเครื่องบิน Pilatus PC-12 จากนั้นบินขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อส่งข้อมูลไปยังสถานีภาคพื้นดิน 

สัญญาณเดินทางไกลจากพื้นโลก 22,000 ไมล์ไปยัง Laser Communications Relay Demonstration (LCRD) ของ NASA จากนั้นจึงส่งข้อมูลกลับมายังโลก ใช้ระบบเครือข่ายที่ทันสมัยช่วยให้สัญญาณสามารถทะลุผ่านพื้นที่ปกคลุมเมฆได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สามารถสตรีมวิดีโอความคมชัดระดับ 4K ไปและกลับจากสถานีอวกาศ เพื่ออนาคตจะใช้ระบบสื่อสาร ด้วยเลเซอร์ ในการประชุมทางวิดีโอ ประสานงาน หรือเช็คความปลอดภัยของนักบินอวกาศ เป็นต้น

เพื่อเป้าหมายจะสตรีมวิดีโอแบบเรียลไทม์ในการเดินทางไปกลับของนักบิน ผ่านภารกิจสำรวจดวงจันทร์ของยาน Artemis ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

และเมื่อปีที่แล้ว NASA เคยทดสอบระบบเลเซอร์ แต่ยังไม่ถึงความชัดระกับ 4K แต่ตอนนี้ทำได้แล้วครับ อ่านเพิ่มเติม >> https://www.techhub.in.th/nasa-illuma-t-lcrd/ 

 

ที่มา : nasa.gov 

#NASA #TechhubUpdate

Hot Issue