Home Blog Page 31

ครั้งแรกในไทย นิทรรศการแบบใหม่ สัมผัส AI และ Immersive

[มันคุยกับเรา] จากปกติเราเป็นผู้ชมศิลปะ แต่จะเป็นอย่างไรหากศิลปะกำลังมองเราด้วย มารู้จักนิทรรศการศิลปะยุคใหม่ยิ่งขึ้นกับ “Modern Guru and the Path to Artificial Happiness” ครั้งแรกในประเทศไทย จัดนิทรรศการศิลปะที่ผสานแสงสีและเทคโนโลยี Interactive โต้ตอบกับมนุษย์หรือผู้ชมได้ และ Immersive เหมือนเข้าไปอยู่ในโลกเสมือนหรือโลกแห่ง AI ที่เชื่อมต่อกับโลกแห่งความเป็นจริงอย่างลงตัว

ร่วมสัมผัสประสบการณ์นิทรรศการศิลปะในรูปแบบ Interactive และ Immersive อย่าง Modern Guru จากศิลปินระดับโลก ENESS สตูดิโอชื่อดังของออสเตรเลีย ที่คว้ารางวัลชนะเลิศ LIT Lighting Design Award รางวัลการออกแบบแสงสว่างสาขาการจัดแสดงแสงสว่างเชิงโต้ตอบ และ ศิลปะแห่งแสง

โดยตัวนิทรรศการ ก็นำเสนองานศิลปะที่เน้นทั้งแสงสีเสียง พร้อมผสาน AI จนกลายเป็นงานศิลปะเชิงโต้ตอบผู้รับชมได้ ซึ่งเล่าเรื่องราวผ่านแสงและเงา ร่วมกับเสียงดนตรี และรวมไปถึง ‘เสียงกระซิบ’ ที่ภายในงานกำลังบอกกับผู้รับชมด้วย

ไฮไลท์เด่นของงาน ก็มีทั้ง The Sun God บันไดสู่เทพเจ้า , Whispering Mountains ภูเขาแห่งเสียงกระซิบ , The Forest Dancer นักเต้นแห่งพงไพร และ Modern Guru ผู้หยั่งรู้ทุกสรรพสิ่ง อะไรคือบันได ? เสียงกระซิบมากจากไหน ? นักเต้นหน้าตาเป็นอย่างไร ? และผู้หยั่งรู้ รู้มากแค่ไหน ? ลองมาร่วมหาคำตอบได้ที่งาน

บัตรเข้าชมนิทรรศการ Modern Guru ราคา 400 บาท กับแพ็คเกจพรีเมี่ยมพร้อมของที่ระลึกในราคา 700 บาท พร้อมโซนจำหน่ายสินค้าที่ระลึกสำหรับผู้ชื่นชอบผลงานศิลปะและกิจกรรมเเอ็กซ์คลูซีฟสุดเซอร์ไพรส์ เปิดให้เข้าชม 7 กันยายน 2567 – 5 มกราคม 2568 เวลาจัดแสดง 11:00 น. – 20:00 น. จัดเต็มใจกลางแลนด์มาร์ค ณ ไอคอนสยาม Attraction Hall ชั้น 6 เปิดจำหน่ายบัตรแล้ววันนี้ทาง Ticketmelon

ปรับราคาอีกราย Canva ขึ้นค่าบริการรายปี แลกฟีเจอร์ตัวช่วย AI

Canva เอาด้วยขึ้นราคาสมาชิก เพราะเอาฟีเจอร์ AI มาเข้ามาเป็นตัวช่วยในการทำงาน

ราคาของสมาชิก Canva บางส่วนจะพุ่งสูงขึ้นในปีหน้าหลังจากที่เว็บเปิดตัวฟีเจอร์ Generative AI ทำให้ลูกค้าทั่วโลกของ Canva Teams จะต้องจ่ายเงินเพิ่มสูงขึ้นถึง 300% เพื่อแลกกับเทคโนโลยีใหม่

ผู้ใช้ในสหรัฐบางรายเห็นว่าราคาแพ็คเกจรายปีสำหรับผู้ใช้สูงสุด 5 คน ปรับเป็น 500 ดอลลาร์ หรือประมาณ 16,800 บาท จากปกติจ่ายแค่ 120 ดอลลาร์ต่อปีเท่านั้น

Canva กล่าวว่าการปรับขึ้นนี้สมเหตุสมผล เครื่องมือ Generative AI จะทำให้แพลตฟอร์มซับพอร์ตผู้ใช้งานได้มากขึ้น

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Canva ได้ปล่อยฟีเจอร์ AI ออกมามากมาย เช่น ตัวสร้างข้อความเป็นรูปภาพ และเครื่องมือขยายพื้นหลัง การเพิ่มฟีเจอร์เหล่านี้ จะทำให้การออกแบบเป็นมืออาชีพและครอบคลุมกว่าเดิม

อัปเดทราคาแพ็คเกจรายปีสำหรับประเทศไทย

Canva ใช้งานได้ 1 คน ไม่เสียค่าใช้จ่าย

Canva Pro ใช้งานได้ 1 คน ราคา 1,850 บาท ต่อปี

Canva Teams ใช้งานได้อย่างน้อย 3 คน ราคา 5,400 บาท ต่อปี

ดูรายละเอียด >> https://www.canva.com/th_th/pricing/

เสียงของผู้ใช้งานคิดว่าการปรับราคาครั้งนี้ถือว่าสู้มากเกินไป และประกาศว่าจะยกเลิกการสมัครสมาชิกและเปลี่ยนไปใช้แอปพลิเคชันของ Adobe แทน

 

ที่มา : theverge

#AI  #Canva #TechhubUpdate

บังคับด้วยเห็ด หุ่นยนต์กึ่งชีวภาพ ตรวจจับสารเคมีในดิน

หุุ่นยนต์กึ่งชีวภาพ

ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ในสหรัฐฯ และมหาวิทยาลัยฟลอเรนซ์ในอิตาลี สามารถใช้เห็ด ในการควบคุมหุ่นยนต์

เห็ดที่พวกเค้าใช้คือเห็ดสายพันธุ์ Pleurotus eryngii (หรือที่รู้จักกันในชื่อเห็ดนางรมหลวง) เพื่อขับใช้เคลื่อนเครื่องจักรกล เห็ดนี้มีความสามารถในการตอบสนองต่อสิ่งเร้าต่างๆ เช่น แสง สัมผัส หรือความร้อน

นักวิจัยก็เอาความสามารถนี้มาแปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้า เพื่อสั่งงานหุ่นยนต์ให้ขยับแขนขา หรือแม้แต่บังคับรถเล็ก ๆ ให้เคลื่อนที่ได้ด้วย

ฟังดูเหมือนหนังไซไฟนะ แต่จริง ๆ แล้วงานวิจัยนี้มีประโยชน์มาก ๆ ครับ เพราะในอนาคตเราอาจจะสร้างหุ่นยนต์ที่ใช้เห็ดเป็นเซ็นเซอร์ตรวจจับสารเคมีในดิน เพื่อช่วยให้เกษตรกรรู้ว่าควรใส่ปุ๋ยเมื่อไหร่ หรือสร้างหุ่นยนต์ที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของเราได้อีกด้วย

ที่ผ่านมาก็มีงานวิจัยที่ผสมผสานสิ่งมีชีวิตกับเครื่องจักรมาบ้างแล้ว อย่างเช่น โปรเจ็กต์ OpenWorm ที่เคยสร้างหุ่นยนต์เลโก้ที่ควบคุมด้วยสมองของหนอนมาแล้วครับ รอดูว่าจะถูกนำมาใช้งานจริงเมื่อไหร่

ที่มา
techspot

AI สายเทา ใช้บอทฟังสตรีมปั่นยอดวิว โกยเงินค่าลิขสิทธิ์จากแพลตฟอร์ม

AI สายเทา

ชายคนหนึ่ง ถูกตั้งข้อหาฉ้อโกงหลังจากที่เขาอัปโหลดเพลงที่สร้างโดย AI หลายแสนเพลงไปยังแอปสตรีมมิ่ง และ จากนั้นก็ใช้บอทเพื่อเล่นเพลงเอง แล้วใช้บอทปั่นยอดฟังเพลงปลอม ๆ หลายพันล้านครั้ง เพื่อให้ได้เงินค่าลิขสิทธิ์เยอะ ๆ

เจ้าหน้าที่กล่าวหาว่า เขาอาจได้รับค่าลิขสิทธิ์มากกว่า 10 ล้านดอลลาร์ตั้งแต่ปี 2017 ซึ่งในตอนแรก เขาได้อัปโหลดเพลงของตัวเองลงไป แต่พอเห็นว่าได้เงินน้อย ก็เลยหันไปใช้เพลงที่ AI แต่งแทน

โดยเขาทำงานร่วมกับคนอื่น ๆ ในการสร้างเพลง AI จำนวนมหาศาล แล้วก็ตั้งชื่อเพลงและชื่อศิลปินแบบมั่ว ๆ เพื่อหลอกระบบสตรีมมิ่งว่าเป็นเพลงจริง

ซึ่งอัยการของสหรัฐ โดยกล่าวหาเขาว่า “Michael Smith สตรีมเพลงที่สร้างด้วยปัญญาประดิษฐ์อย่างฉ้อฉล ผ่านโครงการฉ้อโกงที่โจ่งแจ้งของเขา และ Smith ขโมยค่าลิขสิทธิ์หลายล้า นดอลลาร์ที่ควรจะจ่ายให้กับนักดนตรี นักแต่งเพลง และเจ้าของสิทธิ์อื่นๆ ที่มีการสตรีมเพลงอย่างถูกกฎหมาย”

นี่นับเป็นคดีแรกในสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับเรื่องการอัปโหลดเพลง AI ขึ้นไปบนแพลทฟอร์ม แล้วใช้ AI เข้าไปฟัง ต้องดูว่าเค้าจะสู้คดีอย่างไรครับ ซึ่งเขาอาจจะไม่ได้มีความผิดก็ได้…

ที่มา
https://www.engadget

ดูวงแหวนด้วยตาเปล่า ดาวเสาร์ใกล้โลก มากที่สุด

ชวนดูดาวเสาร์ใกล้โลกที่สุดในรอบปีคืนที่ 8 กันยายน 2567

สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (NARIT) ให้ข้อมูลว่า ดาวเสาร์จะโคจรมาอยู่ตำแหน่งตรงข้ามกับดวงอาทิตย์ (Saturn Opposition) หมายถึง ดวงอาทิตย์ โลก และดาวเสาร์ เรียงกันในแนวเส้นตรง ส่งผลให้ดาวเสาร์มีระยะใกล้โลกที่สุดในรอบปี ที่ระยะห่างจากโลกประมาณ 1,295 ล้านกิโลเมตร

ในวันดังกล่าวจะสังเกตดาวเสาร์ได้ทางทิศตะวันออก หลังดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ปรากฏสว่างเด่นชัดตลอดทั้งคืนจนถึงรุ่งเช้า หากฟ้าใสไร้ฝนสังเกตได้ด้วยตาเปล่าทั่วไทย

แถมยังมีกิจกรรมตั้งกล้องโทรทรรศน์ส่องวงแหวนดาวเสาร์ 5 จุดสังเกตการณ์หลัก เชียงใหม่ โคราช ขอนแก่น ฉะเชิงเทรา และสงขลา ตั้งแต่เวลา 18:00 – 22:00 . ผู้สนใจเข้าร่วมฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

นอกจากดาวเสาร์ใกล้โลกที่สุดในครั้งนี้ ยังมีปรากฏการณ์ดาราศาสตร์อื่น ๆ ให้ชมตลอดทั้งปี

ส่วนดาวเสาร์จะมีการเปลี่ยนแปลงในทุก ๆ ปี ยกตัวอย่างเช่น ในเดือนกันยายน พ.. 2567 ระนาบวงแหวนของดาวเสาร์จะเอียงทำมุมกับโลกประมาณ 4 องศา

เป็นผลให้มองเห็นวงแหวนของดาวเสาร์ได้ไม่ชัดเจนนัก และมุมเอียงจะค่อย ๆ ลดลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งในเดือนมีนาคม พ.. 2568 จะเป็นช่วงที่วงแหวนดาวเสาร์มีมุมเอียงน้อยที่สุดผู้สังเกตบนโลกจึงมองเห็นดาวเสาร์ไร้วงแหวนเมื่อมองจากโลก

และจะเกิดขึ้นในทุก ๆ 15 ปี เป็นอีกหนึ่งความน่าสนใจในการสังเกตการณ์ ดาวเสาร์ ทำให้เราได้เห็นความสวยงามที่แตกต่างกันไป

ที่มา : NARIT

เสียวหมี่วางจำหน่ายอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะรุ่นใหม่ Xiaomi Smart Band 9 Redmi Watch 5 Active และ Redmi Watch 5 Lite

เสียวหมี่ ประเทศไทย ประกาศวางจำหน่าย Xiaomi Smart Band 9 สมาร์ทแบนด์ภายใต้คอนเซ็ปต์ Your style, your pace ในราคา 1,190 บาท ทั้งยังวางจำหน่ายนาฬิกาอัจฉริยะ Redmi Watch 5 Active ในราคา 999 บาท และ Redmi Watch 5 Lite ในราคา 1,650 บาท นอกจากนี้ เสียวหมี่ ประเทศไทย ยังเตรียมดีลพิเศษอีกมากมายเพื่อต้อนรับเทศกาล 9.9 ในวันที่ 9 เดือน 9 สำหรับการซื้อผลิตภัณฑ์ของเสียวหมี่บนช่องทางออนไลน์ที่ mi.com Lazada และ Shopee อีกด้วย

Xiaomi Smart Band 9

Xiaomi Smart Band 9 มาพร้อมหน้าจอ AMOLED ขนาด 1.62 นิ้วสุดคมชัดที่สามารถให้ความสว่างสูงสุดเพิ่มขึ้น 50%2 ซึ่งสูงถึง 1,200 นิต จึงทำให้คุณสามารถใช้งานหน้าจอได้อย่างชัดเจนแม้จะใช้งานกลางแจ้งที่มีแดดจ้า ตัวอุปกรณ์ขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 233mAh และยังรองรับโหมดกีฬามากกว่า 150 โหมด ซึ่งมีฟีเจอร์พิเศษสำหรับการวิ่งและการปั่นจักรยานรวมเส้นทางการวิ่งกว่า 10 เส้นทาง ทั้งยังมีการวัดค่าต่างๆเช่น VO max รวมไปถึงระยะเวลาการพัก ซึ่งคุณสมบัติพิเศษเหล่านี้นั้นถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการออกกำลังกายที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ

Xiaomi Smart Band 9 วางจำหน่ายในราคา 1,190 บาท 

Xiaomi Smart Band 9 โดดเด่นด้วยดีไซน์ของตัวเรือนและสายที่เพรียวบาง แต่อัดแน่นไปด้วยฟีเจอร์เพื่อสุขภาพมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ความแม่นยำในการวัดอัตราการเต้นของหัวใจที่ดีกว่าเดิมถึง 16%2 การติดตามอัตราการเต้นของหัวใจและ SpO ตลอดทั้งวัน รวมถึงการติดตามอัตราการเต้นของหัวใจขณะพักผ่อนตลอดทั้ง 7 วัน1 พร้อมทั้งทราบถึงระดับความเครียดเพื่อช่วยจัดการสุขภาพในแต่ละวันอีกด้วย นอกจากนี้ยังมาพร้อมการติดตามการนอนหลับที่จะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการนอนหลับของคุณหลังจากสวมใส่เป็นเวลา 7 คืน โดยรายงานนี้จะครอบคลุมทั้งด้านตารางการนอน ความต่อเนื่องของการนอนหลับ การงีบหลับ ความเครียดตลอดทั้งวัน การออกกำลังกายก่อนนอน พร้อมให้คำแนะนำส่วนบุคคลเพื่อคุณภาพการนอนหลับที่ดีขึ้น1 อีกด้วย

Redmi Watch 5 Active และ Redmi Watch 5 Lite

Redmi Watch 5 Active มาพร้อมหน้าจอ LCD ความคมชัดสูงขนาดใหญ่พิเศษขนาด 2 นิ้ว ความละเอียด 320×385 พิกเซล พร้อมสัดส่วนหน้าจอต่อเครื่องอยู่ที่ 71.4% ซึ่งช่วยเพิ่มสัดส่วนการมองเห็นของหน้าจอเพิ่มขึ้นถึง 18% ในขณะที่ Redmi Watch 5 Lite นั้นมาพร้อมหน้าจอ AMOLED ขนาดใหญ่พิเศษขนาด 1.96 นิ้ว ความละเอียด 410×502 พิกเซล พร้อมสัดส่วนหน้าจอต่อเครื่องอยู่ที่ 75.6% และฟังก์ชัน Always-on Display (AOD) ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งานได้มากยิ่งขึ้น และยังรองรับการโทรสนทนาผ่านบลูทูธที่มาพร้อมไมค์สองตัวที่ช่วยตัดเสียงรบกวนรอบข้างทำให้การโทรของคุณนั้นชัดเจนมากยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นยังเพิ่มระยะการสนทนาให้ไกลขึ้นอีก 80 ซม. ซึ่งไกลกว่าเดิมถึง 2.7 เท่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้าจึงช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งานให้คุณมากยิ่งขึ้นไปอีก ทั้งนี้ Redmi Watch 5 Active และ Redmi Watch 5 Lite ยังมาพร้อมฟีเจอร์การติดตามสุขภาพที่สำคัญหลายฟีเจอร์1 อาทิ การติดตามอัตราการเต้นของหัวใจ, SpO, การนอนหลับและอื่นๆ อีกมากมาย และสามารถกันน้ำลึกได้ถึง 5ATM นอกจากนี้ Redmi Watch 5 Lite ยังมาพร้อม การรองรับ GNSS 5 ระบบ ที่ช่วยระบุตำแหน่งได้อย่างแม่นยำอีกด้วย

Redmi Watch 5 Active วางจำหน่ายในราคา 999 บาทและ Redmi Watch 5 Lite วางจำหน่ายในราคา 1,650 บาท 

นอกจากนี้ เสียวหมี่ ยังมาพร้อมโปรโมชันสุดพิเศษมากมายเพื่อต้อนรับเทศกาล 9.9 ในวันที่ 9 เดือน 9 พ.ศ. 2567 ลูกค้าที่สนใจดีลสุดคุ้มเหล่านี้สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ mi.com Lazada และ Shopee 

หมายเหตุ

1 ผลิตภัณฑ์นี้และคุณสมบัติต่างๆ ไม่ได้รับการออกแบบมาเพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์ และไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อคาดการณ์ วินิจฉัย ป้องกัน หรือรักษาโรคใดๆ

2 เมื่อเปรียบเทียบกับ Xiaomi Smart Band 8 ข้อมูลมาจากห้องปฏิบัติการภายในของเสียวหมี่ ผลลัพธ์ที่แท้จริงอาจแตกต่างกันไป

สามารถรับชมภาพเพิ่มเติมได้ที่ Xiaomi Smart Band 9, Redmi Watch 5 Active, Redmi Watch 5 Lite 

iQOO Z9 5G เตรียมระเบิดขุมพลังไร้ขีดจำกัดในสีสันใหม่ Lunar Titanium พร้อมให้เป็นเจ้าของและรับดีลพิเศษใน 9.9 นี้!

9.9 นี้เจอกัน! iQOO (ไอคูล) แบรนด์สมาร์ตโฟนตัวท็อป สานต่อความสำเร็จของ iQOO Z9 5G สมาร์ตโฟนตัวแรงแห่งปี 2024 ที่ครองใจเหล่าผู้ใช้งาน Gen Z ด้วยสโลแกน “ขุมพลังไร้ขีดจำกัด” หรือ “Unstoppable Power” ซึ่งสะท้อนผ่านประสิทธิภาพการใช้งานที่ถูกอัปเกรดให้แข็งแกร่งในทุกมิติ ด้วยการส่งตัวเลือกสีใหม่สุดอินเทรนด์ ‘ลูนาร์ ไทเทเนียม’ (Lunar Titanium) มาเสริมทัพความแรงให้แฟน ๆ iQOO ชาวไทยได้สัมผัสประสบการณ์ความทรงพลังเหนือระดับบนเฉดสีที่พรีเมียมกว่าที่เคย ในราคาเดิม 12,499 บาท เตรียมลงทะเบียนจับจองเป็นเจ้าของพร้อมรับดีลพิเศษมากมายจาก iQOO ก่อนใครวันที่ 9 กันยายนนี้!

iQOO ประเทศไทย เตรียมวางจำหน่าย iQOO Z9 5G ในสีสันใหม่ล่าสุด ‘ลูนาร์ ไทเทเนียม’ (Lunar Titanium) ที่ผสานแรงบันดาลใจจากความแข็งแกร่งของไทเทเนียมเข้ากับความนุ่มนวลของแสงจันทร์สะท้อนบนผืนฟ้าในยามค่ำคืน โดดเด่นด้วยดีไซน์ลายเส้นโค้งบนฝาหลังที่เปรียบเสมือนดวงจันทร์พาดผ่านตัวเครื่อง เข้ากันได้อย่างลงตัวกับโมดูลกล้องแบบ Porthole อันเป็นเอกลักษณ์ของ iQOO นำเสนอบนตัวเครื่องบางเฉียบ 7.98 มิลลิเมตร และน้ำหนักเบา แต่ยังคงประสิทธิภาพการใช้งานอันยอดเยี่ยมด้วยหน้าจอแสดงผล 1.5K AMOLED อัตรารีเฟรช 144Hz ที่มอบความสว่างสูงสุดได้ถึง 4500 นิต การันตีการแสดงผลภาพที่สวยงามและคมชัดแม้ใช้งานกลางแจ้ง อีกทั้งยังถนอมสายตาผู้ใช้งานด้วยการรับรองมาตรฐาน SGS Eye Care Display Protection 

iQOO Z9 5G สะท้อนแนวคิด “ขุมพลังไร้ขีดจำกัด” ด้วยชิปเซตประมวลผล Snapdragon® 7 Gen 3 Mobile Platform ที่ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยยกระดับประสิทธิภาพการใช้งานและการจัดการพลังงานเพื่อตอบโจทย์ทุกการใช้งานที่หนักหน่วง จัดเต็มระบบระบายความร้อน (Vapor Chamber) ขนาดใหญ่พิเศษ 6,043 ตารางมิลลิเมตร ที่ใหญ่ขึ้นถึง 200% จากรุ่นก่อนหน้า เพื่อการตรวจจับอุณหภูมิตัวเครื่องและระบายความร้อนที่รวดเร็วและแม่นยำกว่าที่เคย มาพร้อมแบตเตอรี่แกรไฟต์ขนาด 6000mAh ที่ใช้กระบวนการผลิตขั้นสูง ทำให้มีขนาดบางพิเศษแต่ยังอัดแน่นไปด้วยความจุสูงที่สุดในประวัติศาสตร์สมาร์ตโฟน iQOO นอกจากนี้ยังรองรับเทคโนโลยีการชาร์จไว 80W FlashCharge และมาตรฐานทนน้ำทนฝุ่น IP64 ทำให้พร้อมใช้งานในทุกสถานการณ์ ยาวนานตลอดวัน

iQOO Z9 5G สีสันใหม่ ‘ลูนาร์ ไทเทเนียม’ (Lunar Titanium) จะวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยวันที่ 9 กันยายน 2567 ในราคา 12,499 บาท สำหรับรุ่นความจุ 12GB+256GB ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อจับจองเป็นเจ้าของได้ตั้งแต่วันที่ 9 – 30 กันยายนนี้ พร้อมรับของสมนาคุณสุดพิเศษมูลค่ารวม 1,398 บาท ได้แก่ 

  • กระเป๋า Duffle Bag (มูลค่า 1,299.-) 
  • และ ถุงนิ้ว iQOO (มูลค่า 99.-) 

แล้วมาร่วมสัมผัสประสบการณ์การใช้สมาร์ตโฟนที่เร็ว แรง ไร้ขีดจำกัด ไปกับ iQOO Z9 5G สีใหม่ Lunar Titanium พร้อมกันได้ที่ vivo Brand Shop ทุกสาขา ช่องทางออนไลน์ Shopee Lazada และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เฟซบุ๊ก iQOO Thailand และเว็ปไซต์ https://www.iqoo.com/th 

#iQOOZ95G #ขุมพลังไร้ขีดจำกัด

Return of the Ally! ASUS เปิดตัว ROG Ally X ตอกย้ำความเป็นผู้นำเครื่องเล่นเกมพกพา พร้อมวางจำหน่ายทั่วประเทศ ให้คุณสนุกกับทุกเกม ทุกที่ ไร้ขีดจำกัด 

เอซุส (ประเทศไทย) เปิดตัวสินค้า ROG Ally X ภายใต้แบรนด์ รีพับบลิค ออฟ เกมเมอร์ส (ROG) ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ กับราคาเปิดตัว 29,990 บาท สานต่อความสำเร็จของ ROG Ally ที่เปิดตัวเมื่อปีที่แล้ว โดย ROG Ally X ได้อัปเกรดพื้นที่จัดเก็บข้อมูลจาก 512GB เป็นขนาด 1TB M.2 ขนาด 2280 และอัป RAM มากขึ้นจาก 16GB เป็น 24GB แบบ LPDDR5X-7500 แบตเตอรี่อึดขึ้นขนาด 80Wh พร้อมการออกแบบดีไซน์ตัวเครื่องใหม่ ที่ออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ ทำให้จับถนัดมือยิ่งขึ้นกับน้ำหนักเพียง 678 กรัม มีพอร์ต USB Type-C ถึง 2 จุด รองรับการชาร์จได้สูงสุด 100W การระบายความร้อนแบบรอบด้านที่รองรับทุกองศาการใช้งาน ด้วยตัวพัดลมใหม่ทำงานคู่กับช่องระบายความร้อนที่สาม ที่เพิ่มขึ้นมา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายอากาศถึง 24% ช่วยให้แผงจอ Touch screen สามารถเย็นลงได้ถึง 6 องศาเซลเซียส อีกทั้ง Joysticks ได้ออกแบบบนมาตรฐาน XBOX และได้มีการใช้ Trigger แบบ Hall Effect Triggers เพื่อเพิ่มความแม่นยำและยืดอายุการใช้งาน 

ทั้งนี้ ROG Ally X พร้อมแล้วที่จะมอบประสบการณ์อันล้ำค่าแก่ผู้เล่นผ่านเครื่องเล่นเกมพกพา ให้สนุกเพลิดเพลินได้กับทุกเกม ทุกที่ ไร้ขีดจำกัด #playALLYourgames

เพิ่มพื้นที่จัดเก็บ, RAM เร็วแรง, แบตอึดกว่าเดิม 

ที่ผ่านมาทาง ROG ได้รวบรวมความคิดเห็นของผู้ใช้งาน รวมถึงข้อเสนอแนะที่มีต่อรุ่นที่แล้ว มาสานต่อเป็น ROG Ally X ซึ่งในภาพรวมตัว CPU จะยังคงใช้โปรเซสเซอร์ AMD Ryzen™ Z1 Extreme ที่ใช้สถาปัตยกรรมแบบ Zen 4 จำนวน 8 แกน มีความถี่สูงสุด 5.1 GHz บนระบบปฏิบัติการ Windows 11 ด้าน GPU ก็ยังคงใช้ RDNA 3 Radeon 780M พร้อม 12CU ที่ความถี่สูงสุด 2.7 GHz ซึ่งสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยใช้พลังงานประมาณ 15W เท่านั้น

ทั้งนี้สิ่งสำคัญอย่างแรกคือการเพิ่มพื้นที่จัดเก็บ SSD จาก 512GB เป็น 1TB M.2 ขนาด 2280 ให้เพียงพอสำหรับจัดเก็บเกม และสามารถถอดอัปเกรดได้ง่ายในอนาคตหากต้องการขนาดความจุที่มากขึ้น

อย่างที่สอง ROG Ally X มีการเพิ่มขนาด RAM จาก 16GB เป็น 24GB แบบ LPDDR5X บนความเร็ว 7500 MHz โดยสามารถจัดสรรหน่วยความจำระหว่าง CPU และ GPU โดยสำหรับ GPU สามารถแบ่งได้สูงสุด 16GB หรือจะตั้งค่าแบบ Auto เพื่อให้คุณสามารถใช้งาน ROG Ally X ได้เหมาะสมกับการใช้งาน

ตามด้วยอย่างที่สาม ROG เข้าใจว่าลูกค้าต้องการเครื่องเล่นเกมพกพาที่เล่นได้นานมากขึ้น สามารถสนุกกับการผจญภัยในโลกของเกมได้ทุกที่ จึงได้อัปเกรดแบตเตอรี่ให้มีความจุขนาดใหญ่ขึ้น จาก 40Wh เป็น 80Wh โดยขนาดเครื่องมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย จาก 608 กรัม เป็น 678 กรัม ซึ่งจากการทดสอบสามารถเล่นเกมได้สูงสุด 2.7 ชั่วโมง หรือดู Netflix และ YouTube ได้สูงสุด 14.5 ชั่วโมง

การออกแบบที่คำนึงถึงผู้เล่น

ROG Ally X โดดเด่นด้วยตัวเครื่องสีดำใหม่ สุดเท่ ผ่านการออกแบบที่คำนึงถึงหลักสรีรศาสตร์มากที่สุด โดยมีการเปลี่ยนตรง Grip ที่จับให้มีความโค้งมนรับกับมือ ด้วยความสูงที่เพิ่มขึ้น 4.5 มม. และมีความลึกลงจากเดิมทำให้จับถือสะดวก และยังปรับตำแหน่งของจอยสติ๊กให้สัมพันธ์กับ D-Pad และปุ่มอื่นๆ ทำให้การกดสามารถเคลื่อนไปมาระหว่างกันได้ง่ายขึ้น ในขณะที่ส่วนเอียง 2° และ 14° ที่ปรับแต่งพิเศษ ทำให้ใช้งานได้อย่างสะดวกสบายมากที่สุด

ด้านหน้าจอมีขนาด 7 นิ้ว ความละเอียด Full HD 1080p และอัตราการรีเฟรช 120Hz พร้อมรองรับ FreeSync™ Premium ทำให้การเล่นเกมเป็นเรื่องที่สนุกสนานอย่างแท้จริง ในขณะที่หน้าจอ LCD ทั่วไปมีความสว่างสูงสุดประมาณ 200-300 nits แต่ ROG Ally X สามารถปรับความสว่างได้ถึง 500 nits ด้วยความสว่างที่สูงขึ้นช่วยให้เครื่องแสดงภาพบนหน้าจอได้อย่างชัดเจนแม้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีแสงสว่าง พร้อมค่าขอบเขตของสีแบบ sRGB 100%

ตัวแชสซีได้ปรับแต่งใหม่ให้มีการยึดเกาะเป็นพิเศษ ป้องกันการลื่นของนิ้วมือ มีขนาดเบา ซึ่งช่วยชดเชยน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นของแบตเตอรี่ขนาด 80Wh ได้มาก ด้านตัว Analog หมุนบังคับของจอยสติ๊ก สามารถหมุนได้ถึง 5 ล้านรอบ เพิ่มขึ้น 2 เท่าจากรุ่นก่อน ส่วนปุ่ม D-Pad ได้รับการออกแบบใหม่เพื่อลดความเหนียวเมื่อเคลื่อนที่เป็นวงกลม ในขณะที่ยังคงสั่งงานได้อย่างแม่นยำ

ขณะที่ปุ่มมาโคร 2 ปุ่ม (M1 และ M2) ตรงด้านหลังเครื่อง มีขนาดเล็กลงกว่ารุ่นก่อน มีความยืดหยุ่น ลดปัญหาการกดปุ่มแบบไม่ตั้งใจ รวมทั้งปุ่มมาโครสามารถตั้งโปรแกรมให้ใช้งานฟังก์ชันเฉพาะ เพื่อใช้งานได้ในลักษณะเดียวกับการใช้ปุ่ม Fn บน PC พร้อมทั้งมีการใช้ Hall Effect Triggers ที่ช่วยให้ตัว Triggers เคลื่อนที่ได้แม่นยำ มีความทนทานสูงและจะไม่เสื่อมสภาพจากการใช้งานเป็นประจำ

ระบบระบายความร้อนได้ดีแบบรอบด้าน

ให้ตัวเครื่องเย็นลงด้วยระบบระบายความร้อน Zero Gravity แบบพัดลมคู่ ทำให้คงความเย็นและเสียงเงียบ รวมทั้งจำนวนใบพัดที่เพิ่มขึ้นและช่องระบายอากาศที่ 3 ตรงช่องด้านบนทำให้ ROG Ally X ระบายความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยตัวพัดลมใน ROG Ally X ประกอบด้วยพัดลม 2 ตัว ที่มีขนาดเล็กลง 23% แต่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการระบายอากาศถึง 24% ช่วยให้หน้าจอ Touch screen มีอุณหภูมิเย็นลงถึง 6 องศาเซลเซียส อีกทั้งได้ออกแบบตัวใบพัดลมให้บางกว่าเดิม ทำให้มีพื้นที่ให้อากาศผ่านระหว่างใบพัดแต่ละใบได้มากขึ้น ซึ่งตัวใบพัดลมที่หนาเพียง 0.1 มม. ช่วยให้ใส่แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 80Wh ได้ พร้อมยังติดตั้งตัวกรองฝุ่นที่ครอบคลุมช่องระบายอากาศทั้งสองช่อง เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในพัดลม ทำให้ตัวเครื่องอยู่ได้นานหลายปี  

อัปเดตพอร์ตเชื่อมต่อ

ROG Ally X มีพอร์ต USB Type-C จำนวน 2 พอร์ต เพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อน ประกอบด้วยพอร์ต USB 3.2 Gen 2 Type-C หนึ่งพอร์ต และพอร์ต USB 4 Type-C หนึ่งพอร์ต นอกจากนี้ พอร์ตทั้งสองยังรองรับ USB Power Delivery สูงสุด 100W เพื่อการชาร์จที่เร็วขึ้น เช่นเดียวกับ DisplayPort 1.4 สำหรับจอแสดงผลภายนอก ทั้งนี้ตัวขนาด Adapter จะยังคงอยู่ที่ขนาด 65W เพื่อให้อุปกรณ์มีขนาดกะทัดรัดและน้ำหนักเบา แต่ยังคงประสิทธิภาพการชาร์จที่เร็วแรง

ระบบเสียงแบบจัดเต็ม

มีลำโพง Smart Amp แบบ front-facing แบบคู่ที่รองรับ Dolby Atmos ช่วยเพิ่มระดับเสียงที่เสมือนจริงและให้คุณดื่มด่ำไปกับเกมได้โดยตรง ในขณะที่ระบบตัดเสียงรบกวน AI แบบสองทางจะประมวลผลเสียงทั้งขาเข้าและขาออกเพื่อกรองเสียงรบกวนพื้นหลังที่รบกวนจากการแชทด้วยเสียงของคุณ

ทั้งนี้ ROG Ally X พร้อมแล้วที่จะให้คุณเป็นเจ้าของ ในราคาเปิดตัว 29,990 บาท โดยลูกค้าจะได้รับการรับประกันตัวเครื่อง Global Warranty 2 ปี เข้าศูนย์ได้กว่า 83 ประเทศทั่วโลก และ Carry-In Warranty 2 ปี สามารถส่งตัวเครื่องเข้าศูนย์บริการใกล้บ้าน พร้อมฟรี! XBOX PC Game Pass ระยะเวลา 3 เดือน ให้คุณเล่นเกมได้มากกว่า 100 เกม 

ผู้ที่สนใจสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ https://th.rog.gg/om8i0t 

ASUS Online Store: https://th.rog.gg/ekn4nh

ASUS Official Store บน Shopee: https://th.asus.click/q3yspf 

ASUS Official Store บน Lazada: https://th.asus.click/iPUSWt 

ซัมซุง เตรียมเปิดประสบการณ์ศิลปะบนทีวี The Frame 2024 ผ่านคาแรกเตอร์ Bad Meaw เจ้าเหมียวตัวร้าย ที่จะมาโลดแล่นบนผลงานระดับโลก

ซัมซุง ผู้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมระดับโลก เปิดตัวการผสมผสานระหว่างศิลปะและเทคโนโลยีที่ไม่เคยมีมาก่อนในทีวีดีไซน์กรอบรูปเดอะ เฟรม 2024” (The Frame 2024) ไลฟ์สไตล์ทีวีของซัมซุง ที่เชื่อมต่อผลงานศิลปะระดับโลกเข้ากับไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัล ผ่านศิลปินไทย พิ้งค์-เหมือนฝัน ทรัพย์เอนก เจ้าของ     คาแรกเตอร์สุดคิ้วท์อย่าง “Bad Meaw” เจ้าแมวสุดซนที่เป็นที่รู้จักในวงการศิลปะ เพื่อสร้างสรรค์ผลงานศิลปะที่ไม่เหมือนใคร

Bad Meaw ได้รับการตีความใหม่ผ่านผลงานศิลปะที่มีความร่วมสมัยและเสน่ห์เฉพาะตัว ถูกนำเสนอผ่านหน้าจอ The Frame ซึ่งเป็นมากกว่าแค่สมาร์ททีวี แต่เป็นทีวีที่เปลี่ยนห้องนั่งเล่นและบ้านของคุณให้กลายเป็นแกลเลอรีศิลปะส่วนตัว ด้วยสไตล์ที่ไม่เหมือนใคร และเทคโนโลยีสุดล้ำจากซัมซุง เพราะ The Frame ไม่เพียงแต่นำเสนอภาพที่คมชัดและสีสันที่สมจริงเท่านั้น ด้วยดีไซน์เสมือนกรอบรูป พร้อมกรอบทีวีที่สามารถปรับเปลี่ยนสีได้ จะทำให้มุมทีวีในบ้านของคุณไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป รวมไปถึงฟีเจอร์ Art Mode ที่ช่วยเปลี่ยนสมาร์ททีวีของคุณให้กลายเป็นพื้นที่แสดงผลงานศิลปะระดับโลกได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส โดยสามารถเลือกชมงานศิลปะจากแกลเลอรีชื่อดัง จากทั่วทุกมุมโลกกว่า 2,500 ผลงาน บน Matte Display หน้าจอไร้เงาสะท้อน ให้ความรู้สึกเสมือนรับชมงานศิลปะบนผืนแคนวาสในพิพิธภัณฑ์ศิลปะระดับโลก เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและเปิดประสบการณ์ใหม่กับการตกแต่งพื้นที่ให้เป็นสไตล์ในแบบที่คุณชื่นชอบ 

อย่าพลาดกับการชมผลงาน Bad Meaw เจ้าเหมียวตัวร้ายที่โด่งดังโลดแล่นอยู่บนผลงานศิลปะระดับโลกที่คุณสามารถเข้าถึงได้ง่ายๆ ในบ้านของคุณเอง ร่วมติดตามและสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษกับ The Frame ได้แล้ววันนี้ทาง Facebook, YouTube, Instagram Samsung Thailand และหน้าร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศ 

เลอโนโวเสริมพลังให้การโมบายเกมมิ่งกับ Lenovo Legion Go ด้วยไลน์อัพอุปกรณ์เสริม และจอมอนิเตอร์ ใหม่ล่าสุด

เลอโนโว ยกระดับ ecosystem ของกลุ่มผลิตภัณฑ์ Lenovo Legion™ ให้ครอบคลุมยิ่งด้วยการเปิดตัวหน้าจอมอนิเตอร์ Lenovo Legion รุ่นใหม่ถึง 2 รุ่น เพื่อการเล่นเกมโดยเฉพาะ และยังเพิ่มไลน์อัพแอคเซสเซอรี่ใหม่ ๆ อีกมากมาย สำหรับ Lenovo Legion Go ให้เหล่าเกมเมอร์สามารถปรับแต่ง ไปจนถึงเพิ่มประสิทธิภาพให้กับอุปกรณ์ และเซสชันการเล่นเกมได้แบบไร้ขีดจำกัด

แท่นชาร์จ USB-C สำหรับ Lenovo Legion Go

แท่นชาร์จ USB-C Lenovo Legion Go ให้เกมเมอร์มีแท่นชาร์จสำหรับเล่นเกมที่สามารถเป็นทั้งที่ชาร์จ และฐานรองรับเครื่องเพื่อการเล่นเกมที่สะดวกยิ่งขึ้นในวันที่ไม่ต้องพกพาเครื่องออกไปข้างนอก โดยแท่นชาร์จมีพอร์ท USB-C Power สูงสุด 100W, พอร์ท RJ45 1G, พอร์ท Type-C™ ฟังก์ชันครบครัน, พอร์ท USB-A 3.0 จำนวน 2 พอร์ท และพอร์ท HDMI 2.0 ที่รองรับ 4K สูงสุดที่ 60Hz นอกจากนี้แท่นชาร์จยังมีสายเคเบิล Type-C ขนาด 230 มิลิเมตรในตัว ให้สามารถเชื่อมต่อกับ Lenovo Legion Go ได้โดยตรง

คอนเนคเตอร์ชาร์จ สำหรับ Lenovo Legion Go

หัวคอนเนคเตอร์ชาร์จของ Lenovo Legion Go ออกแบบมาเพื่อเป็นตัวเชื่อมต่อระหว่าง Lenovo Legion Go และ TrueStrike คอนโทรลเลอร์ ให้สามารถชาร์จไฟได้ไปพร้อม ๆ กันภายในตัว ทันทีที่ชาร์จเต็มแล้ว แบตเตอรี่ในตัวของคอนเนคเตอร์ชาร์จจะสามารถสลับไปชาร์จ TrueStrike คอนโทรลเลอร์ ได้ทั้งด้านซ้ายและขวาทีละข้างต่อการชาร์จ1 โดยตัวคอนเนคเตอร์ Lenovo Legion Go เองสามารถชาร์จไฟได้ผ่านพอร์ท Type-C ที่อยู่บนตัวอุปกรณ์

เคสพกพา Lenovo Legion Go Carry Case

เคสพกพาสำหรับใส่ Lenovo Legion Go Carry Case มาพร้อมช่องใส่แบบแข็ง, กระเป๋าแบบซิป 2 ช่อง และแผ่น clapboard ปิดหน้าจอเพื่อปกป้องเพื่อป้องกันความเสียหายหรือรอยขีดข่วน ช่องกระเป๋าแบบซิปด้านในออกแบบมาเพื่อใส่สายเคเบิล, ไดรฟ์ USB, คีย์บอร์ด, หูฟัง และอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ให้เป็นสัดส่วนและปลอดภัย บริเวณก้นเคสยังมีช่องเก็บที่ถูกออกแบบมาเพื่อใส่ อะแด็ปเตอร์ Lenovo Legion Go และ FPS Mode controller

จอยสติ๊ก Lenovo Legion Go Joystick และ Joystick Caps

เพื่อการควบคุมที่แม่นยำสำหรับเกมแข่งรถหรือเกม FPS สุดโปรด เลอโนโวขอแนะนำ จอยสติ๊กLegion Go Joystick และ Joystick Caps ที่เลือกใช้วัสดุโดยคำนึงถึงการใช้งานที่กระชับมือ ช่วยให้การควบคุมทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ใช้งานได้อย่างสบายแม้เกมการแข่งขันจะดุเดือดเพียงใดก็ตาม

คีย์บอร์ด Lenovo Multi-Device Bluetooth Mini Keyboard

คีย์บอร์ด Lenovo Multi-Device Bluetooth Mini คืออุปกรณ์เสริมชั้นเยี่ยมของ Lenovo Legion Go ด้วยขนาดที่ถูกออกแบบมาให้มีสัดส่วนที่ 75% ของตัวเครื่อง น้ำหนักเบาเพียง 180 กรัม และบางเพียง 5.6 มิลลิเมตร ตัวคีย์บอร์ดยังเชื่อมต่อได้ถึง 3 อุปกรณ์ และรองรับการใช้งาน Microsoft Windows, Android™, และ iPadOS®

จอมอนิเตอร์ Lenovo Legion R27qc-30 และ Lenovo Legion R32qc-30

ในเวลาที่คุณไม่ต้องออกนอกสถานที่ การเล่นเกมด้วย Lenovo Legion Go ก็ทำได้สะดวกยิ่งขึ้นด้วยหน้าจอมอนิเตอร์ขนาด 27 นิ้ว ได้แก่ Lenovo Legion R27qc-30 และขนาด 31.5 นิ้ว ได้แก่ Lenovo Legion R32qc-30 หน้าจอทั้งสองรุ่นมาพร้อมดีไซน์แบบโค้ง 1500R และรีเฟรชเรทสูงสุดถึง 180Hz เวลาตอบสนองใน 0.5ms หน้าจอ 27 นิ้ว รองรับ 120% sRGB และ 90% DCI-P3 หน้าจอขนาด 31.5 นิ้ว รองรับ 112% sRGB ทั้งสองรุ่นรองรับพอร์ทเชื่อมต่อ HDMI 2.1 ถึงสองพอร์ท, DP1.4 หนึ่งพอร์ท ช่องเชื่อมต่อ audio out และ ลำโพงขนาด 3 วัตต์

เกมเมอร์ผู้ใช้งานผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Lenovo Legion ทั้งแท็บเล็ต, อุปกรณ์เสริม Legion Go, จอมอนิเตอร์, และอุปกรณ์เสริมอื่นๆ, Legion Go ดีไวซ์, หน้าจอมอนิเตอร์ และอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ สามารถอัพเกรดเพื่อเข้าถึงบริการ Legion Ultimate Support เพื่อรับการสนับสนุน และความช่วยเหลือจากช่างเทคนิคผู้เชี่ยวชาญของเลอโนโวได้ตลอด 24 ชั่วโมงในทุก ๆ วัน ผ่านอีเมล์ โทรศัพท์ ผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Lenovo Legion ได้รับการขยายไลน์ผลิตภัณฑ์เพื่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการของเกมเมอร์ในการเล่นเกมขั้นสุด

หมายเหตุ:

1 ระยะเวลาของแบตเตอรี่ที่กล่าวอ้างเป็นเวลาที่คำนวนจากการใช้งานในสถานที่ และการเชื่อมต่อที่ควบคุม ระยะเวลาที่ใช้งานได้จริงอาจแตกต่างไปขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม วิธีการใช้งาน และอื่น ๆ

2 ผลิตภัณฑ์และบริการอาจมีความแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่การจำหน่ายและให้บริการ เลอโนโวสงวนสิทธิการเปลี่ยนแปลงการให้บริการโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

Hot Issue