Home Blog Page 33

NASA ทำสำเร็จ เรือใบสุริยะลำแรก เตรียมทำภารกิจนอกโลก

ACS3

ยอมรับว่า ครั้งแรกที่ดูจากรูป มันเหมือนยานอวกาศที่แปลงแสงอาทิตย์ ให้เป็นพลังงานไฟฟ้าเพื่อขับเคลื่อน แต่มันดันเจ๋งกว่านั้นเยอะเลย

NASA ประสบความสำเร็จในการนำ ระบบใบเรือสุริยะคอมโพสิตขั้นสูง (Advanced Composite Solar Sail System หรือ ACS3 ) ขึ้นสู่วงโคจร แล้วกางใบเรือสำเร็จเป็นครั้งแรก ใบเรือนี้จะพายานอวกาศโคจรรอบโลกโดยใช้เพียงโฟตอนจากดวงอาทิตย์เพื่อเร่งความเร็ว

หลักการนี้คล้าย ๆ กับเรือใบในทะเลที่ใช้ลมเป็นแรงผลักให้เรือไปข้างหน้า ซึ่งใบเรือขนาดใหญ่ของ ACS3 จะสะท้อนโฟตอนจากดวงอาทิตย์ เมื่อโฟตอนกระทบใบเรือ มันจะถ่ายโอนโมเมนตัมให้กับใบเรือ ทำให้เกิดแรงผลักเล็ก ๆ ที่สามารถสะสมและเร่งความเร็วของยานอวกาศได้ในที่สุด ACS3 จึงเป็นเหมือน “เรือใบ” ที่แล่นในอวกาศโดยใช้ “ลมสุริยะ” หรือโฟตอนจากดวงอาทิตย์

ยานอวกาศขนาดเล็กนี้ ใช้โครงสร้างที่ทำจากพอลิเมอร์และคาร์บอนไฟเบอร์ที่ยืดหยุ่นได้เพื่อกางใบเรือของยาน เมื่อกางออก ใบเรือมีขนาดประมาณ 80 ตารางเมตร ซึ่งมีขนาดเท่ากับอพาร์ตเมนต์ขนาดเล็กเลยทีเดียว

สำหรับ ACS3 มีเป้าหมายในการเก็บข้อมูล สำหรับระบบเรือใบสุริยะของ NASA โดยยานนี้จะโคจรรอบโลกที่ระดับความสูงประมาณ 1,000 กิโลเมตร เหนือพื้นโลก และน่าจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าในวันที่ท้องฟ้าสดใส เนื่องจากใบเรือมีการสะท้อนแสง และ NASA จะใช้ข้อมูลการบินที่ได้รับ อกแบบระบบใบเรือสุริยะคอมโพสิตในอนาคตสำหรับดาวเทียมเตือนภัยสภาพอวกาศ การเฝ้าระวัง และภารกิจสังเกตการณ์ดวงอาทิตย์

ที่มา
techspot

ลบออกไม่ได้ ฟีเจอร์แอบส่อง Recall จับภาพหน้าจอตัวใหม่

Recall

Recall เป็นฟีเจอร์ของ Copilot+ ที่เพิ่งประกาศเปิดตัวเมื่อเดือนพฤษภาคม ฟีเจอร์นี้จะจับภาพหน้าจอและดูพฤติกรรมการใช้งานของเราได้ต่อเนื่อง

Microsoft อ้างว่า ฟีเจอร์ดังกล่าว จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหางานหรือแท็ปก่อนหน้า รวมทั้งจัดระเบียบงานต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น

แต่ฟีเจอร์นี้ สร้างความกังวลให้กับผู้ใช้บางกลุ่มที่เป็นห่วงความเป็นส่วนตัว รวมถึงเรื่องความปลอดภัย หากแฮกเกอร์สามารถเข้าถึงภาพที่บันทึกไว้ได้ โดย Kevin Beaumont อดีตผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยของ Microsoft อธิบายว่ามันเป็น “หายนะ” ทางไซเบอร์ เพราะมันสามารถ ขโมยทุกสิ่งที่เราเคยพิมพ์หรือดูบนพีซี Windows ของเราเอง และมันทำได้ง่าย ๆ ด้วยโค้ดเพียงสองบรรทัด”

แต่เมื่อไม่ชอบ ก็ควรลบออกได้ใช่ไหม ? ข้อมูลล่าสุดคือ Recall จะไม่สามารถลบออกจากระบบได้ ทำได้แค่ปิดใช้งานไปเท่านั้น ..

และนั่นทำให้เกิดคำถามต่าง ๆ ตามมาว่า ในเมื่อไม่ได้ใช้ ทำไมถึงลบออกไม่ได้ วันไหนอยากใช้ ค่อยติดตั้งใหม่ไม่ได้หรือ ? เรื่องนี้ยังไม่มีคำตอบนะ

สำหรับ Recall เดิมมีกำหนดเปิดให้ผู้ใช้ในกลุ่ม Windows Insiders ได้ลดลองใช้ในเดือนมิถุนรายน แต่ถูกเลื่อนออกไปเนื่องจาก Microsoft พยายามแก้ไขข้อกังวลด้านความปลอดภัย รอดูเดือนหน้านี้กันครับ

ที่มา
https://sea.mashable.com/tech/34071/microsofts-recall-feature-cant-be-uninstalled-after-all

ลดอุบัติเหตุ ระบบช่วยเหลืออัตโนมัติ จำเป็นกว่า Autopilot

[จำเป็นกว่า] ปัจจุบันรถยนต์ไร้คนขับไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ โดยเฉพาะใน Tesla ที่ใช้คำว่า Full Self-Driving (FSD) หรือระบบขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบกันเลย ทว่าทางด้านผู้เชี่ยวชาญมองว่า ควรไปโฟกัสที่ ‘ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง’ ดีกว่า เพราะจำเป็นกว่า และเห็นความเป็นไปได้มากกว่าในยุคนี้ด้วย

“รถยนต์ไร้คนขับนั้นเจ๋งดี แต่ยังต้องพัฒนาอีกมาก”

แม้เหล่าผู้ผลิตรถยนต์ได้ให้สัญญาว่า ในอนาคตรถยนต์ไร้คนขับ จะช่วยลดการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนหรือการจราจรได้เกือบหมด ทว่ามีรายงานจากสื่อ InsideEV เผยได้พูดคุยกับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญแล้ว ก็ได้รับความเห็นน่าสนใจตามนี้

กลุ่มผู้เชี่ยวชาญมองว่า Self-Driving หรือระบบขับขี่อัตโนมัตินั้น ยังต้องใช้เวลาพัฒนาอีกนาน ฉะนั้นควรให้ความสนใจในระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูงดีกว่า อาทิ ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ ระบบช่วยประคองรถให้อยู่เลน ระบบตรวจจับจุดบอดต่าง ๆ และอีกมากมาย ทั้งหมดนี้สามารถพัฒนาได้ทันที ซึ่งมีความเป็นไปได้มากกว่าการพัฒนาระบบขับขี่อัตโนมัติในปัจจุบัน

มีผลการวิจัยจากสถาบันประกันภัยเพื่อความปลอดภัยบนทางหลวง (IIHS) ของสหรัฐฯ เผยระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (AEB) สามารถลดการชนท้ายได้มากถึง 50% ส่วนเบื้องหลังก็มีการใช้เรดาร์และกล้องคอยตรวจจับสภาพถนนข้างหน้า หากระบบพบผู้ขับขี่ตอบสนองไม่ทัน ก็จะสั่งให้รถเบรกโดยอัตโนมัติ เพื่อป้องกันการชนรถคันหน้าที่เซ็นเซอร์ตรวจพบทันที

David Kidd หนึ่งในนักวิจัยอาวุโส เผยระบบ Autopilot ของ Tesla และ Super Cruise ของ GM นั้น อาจทำให้ผู้ขับขี่รู้สึกปลอดภัยแบบหลอก ๆ จนเสียสมาธิหรือชะล่าใจจนเกิดอุบัติเหตุได้ในอนาคต

ทางด้าน NHTSA หรือองค์กรบริหารความปลอดภัยบนท้องถนนของสหรัฐฯ ก็เตรียมพลักดันให้รถยนต์ที่ไม่ได้ใช้ในเชิงพาณิชย์ ติดตั้งระบบ AEB ให้หมดภายในปี 2029

ที่มา : Techspot

ทำสถิติ ยอดผู้ใช้ Windows 11 พุ่ง จากแพลตฟอร์มเกม Steam

[ในที่สุด] เก่าไปใหม่มาโดยแท้ ล่าสุดพบผู้ใช้หรือเหล่าเกมเมอร์ใน Steam มียอดใช้ระบบปฏิบัติการณ์ Windows 11 มากที่สุดแล้ว แซงหน้าแชมป์เก่าอย่าง Windows 10 ไปเรียบร้อย

เป็นเวลา 3 ปีแล้วกับ Windows 11 ระบบปฏิบัติการณ์ PC รุ่นล่าสุดจาก Microsoft ทว่า Windows 10 กลับยังคงครองตำแหน่งยอดนิยมเสมอมา โดยใน Statcounter เผยมีส่วนแบ่งการตลาดมากถึง 64.17% ส่วน Windows 11 ยังอยู่ที่ 31.62%

ทว่าใน Steam แพลตฟอร์มจำหน่ายเกมบนออนไลน์ชื่อดัง เผย Windows 11 กลายเป็นระบบปฏิบัติการณ์ PC ยอดนิยมสูงสุดแล้ว โดยมียอดผู้ใช้อยู่ที่ 49.17% ส่วน Windows 10 อยู่ที่ 47.09% ตามหลังมาติด ๆ จากข้อมูลล่าสุดประจำเดือนสิงหาคม 2024

สืบเนื่องจาก Windows 10 ทาง Microsoft ประกาศเตรียมอัปเดตแล้ว โดยมีเส้นตายในวันที่ 14 ตุลาคม 2025 จนทำให้เริ่มมีผู้ใช้ Windows 10 ลดลง สวนทางกับ Windows 11 ที่ยังมีทั้งยอดผู้ใช้และการอัปเดตอยู่เรื่อย ๆ ในปัจจุบัน

ที่มา : Techspot

กู้วิกฤติ Intel เล็งขายธุรกิจ Altera ชิปเฉพาะทางไม่สร้างกำไร

[ตั้งลำใหม่] ดููเหมือน Intel จะไปไม่สวยในเรื่องของ AI มากนัก ท่ามกลางอุตสาหกรรมชิปและกระแสโดยรวมในปัจจุบัน ล่าสุดทาง Pat Gelsinger ซีอีโอของ Intel ได้เสนอแผนกู้วิกฤติทางการเงิน หนึ่งในนั้นคือการขายธุรกิจ Altera บริษัทผู้ผลิตชิปเฉพาะทาง ที่เคยซื้อกิจการในมูลค่าถึง 5.6 แสนล้านบาท

นอกจาก AI แล้ว Intel ยังขาดทุนหนักมากถึง 7 พันล้านดอลลาร์ฯ ในปี 2023 ที่ผ่านมา และในช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายน ก็มีรายงานการขาดทุนสุทธิอีก 1.6 พันล้านดอลลาร์ฯ ด้วย อาจเป็นเหตุให้ปลดพนักงานกว่า 15,000 คน และเปิดแผนเร่งฟื้นฟูบริษัทล่าสุด

Pat Gelsinger และทีมผู้บริหารระดับสูงคนอื่น ๆ เตรียมข้อเสนอฟื้นฟูบริษัท โดยตัวเลือกหลัก ๆ คือ ‘แยกกิจการ’ หรือขายโรงงานผลิตชิปบางแห่งให้กับคู่แข่ง (เช่น TSMC) ต่อมาคือลดค่าใช้จ่ายครั้งใหญ่ อย่างแผนการสร้างโรงงานแห่งใหม่ในเยอรมัน ที่อาจล่าช้าไปอีกยาว

อีกแผนคือการขาย Altera บริษัทผู้ผลิตชิปเฉพาะทาง ที่เคยซื้อกิจการเมื่อปี 2015 ในมูลค่าถึง 16.7 พันล้านดอลลาร์ฯ หรือประมาณ 5.6 แสนล้านบาท

สำหรับแผนทั้งหมดก็ยังอยู่ในช่วงพิจารณา ซึ่งอาจมีการปรับเปลี่ยนภายหลัง แต่ที่แน่นอนคือ Intel จำเป็นต้องเร่งฟื้นฟู เพื่อให้กลับมาท้าชนศึกอุตสาหกรรมชิปในปัจจุบัน โดยมีคู่แข่ง (ด้าน AI) รายสำคัญอย่าง Nvidia ที่ล่าสุดมีมูลค่าบริษัทสูงถึง 3 ล้านล้านดอลลาร์ฯ โดยมี Apple และ Microsoft ตามหลังมาติด ๆ ส่วน Intel ปัจจุบันมีมูลค่าบริษัทอยู่ที่ประมาณ 95,000 ล้านดอลลาร์ฯ

ที่มา : Techspot

บริษัทในฝัน ยอมทำงานหนัก 7 วัน แลกค่าตอบแทนสุดคุ้ม

[เงินมันดีย์] กลายเป็นบริษัทในฝันของใครหลาย ๆ คนไปแล้วอย่าง Nvidia ที่นับวันบริษัทมีแต่เติบโตขึ้น ราคาหุ้นก็พุ่งขึ้น และพนักงานก็รวยขึ้นด้วย แม้จะต้องทำงานหนักติด ๆ กัน 7 วัน ประชุมบ่อย 7 -10 ครั้งต่อวัน และเลิกงานตี 1-2 เกือบทุกวันเลยก็ตาม

Bloomberg เปิดบทสัมภาษณ์ของพนักงาน Nvidia และอดีตพนักงานจำนวน 10 คน (ไม่เปิดเผยชื่อ) เผยตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมา บริษัททำให้พนักงานหลาย ๆ คน กลายเป็นเศรษฐีไปแล้ว หลังหุ้นของบริษัทพุ่งสูงขึ้นกว่า 3,000% ทว่าก็แลกมากับการทำงานที่หนักขึ้นมาก จนแทบไม่มีเวลาไปสนุกกับ ‘ค่าตอบแทน’ ที่ได้รับนี้เลยด้วยซ้ำ

อดีตพนักงานคนหนึ่งเผยเคยเป็น Technical Support ต้องทำงานหนักถึง 7 วันต่อสัปดาห์ เลิกงานตีหนึ่งตีสองเป็นประจำ ยิ่งคนในแผนกวิศวกรรม ก็ยิ่งเลิกดึกมากกว่านั้นอีก

อีกรายเป็นอดีตพนักงานฝ่ายการตลาด เผยตนเองเคยต้องเข้าประชุม 7-10 ครั้งต่อวัน แต่ละครั้งก็มีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 30 คน ซึ่งบางครั้งเคยถึงขั้นมีเหตุทะเลาะวิวาทกลางที่ประชุมด้วย แต่ก็ถูกมองเป็นเรื่องปกติไปแล้ว มีการเผยอีกว่า Jensen Huang ซีอีโอของบริษัท เป็นคนที่ทำงานด้วยยากมาก

อย่างไรก็ตาม แม้บริษัทจะมีแรงกดดันในที่ทำงานสูง ทว่าในปี 2023 กลับมีอัตราการลาออกเพียง 2.7% เท่านั้น เมื่อเทียบ 17.7% ที่มีในบริษัทอุตสาหกรรมด้านเซมิคอนดักเตอร์รายอื่นโดยรวม

ความน่าสนใจคือ พนักงานส่วนใหญ่ที่ไม่ลาออก เผยรู้สึกภูมิใจที่ได้ร่วมงานกับผู้นำด้านอุตสาหกรรมชิป AI นี้ ทั้งยังได้หุ้นบริษัทเป็นของตัวเองด้วย ซึ่งในช่วงเวลา 4 ปี ทุกคนมักจะได้รับเงินก้อนโต โดยพนักงานสามารถจ่าย 15% ของเงินเดือน เพื่อซื้อหุ้นบริษัทที่ลดราคา 15% นี้ได้ ถึงขั้นที่เคยมีพนักงานรายหนึ่งซื้อหุ้นมากว่า 18 ปี ก็ได้รับเงินตอนเกษียณถึง 62 ล้านดอลลาร์ฯ หรือราว ๆ 2,000 ล้านบาทกันเลย

สำหรับมูลค่าหุ้นของ Nvidia เพียง 3.5% ก็ส่งผลให้ Jensen Huang กลายเป็นเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดเป็นอันดับ 12 ของโลกไปแล้ว จึงไม่แปลกที่พนักงานในบริษัทจะอยากถือหุ้นด้วย รวมไปถึงเงินเดือนที่สูงอยู่แล้ว ก็ทำให้หลายคนมีรายได้เป็นกอบเป็นกํา

มีรายได้มากในระดับที่ พนักงานหลายคนมักจับกลุ่มคุยเรื่องซื้อบ้านพักตากอากาศใหม่ หรือในที่จอดรถของบริษัทก็มักมีรถหรูทั้ง Porsche , Corvette และ Lamborghini จอดเรียงรายอย่างสวยงาม โดยบางคันย้อมเป็นสีเขียว ตามสีประจำของบริษัทเลยด้วย

ที่มา : Fortune

คีย์แคป สุดจึ้ง จากปุ่มกดธรรมดา สู่ไอเท็มที่สะท้อนตัวตน

คีย์แคป

ในโลกของ คีย์แคป หรือฝาครอบปุ่มกด มันดูเหมือนเป็นเพียงส่วนประกอบเล็ก ๆ นะ แต่ในความเป็นจริง มันสามารถสะท้อนบุคลิกของผู้ใช้ออกมาได้ชัดเจน ทั้งการเลือกสีสัน ลาย หรือปุ่มที่มีลายแบบ 3D ที่เราชอบ แน่นอนว่า มันจะมีส่วนเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้เราได้มากขึ้น

ในยุคแรก คีย์แคป ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเน้นใช้กดเพียงอย่างเดียว เน้นทนทาน สีลอกยาก  ไม่ได้เน้นความสวยงาม มักทำจากพลาสติกแข็ง และมีสีพื้น ๆ เช่น สีขาว ดำ หรือเทา เพื่อให้มองเห็นตัวอักษรบนปุ่มได้ชัดเจน

และเมื่อ PC เริ่มเป็นที่นิยม คีย์แคปก็เริ่มมีความหลากหลายมากขึ้น มีการใช้วัสดุอื่นๆ เช่น โลหะ หรือแม้แต่ไม้ มาทำคีย์แคป และเริ่มมีการใส่สีสันและลวดลายลงไปบ้าง แต่ก็ยังเน้นการใช้งานเป็นหลักอยู่

ทุกวันนี้ คีย์แคปมีวิวัฒนาการไปไกลมาก มีวัสดุหลากหลายชนิดให้เลือก เช่น ABS, PBT, POM หรือแม้แต่เรซิน มีรูปทรงให้เลือกมากมาย และมีเทคนิคการผลิตที่ทำให้สามารถสร้างคีย์แคปที่มีดีไซน์สุดล้ำ และแตกต่างจากคนอื่น ซึ่งมีส่วนช่วยสร้างตัวตนของผู้ใช้ออกมาอย่างชัดเจน

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คีย์แคปได้ก้าวข้ามจากการเป็นเพียงแค่ของแต่งธรรมดา สู่การเป็นไอเท็มสุดฮิตที่ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มผู้ใช้คีย์บอร์ดทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นเกมเมอร์ นักออกแบบ หรือแม้แต่ผู้ใช้ทั่วไป  ทุกคนพยายามมองหาคีย์แคปที่มีดีไซน์โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ เพื่อปรับแต่งคีย์บอร์ดให้เข้ากับสไตล์ของตนเอ และเมื่อเทรนด์กำลังมาแรง จึงมีเทคโนโลยีการผลิตคีย์แคปออกมาในหลาย ๆ รูปแบบทั้ง

1.Injection Molding หรือการฉีดขึ้นรูป เป็นเทคนิคพื้นฐานที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการผลิตคีย์แคปที่วัสดุเป็นพลาสติก ทั้ง ABS และ PBT

2.Doubleshot Molding หรือฉีดขึ้นรูปแบบสองชั้น เป็นเทคนิคนี้ใช้ในการผลิตคีย์แคปที่มีตัวอักษรหรือสัญลักษณ์ที่ไม่ลอก โดยการฉีดพลาสติกสองสีซ้อนกัน ทำให้ตัวอักษรมีความทนทานสูง

3.3D Printing เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน  โดยช่วยให้สามารถสร้างสรรค์คีย์แคปที่มีรูปทรงและดีไซน์ที่ซับซ้อนได้อย่างอิสระ

คีย์แคป

และนอกจากการขึ้นรูปแล้ว ก็ยังมีเทคโนโลยีที่ใช้ในการเพ้นท์ตัวอักษรหลายแบบ ทั้งการระเหิดสี ที่ทำให้สีติดเข้ามาในเนื้อของพลาสติก สีลอกออกยาก การใช้ UV Printing รวมทั้งการเพ้นท์ด้วยมือ และการใช้สีเรืองแสง  ซึ่งทำให้คีย์แคปมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น

ด้วยเทรนด์ที่กำลังมาแรง บวกกับเทคโนโลยีการผลิตที่เพิ่มความหลากหลาย ทำให้ คีย์แคปกลายได้เป็นที่นิยมเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในงาน Commart บูธโซนคีย์บอร์ดก็เต็มไปด้วยคนที่ไปเลือกซื้อ บางคนมีคีย์บอร์ดหลายลายและเลือกใช้งานตาม Emotional ตัวเอง หรือบางคนก็เป็นสายซื้อเก็บ ไว้ใส่ตู้โชว์ก็มีครับ

คีย์แคปที่ได้รับความนิยม ก็มีหลากหลายแบรนด์  ทั้ง Loga , Dwarf Factory , GMK ซึ่งก็มีซีรีย์ให้เลือกตามความชอบ อย่าง Loga ก็จะมีคีย์แคปสายมู , ศิริมงคล หรือ Rabbot

จะเห็นได้ว่าคีย์แคปนั้นไม่ได้เป็นแค่เรื่องของปุ่มกดอีกต่อไป มันสะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายที่คนเริ่มใช้งานคีย์แคปตามเอกลักษณ์ของตัวเอง  ซึ่งตอนนี้ Techhub มีข่าวดีสำหรับคนชอบคีย์แคป ให้มาปล่อยของกันได้แบบขั้นสุด

โดยกำลังจะมีการจัดงานประกวดคีย์แคป “เทค เที่ยว ไทย คอนเทสต์” ซึ่งจะค้นหาสุดยอดผลงานสร้างสรรค์คีย์แคปที่แสดงเอกลักษณ์ความเป็นไทย ในธีม Thailand Tech Soft Power ชิงเงินรางวัลรวมกว่า 200,000 บาท โดย 9 ไอเดีย ที่ผ่านเข้ารอบจะถูกนำไปผลิตเป็นผลงานจริงเพื่อจัดแสดงในงานคอมมาร์ตรอบปลายปี ระหว่างวันที่ 28 พ.ย. – 1 ธ.ค. 67 ที่ไบเทค บางนา

หากใครสนใจ สามารถส่งผลงานออกแบบคีย์แคปแบบพิมพ์ลาย หรือคีย์แคปแบบ 3D ได้ตั้งแต่วันนี้ – 30 ก.ย. 67

ดูรายละเอียดการแข่งขัน >> https://www.commartthailand.com/2024/09/05/commart-tat-keycap-tech-tiew-thai-contest

ส่งผลงานเลย >> https://forms.gle/qGLCymomydDKm91H6

เปิดตัวงานใหม่ Health and Innovation Asia 2024 บุกตลาดเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อสุขภาพครบวงจร

วีเอ็นยู เอเชีย แปซิฟิค ผู้จัดงานแสดงสินค้าในอุตสาหกรรมเครื่องมือห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ มากกว่า 13 ปี พร้อมเปิดตัวงานใหม่ล่าสุดที่สำหรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพ ภายใต้ชื่องาน Health & Innovation Asia 2024 (เฮลท์ แอนด์ อินโนเวชั่น เอเชีย) จัดร่วมกันกับงาน Thailand LAB INTERNATIONAL 2024 ตั้งแต่วันที่ 11-13 กันยายน 2567 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุม ไบเทค กรุงเทพฯ ถือเป็นแพลตฟอร์มชั้นนำเพื่อการเจรจาธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมเจาะลึกอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพผสมผสานกับโซลูชั่นและเทคโนโลยี ICT เพื่อส่งเสริมการปฏิวัติ Digital Health Tech ของประเทศไทย Health & Innovation Asia 2024 จัดพร้อมกับ Food For Health Pavilion พร้อมแล้วที่จะเปลี่ยนกรุงเทพฯ ให้กลายเป็นศูนย์กลางของนวัตกรรม ที่บรรจบกันของสุขภาพและเทคโนโลยีซึ่งจะปฏิวัติอนาคตการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม

ส่งเสริมศักยภาพการดูแลสุขภาพผ่านเทคโนโลยี

งาน Health and Innovation Asia 2024 มีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำนวัตกรรมด้านการดูแลสุขภาพยุคใหม่ในกรุงเทพฯ เพื่อรองรับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพที่หลากหลายที่ต้องการสำรวจศักยภาพของเทคโนโลยีในการกำหนดอนาคตของการดูแลสุขภาพ โดยงานนี้ได้รับความร่วมมือจากงาน Zorg & ICT ซึ่งมีชื่อเสียงว่าเป็นงานเทคโนโลยีด้านสุขภาพที่ใหญ่ที่สุดในเนเธอร์แลนด์ และเป็นส่วนหนึ่งของ Dutch Health Week จัดโดย Royal Jaarbeurs ซึ่งเป็นบริษัทที่ถือหุ้นระดับนานาชาติของ วีเอ็นยู เอเชีย แปซิฟิค

งาน Health and Innovation Asia จะจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อดึงดูดผู้เชี่ยวชาญในวงการหลายพันคนจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพ ส่งเสริมสภาพแวดล้อมของการแลกเปลี่ยนข้อมูลและสร้างแรงบันดาลใจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะและโซลูชั่นซึ่งมีส่วนสนับสนุนในการดูแลสุขภาพที่ยั่งยืนและรองรับอนาคตทั่วทั้งภูมิภาคเอเชีย ภายในงานสามารถพบกับผู้ประกอบการจากหลายแบรนด์ อาทิเช่น AMATA Corporation, MIC Lab, Interpharma, Hubino LLC, Ozone Network Integration, Connell Caldic Thailand และ ISA Healthcare Solutions ทั้งนี้ยังมีหัวข้อสัมมนาที่น่าสนใจจัดขึ้นภายในงานตลอด 3 วัน โดยได้รับความร่วมมือจากหลายหน่วยงานเช่น  ศูนย์การศึกษาต่อเนื่องของแพทย์ (ศ.น.พ.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า เป็นต้น

การปฏิวัติดิจิทัลและความพร้อมของประเทศไทย

คุณปนัดดา ก๋งม้า รองประธานสายงานธุรกิจ วีเอ็นยู เอเชีย แปซิฟิค กล่าวว่า “การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของประเทศไทยกำลังเร่งตัวขึ้นผ่านโมเดลเศรษฐกิจไทยแลนด์ 4.0 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างเศรษฐกิจดิจิทัล โดยให้ความสำคัญกับความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ ความเป็นอยู่ที่ดีของสังคม ค่านิยมของมนุษย์ และการปกป้องสิ่งแวดล้อม การลงทุนด้านเทคโนโลยีครั้งใหญ่ได้นำไปสู่ความก้าวหน้าที่สำคัญในการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนและบรอดแบนด์ ซึ่งข้อมูลดิจิทัลสามารถเปลี่ยนคุณภาพและความยั่งยืนของสุขภาพและการดูแลสุขภาพได้ หากใช้อย่างเต็มประสิทธิภาพจะสามารถช่วยชีวิต ปรับปรุงสุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดี รวมไปถึงสนับสนุนระบบสุขภาพที่ยั่งยืนซึ่งให้บริการด้านสุขภาพที่ปลอดภัย คุณภาพสูง และมีประสิทธิภาพแก่ประชากรทั้งหมดในประเทศไทยและเอเชีย เราเห็นศักยภาพและโอกาสอันยิ่งใหญ่ในการนำงานนี้มาสู่กรุงเทพฯ และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราจึงรู้สึกปลื้มปิติที่จะประกาศการจัดงาน Health and Innovation Asia และ Food For Health ขึ้นในประเทศไทยปีหน้านี้”

เติมเต็มนวัตกรรมความรู้ด้านอาหารเพื่อสุขภาพ

“อุตสาหกรรมอาหารเพื่อสุขภาพมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาสุขภาพในปัจจุบัน ส่งเสริมแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืน และตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคสำหรับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ ตลาดที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วนี้คาดว่าจะเติบโตจาก 988.46 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 เป็น 1,405.69 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2032 โดยมีอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ที่ 4.50% ปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมการเติบโตนี้ในเอเชียได้แก่ การตระหนักรู้ด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้น รายได้ที่เพิ่มขึ้น และการแพร่ระบาดของโรคเรื้อรังที่สูงขึ้น ภายในพาวิลเลียน Food For Health ท่านจะได้พบกับแบรนด์ชั้นนำ เช่น Agapefarm, Fuji Kasei, HUMA Healthy, TofuSan และ TASTEBUD LAB เพื่อนำเสนอความก้าวหน้าล่าสุดในเทคโนโลยีด้านสุขภาพและอาหาร สมาคมที่เกี่ยวข้องนำเสนองานสัมมนาที่หลากหลาย ดึงดูดผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมอาหาร ผู้รักสุขภาพ ผู้ค้าปลีกและซูเปอร์มาร์เก็ต นักโภชนาการและนักกำหนดนโยบาย ภายในงานนี้” นางสาวชนันรัตน์ คงเกิด ผู้จัดการโครงการ กล่าว

สุขภาพและนวัตกรรมแห่งเอเชีย ผนวกรวมกับงาน Thailand LAB INTERNATIONAL

คุณอนุชา พันธุ์พิเชฐ ผู้จัดการโครงการอาวุโส Health and Innovation Asia 2024 ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “งาน Health and Innovation Asia ร่วมกับ Thailand LAB INTERNATIONAL แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเราในการส่งเสริมนวัตกรรมและขับเคลื่อนความก้าวหน้าในแวดวงการดูแลสุขภาพ ด้วยการรวมกันของเทคโนโลยีด้านสุขภาพที่ล้ำสมัยเข้ากับโซลูชั่นห้องปฏิบัติการขั้นสูง เรากำลังสร้างแพลตฟอร์มแบบไดนามิกที่ก้าวข้ามขอบเขตและมอบคุณค่าที่ไม่มีใครเทียบได้ให้กับผู้เข้าร่วมงานของเรา การทำงานร่วมกันนี้จะช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพสามารถสำรวจนวัตกรรมแบบองค์รวม ตั้งแต่ความก้าวหน้าในการวินิจฉัยไปจนถึงโซลูชันไอทีที่ล้ำสมัย ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้งานเดียวกัน”

ปลดล็อกโอกาสในการเข้าร่วม

งาน Health and Innovation Asia 2024 และ Food For Health Pavilion ขอเชิญชวนผู้ที่สนใจและบุคคลที่รักสุขภาพเข้าร่วมงานระหว่างวันที่ 11-13 กันยายน 2567 ณ ฮอลล์ 102-104 ไบเทค กรุงเทพฯ ตั้งแต่เวลา 10:00-17:00 น. ลงทะเบียนรับบัตรเข้างานฟรี พร้อมลุ้นรับรางวัลพิเศษมากมายได้ที่ https://eventpassinsight.co/el/to/THLAB0093 หรือเว็บไซต์หลัก https://health-innovation-asia.com สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง 02-1116611 (วีเอ็นยูฯ) หรืออีเมล communications@vnuasiapacific.com

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในก้าวสำคัญสู่การกำหนดอนาคตของการดูแลสุขภาพด้วยเทคโนโลยีที่นี่!

ปรับราคาใหม่ iCloud+ 2TB แพงขึ้น เก็บข้อมูลเยอะต้องจ่ายเพิ่ม

สายเก็บข้อมูลเตรียมรับมือ Apple ประกาศปรับราคา iCloud+ ครั้งใหม่ ผู้ที่จะซื้อพื้นที่ความจุเพิ่มตั้งแต่ 2TB ขึ้นไป จะต้องจ่ายรายเดือนสูงขึ้นกว่าเดิม

ปัจจุบัน iCloud จะเข้าช่วยดูแลข้อมูลให้ปลอดภัย สำรองข้อมูลโดยอัตโนมัติ และให้เข้าถึงข้อมูลได้ทุกที่ด้วยพื้นที่จัดเก็บข้อมูลใช้ฟรี 5GB 

แต่เมื่ออัปเกรดเป็น iCloud+ คุณจะได้รับพื้นที่จัดเก็บข้อมูลมากขึ้นพร้อมด้วยคุณสมบัติความเป็นส่วนตัวที่ดียิ่งขึ้น โดยราคาสูงสุดประมาณ 400 บาท 

ในประเทศไทยราคาที่ถูกปรับแบบเป็นทางการมีดังนี้

ความจุ 5GB ใช้ฟรี

ความจุ 50GB ราคา 35 บาท 

ความจุ 200GB ราคา 99 บาท

ความจุ 2TB ราคา 399 บาท (จากเดิม 349 บาท)

ความจุ 6TB ราคา 1,190 บาท (จากเดิม 999 บาท)

ความจุ 12TB ราคา 2,390 บาท (จากเดิม 1,999 บาท)

โดยจะมีผลทันทีกับผู้ใช้งานใหม่หรือรอบบิลถัดไป ใครที่สมัคร iCloud+ ก็เตรียมตัวจ่ายเพิ่มกันต่อไป 

หรือไม่ก็ลองหาพื้นที่ใหม่ๆ มาลองใช้งานดูอย่าง google หรือไม่ก็เป็นอุปกรณ์เก็บข้อมูลกันดู

 

ที่มา : apple

#Apple #iCloud+ #TechhubUpdate

เวลาร์ มุ่งสู่การเป็นพันธมิตรทางธุรกิจการค้า ต่อยอดจุดแข็งด้าน Tech Company พร้อมเสริมพลังให้กับระบบนิเวศขนส่ง

เวลาร์

เวลาร์ คอปอร์เรชั่น จำกัด (Waylar) Tech Company ภายใต้การดำเนินงานของคนไทยแบบ 100% ด้วยแนวคิดของการก่อตั้งบริษัทเพื่อการพัฒนาแพลตฟอร์ม IoT (Internet of Things) มุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีการใช้ข้อมูลแบบเรียลไทม์ ในการสนับสนุนภาคธุรกิจให้มีความคล่องตัวเพิ่มากขึ้น สร้างข้อได้เปรียบเชิงข้อมูล เพื่อนำมาจัดสรรทรัพยากร ให้ประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์พร้อมสร้างประสิทธิภาพอย่างยั่งยืน

นายพันชนะ ตันติพิสุทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เวลาร์ คอร์ปอเรชั่น (WAYLAR) จำกัด ได้เปิดเผยว่า “ในช่วงที่ผ่านมาเราได้มีการพัฒนาตัวแอพพลิเคชั่นภายใต้ระบบของเวลาร์ให้มีประสิทธิภาพและตอบโจทย์การใช้งานมาอย่างต่อเนื่อง และได้มีการทดสอบการทำงานร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจบางส่วนซึ่งได้รับผลตอบรับจากการใช้งานที่ดีมาก เราจึงได้วางแผนพัฒนาต่อยอดเพื่อให้ผู้ใช้งานได้สัมผัสกับประสบการณ์และฟังก์ชั่นการใช้งานที่ดียิ่งขึ้น โดยเราจะสร้างความแตกต่างโดยใช้จุดเด่นของบริษัทที่เป็น Tech Company ในการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจที่เป็นกลุ่มธุรกิจใหม่ๆ นอกเหนือจากกลุ่มธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ เพื่อทสร้างความน่าเชื่อถือในระดับภูมิภาค รวมไปถึงการสร้างความรวดเร็วในการบริหารข้อมูล และการเชื่อมโยงในการบริหารทรัพยากรคนและกระบวนการทำงาน ให้มีความสอดคล้องกันแบบไร้รอยต่อ มุ่งสู่การเกิดประสิทธิภาพและสัมฤทธิ์ผลทางการดำเนินงานอย่างสูงสุด ด้วยเทคโนโลยี และระบบ Supply Chain ของเวลาร์ ”

โดยที่ผ่านมาเราได้มีการพัฒนาและผลักดันแอพพลิเคชั่น ชื่อ “WAYLAR WORK” โดยความโดดเด่นของแอพพลิเคชั่นตัวนี้ถือว่ามีความน่าสนใจมาก เพราะจะสามารถนำมาช่วยในเรื่องของการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานบุคลากรในองค์กรได้ดีขึ้น สะดวกขึ้น และง่ายมากขึ้น ซึ่งเราถือว่าได้รับผลตอบรับอย่างดีเยี่ยม โดยต่อจากนี้เราก็คงจะพัฒนาในเรื่องของประสิทธิภาพของแอพพลิเคชั่นต่อไปอีกอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อพันธมิตรของเราและพร้อมที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในระดับภูมิภาคให้ได้

ภายใต้ความเป็น Tech Company ของเวลาร์ ที่มีการพัฒนาทั้งในส่วนของระบบแพลตฟอร์มต่างๆ อยู่ตลอดเวลา และการเชื่อมโยงเข้ากับอุปกรณ์ IoT ที่ทันสมัย ทำให้เวลาร์ มีข้อแตกต่างในการให้บริการกับพันธมิตรทางธุรกิจ เพราะสามารถที่จะเชื่อมโยงคน เครื่องจักร และกระบวนการทำงาน เข้าด้วยกันได้ ทำให้ร่นระยะเวลาการทำงาน และสามารถสร้างการเชื่อมต่อที่มีประสิทธิภาพ พร้อมที่จะสร้างประโยชน์ทางธุรกิจให้กับพันธมิตรอย่างสูงสุด ซึ่งเป้าหมายของเราต่อจากนี้เราคาดหวังว่าพันธมิตรของเราที่ลงทะเบียนใช้บริการแอพพลิเคชั่นของเรา จะมีผู้ใช้งานเติบโตมากกว่า 30,000 users

“ไม่เพียงแค่มุ่งการพัฒนา “WAYLAR WORK” เท่านั้น เวลาร์ ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาต่อยอด WAYLAR CONNECT และ WAYLAR BOOKING ด้วยการสร้างระบบแพลตฟอร์มเพื่อสนับสนุนธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อให้กระบวนการขนส่งสินค้าสามารถดำเนินการได้อย่างเป็นระบบและสะดวกมากยิ่งขึ้น ซึ่งผู้ใช้งานจะสามารถใช้บริการฟังก์ชั่นต่างๆ เช่น การจองงานขนส่ง การจัดการรถและพนักงานขนส่ง การติดตามสถานะงานขนส่งแบบเรียลไทม์ ไปจนถึงการจัดการคลังสินค้า”

ไม่เพียงแค่ระบบแพลตฟอร์มเพื่อการขนส่ง และสนับสนุนงานด้านการจัดงานทรัพยากรบุคคล เท่านั้น เวลาร์ ยังมีระบบนิเวศน์โลจิสติกส์ที่ครบวงจรสำหรับพันธมิตรทางการค้า ไม่ว่าจะเป็น ระบบเทคโนโลยีติดตามรถยนต์ (GPS), งานบำรุงรักษา, งานขนส่งสินค้า,, การให้คำปรึกษา ด้านธุรกิจขนส่ง และการเช่าซื้อรถบรรทุก ซึ่ง เวลาร์พร้อมเดินหน้าอย่างไม่หยุดยั้งในการพัฒนา “ผลิตภัณฑ์” ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัยอยู่เสมอ เพื่อประโยชน์ในการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารสินทรัพย์และการดำเนินธุรกิจในโลกแห่งอนาคต

Hot Issue