Home Blog Page 32

ASUS เปิดตัว Vivobook S 15 และ ProArt PZ13 โน้ตบุ๊ก Copilot+ PC รุ่นล่าสุด ขับเคลื่อนด้วยโปรเซสเซอร์ Snapdragon X Plus ส่งมอบความสามารถ AI สู่กลุ่มผู้ใช้ที่หลากหลายขึ้น

เอซุส (ประเทศไทย) เปิดตัวโน้ตบุ๊ก Copilot+ PC สองรุ่นใหม่ล่าสุด มาพร้อมโปรเซสเซอร์ Snapdragon X Plus เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกแก่ผู้ใช้ ต่อยอดความสำเร็จของ Vivobook S 15 (S5507) ที่ขับเคลื่อนด้วยโปรเซสเซอร์ Snapdragon X Elite และเปิดตัวไปก่อนหน้า ครั้งนี้เอซุสพร้อมวางจำหน่ายโน้ตบุ๊กทั้ง 2 รุ่น ได้แก่ ASUS Vivobook S 15 และ ProArt PZ13 บนแพลตฟอร์ต Snapdragon X Plus ที่โดดเด่นเรื่องประสิทธิภาพในการประหยัดพลังงาน สามารถใช้งานได้ยาวนาน พร้อมส่งมอบประสบการณ์ Copilot+ PC กับการใช้งาน AI สู่กลุ่มผู้ใช้ที่กว้างขึ้น ให้คุณเป็นเจ้าของได้แล้ววันนี้ 

Vivobook S 15 และ ProArt PZ13 ยังเป็นโน้ตบุ๊กเครื่องแรกที่ใช้แพลตฟอร์ม Snapdragon X Plus เทคโนโลยีล่าสุดจาก Qualcomm นำเสนอฟีเจอร์ AI ขั้นสูงให้ผู้ใช้ได้เข้าถึงง่ายกว่าเดิม ซีพียู Qualcomm Oryon™แบบ 8 คอร์ ที่ขับเคลื่อนแพลตฟอร์ม Snapdragon X Plus ช่วยให้การตอบสนองรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ทั้งยังให้ความสามารถในการประมวลผล AI ด้วย NPU กว่า 45 TOPS ทำให้การสร้างสรรค์งานเป็นไปได้อย่างไร้ข้อจำกัดในดีไซน์ที่พกพาสะดวก พร้อมอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่น่าทึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการทำพรีเซ้นต์งานขณะเดินทาง หรือการสตรีมวีดีโอ ฟังก์ชันการทำงานที่หลากหลายของโปรเซสเซอร์ใหม่นี้จะช่วยส่งมอบประสบการณ์ใช้งานที่ดีที่สุด

ASUS Vivobook S 15

ASUS Vivobook S 15 ออกแบบมาเพื่อความสะดวกในการพกพาสูงสุด บางเพียง 14.7 มม. น้ำหนัก 1.42 กก. ดีไซน์มินิมอล สามารถใช้งานได้นานกว่า 18 ชั่วโมง และพกไปทำงานนอกสถานที่ได้อย่างสะดวก มาพร้อมหน้าจอแสดงผลคุณภาพสูง ASUS Lumina OLED ขนาด 15.6 นิ้ว ความละเอียด 3K (2880x1620) อัตราส่วน 16:9 120Hz ให้ภาพสวยงาม คมชัด ทุกรายละเอียด พร้อมถนอมดวงตาจากแสงสีฟ้า และยังเพิ่มสไตล์ให้กับผู้ใช้ด้วยตัวเครื่องอะลูมิเนียม สี Cool Silver มาพร้อมไฟคีย์บอร์ด RGB (1-Zone) ปรับแต่งสีได้ และปุ่มลัด Copilot บนคีย์บอร์ดเรียกใช้งานเครื่องมือ AI ได้ทันที และยังมีฟีเจอร์พิเศษที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ยกตัวอย่างเช่นฟีเจอร์ Copilot สรุปเนื้อหาบทสนทนา, การประชุม และช่วยตอบคำถามของผู้ใช้, ฟีเจอร์ Live Captions ช่วยให้คำบรรยายแบบเรียลไทม์ได้อย่างแม่นยำมากกว่า 40 ภาษาทั่วโลก และฟีเจอร์ Paint Cocreator หรือเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ใช้สร้างภาพจากการวาดหรือคำอธิบายข้อความด้วยความช่วยเหลือของ AI

ASUS Vivobook S 15 (S5507) มาพร้อม Windows 11 Home และ Microsoft Office Home and Student 2021 พร้อมใช้งาน พร้อมด้วย Microsoft 365 Basic ฟรี 12 เดือน เพิ่มพื้นที่เก็บข้อมูลบนระบบคลาวด์ขนาด 100 GB และ มาพร้อมการรับประกันบริการซ่อมถึงที่ 2 ปี (On-Site Service), ประกันระหว่างประเทศกว่า 80 ประเทศทั่วโลก 2 ปี และประกันอุบัติเหตุ 1 ปีแรก (Perfect Warranty)

พิเศษเฉพาะ Vivobook S ในปี 2024 ทุกรุ่น ลงทะเบียนที่ลิงก์ https://th.asus.click/hc84br รับเพิ่มประกันอุบัติเหตุปีที่ 2 (Perfect Warranty) มูลค่า 1990 บาท ฟรี! ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธ.ค. 67

  • S5507QA-PU098WF: Snapdragon® X Plus X1P 42 100 Processor up to 3.4GHz /Qualcomm® Adreno™ GPU / Qualcomm® Hexagon™ NPU 45 TOPs / LPDDR5X 16GB / 1TB M.2 NVMe™ PCIe® 4.0 SSD / 15.6-inch 3K (2880 x 1620) OLED 16:9 aspect ratio 120Hz refresh rate / 1.42 kg  /  Microsoft Office Home & Student 2021 + Microsoft 365 Basic ราคา 39,990 บาท

ProArt PZ13

ProArt PZ13 โน้ตบุ๊กถอดจอได้ และรองรับการใช้งานหลากหลายรูปแบบทั้ง Portrait mode รูปแบบการใช้งานในแนวตั้ง, Tablet mode และเชื่อมต่อคีย์บอร์ด Laptop mode เพื่อใช้งานแบบโน้ตบุ๊กทั่วไป เหมาะสำหรับการพกพาสร้างสรรค์งานนอกสถานที่ ด้วยน้ำหนักเครื่องเพียง 0.85 กก. และความบาง 9 มม. ผ่านการทดสอบมาตรฐานทางการทหารให้คุณมั่นใจทุกการใช้งาน พร้อมกล้องบันทึกภาพด้วยกล้องหน้า 5 MP + กล้อง IR และ กล้องหลัง 13 MP

โน้ตบุ๊ก Copilot+ PC รุ่นใหม่นี้ยังพร้อมส่งมอบประสบการณ์ AI ในอีกระดับ ด้วยระบบรักษาความปลอดภัยที่ปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น, ความเร็วในการทำงาน และการปรับแต่งค่าตามความต้องการของผู้ใช้ มาพร้อมการเชื่อมต่อที่หลากหลายด้วยพอร์ต USB-4 สองพอร์ต และ SD Card reader พร้อมแบตเตอรี่ขนาด 70 Wh สามารถเล่นวีดีโอ FHD ต่อเนื่องได้นานถึง 21 ชั่วโมง

ผู้ใช้ยังสามารถเพลิดเพลินกับหน้าจอสัมผัส คุณภาพสูง ASUS Lumina OLED ขนาด 13.3 นิ้ว ความละเอียด 3K อัตราส่วน 16:10 ที่รองรับการใช้งานปากกาสไตลัส พร้อมแนะนำแอปพลิเคชันเอกสิทธิ์เฉพาะจากเอซุส StoryCube ที่จะช่วยจัดการข้อมูลดิจิทัล ด้วยการใช้เทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยบริหารจัดการไฟล์ และ ProArt Cocreator Hub เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเหล่าครีเอเตอร์ทุกระดับ

ProArt PZ13 มาพร้อม Windows 11 Home และ Microsoft Office Home and Student 2021 พร้อมใช้งาน พร้อมด้วย Microsoft 365 Basic ฟรี 12 เดือน เพิ่มพื้นที่เก็บข้อมูลบนระบบคลาวด์ขนาด 100 GB และ มาพร้อมการรับประกันบริการซ่อมถึงที่ 3 ปี (On-Site Service), ประกันระหว่างประเทศกว่า 80 ประเทศทั่วโลก 3ปี และประกันอุบัติเหตุ 1 ปีแรก (Perfect Warranty)

  • HT5306QA-LX007WF: Snapdragon® X Plus X1P 42 100 Processor up to 3.4GHz /Qualcomm® Adreno™ GPU / Qualcomm® Hexagon™ NPU 45 TOPs / LPDDR5X 16GB / 1TB M.2 NVMe™ PCIe® 4.0 SSD / 3K (2880 x 1800) OLED 16:10 aspect ratio 60Hz refresh rate / 0.85 kg  / Stylus / 6-month CapCut membership / Microsoft Office Home & Student 2021 + Microsoft 365 Basic ราคา 45,990 บาท

สิทธิพิเศษเมื่อซื้อ ProArt PZ13 

  • มาพร้อม Magnetic stand เคสขาตั้ง
  • ฟรี ASUS Pen 2.0 ปากกาสไตลัส 
  • ฟรี ProArt Backpack
  • Adobe Creative Cloud ใช้งานฟรี 3 เดือน รายละเอียดเพิ่มเติม: https://th.asus.click/zyvh9i 
  • Capcut Pro ใช้งานฟรี 6 เดือน รายละเอียดเพิ่มเติม: https://th.asus.click/t5blm5 

ผู้ที่สนใจสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ https://www.facebook.com/ASUSTHAILAND 

S5507QA: https://th.asus.click/i7jsuc 

HT5306QA: https://th.asus.click/la4oym

ASUS Online Store: https://www.asus.com/th/store/  

ASUS Official Store บน Shopee: https://bit.ly/2UEpBCb 

ASUS Official Store บน Lazada: https://bit.ly/2UBBmcJ 

Intel Evo Edition จากขุมพลังโปรเซสเซอร์ Intel Core Ultra 200V series

Intel Core Ultra 200V series processors are the most efficient x86 processors ever built. They deliver breakthrough x86 power efficiency, exceptional core performance, a massive leap in graphics and unmatched AI compute. Intel introduced the new family of mobile processors on Sept. 3, 2024, in advance of IFA Berlin. (Credit: Intel Corporation)

แพลตฟอร์ม Intel Evo ล่าสุด พร้อมมอบประสบการณ์การใช้งานแล็ปท็อปด้วยประสิทธิภาพขั้นสุด

ก่อนถึงงาน IFA 2024 ที่กรุงเบอร์ลิน เยอรมนี อินเทลได้เผยคุณสมบัติล่าสุดของแล็บท็อปที่ได้รับการเพิ่มประสิทธิภาพด้วยแพลตฟอร์ม Intel® Evo™ Edition จากขุมพลังโปรเซสเซอร์ Intel® Core™ Ultra 200V series   

ต้องได้รับเครื่องหมายสัญลักษณ์ Intel® Evo™ badge

เครื่องหมายสัญลักษณ์ Intel® Evo™ badge เป็นสัญลักษณ์ที่ใช้ระบุระดับสูงสุดของการพัฒนาสร้างสรรค์แล็ปท็อปในทุกรายละเอียดยาวนานมากกว่าหนึ่งปีเพื่อส่งมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดแก่ผู้ใช้งาน ด้วยการพัฒนากลไกวิศวกรรมร่วมอย่างเข้มข้น อินเทลได้ทำงานร่วมกับทุกฝ่ายในระบบนิเวศ open PC เพื่อส่งมอบการใช้งานแล็ปท็อปที่ยอดเยี่ยมที่สุด1 ทั้งหมดนี้ผ่านขั้นตอนที่เรียกว่าเส้นทางการรับรองระบบ Intel Evo Edition OEM แต่ละดีไซน์ระบบจะต้องผ่านการประเมินเบื้องต้น เมื่อแล็ปท็อปนั้นๆ ผ่านการประเมินแล้ว ก็จะต้องผ่านเกณฑ์การตรวจสอบอีก 10 เกณฑ์เป็นระยะเวลากว่าหกเดือน โดยระบบจะได้รับการปรับจูนตามมาตรฐาน Intel Evo เมื่อเสร็จสิ้นทุกขั้นตอนการตรวจสอบและผ่านการรับรองขั้นตอนสุดท้าย ดีไซน์ระบบของแล็ปท็อปจะได้รับการรับรองในฐานะแล็ปท็อป Intel Evo Edition พร้อมเครื่องหมายสัญลักษณ์ Intel Evo  

ส่งมอบประสิทธิภาพขั้นสุดได้ทุกที่

แล็ปท็อป Intel Evo Edition ได้รับการพัฒนาด้านวิศวกรรมร่วมและออกแบบขึ้นเพื่อช่วยตอบสนองการใช้งานที่สำคัญแก่ผู้ใช้งาน ด้วยการผสานแพลตฟอร์มเทคโนโลยีสำคัญเข้ากับการหาค่าระบบที่เหมาะสมที่สุด แล็ปท็อปเหล่านี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยลดการหน่วง การรบกวน และมีอายุการใช้งานแบตเตอรี่ได้ตลอดทั้งวัน2 โดยไม่จำเป็นต้องชาร์จแบตตลอดเวลา ทำให้ผู้ใช้งานสามารถใช้งานได้จากทุกที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพเหนือชั้น สำหรับปีนี้ แล็ปท็อป Intel Evo จะต้องผ่านเกณฑ์มาตรฐานเพิ่มเติมเพื่อประสิทธิภาพการใช้งานที่ระบายความร้อนน้อยลงและมีเสียงรบกวนน้อยลง โดยมาพร้อมกับดีไซน์รูปลักษณ์ที่เบาและบางพร้อมดิสเพลย์ที่ให้ค่าการแสดงผลที่ล้ำลึก ทั้งคุณภาพของพิกเซล ความสว่าง ระดับชั้นสี และสัดส่วนความคมชัด

แล็ปท็อปทุกรุ่นที่ใช้ Intel Evo จากขุมพลังแพลตฟอร์มโปรเซสเซอร์ Intel Core Ultra 200V series ผ่านการรับรอง3 ตามดัชนีชี้วัดคุณภาพประสบการณ์การใช้งานสำคัญ ดังนี้

  • การตอบสนองการใช้งานที่ต่อเนื่องจากแบตเตอรี่ด้วยการทำงาน 14 รายการทั่วไป2
  • ประสิทธิภาพการใช้งานที่ระบายความร้อนน้อยลงและมีเสียงรบกวนน้อยลง ตามมาตรฐานใหม่2
  • การเปิดใช้งานได้ทันทีใน 1.5 วินาทีหรือน้อยกว่านั้น สามารถเข้าใช้งานได้อย่างรวดเร็ว4
  • อายุการใช้งานแบตเตอรี่จริงของแล็ปท็อปอยู่ที่ 11 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น โดยเปิดใช้งานดิสเพลย์แบบ HD5 บนแล็ปท็อปที่สามารถใช้ Local Video Playback ได้ถึง 20 ชั่วโมง6
  • อายุการใช้งานแบตเตอรี่ของแล็ปท็อปอยู่ที่ 4.5 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น โดยเปิดใช้งานดิสเพลย์แบบ HD บนแล็ปท็อปหลังชาร์จแบตเตอรี่ 30 นาที7
  • คุณสมบัติพีซีคอร์ที่ปลอดภัยเพื่อป้องกันการโจมตีหรือมัลแวร์

นอกเหนือจากการส่งมอบประสบการณ์การใช้งานชั้นยอดแล้ว อินเทลยังมุ่งมั่นที่จะพัฒนาขับเคลื่อนอนาคตแห่งดีไซน์แล็ปท็อปที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและมีความยั่งยืน ด้วย Intel Evo Edition ใหม่ล่าสุด อินเทลได้ยกระดับมาตรฐานด้วยการปฏิบัติตามระเบียบ Ecolabel รวมถึง  EPEAT Gold Certification หรือ TCO certification ด้วย

รับประกันความปลอดภัยที่ยอดเยี่ยมเหนือชั้น8

แล็ปท็อป Intel Evo มาพร้อมคุณสมบัติด้านความปลอดภัยที่มากับตัวเครื่องที่ช่วยป้องกันการคุกคาม ปกป้องความเป็นส่วนตัว และช่วยให้ทำงานได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ ด้วยระบบความปลอดภัยและการล็อกเครื่องอัตโนมัติเมื่อไม่มีการใช้งาน (Walk Away Lock) ผู้ใช้งานจึงไม่ต้องกังวล และสามารถเริ่มทำงานได้ทันทีเมื่อพร้อมกลับมาใช้งานอีกครั้ง 

สื่อสารอย่างมั่นใจด้วยระบบประสานงานอัจฉริยะ

การเชื่อมต่อได้จากทุกที่ ไม่ว่าคุณจะทำงานจากบ้านหรืออยู่นอกบ้าน เป็นเรื่องสำคัญ ด้วยการเชื่อมต่อที่มีประสิทธิภาพเชื่อถือได้และการจัดลำดับความสำคัญก่อน-หลัง ช่วยให้ผู้ใช้สามารถวิดีโอคอล ดาวน์โหลดไฟล์ และสตรีมวิดีโอคุณภาพระดับ 8K ได้อย่างราบรื่นไร้กังวล ในโลกแห่งเทคโนโลยีทุกวันนี้ อินเทลมุ่งมั่นที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการเชื่อมต่อให้กับผู้ใช้งานได้ติดต่อสื่อสารออนไลน์ด้วยความมั่นใจ เทคโนโลยีที่หลากหลายต้องมาพร้อมการทำงานที่ราบรื่นพร้อมๆ กันเพื่อประสบการณ์การใช้งานที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ 

  • แล็ปท็อป Intel Evo นำเสนอประสบการณ์การใช้งานที่ทรงพลัง (<17dB 6Ghz sensitivity loss) พร้อมระดับความเร็วขั้นสุด (>5 Gbps) ความหน่วงต่ำ (ต่ำกว่า Wi-Fi 6 ประมาณ 60%) รวมถึงประสิทธิภาพการใช้งาน Wi-Fi ที่เสถียรและน่าเชื่อถือโดย  Intel® Wi-Fi 79
  • Intel® Connectivity Performance Suite มาพร้อมระบบจัดการเชื่อมต่อที่พัฒนาขึ้นไปอีกระดับ รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi และการใช้งานอัจฉริยะเวอร์ชั่นที่ 410
  • กล้องคุณภาพสูงตัวใหม่ที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน VCX Camera กับคุณภาพเสียงมากกว่าหรือเท่ากับ 42
  • ประสิทธิภาพเพิ่มเติมของคุณสมบัติด้านเสียงหรือวิดีโอด้วยหน่วยประมวลผลประสาทเทียม (NPU)
  • ไฟแสดงสถานะของไมโครโฟนและกล้องเพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยให้แก่ผู้ใช้งาน
  • เอฟเฟกต์วิดีโอเพิ่มเติม เช่นMicrosoft Studio Effects  
  • การเชื่อมต่อบลูทูธ
  • แล็ปท็อป Intel Evo ใช้ระบบประมวลผลอัจฉริยะที่มาพร้อมตัวเครื่องและลดเสียงรบกวนด้วยการใช้เอไอและฮาร์ดแวร์เข้ามาช่วย ซึ่งสามารถจำแนกเสียงพูดของคู่สนทนาให้ชัดเจนและแยกเสียงรบกวนออกจากกันโดยไม่กระทบต่ออายุการใช้งานของแบตเตอรี่ ช่วยให้ประสบการณ์การใช้งานราบรื่น

ขยายประสบการณ์ด้วยวิศวกรรมของแอกเซสเซอรี Intel Evo

วิศวกรรมที่ได้รับการออกแแบบเพื่อโปรแกรม Intel Evo โดยเฉพาะ บ่งขี้ว่าแอกเซสเซอรีหรือส่วนประกอบต่างๆ ของแล็ปื็อปได้ผ่านมาตรฐานด้านประสิทธิภาพสำคัญเพื่อประสบการณ์การใช้งานพีซีที่ไร้รอยต่อ ในปีนี้ โปรแกรมได้ขยายครอบคลุมไปสู่เหล่าพันธมิตรในอุตสาหกรรมเพื่อนำเสนอ Bluetooth LE Audio ตัวใหม่ เครื่องช่วยฟัง Thunderbolt docks จอมอนิเตอร์ ดีไวซ์จัดเก็บ หูฟังบลูทูธ ไมซ์ คีย์บอร์ด และ access points มาสู่ผู้ใช้งานด้วย  

เรียนรู้เพิ่มเติม: Accessories Program

รู้หรือไม่ว่า

Open Labs: Project Athena Open Labs ของอินเทลสามารถเข้าถึงได้จากระบบนิเวศส่วนประกอบ เพื่อให้แน่ใจว่าการคัดเลือกส่วนประกอบนั้นตรงเกณฑ์มาตรฐานประสิทธิภาพ การตอบสนอง และอายุการใช้งานแบตเตอรี่

Ecosystems Symposiums: อินเทลได้รวบรวมเหล่าพันธมิตรในอุตสาหกรรมกว่า 150 ราย มาร่วมเวทีพูดคุยระดับโลกเกี่ยวกับอนาคตของการใช้งานแล็ปท็อป

Research: ทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านประสบการณ์ผู้ใช้งานของอินเทลได้ทำการค้นคว้าวิจัยอย่างต่อเนื่องเพื่อเข้าใจพฤติกรรมการใช้งานแล็ปท็อปของผู้คน พร้อมระบุจุดอ่อนเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้งานให้ดีขึ้นอยู่เสมอ

ประกาศและข้อจำกัดความรับผิดชอบ

ประสิทธิภาพอาจแตกต่างกันไปตามการใช้งาน รูปแบบโครงสร้าง และปัจจัยอื่นๆ
เรียนรู้เพิ่มเติมที่ www.Intel.com/PerformanceIndex

ผลลัพธ์ด้านประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับการประเมินวัดผล ณ วันที่ที่ปรากฏในรูปแบบโครงสร้าง และอาจไม่ตรงกับวันที่มีการอัปเดต ดูแบ็กอัปสำหรับรายละเอียดข้อมูลของรูปแบบโครงสร้าง ไม่มีผลิตภัณฑ์หรือส่วนประกอบได้ปลอดภัยโดยสมบูรณ์

ต้นทุนและผลลัพธ์ที่ได้อาจแตกต่างกันไป

เทคโนโลยีของอินเทลต้องอาศัยฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ หรือบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง 

© บริษัท อินเทล คอร์ปอเรชั่น. อินเทล และ โลโก้ของอินเทล เครื่องหมายทางการค้าอื่น ๆ เป็นเครื่องหมายการค้าของ Intel Corporation หรือบริษัทในเครือ ชื่อและแบรนด์อื่น ๆ อาจถูกอ้างสิทธิ์ว่าเป็นทรัพย์สินของผู้อื่น

1 อ้างอิงจากอายุการใช้งานแบตเตอรี่จริงที่ผ่านการรับรองของแล็ปท็อป Intel Evo ขณะที่แสดงประสิทธิภาพเวิร์กโฟลว์ทั่วไปในสภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้นจริงที่มีการใช้งานปกติทั่วไปในชีวิตประจำวัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์การทำงานของระบบที่แตกต่างกันไป ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.intel.com/Performance-Evo

2 แล็ปท็อป Intel® Evo™ ได้รับการรับรอง วัดผล และทดสอบด้านคุณสมบัติเฉพาะและดัชนีชี้วัดคุณภาพประสบการณ์การใช้งานสำคัญ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมนวัตกรรมของอินเทลที่ชื่อ Project Athena(https://www.intel.com/content/www/us/en/products/docs/devices-systems/laptops/laptop-innovation-program.html) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์การทำงานของระบบ พลัง ประสิทธิภาพ รูปลักษณ์โครงสร้างและปัจจัยอื่นๆ ที่แตกต่างกันไป โดยวัดผลเพื่อเดือนสิงหาคม 2567 และไม่ได้รับประกันประสิทธิภาพการทำงานของแล็ปท็อปแต่ละรุ่น

3 อ้างอิงจากอายุการใช้งานแบตเตอรี่จริงที่ผ่านการรับรองของแล็ปท็อป Intel Evo ขณะที่แสดงประสิทธิภาพเวิร์กโฟลว์ทั่วไปในสภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้นจริงที่มีการใช้งานปกติทั่วไปในชีวิตประจำวัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์การทำงานของระบบที่แตกต่างกันไป ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.intel.com/Performance-Evo

4 วัดระยะเวลาจากระดับแบตเตอรี่เต็ม 100% จนถึงขีดวิกฤติขณะทำงานเวิร์กโฟลว์ตามปกติทั่วไปในสภาพแวดล้อมตามจริง ทั้งนี้ผลลัพธ์ของการทำงานแต่ละระบบอาจแตกต่างกันไป ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.intel.com/performance-evo

5 เวลาที่แบตเตอรี่ลดจาก 100% สู่ระดับวิกฤตขณะเล่นวิดีโอที่จัดเก็บในเครื่องคอมพิวเตอร์ตามที่ทดสอบบน Dell XPS 13 ผลลัพธ์ของอุปกรณ์แต่ละอุปกรณ์อาจแตกต่างกัน สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.intel.com/performance-evo

6 ระยะเวลาชาร์จแบตเตอรี่อย่างน้อยที่สุดจากเลเวลการปิดเครื่องแบบอัตโนมัติของ OEM  ผลลัพธ์ของการทำงานแต่ละระบบอาจแตกต่างกันไป ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.intel.com/performance-evo

7 ข้อมูลเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2567 อ้างอิงจากระบบความปลอดภัยจามหลักเกณฑ์การออกแบบ การจัดการช่องโหว่ที่มีอยู่ในระบบอย่างทันท่วงที ขั้นตอนการอัปเดตแพลตฟอร์มอินเทลอย่างมีประสิทธิภาพ โปรแกรมการจัดการ bug การตรวจสอบภายในผ่านทีมสำคัญ ฯลฯ ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ intel.com/security ต้องอาศัยเราเตอร์ APs หรือเกตเวย์ที่สามารถทำงานร่วมกับ Wi-Fi 7 320 MHz channels, 4K QAM, และคุณสมบัติ Multi-link Operation ได้ รวมถึงการจัดหาสเป็กตรัม 6 GHz ที่ใช้งานทั่วภูมิภาค และมาตรฐานการรับรองตามที่ระบุในกฎระเบียบ แนะนำให้สอบถามตัวแทนผู้จัดจำหน่ายหรือร้านค้าเดี่ยวกับรายละเอียดของโครงสร้างระบบ ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ intel.com/performance-wireless

8 แพลตฟอร์มอินเทลอย่างมีประสิทธิภาพ โปรแกรมการจัดการ bug การตรวจสอบภายในผ่านทีมสำคัญ ฯลฯ ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ intel.com/security ต้องอาศัยเราเตอร์ APs หรือเกตเวย์ที่สามารถทำงานร่วมกับ Wi-Fi 7 320 MHz channels, 4K QAM, และคุณสมบัติ Multi-link Operation ได้ รวมถึงการจัดหาสเป็กตรัม 6 GHz ที่ใช้งานทั่วภูมิภาค และมาตรฐานการรับรองตามที่ระบุในกฎระเบียบ แนะนำให้สอบถามตัวแทนผู้จัดจำหน่ายหรือร้านค้าเดี่ยวกับรายละเอียดของโครงสร้างระบบ ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ intel.com/performance-wireless

9 Intel® Connectivity Performance Suite สามารถใช้งานบนระบบปฎิบติการวินโดว์เท่านั้น การทดสอบIntel Over The Air (OTA) Wi-Fi ดำเนินการบนเครือข่ายที่อัดแน่น เทียบกับการใช้งานซอฟต์แวร์ ICPS การจัดลำดับทราฟิกแบบไร้สาย และการสวิตช์แอกเซสพอยต์แบบอัจฉริยะ ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ intel.com/performance-wireless ผลลัพธ์ที่ได้อาจแตกต่างกันไป 

10 Intel® Connectivity Performance Suite สามารถใช้งานบนระบบปฎิบติการวินโดว์เท่านั้น การทดสอบIntel Over The Air (OTA) Wi-Fi ดำเนินการบนเครือข่ายที่อัดแน่น เทียบกับการใช้งานซอฟต์แวร์ ICPS การจัดลำดับทราฟิกแบบไร้สาย และการสวิตช์แอกเซสพอยต์แบบอัจฉริยะ ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ intel.com/performance-wireless ผลลัพธ์ที่ได้อาจแตกต่างกันไป

Garmin เปิดตัว FENIX 8 ที่สุดของมัลติสปอร์ตสมาร์ทวอทช์ระดับพรีเมียม อัปเกรดนวัตกรรมเพื่อการผจญภัยและการฝึกซ้อมแบบจัดเต็ม พร้อมแบตอึดสูงสุดหลักเดือน

  • เพิ่มตัวเลือกหน้าจอ AMOLED พร้อมอัปเกรดโซลาร์เทคฯ ประสิทธิภาพสูงขึ้นถึง 50%
  • อัดแน่นฟีเจอร์ติดตามอินไซด์เพอร์ฟอร์แมนซ์ แผนฝึกซ้อมระดับโปร และแผนที่ระดับพรีเมียม
  • มาพร้อมไฟฉาย ลำโพงและไมโครโฟนแบบคู่บิวท์อินให้รับสาย-โทรออกได้จากบนสมาร์ทวอทช์

Garmin ผู้ส่งมอบที่สุดของความหลากหลายทางเทคโนโลยี GPS ตั้งแต่อุตสาหกรรมการบิน ยานยนต์ การเดินทะเล ฟิตเนส และกิจกรรมกลางแจ้ง เปิดตัวมัลติสปอร์ตสมาร์ทวอทช์ระดับพรีเมียมซีรีย์ใหม่ล่าสุด FENIX 8 อัปเกรดดีไซน์และนวัตกรรมใหม่แบบจัดเต็ม พร้อมตัวเลือกหน้าจอ 2 แบบ หน้าจอ AMOLED สว่างสดใส และหน้าจอระบบพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Charging) ช่วยยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ได้ยาวนานยิ่งขึ้น ออกแบบเพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้งานที่ต้องการก้าวข้ามขีดจำกัดและท้าทายศักยภาพของตัวเอง ภายใต้คอนเซ็ปต์ BE LIMITLESS อัดแน่นด้วยฟีเจอร์ฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขั้นสูง (Advanced Strength Training) พร้อมความสามารถในการดำน้ำ (Dive Capabilities) ยังมากับลำโพงและไมโครโฟนแบบคู่ในตัว และแบตเตอรี่อายุการใช้งานยาวนาน โดยรุ่นหน้าจอ AMOLED ขนาดหน้าปัด 51 มม. สามารถใช้งานได้ยาวนานสูงสุดถึง 29 วันในโหมดสมาร์ทวอทช์ ในขณะที่รุ่นระบบพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาดหน้าปัด 51 มม. ที่มาพร้อมหน้าจอ Always-on สามารถใช้งานได้ยาวนานสูงสุดถึง 48 วัน1

คุณหรรษา อาภานุกูล ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาด การ์มิน ประเทศไทย กล่าวว่า “กิจกรรมเอาท์ดอร์ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย ส่งผลให้อุปกรณ์สำหรับกิจกรรมกลางแจ้ง รวมถึงเอาท์ดอร์สมาร์ทวอทช์มีการเติบโตไปด้วย เพื่อเป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำของเราในเซ็กเมนต์เอาท์ดอร์สมาร์ทวอทช์ และตอบแทนความไว้วางใจที่ผู้ใช้มีให้กับเอาท์ดอร์สมาร์ทวอทช์ของการ์มินมาโดยตลอด เราจึงไม่เคยหยุดที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการในการใช้งานของเหล่านักผจญภัยให้ครอบคลุมมากที่สุด

ครั้งนี้เป็นการกลับมาอีกครั้งของโมเดล FENIX ที่ขึ้นชื่อในเรื่องฟีเจอร์อัดแน่นครอบคลุมความต้องการ รวมถึงการใช้วัสดุและดีไซน์การออกแบบระดับพรีเมียม โดย FENIX 8 ได้ถูกพัฒนาให้ก้าวไปอีกขั้น ไม่เพียงมาพร้อมตัวเลือกหน้าจอ 2 แบบ อันประกอบด้วย จอ AMOLED สว่างสดใส และจอระบบพลังงานแสงอาทิตย์ที่อัปเกรดให้สามารถกักเก็บพลังงานได้มากขึ้น และคมชัดมากขึ้น ยังมาพร้อมฟีเจอร์ที่ช่วยให้ผู้ใช้พิชิตเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และฟังก์ชันที่ช่วยให้สามารถใช้งานระหว่างการผจญภัยได้อย่างสะดวกสบาย ให้ผู้สวมใส่ออกท่องโลกกว้างได้สนุกยิ่งกว่าที่เคย

ออกแบบเพื่อผู้ใช้งานทุกคน – Something for everyone

  • ตัวเลือกหน้าจอ AMOLED และระบบพลังงานแสงอาทิตย์: FENIX 8 มาพร้อมตัวเลือกหน้าจอให้ผู้ใช้สามารถเลือกรุ่นที่เหมาะสมกับรูปแบบการใช้งานของตนเอง ได้ทั้งหน้าจอ AMOLED สีสันสว่างสดใส และหน้าจอ Always-on ที่มาพร้อมเลนส์พลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งสามารถกักเก็บพลังงานได้มากขึ้นกว่าเดิม โดย FENIX 8 Solar ขนาดหน้าปัด  51 มม. สามารถรับพลังงานแสงอาทิตย์ได้มากกว่ารุ่นก่อน1 ถึง 50% หน้าจอทั้งสองแบบยังมาพร้อมกราฟิกดีไซน์ใหม่ที่สวยงามและใช้งานง่ายยิ่งขึ้น โดยรุ่นจอ AMOLED มาพร้อมตัวเลือกหน้าปัด 3 ขนาด ได้แก่ ขนาด 43 มม. 47 มม. และ 51 มม. ส่วนรุ่นหน้าจอระบบพลังงานแสงอาทิตย์มีให้เลือก 2 ขนาด ได้แก่ ขนาด 47 มม. และ 51 มม.
  • ดีไซน์แข็งแรงทนทาน: FENIX 8 ซีรีย์ทุกรุ่นมาพร้อมปุ่มโลหะป้องกันการรั่วซึ่ม และกรอบป้องกันเซ็นเซอร์ ซึ่งผ่านการทดสอบตามมาตรฐานทางทหารของสหรัฐอเมริกา จึงทนทานต่อความร้อน แรงกระแทก และกันน้ำ ผลิตจากวัสดุพรีเมียมคุณภาพสูง ทั้งกรอบตัวเรือนไทเทเนียม และเลนส์แซฟไฟร์ป้องกันรอยขีดข่วน ทนทานแม้ในสภาพแวดล้อมการใช้งานที่สมบุกสมบัน|
  • ลำโพงและไมโครโฟนในตัว: FENIX 8 ซีรีย์สามารถรับสายและโทรออกผ่านสมาร์ทวอทช์ได้โดยตรง เมื่อเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนที่รองรับการใช้งานร่วมกัน และยังสามารถใช้งานคำสั่งเสียง (Voice Commands) เช่น “เริ่มการฝึกกล้ามเนื้อ ตั้งเวลา 5 นาที บันทึกตำแหน่ง และคำสั่งอื่นๆ อีกมากมาย ได้ทันทีโดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับโทรศัพท์ เป็นหนึ่งในฟังก์ชันใหม่ที่เพิ่มเข้ามาเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งานให้กับผู้สวมใส่
  • ไฟฉายในตัว: เปิด-ปิด และปรับความสว่างของแสงไฟฉายอย่างรวดเร็วได้จากหน้าปัดสมาร์ทวอทช์โดยตรง ทั้งยังมีไฟแฟลชสีแดงสำหรับใช้ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือในสถานการณ์อันตราย และโหมดไฟกระพริบ (Strobe Mode) เพิ่มความปลอดภัยสำหรับนักวิ่งที่ฝึกซ้อมในเวลากลางคืน หรือจะใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวันอย่างการหาของในที่มืดหรือเป็นไฟฉายในกรณีฉุกเฉิน
  • การฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขั้นสูง: พิชิตเป้าหมายในการพัฒนาศักยภาพด้วยแผนการฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแบบกำหนดเป้าหมายระยะเวลา 4-6 สัปดาห์ พร้อมด้วยโหมดการออกกำลังกายสำหรับกีฬาเฉพาะอย่างที่รองรับกีฬาทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น วิ่งเทรล เซิร์ฟ สกี และอื่นๆ อีกมากมาย
  • คุณสมบัติการดำน้ำ: ผู้ใช้งานสามารถสวมใส่ FENIX 8 ขณะดำน้ำได้อย่างสบายใจด้วยตัวเรือนพร้อมปุ่มโลหะที่สามารถกันน้ำได้ลึกถึงระดับ 40 เมตร ทั้งยังรองรับได้ทั้งกิจกรรมการดำน้ำแบบ Scuba และ Apnea 
  • Garmin Messenger™ App: ฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถสื่อสารกับครอบครัวและเพื่อนๆ ผ่านการรับ-ส่งข้อความจากสมาร์ทวอทช์ได้โดยตรง2 
  • แผนที่และระบบนำทางขั้นสูง: ผู้ใช้สามารถดูลักษณะภูมิประเทศผ่านแผนที่ TopoActive3  และเข้าถึงแผนที่สนามกอล์ฟและสกีรีสอร์ทหลายพันแห่งทั่วโลกได้จากบนนาฬิกา ยังมาพร้อมอินเตอร์เฟซแผนที่แบบใหม่ที่ช่วยให้สามารถปรับแต่งเลเยอร์ของแผนที่ได้อย่างง่ายดาย ให้ผู้สวมใส่ใช้ประโยชน์จากระบบนำทางได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยเมื่อป้อนข้อมูลระยะทางบนนาฬิกา ผู้ใช้จะได้รับการแนะนำเส้นทางที่จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเดินทางไปยังที่หมายได้ตามเวลาที่ตั้งไว้ด้วยการกำหนดเส้นทางไปและกลับแบบไดนามิก (Dynamic Round-Trip Routing)

ร่วมค้นหาว่า FENIX 8 จะช่วยให้ผู้สวมใส่ก้าวข้ามขีดจำกัดได้อย่างไร รับชมวิดีโอได้ทาง https://youtu.be/qarPmycnpwE 

ก้าวข้ามทุกขีดจำกัด – Perform at your best

ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับความท้าทายเพียงใด FENIX 8 ซีรีย์ก็พร้อมเป็นตัวช่วยคนสำคัญที่จะพานักกีฬาทุกคนก้าวข้ามอุปสรรค ทะลุทุกขีดจำกัดของตัวเอง โดยในทุกเช้า ผู้สวมใส่จะได้รับการแจ้งคะแนนความพร้อมในการฝึกซ้อม ซึ่งจะช่วยให้ทราบว่าการฝึกซ้อมในวันนั้นๆ ควรดำเนินไปในรูปแบบสบายๆ หรือทุ่มสุดตัว ทั้งยังมีเมตริกวัดการฝึกซ้อมขั้นสูง อาทิ คะแนนความอึดหรือความอดทน (Endurance Score) คะแนนสมรรถภาพร่างกายในการวิ่งขึ้นเนิน (Hill Score) VO2 Max สถานะการฝึกซ้อม และอื่นๆ อีกมากมายที่จะช่วยวัดศักยภาพโดยรวม4 ให้กับผู้ใช้งาน

โดยในระหว่างการฝึกซ้อม ฟีเจอร์ PacePro™ จะให้คำแนะนำการใช้ความเร็วโดยอิงจากระบบ GPS ตามเส้นทางหรือระยะทางที่เลือก ฟีเจอร์ Grade-Adjusted Pace จะแสดงเพซหรือความเร็วในการวิ่งที่แท้จริง โดยเทียบจากความพยายามที่เท่ากันขณะวิ่งบนพื้นราบและวิ่งขึ้นเนิน ในขณะเดียวกันฟีเจอร์ ClimbPro จะแสดงข้อมูลแบบเรียลไทม์สำหรับการไต่ระดับความสูงทั้งเส้นทางปัจจุบัน และเส้นทางข้างหน้า

เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการแข่งขันใหญ่ครั้งต่อไป นักกีฬาสามารถดูคำแนะนำการออกกำลังกายรายวันที่จะปรับเปลี่ยนทุกครั้งหลังฝึกซ้อมวิ่งหรือปั่นจักรยานเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายในปัจจุบันของแต่ละบุคคล นอกจากนั้นยังสามารถใช้แผนการฝึกซ้อม Garmin Coach ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย รวมทั้งยังสามารถใช้ข้อมูลจากวิดเจ็ต (Widget) การแข่งขันเพื่อหาเคล็ดลับในการฝึกซ้อม หรือคำแนะนำการออกกำลังกายรายวันส่วนบุคคลได้อีกด้วย

ค้นหาแรงบันดาลใจในสไตล์ของตัวเอง – Find your passion

FENIX 8 ซีรีย์มาพร้อมกิจกรรมใหม่ๆ อย่างการดำน้ำแบบ Apnea และ Scuba และกิจกรรมที่โหลดไว้ล่วงหน้าอีกมากมาย อาทิ วิ่ง ล่องแก่ง กอล์ฟ พิกเกิลบอล รวมถึงกีฬาประเภททีมอย่างซอคเกอร์ และฟุตบอล ให้ผู้ใช้สนุกกับการมีแอคทีฟไลฟ์สไตล์อยู่เสมอ ผู้สวมใส่ยังสามารถติดตามข้อมูลการทำกิจกรรมไม่ว่าจะเป็น การฝึกความแข็งแรงกล้ามเนื้อ (Strength) คาดิโอ โยคะ และ HIIT เมื่อไปเล่นที่ยิม หรือจะออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ ฝึกความแข็งแรงกล้ามเนื้อ โยคะ และพิลาทิสตามแอนิเมชั่นบนหน้าปัดนาฬิกาที่บ้านก็ได้เช่นกัน นอกจากนี้ผู้ใช้งานยังสามารถติดตามผลการผจญภัยของตัวเองจากข้อมูลเชิงลึกของกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น สโนว์บอร์ด สกีวิบาก (XC skiing) เซิร์ฟ หรือจักรยานเสือภูเขา นอกจากนั้น ในขณะเล่นสกี ผู้ใช้งานยังสามารถติดตามระยะเวลาที่ใช้ในการเล่นแต่ละระดับความยากได้ตลอดทั้งวันจากสกีรีสอร์ทหลายพันแห่งทั่วโลก

สำรวจเส้นทางใหม่พร้อมบุกตะลุยเส้นทางลับ – Explore on (or off) the beaten path

FENIX 8 ซีรีย์พร้อมรองรับการผจญภัยทุกรูปแบบ ด้วยฟีเจอร์แผนที่ระดับพรีเมียมเพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานสนุกไปกับการผจญภัยและพิชิตเป้าหมายได้อย่างปลอดภัย โดย FENIX 8 ซีรีย์รุ่นแซฟไฟร์มาพร้อมแผนที่ TopoActive ที่โหลดไว้ล่วงหน้าซึ่งจะช่วยรวบรวมข้อมูลแผนที่จากทวีปต่างๆ ทั่วโลก ผู้ที่สมัครสมาชิก Outdoor Maps+ ยังสามารถดูข้อมูลแผนที่ระดับพรีเมียม ไม่ว่าจะเป็น ภาพถ่ายดาวเทียม หรือแผนที่ภูมิประเทศที่ถูกปรับปรุงใหม่ได้โดยตรงบนนาฬิกา ในขณะที่เทคโนโลยี SatIQ™ และระบบ GPS หลายย่านความถี่ (Multi-band GPS) ช่วยให้ระบุตำแหน่งได้อย่างแม่นยำแม้ในสภาวะแวดล้อมที่ท้าทาย FENIX 8 ยังมาพร้อมแบตเตอรี่ที่อายุการใช้งานยาวนานมากยิ่งขึ้น ให้ผู้สวมใส่ออกผจญภัยได้โดยไม่ต้องห่วงเรื่องการชาร์จ ผู้ใช้สามารถสร้างหรือค้นหาเส้นทางที่มีอยู่ใน Garmin Connect™ และซิงค์ข้อมูลเหล่านั้นมายังนาฬิกา เพื่อรับข้อมูลการนำทางอย่างละเอียดเพื่อวางแผนก่อนเริ่มการผจญภัย และในระหว่างการผจญภัย ผู้ใช้ยังสามารถดูเส้นทางต่างๆ ด้วยคู่มือแผนที่ NextFork™ หรือใช้เครื่องมือวัดความสูง เครื่องมือวัดความดันบรรยากาศ และเข็มทิศอิเล็กทรอนิกส์ 3 แกนที่ติดตั้งมาในสมาร์ทวอทช์ในการสำรวจเส้นทางได้อีกด้วย

ติดตามข้อมูลด้านสุขภาพ – Track your health stats

FENIX 8 ซีรีย์อัดแน่นด้วยฟีเจอร์ติดตามข้อมูลด้านสุขภาพตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็น การติดตามความอิ่มตัวออกซิเจนในเลือด (Pulse Ox)5 ระดับพลังงานร่างกาย (Body Battery) Jet Lag Adviser ที่จะให้คำแนะนำการรับแสง ตารางการนอน และการออกกำลังกายเพื่อลดผลกระทบการเจ็ตแล็ก การติดตามการนอนหลับขั้นสูง การตรวจจับการงีบหลับ และอื่นๆ อีกมากมาย ในทุกเช้าหลังตื่นนอน ผู้ใช้จะได้รับรายงานข้อมูลการนอนหลับในคืนที่ผ่านมา สถานะความพร้อมในการฝึกซ้อม รวมถึงสถานะความแปรปรวนของอัตราการเต้นหัวใจ (HRV) 

ไม่พลาดทุกการเชื่อมต่อ – Stay Connected 

ผู้ใช้งาน FENIX 8 ซีรีย์สามารถแชร์ตำแหน่งที่ตั้งที่บันทึกไว้ คอร์สการฝึกซ้อม และโปรแกรมการออกกำลังกายให้กับเพื่อนที่มีอุปกรณ์ Garmin ที่รองรับการใช้งานร่วมกัน ด้วยฟีเจอร์ Garmin Share และยังสามารถรับการแจ้งเตือนต่างๆ ดาวน์โหลดเพลงจากบริการสตรีมมิ่งอย่าง Spotify®, Deezer หรือ Amazon Music (ต้องสมัครแพ็กเกจแบบพรีเมียม) เพื่อฟังเพลงโดยไม่ต้องใช้โทรศัพท์ได้ด้วย ผู้สวมใส่ยังสามารถออกกำลังกายได้อย่างสบายใจด้วยฟังก์ชันการตรวจจับเหตุการณ์ผิดปกติ และการขอความช่วยเหลือ รวมทั้งฟีเจอร์ LiveTrack6 นอกจากนี้ ยังสามารถชำระเงินได้อย่างสะดวกสบายด้วย Garmin Pay™ ระบบชำระเงินแบบไร้สัมผัสด้วยนาฬิกาผ่านบัตรเครดิตจากธนาคารที่รองรับ และพิเศษสุดสำหรับผู้ใช้งานชาวไทย บริการ Garmin x Rabbit บริการชำระเงินด้วย Garmin Pay โซลูชัน ผ่าน Rabbit Card ณ ผู้ให้บริการที่มีสัญลักษณ์ยินดีต้อนรับ Rabbit Card

FENIX 8 ซีรีย์ไม่เพียงมีหน้าจอ 2 แบบให้เลือกตามสไตล์การใช้งาน ยังมาพร้อมตัวเลือกขนาดที่หลากลาย เพื่อตอบความต้องการสายเอาท์ดอร์ทุกเพศได้อย่างครอบคลุม โดย FENIX 8 AMOLED มีให้เลือก 3 ขนาด ได้แก่ ขนาดหน้าปัด 43 มม. 47 มม. และ 51 มม. ราคาเริ่มต้นที่ 36,990 บาท FENIX 8 Solar มีให้เลือก 2 ขนาด ได้แก่ ขนาดหน้าปัด 47 มม. และ 51 มม. ในราคาเริ่มต้นที่ 39,990 บาท นอกจากนี้ ยังมาพร้อม FENIX E ให้สายเอาท์ดอร์สามารถจับจองเป็นเจ้าของ FENIX หน้าจอ AMOLED ได้ในราคาเข้าถึงง่ายที่ 29,990 บาท

นักผจญภัยและนักกีฬาสายเอาท์ดอร์ชาวไทยสามารถจับจองเป็นเจ้าของ FENIX 8 AMOLED ได้แล้ววันนี้ ที่ตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของการ์มินทุกสาขา และเตรียมพบกับ FENIX 8 Solar และ FENIX E ได้ในเดือนตุลาคมนี้ ติดตามข้อมูลสินค้าเพิ่มเติมได้ที่ https://gar.mn/7XYG68GlZ หรือที่ เฟซบุ๊กแฟนเพจ Garmin Thailand และ อินสตาแกรม Garmin Thailand

1 เมื่อนาฬิกาเผชิญแสงแดดโดยตรงในความเข้มของแสง 50,000 ลักซ์ เป็นเวลา 3 ชั่วโมงต่อวัน
2 จำเป็นต้องติดตั้งแอป Garmin Messenger บนสมาร์ทโฟนที่จับคู่กันทั้งผู้ส่งและผู้รับข้อความ
3 เฉพาะรุ่นแซฟไฟร์ สำหรับรุ่นที่ไม่ใช่แซฟไฟร์ต้องดาวน์โหลดแผนที่
Activity tracking accuracy
5 อุปกรณ์นี้ไม่ใช่เครื่องมือทางการแพทย์ ไม่ได้มีไว้ใช้ในการวินิจฉัยหรือติดตามอาการทางการแพทย์ใดๆ สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Garmin.com/ataccuracy และฟีเจอร์ Pulse Ox ใช้งานได้ในบางประเทศเท่านั้น
6 เมื่อจับคู่กับสมาร์ทโฟนที่รองรับการใช้งานร่วมกันเท่านั้น หากต้องการทราบข้อกำหนด / ข้อจำกัดด้านความปลอดภัยหรือติดตามผล กรุณาอ่านที่ Garmin.com/safety  

จีนทุ่มแสนล้าน ลงทุนซื้อเครื่องจักร หวังพัฒนาชิปประมวลผลเอง

[พึ่งตนเอง] จากมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ที่กดดันให้จีนต้อง ‘พึ่งตนเอง’ ในด้านอุตสาหกรรมเทคโนโลยีมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะการผลิตชิปประมวลผล จนในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 นี้ พบจีนทุ่มงบมหาศาล ซื้อเครื่องจักรผลิตชิปมากกว่าใครในโลก

Nikkei Asia เผยจีนใช้เงินกว่า 25,000 ล้านดอลลาร์ฯ หรือราว ๆ 8.5 แสนล้านบาท ซื้อเครื่องจักรผลิตชิปจำนวนมาก ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา และมีแผนใช้อีก 25,000 ล้านดอลลาร์ฯ ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ด้วย

ปัจจุบันจีนได้ทุ่มงบซื้อเครื่องจักรผลิตชิปมากกว่า เกาหลีใต้ ไต้หวัน และสหรัฐฯ รวมกันซะอีก สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามอย่างมาก ในการยกระดับอุตสาหกรรมผลิตชิปประมวลผลของตัวเอง

Clark Tseng ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่าย Market Intelligent Team (MIT) ของ Semi สมาคมอุตสาหกรรมชิประดับโลก เผยจีนได้ทุ่มซื้ออุปกรณ์การผลิตชิปแบบเท่าที่จะทำได้ ทั้งหมดก็เพื่อยกระดับความสามารถ ในการผลิตชิปประมวลผลด้วยตนเอง

สืบเนื่องจากมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ส่งผลให้จีนไม่สามารถเข้าถึงเครื่องจักรผลิตชิปที่ทันสมัยที่สุดของ ASML บริษัทผู้พัฒนาเครื่องจักรผลิตชิปชื่อดังจากเนเธอร์แลนด์ ที่มีลูกค้าหลักอย่าง Intel กับ TSMC จนต้องยอมใช้เครื่องจักรรุ่นเก่าแทน (Tier-2) ซึ่งมักมีต้นทุนสูง ซึ่งทาง ASML ก็เผยด้วยว่าบริษัทมีรายได้จากจีนมากถึง 49%

ทางการจีนเองก็มีความกังวลถึงมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ที่จะควบคุมการส่งออกเครื่องจักรผลิตชิปต่อไป จนต้องมีการผลักดันบริษัทต่าง ๆ จัดหาอุปกรณ์เฉพาะทางเพิ่มเติมล่วงหน้า

ที่มา : Techspot

ครั้งแรกของโลก เปิดห้องเรียน AI สอนได้ไม่ต้องพึ่งครู

ครั้งแรกของโลก โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งในลอนดอนเตรียมเปิดห้องเรียนที่ใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) แทนครูที่เป็นมนุษย์ 

David Game College ซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชนในลอนดอน เปิดหลักสูตรใหม่ที่ไม่มีครูช่วยสอนให้กับนักเรียน GCSE จำนวน 20 คน ที่กำลังจะเปิดเทอมในเดือนกันยายน

AI จะเรียนรู้ว่านักเรียนมีความโดดเด่นในด้านไหนและต้องการความช่วยเหลืออะไรเพิ่มเติม จากนั้นจะปรับแผนการสอนให้เหมาะกับภาคเรียนนั้น ๆ โดยเนื้อหาที่ยากจะถูกย้ายไปยังช่วงปลายภาคเรียนเพื่อให้เด็กมีเวลาทบทวน

และแผนการสอนของนักเรียนแต่ละคนจะถูกปรับแต่งให้เหมาะกับเด็กโดยเฉพาะ

ค่าเทอมของการสอนด้วย AI จะอยู่ที่คนละ 27,000 ปอนด์ต่อปี หรือประมาณ 1.19 ล้านบาท

ข้อดีของการที่ใช้ AI คือมันสามารถเรียนรู้ข้อเสียและสิ่งที่นักเรียนขาด แม่นยำกว่าครูแถมมีการวิเคราะห์และวางระบบแก้ไข ทำให้การเรียนมีประสิทธิภาพมากขึ้น

แต่นักเรียนจะไม่ได้ถูกปล่อยให้อยู่ตามลำพังในห้องเรียน แต่จะมีโค้ชการเรียนรู้”  3 คน คอยติดตามพฤติกรรมและสอนวิชาที่ AI ยังเรียนรู้ไม่ได้ เช่น วิชาศิลปะและการศึกษาเรื่องเพศ

ถึงแม้เทคโนโลยีดังกล่าวช่วยให้เข้ามาเสริมการเรียนรู้ แต่นักวิจารณ์แย้งว่าการสอนด้วยปัญญาประดิษฐ์อาจจะทำให้เป็นภัยในอนาคต

ที่มา : news.sky

 

#AI #TechhubUpdate

รีบเรียนก่อนเต็ม จุฬาฯ เปิดคอร์สออนไลน์ สอนเขียนโปรแกรมฉบับมือใหม่

รีบเรียนก่อนเต็ม จุฬาฯ เปิดคอร์สใหม่ Coding for Beginners 

เรียนรู้การจัดการกับข้อมูลที่มีรูปแบบการแก้ปัญหาซ้ำ ๆ ผ่านการเขียนโปรแกรมทางคอมพิวเตอร์ระดับขั้นพื้นฐานที่ทุกคนสามารถทำความเข้าใจได้ง่าย ๆ ผ่านหลักสูตรนี้ เข้าใจหลักการในการแก้ปัญหาและการคิดเป็นลําดับ รวมถึงการนําไปประยุกต์หรือไปต่อยอดในอนาคต

 

สมัครสมาชิกและเริ่มเรียนผ่านเว็บ myCourseVille ทางไปเรียน >> Coding for Beginners 

เริ่มลงทะเบียน 6 กันยายน 2567 – สิ้นสุดการเรียน 31 ตุลาคม 2567

 

Coding for Beginners มีทั้งหมด 4 บท

บทที่ 1 ลิสต์

บทที่ 2 การทำงานแบบวนซ้ำของชุดข้อมูล

บทที่ 3 ฟังก์ชัน

บทที่ 4 การแก้ไขปัญหาและการแยกส่วนของปัญหาด้วยภาษาคอมพิวเตอร์

สามารถของรับใบ Certificate of Completion เมื่อทำคะแนนรวมทั้งหมดให้ได้ร้อยละ 60 ขึ้นไป 

 

นอกจากเนื้อหาที่แนะนำไปแล้ว ยังมีคอร์สเรียนอีกมากมายให้ได้อัปสกิลกันที่

จิ้มลิ้งก์เลย >> techhub productivity  

Google ให้เวลาถึง 30 ก.ย. บอกลาแอปเมลรุ่นเก่า บน Google Workspace

Google กำลังบังคับให้ผู้ใช้ Google Workspace ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยมากขึ้น

โดยตั้งแต่ 30 กันยายนเป็นต้นไป การเข้าถึงบัญชี Gmail ของเราจากแอปที่ไม่ปลอดภัย แอปของบุคคลที่สาม หรืออุปกรณ์ใดที่ต้องใช้เพียงชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านในการลงชื่อเข้าใช้ จะไม่ได้รับการสนับสนุนจาก Google

ทีนี้ ต้องเตรียมตัวยังไง?
+ ถ้าหากเราใช้ Outlook 2016 หรือเก่ากว่า ควรอัปเดตเป็น Microsoft 365 หรือ Outlook เวอร์ชันใหม่

+ ถ้าหากใช้ Thunderbird หรือโปรแกรมอีเมลอื่นๆ ให้ลองเพิ่มบัญชี Google ใหม่ และตั้งค่าให้ใช้ IMAP กับ OAuth

+ ถ้าใช้ Mail บน iPhone, iPad, หรือ Mac หรือ Outlook บน Mac ตรวจสอบว่า เราได้ลงชื่อเข้าใช้ด้วย Google” และถ้ายังไม่ได้ทำ ให้ลบและเพิ่มบัญชีใหม่ของเราเข้าไปอีกครั้ง

+ ถ้าหากใช้ Gmail ธรรมดา ไม่ต้องทำอะไร! เพราะระบบมันปลอดภัยอยู่แล้ว (ง้อวววว)

สำหรับ IMAP (Internet Message Access Protocol) คือ ระบบที่ทำให้เราเข้าถึงและจัดการอีเมลของได้จากทุกที่ ทุกเวลา และทุกอุปกรณ์ โดยที่อีเมลทั้งหมดจะถูกเก็บไว้บนเซิร์ฟเวอร์อย่างปลอดภัย

ส่วน OAuth (Open Authorization) คือ ระบบกลางที่ช่วยให้เราสามารถอนุญาตให้แอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์หนึ่งเข้าถึงข้อมูลในบัญชีของเราบนแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์อื่นได้อย่างปลอดภัย โดยที่เราไม่ต้องเปิดเผยรหัสผ่านให้กับแอปหรือเว็บไซต์นั้นโดยตรง

ทั้งนี้ Google ย้ำว่า การเปลี่ยนแปลงนี้มีขึ้นเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับบัญชีผู้ใช้และลดความเสี่ยงจากการถูกโจมตีทางไซเบอร์ ซึ่งก่อนหน้านี้ Google ก็มีแผนจะทำแบบนี้มาก่อนแล้ว แต่มีการเลื่อนกำหนดการออกไป เพราะ Covid – 19 และตอนนี้ที่สถานการณ์คลี่คลาย ก็ต้องหันมาให้ความสำคัญกันแล้วล่ะ…

ที่มา
https://www.forbes.com/sites/daveywinder/2024/09/04/new-gmail-app-access-password-deadline-you-have-4-weeks-to-comply/

เปิดตัว “PICO 4 Ultra” สัมผัสเทคโนโลยี VR และ MR ในหนึ่งเดียว ยกระดับการทำงานและความบันเทิง ตอบโจทย์โลกเสมือนจริงที่คมชัดยิ่งกว่าเคย

PICO บริษัทเทคโนโลยี XR ระดับโลก เปิดตัว “PICO 4 Ultra” แว่น VR และ MR รุ่นใหม่ล่าสุดที่ยกระดับประสบการณ์การใช้งานเทคโนโลยีเสมือนจริงให้ก้าวล้ำไปอีกขั้น ด้วยกล้อง VST ความละเอียดสูงถึง 32 ล้านพิกเซลและกล้องวัดระยะลึก iToF ผู้ใช้จะได้สัมผัสภาพที่คมชัดและสมจริงยิ่งกว่าที่เคย พร้อมด้วยความสามารถมัลติทัสก์ที่ให้ผู้ใช้สามารถจัดการหลายแอปพลิเคชันได้ในคราวเดียวภายในเวิร์กสเปซเสมือนจริงขนาดใหญ่ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการทำงานที่ซับซ้อนหรือการประชุมในโลกเสมือนจริง แว่นยังมาพร้อมหน้าจอ 4K+ Super Sense ที่มีความละเอียดสูงกว่าเดิมถึง 62% และอัตรารีเฟรช 90Hz ทำให้ภาพที่แสดงมีความสมจริงและไหลลื่นทุกการใช้งาน

อีกหนึ่งไฮไลท์ของ PICO 4 Ultra คือการเปิดตัว “PICO Motion Trackers” อุปกรณ์เสริมที่ตรวจจับการเคลื่อนไหวของร่างกายได้อย่างแม่นยำ โดยติดตั้งได้ง่ายบริเวณข้อเท้า ให้การเคลื่อนไหวในโลกเสมือนจริงเป็นไปอย่างสมจริงและคล่องตัว อุปกรณ์นี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการใช้งานในแอปพลิเคชันเพื่อความบันเทิงอย่าง VRChat และ Tempo Club ช่วยให้การเคลื่อนไหวในโลกเสมือนมีชีวิตชีวาและสนุกสนานยิ่งขึ้น นอกจากนี้ PICO 4 Ultra ยังขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ต Snapdragon® XR2 Gen 2 และหน่วยความจำขนาดใหญ่ 12GB รองรับการใช้งานทั้งด้านความบันเทิงและการทำงาน ช่วยให้ผู้ใช้ได้สัมผัสประสบการณ์เสมือนจริงที่เต็มเปี่ยมด้วยความคมชัดและประสิทธิภาพ

ราคาและการวางจำหน่าย PICO 4 Ultra และ PICO Motion Trackers ในประเทศไทยประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว โดย PICO 4 Ultra เปิดตัวในราคา 19,990 บาท และ PICO Motion Trackers ราคา 2,990 บาท

พบกับโปรโมชั่น PRE-SALE สุดคุ้ม! มอบความคุ้มค่าสูงสุดเมื่อสั่งจอง PICO 4 Ultra และ PICO Motion Trackers ล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 5-8 กันยายน 2567 ผ่านร้านค้าและแพลตฟอร์มที่ร่วมรายการได้แก่

  • ช่องทางออนไลน์ – สั่งจองล่วงหน้า PICO 4 Ultra ในราคาเพียง 18,990 บาท รับฟรี! PICO Motion Trackers (จำนวนจำกัด) เฉพาะทาง Shopee
  • ศูนย์จำหน่าย – สั่งจองล่วงหน้า PICO 4 Ultra ในราคา 19,990 บาท รับฟรี แพ็กเกจของแถมสุดคุ้มทั้ง PICO Motion Tracker, PICO Carry Case และ Game Bundle รวมมูลค่า 3,000 บาท ที่ PICO Zone เซ็นทรัลเวิลด์, เซ็นทรัลเวสต์เกต, เซ็นทรัลปิ่นเกล้า, เมกา บางนา, Com7, Dot.life, Speed Gaming และร้านค้าที่ร่วมรายการ

PROMOTION 9.9 ตั้งแต่วันที่ 9-11 กันยายน 2567 เฉพาะทาง Shopee, Lazada และ TikTokShop

  • แพ็คเกจ 1 – ซื้อชุด Standalone Pack เฉพาะตัวเครื่อง PICO 4 Ultra ในราคาเพียง 17,990 บาท
  • แพ็คเกจ 2 – ซื้อชุด Bundle Pack ได้ทั้ง PICO 4 Ultra และPICO Motion Tracker ในราคา 19,980 บาท

หากสนใจหรือต้องการสอบถามรายละเอียด PICO 4 Ultra Enterprise สามารถติดต่อได้ที่ http://pico_business@picoxr.com

ดูข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ PICO 4 Ultra แลPICO Motion Trackers ได้ที่ https://www.facebook.com/PICOXRThailand/

#PICOUnveil #PICOMixedReality #PICOXRThailand

VMware by Broadcom ตอกย้ำความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้าผ่านประสบการณ์จริงของ Customer Journey แห่งอนาคตในงาน VST ECS The Show Day in Bangkok 2024

เมื่อเร็วๆ นี้ในงาน The Show Day in Bangkok 2024 ซึ่งจัดขึ้นโดย  บริษัท วีเอสที อีซีเอส (ประเทศไทย) จำกัด ภายใต้แนวคิด “Empowering the Future” VMware by Broadcom โดยคุณนันทิชา เกียรติบุตร ผู้จัดการประจำประเทศไทย ได้รับเกียรติร่วมงานเพื่อแถลงถึงจุดยืนและจุดแข็งของ VMware by Broadcom หลังจากที่ผ่านมา 8 เดือนในบ้านหลังใหม่กับ Broadcom เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับองค์กรในไทย พร้อมกันนี้ยังได้ขนทัพโซลูชันนวัตกรรมล่าสุดร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากมาร่วมออกบูธโชว์เคสและพบปะคู่ค้าให้คำปรึกษาแนะนำอย่างใกล้ชิด

โดย VMware คือซอฟท์แวร์เรือธงของ Broadcom ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แนสแดค เป็นผู้นำทางด้านเซมิคอนดัคเตอร์และซอฟท์แวร์โครงสร้างพื้นฐาน ที่สร้างสรรค์นวัตกรรมมากมาย การันตีด้วยจำนวนการจดสิทธิบัตรทรัพย์สินทางปัญญาสูงถึง 23000 สิทธิบัตร และมีการลงทุนทางด้าน R&D ถึง 5.3 พันล้านยูเอสดอลล่าร์ (ปี 2566)

“กล่าวกันว่า 90% ของธุรกรรมที่สื่อสารกันบนโลกอินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน จะต้องผ่านอุปกรณ์ของ  Broadcom ซึ่งเป็นบริษัทที่มีผลิตภัณฑ์ฮาร์ดแวร์นวัตกรรมมากมาย อาทิ ชิปมือถือ เราเตอร์ ไวไฟ เป็นต้น แต่การสร้างสรรค์นวัตกรรมจำต้องอาศัยซอฟต์แวร์ร่วมกับฮาร์ดแวร์ด้วยเพื่อเร่งให้เกิดพัฒนาอย่างรวดเร็ว จึงเป็นที่มาของการที่ Broadcom มองหาจิ๊กซอว์ที่สำคัญตัวนี้ นั่นก็คือ VMware และในงานนี้เราจะโฟกัสไปที่สามโจทย์ใหญ่ คือ พอร์ตโฟลิโอปัจจุบัน การทำการตลาดและช่องทางในการจัดจำหน่าย รวมถึงบริการหลังการขายของเรา” คุณนันทิชากล่าวเสริม

VMware Portfolio จะยังคงให้ความสำคัญกับ VMware cloud foundation (โซลูชั่นในการทำ Virtualization VM และ container จนถึง Private Cloud) เป็นลำดับแรก รวมถึงผลิตภัณฑ์ต่อยอดอีกสามกลุ่ม ได้แก่ (1) Application modernization platform หรือที่รู้จักกันในชื่อ Tanzu (2) Application Network & Security และ (3) Software-Defined Edge (การรัน workload ที่ edge/cloud) สำหรับส่วนของ VMware end user computing ได้แยกออกไปเป็นอีกบริษัทภายใต้แบรนด์ Omnissa ส่วน Cybersecurity หรือ Carbonblack ก็จะถูกควบรวมไปกับกลุ่มผลิตภัณฑ์ซิเคียวริติ้ของ Broadcom

อินโนเวชั่นธีมแรกที่ Broadcom ต้องการผลักดันคือ Single Platform หรือ Single Product ซึ่งหมายถึงหน้าจอการใช้งานทุกอย่างควรจะเห็นเป็นโปรดักส์เดียว ไม่ใช่หลายโปรดักส์มาต่อกัน โดยควรจะทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อและสามารถ config หรือ monitor ได้จากที่เดียว ดังนั้นฟังก์ชั่นการทำงานใหม่ๆ ที่ออกมาก็เพื่อตอบโจทย์นี้ รวมถึงการออก package ต่างๆ ด้วย สําหรับองค์กรที่ต้องการจะทํา public cloud integration to private cloud/hybrid cloud ก็สามารถทําได้โดยใช้ subscription ของเราได้เลย สำหรับลูกค้าขนาดเล็กที่อยากจะใช้งานแค่ virtualization ก็ยังสามารถใช้ VMware vSphere standard edition โดยไม่จำเป็นจะต้องซื้อในรูปแบบ package

เป็นที่ทราบกันดีว่า Business Model ของบริษัทซอฟท์แวร์องค์กรในปัจจุบันเกือบทั้งหมดได้เปลี่ยนรูปแบบไปเป็น subscription ดังนั้นองค์กรที่เคยใช้ perpetual license และต่อสัญญา MA อาจจะมองว่า ‘ไม่เหมือนเดิม’ ในขณะที่องค์กรที่ต้องการจะมุ่งไป cloud ก็เริ่มคุ้นเคยมากขึ้นกับการจ่ายแบบ pay per use หรือจ่ายเป็นรายปี สำรับ VMware by Broadcom เรานำเสนอโมเดล  subscription ที่มีความยืดหยุ่นทั้งในแง่ของระยะเวลา การซื้อพร้อมฮาร์ดแวร์ หรือการเซ็นต์สัญญาระยะยาว 3 ปี 5 ปี โดยสามารถแบ่งจ่ายเป็นรายปี หรือจะดูเป็นรายปีต่อปีตามการใช้งาน เป็นต้น สำหรับลูกค้าเดิมที่อยู่บน perpetual license ก็สามารถใช้งานต่อไปได้และถ้ามีสัญญา MA ก็ยังสามารถอัพเกรดหรือเปิดเคสได้ตามปกติ แต่หากไม่ต่อสัญญา MA ทาง Broadcom ยังคงซัพพอร์ตให้สามารถดาวน์โหลด Critical security patch level สูงได้เช่นเดิม

ในช่วงเปลี่ยนผ่านตลอด 8 เดือนที่ผ่านมา ทีมงานของทั้ง VMware by Broadcom และ VST ECS ได้ร่วมมือกันช่วย Partners และลูกค้าหลากหลายองค์กรเพื่อเปรียบเทียบ Total Cost of Ownership (TCO) สำหรับการใช้จ่ายรูปแบบ subscription เมื่อเทียบกับรูปแบบเดิม ซึ่งในหลายๆ เคสผลสรุปเผยว่าการใช้จ่ายแบบ subscription ทำให้ Total Cost of Ownership (TCO) โดยรวมดีขึ้น และเราสามารถเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียหากลูกค้าต้องการจะมูฟเวิร์คโหลดขึ้นคลาวด์หรือไปแพลตฟอร์มใดก็ตาม เรายังมีผลการศึกษาจากหลายๆ เคสอีกมากมายให้ลูกค้าได้ศึกษาทำความเข้าใจก่อนตัดสินใจ

หลายองค์กรยังคงให้การยอมรับและไว้ใจให้ระบบหลักรันอยู่บนเทคโนโลยีของ VMware เนื่องจากการมีจุดแข็งและความได้เปรียบที่มากไปกว่าเรื่องของเทคโนโลยี นั่นก็คือในส่วนของบุคลากรที่มีความสามารถและคุ้นเคยในการดูแลระบบ (People) ของ VMware และการเข้าไปเป็นส่วนสำคัญใน Process ของการปฏิบัติงาน Operation ขององค์กร เช่นในเรื่องของการ Integrate กับเครื่องมือต่างๆ การทำ Disaster recovery เป็นต้น Broadcom เล็งเห็นถึงความสำคัญในส่วนนี้อย่างมากและมีนโยบายที่ชัดเจนในการรองรับและเสริมศักยภาพ Ecosystem ต่อไป

ซีอีโอของ  VMware ประกาศลงทุนเพิ่มอีก $2 พันล้านใน R&D เพื่อเร่งสร้างฟังก์ชั่นและฟีเจอร์ใหม่ๆ ให้ออกสู่ตลาดเร็วขึ้น โดยเฉพาะโซลูชันหลัก vSphere เป็นที่ทราบกันดีว่าเราเป็นเทคโนโลยีที่ไม่มีใครเทียบใกล้เคียงได้ และได้รับการจัดอันดับโดยการ์ทเนอร์ให้เป็นผู้นำทางด้าน server virtualization และ container runtime ล่าสุดได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์นวัตกรรม VMware Private AI Foundation with NVIDIA เป็นเฟรมเวิร์คที่ลูกค้าสามารถเลือกติดตั้ง private AI LLM ต่างๆ ได้ ช่วยให้ลูกค้าสามารถรัน workload ทุกประเภทได้บนแพลตฟอร์มของ VMware

บริษัท วีเอสที อีซีเอส (ประเทศไทย) ในฐานะ Distributor ของ VMware by Broadcom ที่ได้รับการแต่งตั้งเพียงรายเดียวในประเทศไทย มีความพร้อมที่จะทำตลาด ร่วมผลักดัน และให้การสนับสนุน Partners และลูกค้า VMware ทุกรายในการนำเสนอ/แนะนำ License ที่เหมาะสม และช่วยออกแบบ Solution ของ VMware ให้กับลูกค้า หากท่านมีความสนใจผลิตภัณฑ์ VMware สามารถติดต่อได้ที่ Vmware@vstecs.co.th โทร.092-928-2914

เปิดยิ่งใหญ่ งานแสดงสินค้าเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็น 2567 และ งานแสดงสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 2567 สองงานสำคัญแห่งภูมิภาค

กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ร่วมกับกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็น และกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จัดงานแสดงสินค้าเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็น 2567 (Bangkok RHVAC 2024) และงานแสดงสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 2567 (Bangkok E&E 2024) รวมสินค้าและบริการหลากหลายจากผู้ผลิตชั้นนำทั้งไทยและต่างประเทศ ภายใต้แนวคิด “One Stop Solution for Net Zero Future” พร้อมกิจกรรมมากมายทั้งการสัมมนาวิชาการ นิทรรศการนวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม ระหว่างวันที่ 4-7 กันยายน 2567 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุม ไบเทค บางนา

นายเอกฉัตร ศีตวรรัตน์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ ประธานในพิธีเปิดงาน เปิดเผยว่า งานแสดงสินค้านี้เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่จัดขึ้นตามนโยบายนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ได้สั่งการให้ขับเคลื่อนกิจกรรมขยายตลาดสินค้าไทยสู่ตลาดต่างประเทศในรูปแบบต่างๆ ให้สอดคล้องกับกระแสโลก โดยอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เป็นอุตสาหกรรมที่มีการจ้างงานภายในประเทศสูงถึง 660,000 ราย และยังเป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญยิ่งต่อเศรษฐกิจการค้าและการส่งออกของประเทศ โดยประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและผู้ส่งออกเครื่องปรับอากาศอันดับที่ 2 ของโลก และในขณะเดียวกันยังเป็นผู้ผลิตและผู้ส่งออกเครื่องทำความเย็นอันดับที่ 6 ของโลก

“งานแสดงสินค้า Bangkok RHVAC และงานแสดงสินค้า Bangkok E&E เป็นเวทีแสดงศักยภาพและเจรจาธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการไทยกับผู้ซื้อ ผู้นำเข้าจากทั่วโลก และยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์แนวโน้มความต้องการของภาคอุตสาหกรรมและผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนเป็นการเชื่อมโยงสร้างเครือข่ายระหว่างกันในระดับสากล” รองปลัดกระทรวงพาณิชย์กล่าว

ในปีนี้ งานแสดงสินค้า Bangkok RHVAC และงานแสดงสินค้า Bangkok E&E ได้กลับมาจัดงานอย่างเต็มรูปแบบ บนพื้นที่การจัดงานกว่า 20,000 ตารางเมตร โดยงานแสดงสินค้า Bangkok RHVAC จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 14 และงานแสดงสินค้า Bangkok E&E จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 10 ภายใต้แนวคิด “One Stop Solutions for Net Zero Future” ซึ่งเป็นการตอบสนองต่อเทรนด์สำคัญของโลกที่อุตสาหกรรมนี้ของไทย ตั้งใจมุ่งหน้าไปสู่เป้าหมาย Net Zero emissions ในปี 2608 (ค.ศ. 2065)

การจัดงานในครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมแสดงสินค้า รวมกว่า 300 ราย 800 คูหา จากทั้งไทย อาเซียน จีน ฮ่องกง เกาหลี อินเดีย ตะวันออกกลาง และยุโรป ในงานจะมีทั้งแบรนด์ผู้ผลิตเครื่องปรับอากาศชั้นนำ ผู้ผลิตส่วนประกอบเครื่องปรับอากาศ ผู้ผลิตตู้เย็น ตู้แช่แข็ง ไปจนถึงผู้เชี่ยวชาญด้านออกแบบและก่อสร้างห้องเย็น ผู้ผลิตคอมเพรสเซอร์ในระบบทำความเย็นและผู้ผลิตระบบควบคุมและอุปกรณ์ในระบบทำความเย็น ตลอดจนผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำ ทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน อุปกรณ์ไฟฟ้าอุตสาหกรรม/พาวเวอร์ซัพพลาย ไฟฟ้ากำลัง อุปกรณ์ไอที ระบบไฟฟ้าแสงสว่าง ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ประกอบ คาดการณ์ว่าจะมีผู้สนใจเข้าร่วมชมงาน จากทั่วโลกมากกว่า 10,000 ราย และเกิดมูลค่าการเจรจาการค้าภายในงานกว่า 4,500 ล้านบาท

ภายในงานจะมีโซนพิเศษที่เป็น highlight ได้แก่ นิทรรศการ One Stop Solutions for Net Zero future โซนจัดแสดงสินค้าโดดเด่น Product Highlight ของผู้ประกอบการที่เข้าร่วมงาน นิทรรศการพิเศษ OZONE และ e-Waste นอกจากโซนพิเศษภายในงานแล้วยังมีสัมมนาวิชาการ โดยหน่วยงานพันธมิตรต่างๆ เช่น “แนวทางการรับรองระบบทำความเย็นที่ใช้แอมโมเนียเป็นสารทำความเย็นตามที่กฎหมายกำหนดเพื่อก้าวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน” “HVAC and Nearly Zero Energy Building Approach” เป็นต้น และกิจกรรมเสวนาภายในนิทรรศการ โดย Green Influencer ที่มีชื่อเสียง ได้แก่ คุณวรรณสิงห์ ประเสริฐกุล และลุงซาเล้งกับขยะที่หายไป เพื่อตอบโจทย์ Net Zero Future

อีกหนึ่งความพิเศษสำหรับการจัดงาน Bangkok RHVAC และ Bangkok E&E ในปีนี้ คือ การจัดงานแสดงสินค้าเสมือนจริง (Virtual Trade Show) ที่เปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจสินค้าในอุตสาหกรรม RHVAC และ E&E แต่ไม่สามารถเดินทางมาร่วมงานด้วยตนเองได้ สามารถเลือกชมสินค้า พร้อมทั้งเจรจาการค้าผ่านช่องทางออนไลน์ร่วมกับผู้ประกอบการได้เสมือนเดินทางมาที่งาน ได้ที่ https://ditpvirtual.com/RHV024

งาน Bangkok RHVAC 2024 และ Bangkok E&E 2024 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-7 กันยายน 2567 ณ Hall 98-100 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา โดยเป็นวันเจรจาการค้าระหว่างวันที่
4-6 กันยายน และวันสุดท้ายจะเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมและซื้อสินค้า ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมและลงทะเบียนเข้าชมงานล่วงหน้าได้ที่ www.bangkok-rhvac.com

Hot Issue