Home Blog Page 30

เอาจนได้ รัน เกม Doom แบบ 3 มิติ บนเครื่องโฮโลแกรม

เกม Doom

ก่อนหน้านี้ มีเหล่า Modder จำนวนมาก พยายามที่จะเอาเกม Doom ไปลงในเครื่องต่าง ๆ ทั้ง ตู้สั่ง McDonald’s, โปรแกรม Notepad, ในโคมไฟอัจฉริยะ, เครื่องตัดหญ้า ซึ่งก็เป็นอะไรที่น่าทึ่งอยู่แล้ว

นักประดิษฐ์และ YouTuber ชื่อว่า Ancient ได้สร้างจอโฮโลแกรมสามมิติขึ้นมาเอง จากนั้นเขาได้ลองเอามาเล่น เกม Doom โดยในคลิป เราจะเห็นว่าตัวเกมและฉากต่างๆ ลอยออกมาเป็นสามมิติอยู่กลางอากาศ แถมเขายังเลือกเล่นในมุมมองบุคคลที่สามอีกต่างหาก ทำให้เห็นตัวละครและฉากรอบๆ ได้กว้างขึ้น ครับ

นอกจากนี้ Ancient ยังใส่ Mod ที่เปลี่ยนกราฟิกในเกมให้เป็นสามมิติเข้าไปอีก ทำให้เกมดูล้ำยุคไปมาก นับเป็นอีกหนึ่งความพยายามของเหล่าเกมเมอร์ ที่อยากเห็น Doom ในรูปแบบใหม่ ๆ มากขึ้น

ดู ๆ ไปแล้ว มันเหมือนเป็นชาเลนจ์เหมือนกันนะ เอาล่ะ ต่อไปจะใครเอา Doom ไปรันบนอะไรอีกไหม…

ที่มา
techspot

NECTEC-ACE2024 โชว์ศักยภาพ โอกาสและทิศทางการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเซนเซอร์ไทย

NECTEC-ACE2024 ผนึกกำลังพันธมิตร ทั้งรัฐและเอกชน โชว์ศักยภาพ โอกาสและทิศทางการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเซนเซอร์ไทย มุ่งเป้าสู่ระบบนิเวศเซนเซอร์อัจฉริยะของโลก

ศาสตราจารย์ ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ เป็นประธานเปิดการประชุมวิชาการและนิทรรศการเนคเทคประจำปี 2567 (NECTEC Annual Conference & Exhibitions 2024: NECTEC-ACE 2024) ภายใต้แนวคิดฐานรากเทคโนโลยีก้าวไกล พัฒนาไทยก้าวหน้าซึ่งปีนี้มุ่งเน้นด้านเปิดโลกเทคโนโลยียุคใหม่ ด้วยเซนเซอร์ไทยอัจฉริยะ: The Next Era of Thai Intelligent Sensors” โดยมี ดร.จันทร์เพ็ญ เมฆาอภิรักษ์ รองปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(อว.) ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. และพันธมิตรภาครัฐและภาคเอกชน กว่า 1,000 คนเข้าร่วมงาน ณ ศูนย์การประชุมอิมแพค ฟอรั่ม เมืองทองธานี

ศาสตราจารย์ ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ ประธานกรรมการบริหารศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค สวทช.) กล่าวว่า เซนเซอร์และเซมิคอนดักเตอร์เปรียบเสมือนหัวใจสำคัญของเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน ซึ่งเป็นสององค์ประกอบหลักที่ขับเคลื่อนให้เทคโนโลยีสมัยใหม่ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว และมีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของเราอย่างที่เราคาดไม่ถึง ทั้งเป็นกุญแจสำคัญของเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) ที่ทำให้อุปกรณ์ต่างๆเชื่อมต่อกันและสื่อสารกันได้ทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตในภาคอุตสาหกรรมอีกทั้งยังมีผลในการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆอาทิปัญญาประดิษฐ์ยานยนต์ไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน

นอกจากนี้เซนเซอร์และเซมิคอนดักเตอร์ยังถูกใช้ในระบบขนส่งอัจฉริยะ ช่วยให้การจราจรมีความปลอดภัย สะดวกรวดเร็ว และประหยัดพลังงาน ถูกใช้ในระบบดูแลสุขภาพ ช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคได้อย่างแม่นยำ รักษาผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ติดตามสุขภาพของผู้ป่วยได้อย่างใกล้ชิด และถูกนำมาประยุกต์ใช้ในระบบเกษตรอัจฉริยะ ช่วยให้เกษตรกร สามารถเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน ดังนั้นเซนเซอร์และเซมิคอนดักเตอร์จึงมีความสำคัญ เพราะเป็นพื้นฐานสำคัญของเทคโนโลยีต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ที่ช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม จึงเป็นที่มาของการจัดงานประชุมวิชาการและนิทรรศการของเนคเทค ประจำปี 2567 หรือ NECTEC Annual Conference and Exhibitions 2024 (NECTEC–ACE 2024)  โดยมุ่งเน้นประเด็นเปิดโลกเทคโนโลยียุคใหม่ ด้วยเซนเซอร์ไทยอัจฉริยะ” The Next Era of Thai Intelligent Sensors ซึ่งจัดโดยเนคเทค สวทช. ถือว่ามีความสำคัญในการสนับสนุนให้ หน่วยงานทั้งรัฐและเอกชน ภาคเกษตร สถาบันการศึกษา สถาบันวิจัย ผู้ประกอบการ และนักลงทุน สามารถแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ถ่ายทอดประสบการณ์ รวมทั้งการสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ผลักดันผลงานวิจัยไปสู่ผู้ใช้งานจริงได้อย่างยั่งยืน โดยผ่านโครงสร้างพื้นฐานระดับชาติและเครือข่ายพันธมิตร เพื่อยกระดับการพัฒนาและการแข่งขันของประเทศ พร้อมทั้งสร้างสรรค์ผลงานวิจัยให้ตอบโจทย์การใช้งานภายในประเทศ

ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สวทช. โดยเนคเทคซึ่งมีบทบาทสำคัญในฐานะเป็นผู้เชื่อมโยงการวิจัย และพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคเกษตร สถาบันการศึกษา สถาบันวิจัย ผู้ประกอบการและนักลงทุน ในการสนับสนุนและถ่ายทอดผลงานวิจัยและพัฒนาไปสู่ การใช้ประโยชน์ต่อการพัฒนาสังคมและประเทศ ปัจจุบันเทคโนโลยีเซนเซอร์อัจฉริยะในประเทศไทย ตั้งแต่งานวิจัยพื้นฐานไปจนถึงการประยุกต์ใช้ ในอุตสาหกรรม และเซนเซอร์อัจฉริยะมีความสำคัญต่ออินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) และอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อการใช้งานเซนเซอร์อัจฉริยะจึงมีมากมายสามารถบูรณาการเข้ากับแอปพลิเคชันที่หลากหลายในอุตสาหกรรมต่างๆที่ปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาโดยในปีต่อๆไปคาดว่าอุตสาหกรรม

เซนเซอร์อัจฉริยะจะยังคงเติบโตและสร้างสรรค์ช่วยสร้างโอกาสในการพัฒนาและการลงทุนในอนาคต รวมถึงช่วยส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่อเร่งการพัฒนาเชิงพาณิชย์สำหรับเทคโนโลยีเซนเซอร์ของไทยให้เป็นหนึ่งที่สำคัญในระบบนิเวศเซนเซอร์อัจฉริยะของโลก

ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. กล่าวว่า งานประชุมวิชาการและนิทรรศการเนคเทค หรือ NECTEC-ACE มีเป้าหมายเพื่อผลักดันเทคโนโลยีและผลงานวิจัยไปสู่การใช้ประโยชน์ได้จริง เพื่อสนับสนุนการพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ โดยมุ่งเน้น 3 เทคโนโลยีหลัก ได้แก่ 1.Intelligent Sensors 2.Networking & Communication และ 3.AI & Big Data อย่างต่อเนื่อง ซึ่ง NECTEC-ACE2024 ในปีนี้นำเสนอเรื่องราวของเทคโนโลยีเซนเซอร์ ที่มีบทบาทสำคัญในยุคดิจิทัลและเป็นพื้นฐานในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัย ขับเคลื่อนให้เกิดนวัตกรรมใหม่ เสริมสร้างศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมทั้งในระดับประเทศและสากล ในฐานะที่เนคเทค สวทช. ได้ก่อตั้ง Thai Microelectronics Center (TMEC) เป็น MEMS Foundry แห่งแรกของไทย ตั้งแต่ปี 2538 เปิดให้บริการพัฒนาอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ MEMS และเซนเซอร์ ในกลุ่ม More Than Moore ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ การสร้างต้นแบบ การทดสอบไปจนถึงการผลิตเชิงพาณิชย์ในปริมาณน้อยถึงปานกลาง ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ ที่ผ่านมา ได้แก่  MEMS Pressure Sensors, Silicon Particle Detector, Si MEMS Microphones, Si MEMS Gyroscopes และ Ion-Sensitive Field-Effect Transistor (ISFET) อีกบทบาทสำคัญของ TMEC คือการเป็นโครงสร้างพื้นฐาน สำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของประเทศและเสริมสร้างกำลังคนเพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้ในอนาคต โดยเนคเทค สวทช. พร้อมนำองค์ความรู้ด้านเซนเซอร์และเซมิคอนดักเตอร์เข้าไปมีส่วนร่วมและเชื่อมโยงในมิติของภาครัฐภาคธุรกิจผู้ประกอบการและนักลงทุนทั่วไปที่จะร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานนวัตกรรมเสริมระบบนิเวศการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมเซนเซอร์อัจฉริยะภายในประเทศให้มีความพร้อมก้าวสู่ตลาดการแข่งขันในระดับสากล

ความพิเศษของการจัดงาน NECTEC-ACE 2024 ในปีนี้ ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 17 ยังคงได้รับการสนับสนุน และความร่วมมือเป็นอย่างดีจากหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐ และภาคเอกชนรวม 26 หน่วยงาน ที่เล็งเห็นประโยชน์ และความสำคัญในการสนับสนุน โดยมีผู้สนใจได้ลงทะเบียนเข้าร่วมงานมาแล้วทั้งสิ้น มากกว่า 1,000 คน ซึ่งปีนี้นำเสนอเรื่องราว ในหลากหลายมิติที่เกี่ยวข้องทางด้านเทคโนโลยีเซนเซอร์ ให้ทุกท่านได้เห็นถึงบทบาทของเซนเซอร์อัจฉริยะที่มีบทบาทสำคัญในยุคดิจิทัล และเป็นพื้นฐานในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัย ขับเคลื่อนให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ผ่านกิจกรรมภายในงาน ทั้งในรูปแบบการจัดสัมมนาวิชาการ และการจัดแสดงนิทรรศการ ที่ทุกท่านจะได้เรียนรู้

เกี่ยวกับสถานภาพปัจจุบัน และศักยภาพของเทคโนโลยีเซนเซอร์อัจฉริยะในประเทศไทย ตั้งแต่งานวิจัยพื้นฐานไปจนถึงการนำไปประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมไปถึงมุมมองด้านนโยบายการส่งเสริมสนับสนุนการวิจัยพัฒนา โอกาส ความท้าทายการลงทุน ทั้งในมิติของภาครัฐ ภาคธุรกิจ และผู้ใช้งาน ที่จะร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานนวัตกรรม เสริมระบบนิเวศ (Ecosystem) การพัฒนาเซนเซอร์อัจฉริยะที่จะนำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีอื่นๆให้เกิดขึ้นภายในประเทศไทยได้อย่างยั่งยืน

กิจกรรมภายในงานเต็มไปด้วยเนื้อหา สาระความรู้ เพื่อนำเสนอต่อผู้ที่สนใจทางด้านเซนเซอร์อัจฉริยะทุกท่านได้เข้ามาใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ ประกอบด้วย

  • 7 หัวข้อสัมมนาวิชาการ ที่ได้รวบรวมวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ จากภาครัฐ และเอกชน กว่า 40 ท่านมาร่วมนำเสนอความรู้ความก้าวหน้างานวิจัยและพัฒนาเซนเซอร์อัจฉริยะครบทุกมิติทั้งแต่ต้นน้ำกลางน้ำปลายน้ำรวมถึงด้านนโยบายการสนับสนุนโอกาสการลงทุนและการเติบโตในอนาคต
  • 50 บูธนิทรรศการ แสดงผลงานวิจัยพัฒนาด้านเซนเซอร์อัจฉริยะ จากเนคเทค สวทช. ที่พร้อมตอบโจทย์การประยุกต์ใช้งานในหลากหลายอุตสาหกรรม และงานวิจัยขั้นสูงสู่อนาคตเทคโนโลยีเซนเซอร์ พร้อมด้วยผลงานจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สมาคม สถาบันการศึกษา ร่วมนำนวัตกรรม บริการ โซลูชัน มาตรการสนับสนุน เพื่อผลักดันการเติบโตของอุตสาหกรรมเซนเซอร์ในประเทศ

โดยภายหลังการจัดงาน ยังเปิดให้ผู้ที่สนใจที่ไม่สามารถมาร่วมงานได้ สามารถติดตามบันทึกการสัมมนาย้อนหลังและข้อมูลนิทรรศการผลงานวิจัย ได้ที่เว็บไซต์ www.nectec.or.th/ace2024 ตั้งแต่ 30 กันยายน 2567 เป็นต้นไป

เผยสเปกใหม่ เชื่อมต่อ Bluetooth 6.0 แม่นยำระดับเซนติเมตร

[ขั้นถัดไป] นอกจาก Wi-Fi แล้ว ก็มี Bluetooth ที่หลายคนนิยมใช้กับอุปกรณ์ไร้สาย และในขั้นถัดไปอย่าง Bluetooth 6.0 เผยจะมาพร้อมระบบความปลอดภัยและมีะความแม่นยำมากขึ้น แม่นยำระดับเซนติเมตร

เผย Bluetooth 6.0 จะมาพร้อมคุณลักษณะใหม่อย่าง Channel Sounding สามารถระบุระยะทางระหว่างอุปกรณ์สองเครื่องด้วย โดยระบุได้แม่นยำระดับเซนติเมตรกันเลย ซึ่งจะช่วยให้จับคู่อุปกรณ์ หรือช่วยติดตามตำแหน่งได้แม่นยำยิ่งขึ้น เช่นใช้ร่วมกับ Find My ของ Apple นั้นเอง

ถัดมาคือระบบความปลอดภัยในการเชื่อมต่อ ที่รอบนี้ออกแบบให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เผยสามารถป้องกันการโจมตีแบบ Man-in-the-Middle (MitM) หรือป้องกันการดักฟังไม่ก็สอดแนมผู้ใช้จากระยะไกลได้นั้นเอง

สำหรับ Bluetooth 6.0 ยังต้องใช้เวลาพัฒนาอีกพักใหญ่ ถึงจะเปิดให้ใช้งานได้ทุกคน และรองรับในหลาย ๆ อุปกรณ์ ส่วนปัจจุบันอยู่ระหว่าง Bluetooth 5.3 ซึ่งยังเหลือขั้นสุดท้ายอย่าง 5.4 ก่อนไปเวอร์ชั่น 6.0 ในอนาคต

ที่มา : Theverge

เปิดโลก IoT รวมเซนเซอร์อัจฉริยะ ฝีมือคนไทย

ทุกวันนี้ IoT หรือ Internet of Things เข้ามาอยู่ใกล้ตัวเรามากขึ้น หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับ Smart Home หรือบ้านอัจฉริยะที่มีเชื่อมต่อด้วยอุปกรณ์เซนเซอร์มากมายที่ช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น แต่จริงๆ แล้ว IoT กำลังถูกพัฒนาเพื่อใช้งานที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการแพทย์ การเกษตรไปจนถึงอุตสาหกรรม

Techhub พาไปอัปเดตเทคโนโลยีเซนเซอร์อัจฉริยะ ผลงานของคนไทย ที่รวมไว้ในงาน NECTEC-ACE 2024 ที่ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) จัดขึ้นรับกับเทรนด์ The Next Era or Thai Intelligent Sensors สนับสนุนการผลักดันนวัตกรรม IoT และการเปลี่ยนผ่านสู่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ตั้งแต่รากฐานของงานวิจัย ไปสู่การประยุกต์ในเชิงการแพทย์ เกษตรและอุตสาหกรรม ที่ให้ความสำคัญกับ 3 เทคโนโลยีหลัก ที่เป็นเป้าหมายในอนาคต อย่าง

  1. Intelligent Sensors
  2. Networking & Communication
  3. AI & Big Data

จะมีอะไรที่น่าสนใจบ้าง ไปดูกันเลย

 

AIS Business จำลองการใช้งาน Solution IoT หลากหลายรูปแบบ ทั้งสมาร์ทฟาร์มใน Indoor และ Outdoor มากับ Embedded Sim หรือ ซิมที่ปลูกฝังลงในตัวอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่มีความทนทาน และพร้อมใช้ เป็นตัวรับส่งสัญญาณ ที่ธุรกิจสามารถเลือกใช้คู่กับโซลูชั่นที่มีได้อย่างไร้กังวล

ระบบหลีกเลี่ยงการชนของรถไฟ ด้วยเทคโนโลยีเรดาร์ย่านความถี่ X-Band และการประมวลผลภาพจากระยะไกล ช่วยค้นหาสิ่งกีดขวาง และแจ้งเตือนไปยังพนักงานขับรถไฟให้รู้ล่วงหน้าได้ เป็นอีกหนึ่งผลงานวิจัยที่ใช้เซนเซอร์ เข้ามาช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับระบบขนส่งสาธารณะ

ผลงานของหน่วยงานให้ทุน บพข. บริษัทเอกชน และการรถไฟแห่งประเทศไทย

HandySense ระบบเกษตรแม่นยำ ฟาร์มอัจฉริยะ ใช้อุปกรณ์ตรวจวัดและควบคุมสภาพแวดล้อมที่เป็นปัจจัยต่อการเจริญเติบโตของพืช โดยอาศัยความสามารถเทคโนโลยีเซนเซอร์และอุปกรณ์ IoT

ผลงานการพัฒนาพื้นผิวรูปแบบใหม่ Metaserfaces ให้สามารถใช้งานได้ตามโจทย์ที่ต้องการ เช่น วัสดุที่มีขนาดเล็กลง สามารถเลือกความยาวของคลื่นสัญญาณเพื่อประยุกต์ใช้งานได้ ตัวอย่างเช่น วัสดุที่ช่วยลดความเลนส์กล้องสมาร์ทโฟนได้

ผลงานวิจัยของทีมวิจัยเทคโนโลยีโฟโทนิกส์ กลุ่มวิจัยอุปกรณ์สเปกโทรสโกปีและเซนเซอร์

ระบบถ่ายภาพรังสี X ด้วยกล้อง DSLR ที่มีความละเอียดมากถึง 80 ไมครอน ใช้ในการวิเคราะห์พืชผลการการเกษตร อุตสาหกรรม รวมถึงแผงวงจร ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาร่วมกับการวิเคราะห์ภาพถ่ายด้วย AI เพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่มากขึ้นในอนาคต

TaraAnt อุปกรณ์รับส่งสัญญาณเทระเฮิร์ต ใช้วิเคราะห์คุณสมบัติของอาหารและยา

TaraBoot แผ่นบูสต์สัญญาณ 5G/6G ออกแบบขึ้นมารองรับความต้องการใช้งาน Wifi Booster ในอนาคต

แขนกล ช่วยตรวจสอบคุณภาพไข่ในฟาร์ม สามารถตรวจสอบปัญหา จุดที่เกิดแรงกระแทก อุณหภูมิ ความชื้น สามารถประยุกต์ใช้กับกระบวนการขนส่ง ไปจนถึงร้านค้าปลีกได้ โดยใช้แพลตฟอร์มเข้ามาช่วย

ผลงานของ Betagro

ตัวอย่างความก้าวหน้าของเซนเซอร์ทางการแพทย์ ที่พัฒนาให้มีขนาดเล็ก และแม่นยำ สามารถเข้าไปฝังอยู่ในร่างกายเพื่อตรวจจับหาสัญญาณความผิดปกติของโรคได้ล่วงหน้า เพื่อวินิจฉัยและรักษาได้อย่างรวดเร็ว เป็นอนาคตของการรักษาโรคที่ใช้เทคโนโลยีเซ็นเซอร์เข้ามาเป็นตัวช่วย

ผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร

แพลตฟอร์มวินิจฉัยโรค ด้วยเครื่องวัดและชิปขยายสัญญาณ ประมวลผลได้ด้วยระบบ AI ช่วยวินิจฉัยและคัดแยกผู้ป่วยได้อย่างแม่นยำ

MagikBot หุ่นยนต์ส่งยาภายในอาคาร ที่ทำงานร่วมกับลิฟต์ไร้สัมผัสได้โดยอัตโนมัติ สื่อสารผ่าน API และ Mobile Device ได้

ตัวอย่างชิปเซมิคอนดักเตอร์ MEMs ผลิตโดย TMEC โรงงานผลิตชิปต้นแบบไปจนถึงพาณิชย์ สามารถพัฒนาให้เหมาะสมกับการใช้งาน พร้อมทดสอบคุณสมบัติทางไฟฟ้า สนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในไทย

แพลตฟอร์ม IoT สำหรับจัดการน้ำ ใช้ตรวจวัดระดับน้ำ ที่ควบคุมได้จากระยะไกล ช่วยลดความเสี่ยงจากปัญหาน้ำท่วม ผลงานของสมาคมไอโอทีแห่งประเทศไทย

ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ 50 บูธนิทรรศการ แสดงผลงานวิจัยพัฒนาด้านเซนเซอร์อัจฉริยะ จากเนคเทค สวทช. ที่พร้อมตอบโจทย์การประยุกต์ใช้งานในหลากหลายอุตสาหกรรม และงานวิจัยขั้นสูงสู่อนาคตเทคโนโลยีเซนเซอร์ พร้อมด้วยผลงานจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สมาคม สถาบันการศึกษา ร่วมนำนวัตกรรม บริการ โซลูชัน มาตรการสนับสนุน เพื่อผลักดันการเติบโตของอุตสาหกรรมเซนเซอร์ในประเทศ

โดยภายหลังการจัดงาน ยังเปิดให้ผู้ที่สนใจที่ไม่สามารถมาร่วมงานได้ สามารถติดตามบันทึกการสัมมนาย้อนหลังและข้อมูลนิทรรศการผลงานวิจัย ได้ที่เว็บไซต์ www.nectec.or.th/ace2024 ตั้งแต่ 30 กันยายน 2567 เป็นต้นไป

ถึงจุดเปลี่ยน ตลาดฮาร์ดแวร์ AI เจอฟองสบู่ หุ้น Nvidia ร่วง สูญ 2.79 แสนล้าน

[ฟองสบู่ AI ?] ในตลาดฮาร์ดแวร์ AI ขั้นสูง ผู้นำของวงการนี้ย่อมไม่พ้น Nvidia ที่นับวันมีแต่ทุบสถิติรายได้อยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่นานมานี้บริษัทกลับเสียมูลค่าการตลาดไปถึง 279,000 ล้านดอลลาร์ฯ ภายในวันเดียว นับเป็นการเสียมูลค่าที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ ของบริษัททั้งหลายในสหรัฐฯ ด้วย

เผยหุ้น Nvidia ร่วงลงมากกว่า 9% เมื่อวันที่ 3 กันยายนที่ผ่านมา สืบเนื่องจากเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เกิดชะลอตัวอย่างหนัก และนักลงทุนเริ่มมองว่า AI ไม่สามารถตอบสนองความต้องการเติบโตเพิ่มเติมได้ เสมือนเป็นฟองสบู่ ส่งผลให้บริษัทเสียมูลค่าการตลาดไปถึง 2.79 แสนล้านดอลลาร์ฯ ทำลายสถิติบริษัทเจ้าของ Facebook อย่าง Meta ที่เคยเสียมูลค่าการตลาดไป 2.32 แสนล้านดอลลาร์ฯ ภายในวันเดียวเช่นกัน

ด้าน Bloomberg รายงานว่า Nvidia ได้รับหมายเรียกจากกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ มาสอบสวนเรื่องการผูกขาดตลาดชิปประมวลผล จนทำให้หุ้นร่วงลงอีก 2.4% ทว่าทาง Nvidia เผยไม่ได้รับหมายเรียกดังกล่าว

การการเติบโตของ Generative AI ได้สร้างความปั่นป่วนให้กับอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ในลักษณะที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน เหมือนสมัยตอนที่โลกมี WWW เป็นครั้งแรก มีหลายบริษัทต่างทุ่มงบมหาศาล เพื่อเข้าถึงเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องและเข้าสู่ตลาด AI นี้ให้ได้ ขณะเดียวกัน Nvidia ได้กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดเป็นอันดับ 3 ของโลก

ทว่าหากมองฝั่งผู้บริโภคส่วนใหญ่ กลับมองในแง่ลบ ทั้งเรื่องการถูกแทนที่ หรือมองเป็นภัยคุกคามไปเลย อีกส่วนคือไม่สนใจ จนทำให้นักลงทุนเริ่มมองว่ามันให้ผลตอบแทนช้าแล้ว ซึ่งมีรายงานน่าสนใจในเดือนกรกฎาคม เผยพบบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ จำเป็นต้องสร้างรายได้ถึง 600,000 ล้านดอลลาร์ฯ ต่อปี เพื่อให้คุ้มกับงบลงทุนด้านฮาร์ดแวร์ AI และยังรวมไปถึงเรื่อง ‘ความยั่งยืน’ ในอนาคต ที่ต้องหาพลังงานมหาศาล มาช่วยให้ AI ประมวลผลได้นั่นเอง

ที่มา : Techspot

จัดเต็ม Apple เปิดตัวไอเท็มใหม่ iPhone 16 พร้อมฟีเจอร์เด็ด น่าโดน

Apple เปิดตัว iPhone 16 Series ยกระดับประสบการณ์ด้วยชิป A18, กล้องสุดล้ำ และ Apple Intelligence ช่วยให้เข้าถึงการใช้ AI แบบส่วนตัว

iPhone 16 และ 16 Plus มาพร้อมชิป A18 ที่ทรงพลัง, หน้าจอ Super Retina XDR ที่สว่างสดใส, และกระจก Ceramic Shield ที่แข็งแกร่งขึ้น ขณะที่ iPhone 16 Pro และ 16 Pro Max ยกระดับการถ่ายภาพและวิดีโอด้วยปุ่ม Camera Control ชิป A18 Pro, กล้อง 3 ตัว, และฟีเจอร์ระดับโปร ทั้งหมดนี้ขับเคลื่อนด้วย iOS 18 และ Apple Intelligence ที่ชาญฉลาดยิ่งขึ้น

เริ่มต้นกันที่ iPhone 16 รุ่นใหม่ทั้ง 4 รุ่น

iPhone 16 และ 16 Plus

iPhone 16

  • มาพร้อมชิปรุ่นใหม่ ชิปประมวลผล A18 ข้ามจาก A16 Bionic ไปสองรุ่น มาพร้อมเทคโนโลยี 3 นาโนเมตร (Gen 2) มี CPU 6-core กับ GPU 5-core และ Neural Engine 16-core
  • A18 มีประสิทธิภาพ CPU เร็วขึ้น 30% แต่ช่วยประหยัดพลังงานมากกว่าเดิม และ GPU ก็เร็วขึ้น 40% ทำให้ช่วยประมวลผล Ray Tracing ได้ดีขึ้น ส่วนชิป Neural Engine เร็วขึ้น 2 เท่า เพื่อประมวลผล AI ของ Apple Intelligence โดยเฉพาะ
  • ชิปดังกล่าว สามารถเล่นเกม Triple A ได้แล้ว โดยเบื้องต้น ก็จะมีเกม Resident Evil 7 Biohazard และ Assassin’s Creed: Mirage
  • Super Retina XDR มีความสว่างสูงสุด 2,000 นิต ทำให้มองเห็นได้ชัดเจนแม้ในแสงแดดจ้า
  • กระจก Ceramic Shield แข็งแรงขึ้น 50% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน ช่วยป้องกันรอยขีดข่วนและการแตกได้ดีขึ้น
  • มาพร้อม iOS 18

ต่อมา พี่ใหญ่ในซีรีย์นี้ iPhone 16 Pro และ 16 Pro Max

  • ชิป A18 Pro มี CPU 6-core และ GPU 6-Core (A18 มี 5-Core) และมีสัญญาณนาฬิกาที่สูงกว่า ทำให้เล่นเกมได้ดีขึ้น มี Neural Engine 16-core โดยรวมชิป CPU เร็วขึ้น 15% กับประหยัดพลังงานมากขึ้น 20% และชิป GPU เร็วขึ้นอีก 20%
  • รองรับ Ray Tracing แบบเร่งด้วยฮาร์ดแวร์ มีคุณสมบัติเพิ่มเติม เช่น การเข้ารหัสและถอดรหัสวิดีโอ ProRes, การแสดงผล ProMotion ที่ปรับอัตรารีเฟรชได้สูงสุด 120Hz

พี่ใหญ่ทั้งสองรุ่น จะเน้นไปที่เรื่องของกล้อง

  • สามารถถ่ายวิดีโอ 4K 120 fps สามารถใช้ slow-motion ที่เลือกระหว่าง 120, 60, 30 และ 24 fps
  • ไมโครโฟนคุณภาพระดับสตูดิโอ โดยมีโหมด Audio Mix ช่วยจัดการบันทึกเสียงได้แบบโปร
  • ปุ่มควบคุมกล้องอัจฉริยะ Camera Control กับกลไลในการกดหลายแบบ เช่น กดค้างหรือถ่ายวิดีโอ หรือแตะแล้วเลื่อนเบา ๆ เพื่อควบคุมการซูมหรือปรับค่าต่าง ๆ
  • กล้องหลัง 3 ตัวเช่นเคย แบ่งเป็นกล้องหลัก 48MP F/1.78+ กล้อง Ultra Wide 48MP F/2.2 + กล้องซูม 12MP Tele 5x F/2.8
  • โหมดถ่ายภาพและวีดีโอใหม่ ปรับสีและเงาแบบ Realtime เพื่อความโปร
  • มาพร้อม iOS 18

ทั้ง 2 รุ่น มาพร้อมปุ่มควบคุมกล้องอัจฉริยะ Camera Control กับกลไลในการกดหลายแบบ เช่น กดค้างหรือถ่ายวิดีโอ หรือแตะแล้วเลื่อนเบา ๆ เพื่อควบคุมการซูมหรือปรับค่าต่าง ๆ ได้แบบไม่ต้องใช้หน้าจอเหมือนเมื่อก่อน

ชิป 3 นาโนเมตร คืออะไร?

iPhone 16

ชิป 3 นาโนเมตร เป็นชิปประมวลผลที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง ซึ่งมีขนาดทรานซิสเตอร์เล็กเพียง 3 นาโนเมตร (nm) เทคโนโลยีนี้ช่วยให้สามารถบรรจุทรานซิสเตอร์ได้มากขึ้นในพื้นที่เดียวกัน ส่งผลให้ชิปมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ประหยัดพลังงานมากขึ้น และมีขนาดเล็กลง และต้องยอมรับว่า Apple เป็นหนึ่งในบริษัทแรกๆ ที่นำเทคโนโลยีนี้มาใช้ในชิปของตนเอง และะคาดว่าจะใช้เทคโนโลยีต่อไปในในอนาคต 3-4 รุ่นครับ

โดยก่อนหน้านี้ Apple ได้เปิดตัวชิปที่ใช้เทคโนโลยี 3 นาโนเมตรที่ใช้ใน iPhone มาแล้ว 1 รุ่นคือ A17 Pro ใช้ใน iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max และครั้งนี้คือ Gen 2 และ Apple ก็ใจป้ำนะ ที่ใช้ชิป A18 มาใน iPhone 16 และ 16 Plus ด้วย

สำหรับ Apple Intelligence คือ แพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์ (AI) ใหม่ล่าสุดที่พัฒนาโดย Apple เปิดตัวในงาน WWDC 2024 เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา รองรับการใช้งานบน iOS 18 หลัก ๆ ก็คือ จะทำให้ Siri ฉลาดขึ้นและเข้าใจคำสั่งของเราได้ดีขึ้นด้วยความสามารถในการประมวลผลภาษา โดยจะเน้นการประมวลผลแบบ On Device เพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้กับผู้ใช้ ดังนั้นชิป A18 จึงมาพร้อมกับชิป Neural Engine ที่ดีที่สุดในปัจจุบัน

ต่อกันที่ Apple Watch Series 10 

  • มาพร้อมชิปรุ่นใหม่ S10 SiP
  • ใช้วัสดุ Titanium Grade 5 เบาขึ้น 10%
  • แบตอยู่ได้นานขึ้น 18 ชั่วโมง
  • มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า Possible Sleep Apnea ตรวจจับภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ รวมถึงตรวจจับความผิดปกติของการหายใจด้วย

สำหรับ Possible Sleep Apnea มีประโยชน์อย่างมากสำหรับคนที่นอนกรน โดยจะใช้เซ็นเซอร์ต่างๆ ในการตรวจจับรูปแบบการหายใจของเรา ขณะนอนหลับ จากนั้นจะประเมินข้อมูลเหล่านี้เพื่อระบุสัญญาณที่บ่งบอกถึงภาวะหยุดหายใจขณะหลับ เช่น การหยุดหายใจเป็นช่วง ๆ หรือการหายใจตื้น และหาก Apple Watch ตรวจพบสัญญาณเหล่านี้บ่อยครั้ง ก็จะแจ้งเตือนให้เรารู้ และเข้ารับการวินิจฉัยจากแพทย์ครับ

สำหรับ ชิป S10 SiP มาพร้อมโปรเซสเซอร์แบบ Dual-core 64 บิต และ Neural Engine แบบ 4-core ซึ่งทำให้ Apple Watch Series 10 ทำงานได้เร็วขึ้น และยังซัพพอร์ตกับฟีเจอร์ใหม่ข้างต้น และรองรับฟีเจอร์ใหม่ ๆ ในอนาคต แน่นอนว่า มันประหยัดพลังงานมากขึ้นด้วย

นอกจากนี้ ยังมีรุ่น Apple Watch ในรุ่น Ultra 2 ที่สเปคโดยรวมไม่ต่างกับ Series 10 มากนัก แต่ได้ หน้าจอที่ใหญ่กว่า ความอึดแบตเตอรี่ที่มากกว่า ซึ่งสามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 36 ชั่วโมง และ ในโหมดประหยัดแบต อยู่ได้นานถึง 72 ชั่วโมงเลยทีเดียว

และแน่นอนว่า ใน Apple Watch Ultra 2 ก็จะพร้อมฟีเจอร์ความปลอดภัยต่าง ๆ ที่เหมาะสำหรับนักเดินป่า หรือคนที่ชอบท่องเที่ยว ทั้ง การตรวจจับการล้ม การตรวจจับการชน ซึ่งจะสามารถติดต่อบริการฉุกเฉินโดยอัตโนมัติ มีระบบ GPS ความถี่คู่ ช่วยเพิ่มความแม่นยำ แอปเข็มทิศจะบันทึกตำแหน่งที่มีสัญญาณโทรศัพท์ ช่วยให้เราหาจุดที่สามารถโทรออกหรือส่งข้อความได้หากจำเป็น มีเสียงไซเรน เป็นเสียงเตือนดังที่มีความถี่สูง ซึ่งสามารถได้ยินได้ในระยะไกล ใช้ได้เมื่อต้องการความช่วยเหลือ

โดยส่วนตัวมองว่า สำหรับ Apple Watch นั้นค่อนข้างว้าวนะครับ ฟีเจอร์อย่างการติดตามการนอนหลับนั้นจำเป็นสำหรับคนที่นอนกรนและมีภาวะหยุดหายใจ ซึ่งบางคนนั้นแทบไม่รู้ตัวเลย อันนี้ชอบมาก แต่สำหรับ iPhone 16 Series ส่วนตัวยังมองว่ายังไม่มีอะไรให้รู้สึกตื่นตาตื่นใจเท่าไหร่ ดีไซน์ยังเหมือนเดิม ไม่ได้ฟีเจอร์อะไรใหม่มากมาย ยังดีที่มี Apple Intelligence เพิ่มเข้ามา นอกจากนั้น ก็เป็นเพียงการเพิ่มความแรงของชิปตามเสต็ปเดิม ๆ ของ Apple ครับ

ราคาจำหน่ายและวันวางขาย
– Apple iPhone 16 รุ่น 128GB เริ่มต้นที่ 29,900 บาท
– Apple iPhone 16 Plus รุ่น 128GB เริ่มต้นที่ 34,900 บาท
– Apple iPhone 16 Pro รุ่น 128GB เริ่มต้นที่ 39,900 บาท
– Apple iPhone 16 Pro Max รุ่น 128GB เริ่มต้นที่ 48,900 บาท
ทั้งหมด สามารถสั่งซื้อล่วงหน้า 13 กันยายน และเริ่มวางจำหน่าย 20 กันยายนนี้

– Apple Watch Series 10 รุ่น GPS ราคา 14,900 บาท
– Apple Watch Series 10 รุ่น GPS + Cellular ราคา 18,900 บาท
– Apple Watch Series 10 รุ่น Titanium + GPS + Cellular ราคา 25,900 บาท
เริ่มจัดส่งในวันที่ 20 กันยายน (ส่วนในไทยเร็ว ๆ นี้)

– Apple Watch Ultra 2 รุ่น GPS + Cellular เปิดราคาเริ่มต้นที่ 29,900 บาท
เริ่มวางจำหน่าย 20 กันยายน

เติมมิติการจัดการความปลอดภัยให้เจเนอเรทีฟ เอไอ

การพัฒนาขีดความสามารถอย่างก้าวกระโดดของเจเนอเรทีฟ เอไอ (Generative AI) ในระดับที่สามารถประมวลผลข้อมูลที่มีอยู่เดิม มาสังเคราะห์เป็นชุดข้อมูลใหม่ในรูปแบบที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นข้อความ ภาพ เสียง วิดีโอ ที่โต้ตอบได้สมจริง ซึ่งถูกนำมาใช้ขับเคลื่อนบริการทางธุรกิจ การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ การพัฒนากลยุทธ์การตลาด และการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าได้มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม

แต่ “เหรียญมักมีสองด้านเสมอ” เมื่อโลกเริ่มตั้งคำถามถึงด้านมืดของเจเนอเรทีฟ เอไอ เช่น Deepfakes ซึ่งเป็นการใช้เทคโนโลยี AI เพื่อสร้างวิดีโอหรือภาพที่ปลอมแปลงบุคคลหรือเหตุการณ์ โดยการสอนเอไอด้วยข้อมูลที่มีอคติหรือผิดพลาด  อาจทำให้ได้ผลลัพธ์ที่บิดเบือนความเป็นจริง และเมื่อนำข้อมูลที่บิดเบือนความจริงไปใช้ อาจจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อชื่อเสียงองค์กรและแบรนด์ และ Hallucination ซึ่งหมายถึงการที่เอไอสร้างข้อมูลหรือคำตอบที่ไม่สอดคล้องกับข้อมูลจริงหรือข้อเท็จจริงที่มีอยู่ การเกิด Hallucination มักเกิดขึ้นเนื่องจากความซับซ้อนในกระบวนการคิดวิเคราะห์ของโมเดลหรืออัลกอริทึม ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ไม่ถูกต้องหรือเชื่อถือได้น้อย

คลี่จุดเสี่ยงเจเนอเรทีฟ เอไอ

ภูมิทัศน์ด้านความปลอดภัยของเจเนอเรทีฟ เอไอกำลังเปลี่ยนไป ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีใหม่ทำให้ความต้องการใช้งานเพิ่มขึ้นจนแซงหน้าการล้อมรั้วป้องกันไปแล้ว อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส            ( Amazon Web Services-AWS) เปิดเผยว่า 71% ของผู้นำไอทีอาวุโสรู้สึกว่า เจเนอเรทีฟ เอไอ กำลังสร้างความเสี่ยงรูปแบบใหม่ และกว่า 51% ของคนทำงานในองค์กรมักไม่รู้เรื่องนโยบายเกี่ยวกับเจเนอเรทีฟ      เอไอ หรือไม่มีนโยบายเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในองค์กรเลย เนื่องจากสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นมาและมีความน่าสนใจหลายๆอย่างทำให้อาจจะก่อให้เกิดความละเลยในด้านความปลอดภัยได้

หากพิจารณาองค์ประกอบของการพัฒนาแอปพลิเคชันในแบบเจเนอเรทีฟ เอไอ ซึ่งมีโมเดลพื้นฐาน (Foundation Models-FM) ที่ได้รับการฝึกฝนด้วยการวิเคราะห์ชุดข้อมูลปริมาณมหาศาล อาทิ ข้อมูลจากการดำเนินงาน ทรัพย์สินทางปัญญา ข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้า หรือข้อมูลอ่อนไหวอื่น ๆ ที่องค์กรมีอยู่ โดยโมเดลพื้นฐานนี้จะทำการวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหลาย เพื่อกำหนดแบบแผนและการเรียนรู้ในการดำเนินการกับเนื้อหาใหม่ที่มีความคล้ายคลึงกัน นำไปสู่การสร้างโมเดลเอไอ (AI Model) หรือแอปพลิเคชันที่เป็นเจเนอเรทีฟ   เอไอ ให้เหมาะกับความต้องการของธุรกิจ ด้วยเหตุนี้ การดูแลความปลอดภัยและการตรวจสอบข้อมูลก่อนป้อนเข้าสู่ระบบจึงมีความสำคัญสูง รวมถึงต้องให้ความใส่ใจในโมเดลเอไอที่ถูกพัฒนาขึ้นมา ให้แสดงผลได้อย่างแม่นยำและเที่ยงตรง

บริษัทที่ปรึกษา PwC ประเมินความเสี่ยงการใช้งานเจเนอเรทีฟ เอไอ ที่องค์กรพึงเข้าใจและวางแผนรับมือออกเป็น 4 ประการด้วยกัน  คือ “ความเสี่ยงเรื่องข้อมูล (Data risks)” ที่เกิดจากความผิดพลาดโดยตัวข้อมูลเอง ทรัพย์สินทางปัญญา หรือข้อมูลที่อยู่ในเงื่อนไขสัญญาหรือข้อตกลง ซึ่งอาจไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ รวมถึงข้อมูลด้อยคุณภาพที่นำมาใช้ฝึกฝนหรือสร้างโมเดลเอไอ จนได้ผลลัพธ์เป็นเนื้อหาที่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด หรือเป็นอันตราย “ความเสี่ยงของโมเดลเอไอที่มีอคติ ( Model and bias risks)” โดยเฉพาะกับการพัฒนาโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large language model-LLMs) ที่อาจเกิดช่องโหว่เรื่องหลักจริยธรรม ความรับผิดชอบ และเกิดการเลือกปฏิบัติ เช่น การโต้ตอบด้วยเนื้อหาที่เป็นลบต่อความรู้สึก (Toxic) หรือใช้ภาษาหยาบคาย “ความเสี่ยงในการป้อนข้อมูลหรือคำสั่ง (Prompt or input risks)” เช่น การป้อนคำสั่งหรือคำถามที่ไม่ชัดเจนให้กับโมเดลเอไอ ทำให้ได้คำตอบที่สร้างความเข้าใจผิด ไม่ถูกต้องเที่ยงตรง และสุดท้าย “ความเสี่ยงโดยผู้ใช้งาน (User risks)” โดยส่วนใหญ่เป็นการสร้างและส่งต่อเนื้อหาที่ให้ข้อมูลผิด ๆ หรือเป็นอันตรายโดยไม่ตั้งใจหรือไม่รู้ตัว เช่น การส่งต่อภาพลวงที่สร้างจากเอไอแต่เข้าใจว่าเป็นภาพจริง

ป้องกันอย่างไร? หากองค์กรอยากใช้เจเนอเรทีฟ เอไอ

อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส แนะแนวทางการใช้งานเจเนอเรทีฟ เอไอ อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยสำหรับธุรกิจ ได้แก่

“การดูแลความปลอดภัยบนคลาวด์” ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการทำงานทั้งเอไอและ       เจเนอเรทีฟ เอไอ เช่น การจัดการตัวตนและการเข้าถึงทรัพยากร (Identity and access management-IAM) การตรวจจับและตอบสนองต่อภัยคุกคาม (Detection and response) การปกป้องโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure protection) การปกป้องข้อมูล (Data protection) และการดูแลความปลอดภัยให้กับแอปพลิเคชัน (App security)

“การปกป้องความเป็นส่วนตัวของข้อมูล” โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลที่ถูกนำมาใช้ฝึกสอนเจเนอเรทีฟ เอไอ อย่างการจัดการเรื่อง IAM ที่มีประสิทธิภาพ จะช่วยควบคุมคนหรือแมชชีนในการเข้าถึงทรัพยากรภายใต้เงื่อนไขที่ถูกต้อง

“การปกป้องเจเนอเรทีฟ เอไอในระดับแอปพลิเคชัน”  ด้านหนึ่งเพื่อเป็นการป้องกันข้อมูล (Input) ที่ป้อนเข้าสู่เจเนอเรทีฟ เอไอ การคัดกรองการเข้าถึงโมเดลพื้นฐานเพื่อป้องกันการเข้ามาปลอมแปลงข้อมูล ป้องกันการส่งคำสั่งให้เจเนอเรทีฟ เอไอ ล้วงข้อมูลหรือโจมตีตัวเอง ตลอดจนเป็นโอกาสในการกำกับดูแลคุณภาพของข้อมูล การศึกษารูปแบบภัยคุกคาม และสร้างการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง ขณะที่อีกด้านหนึ่งถือเป็นการป้องกันผลลัพธ์ (Output) ให้ออกมาอย่างถูกต้อง รวมถึงป้องกันพฤติกรรมการใช้งานแบบผิด ๆ หรือดูซับซ้อนน่าสงสัย จนเกิดผสเสียกับองค์กร

และ “การป้องกันตัวโมเดล” ที่มักโดนยักย้ายถ่ายเทข้อมูลระหว่างทาง การโจมตีองค์ประกอบที่เกี่ยวข้อง ทำให้แสดงผลแบบผิด ๆ ซึ่งทำลายความถูกต้องเที่ยงตรง หรือทำให้โมเดลเอไอไม่มีความพร้อมเมื่อต้องการใช้งาน

ส่วนไอบีเอ็ม กล่าวว่า 96% ของผู้บริหารองค์กรเห็นว่า การใช้เจเนอเรทีฟ เอไออาจทำให้ช่องโหว่ด้านความปลอดภัยเพิ่มขึ้นใน 3-5 ปี ข้างหน้า เพราะถึงแม้รูปแบบของเอไอทำให้องค์กรได้ใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่มีอยู่ แต่มีเดิมพันสูงหากรูปแบบที่นำเข้ามานั้น ไม่ปลอดภัยต่อสภาพแวดล้อมการทำงานและการดำเนินธุรกิจ

ดังนั้น หากองค์กรต้องการลดความเสี่ยงลง นอกจากการดูแลความปลอดภัยของข้อมูลและ       อินฟราสรัคเจอร์โดยพื้นฐานในการสร้างเจเนอเรทีฟ เอไอแล้ว ยังต้องคำนึงถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง อาทิ นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล วิศวกรข้อมูล นักพัฒนา หรือยูสเซอร์ ที่มีบทบาทเกี่ยวข้องกับการพัฒนาโมเดลเอไอ หรือแอปพลิเคชันในแบบเจเนอเรทีฟเอไอ เพื่อสร้างการตระหนักรู้ถึงความปลอดภัยในการเข้าถึงข้อมูล แมชชีนเลิร์นนิง ดีพเลิร์นนิง เช่น ระวังการนำแมชชีนเลิร์นนิงที่เป็นโอเพนซอร์สบนออนไลน์มาใช้โดยไม่คำนึงถึงแหล่งที่มา ทำให้ขาดการควบคุมปลอดภัยอย่างรอบด้าน การอัปโหลดโมเดลขึ้นไปเก็บบนพื้นที่เก็บรวบรวมโมเดลออนไลน์ (Online model repositories) แล้วเกิดติดมัลแวร์ขึ้นมา การโจมตีผ่านช่องทางการเชื่อมต่อระหว่างแอปพลิเคชัน (Application programming interface-API) เพื่อเข้าถึงข้อมูลที่กำลังเคลื่อนย้ายไปมา เช่น ข้อมูลในโมเดลภาษาขนาดใหญ่ หรือการเชื่อมต่อที่มาจากโมเดลเอไอของบุคคลที่สาม ซึ่งองค์กรอาจแก้เกมด้วยการควบคุมการเข้าใช้งานตามบทบาทหน้าที่ (Roles based access control-RBAC) เพื่อไม่ให้ใครก็ได้สามารถเข้าถึงข้อมูลทั้งหมด หรือไม่ให้เข้าถึงฟังก์ชันการทำงานของโมเดลเอไอได้ทุกโมเดล รวมถึงควรการกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยในการใช้งานอุปกรณ์ต่าง ๆ

ที่สำคัญ คือ ธรรมาภิบาลในการสร้างและใช้งานโมเดลเอไอ หรือเจเนอเรทีฟ เอไอบนความรับผิดชอบ โดยเฉพาะการสอดส่องและจัดการรูปแบบการวิเคราะห์ข้อมูล หรืออัลกอริทึมต่าง ๆ ให้มีความเป็นธรรมและปราศจากอคติอยู่เสมอ หมั่นตรวจสอบชุดข้อมูลเก่า-ใหม่และบริบทไหนที่สมควรเอาออกไป เพื่อป้องกันความยุ่งยากซับซ้อน เพราะนับวันการพัฒนาโมเดลเอไอและแอปพลิเคชันที่เป็นเจเนอเรทีฟ    เอไอจะยิ่งมีปริมาณมากขึ้น การนำผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์มาร่วมตรวจสอบความถูกต้องของผลลัพธ์ เพื่อป้องกันไม่ให้เจเนอเรทีฟ เอไอปล่อยเนื้อหาที่เป็นพิษภัย (Toxic) ออกมาเสียเอง ก็มีส่วนช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้เช่นกัน

ปัจจุบัน มีการพัฒนาเครื่องมือเพิ่มความปลอดภัยในการพัฒนาแอปพลิเคชันที่ใช้เจเนอเรทีฟ เอไอ เช่น Guardrails  AI, Guardrails hub และ Validators ในการร่วมตรวจสอบข้อมูลขาเข้าและขาออก เช่น ข้อมูลที่ไม่เป็นกลาง ผลลัพธ์ที่ไม่เกิดประโยชน์ การจัดการกับโมเดลภาษาขนาดใหญ่ที่มีข้อมูลอยู่มากให้อยู่ในรูปแบบที่ชัดเจนและใช้งานง่าย ตัวอย่างเช่น การระบุให้ลบภาษาที่ไม่เหมาะสม วลีที่มีอคติ ถ้อยคำที่

ท็อกซิกออกจากข้อมูลการฝึกเอไอ การควบคุมแชตบอตให้ตอบคำถามเฉพาะในขอบเขตที่ต้องการ นอกจากนี้ ผู้ให้บริการคลาวด์อย่างอะเมซอน ได้พัฒนาบริการด้านความปลอดภัยเพื่อตอบสนองการใช้งานเจเนอเรทีฟ เอไอให้ครอบคลุมมากขึ้น เช่น Amazon Macie ความปลอดภัยด้านข้อมูลที่ใช้แมชชีนเลิร์นนิง ซึ่งช่วยให้องค์กรจำแนกข้อมูลอ่อนไหวและป้องกันเสียก่อนที่จะถูกโจมตี Amazon GuardDuty ในการป้องกันภัยคุกคามที่ค้นพบได้ยาก เช่น การใช้งาน API หรือพฤติกรรมการใช้งานโมเดลภาษา LLMs ที่หวังผลร้าย Amazon Bedrock ที่จะช่วยปรับแต่งโมเดลพื้นฐานให้มีประสิทธิภาพพร้อมใช้งานมากขึ้น หรือ แพลตฟอร์ม IBM® watsonx.governance™ จากไอบีเอ็ม ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยองค์กรในการใช้โมเดลเอไอขนาดใหญ่ให้ได้ผลลัพธ์ที่ปราศจากอคติ ถูกต้องตามความเป็นจริง และสามารถอธิบายได้ เป็นต้น

แม้เอไอและเจเนอเรทีฟ เอไอจะถูกสร้างมาให้มีสติปัญญาเทียบเคียงมนุษย์ที่ให้ทั้งคุณและโทษได้ แต่หากสามารถวางมาตรการความปลอดภัยและการกำกับด้วยธรรมธิบาลที่ดีพอ เครื่องมือเหล่านี้จะกลายเป็นอาวุธสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน

บทความโดย คุณกฤตวร ตังประเสริฐผล  Section Manager – Data Analytic Solution และคุณสมิต บุญทิวาพร  Technical Lead บริษัท ยิบอินซอย จำกัด

 

แหล่งที่มา

  • Amazon Web Services, 2023, “GENERATIVE AI The future of generative AI is secure – with AWS”, http://aws.amazon.com
  • Amazon Web Services, 2024, “Answering your 4 biggest questions about generative AI security” http://aws.amazon.com
  • ETDA, August 09, 2023, “รู้ทัน AI Deepfake เมื่อภาพที่เห็น เสียงที่ได้ยิน อาจไม่ใช่เรื่องจริงเสมอไป”, http://www.etda.or.th
  • PwC, May, 2023, “Managing the risks of generative AI”, http://www.pwc.com
  • Ryan Dougherty, January 25, 2024, “Introducing the IBM Framework for Securing Generative AI”, http://www.ibm.com
  • SCB 10x, April 09, 2024, “รู้จัก Guardrails AI และ Guardrails Hub” ตัวช่วยสร้างแอปพลิเคชัน AI ให้สมบูรณ์กว่าที่เคย, http://www.scb10com
  • Vulture Prime, December 2, 2023, “OpenAI with Guardrail”, http:// www.vultureprime.com

งานประชุมเทคโนโลยีแบตเตอรี่อาเซียน ผลักดันให้เกิดความร่วมมือ และขยายขอบข่ายเพื่อเสริมสร้างอีโคซิสเต็มส์

การประชุมเทคโนโลยีแบตเตอรี่อาเซียน (ABTC) ครั้งที่ 2 พร้อมเสริมสร้างความมุ่งมั่นในการพัฒนาระบบนิเวศการพัฒนาแบตเตอรี่ในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งปีนี้จัดขึ้นโดย กลุ่มความร่วมมือด้านแบตเตอรี่แห่งสิงคโปร์ (Singapore Battery Consortium – SBC) ที่โรงแรมแชงกรี-ลา ราซา เซนโตซ่า ประเทศสิงคโปร์ ในช่วงปลายเดือน สิงหาคม 2567

การประชุมจัดขึ้นร่วมกันโดยพันธมิตรของสมาคมแบตเตอรี่ชั้นนำในภูมิภาค ได้แก่ สมาคมเทคโนโลยีการจัดเก็บพลังงานไทย สถาบันวิจัยแบตเตอรี่แห่งชาติ ศูนย์เทคโนโลยีการขนส่งที่ยั่งยืนแห่งชาติ องค์กรนาโนมาเลเซีย และสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าแห่งฟิลิปปินส์

ดร. พิมพ์พา ลิ้มทองกุล ประธานร่วมของ ABTC และนายกสมาคมเทคโนโลยีการกักเก็บพลังงานไทย กล่าวว่า “ปีนี้พวกเรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นความก้าวหน้าและความสำเร็จนับตั้งแต่ที่สมาคมต่างๆ ได้รวมตัวกันครั้งล่าสุดเมื่อปีที่แล้วที่บาหลี พันธมิตรของเราได้เติบโตขึ้นจาก 3 สมาคมเป็น 6 สมาคมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเราจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อไป การได้เห็นความร่วมมือระหว่างสมาคมแบตเตอรี่ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา ถือเป็นการเฉลิมฉลองถึงสิ่งที่เราก้าวไปข้างหน้าร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมที่เชื่อมโยงถึงกัน และเพื่ออนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในภูมิภาค”

ในวันที่สองของการประชุม ผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 250 รายและสมาคมแบตเตอรี่ชั้นนำ 6 สมาคมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ทั้ง 3 ฉบับ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาแบตเตอรี่ในภูมิภาค ได้แก่

1.Gigafactory Malaysia (GMSB) และ NEU Battery Materials (NEU) ร่วมมือกันในการพัฒนาการรีไซเคิลแบตเตอรี่ลิเธียม

2.Gigafactory Malaysia Sdn Bhd (GMSB) และ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ร่วมมือกันในการผลิตเซลล์ที่พัฒนาโดย GMSB

3.สถาบันแห่งการวิจัยวัสดุและวิศวกรรม (Institute of Materials Research and Engineering (IMRE)), สิงคโปร์ และ INV Corporation วิจัยร่วมกันเพื่อพัฒนาตัวกั้นสำหรับแบตเตอรี่ไฮบริด

ผู้สนับสนุนหลักในการประชุมครั้งนี้ คือ ศูนย์นวัตกรรมฮุนไดมอเตอร์กรุ๊ป (Hyundai Motor Group Innovation Center Singapore (HMGICS)) โดยงานกาล่าดินเนอร์ได้รับการสนับสนุนจาก INV Corporation Pte Ltd.

โดยมีผู้สนับสนุนระดับโกลด์ ได้แก่ Amphenol Communications Solutions, Quantel Pte Ltd, Infineon Technologies Asia Pacific Pte Ltd และ Gotion Singapore Pte Ltd ผู้สนับสนุนระดับเงิน ได้แก่ Concord New Energy Group Limited, Kewell Technology Co.,Ltd., Metrohm Singapore Pte Ltd, TME Systems Pte บจ.

ผู้สนับสนุนเพิ่มเติม ได้แก่ Samsung SDI Southeast Asia Pte. Ltd, Siemens Industry Software Pte Ltd, UL Standards & Engagement และ NEWARE Technology Limited พาร์ทเนอร์ด้านการประชาสัมพันธ์ ได้แก่ EV Association of Singapore, EV Association of Malaysia และ Turn Off Turn On Ventures

งาน ABTC เป็นงานที่จัดขึ้นโดยหมุนเวียนผู้จัดงานไปในแต่ละประเทส  และในปีหน้า 2568 ประเทศไทยโดยสมาคมเทคโนโลยีกักเก็บพลังงานไทยจะเป็นเจ้าภาพในการจัดงานครั้งถัดไป ที่ภูเก็ต ประเทศไทย

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการประชุมของโครงการ สามารถเยี่ยมชมได้ที่เว็บไซต์:

https://reg.eventnook.com/event/ABTC2024/home

รายละเอียดเกี่ยวกับข้อตกลงเอ็มโอยูทั้ง 3 ฉบับ

เอ็มโอยู ฉบับที่ 1 ลงนามระหว่าง Gigafactory Malaysia (GMSB) และ NEU Battery Materials (NEU) ร่วมมือกันในการพัฒนาการรีไซเคิลแบตเตอรี่ลิเธียม

ความร่วมมือจะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาตามมาตรฐานของ “Gigafactory” รวมถึงการผลิตเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ซึ่งผสมผสานวัสดุนาโนสำหรับการใช้งานแบบเคลื่อนที่และแบบอยู่กับที่ โดยความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นความก้าวหน้าของ การลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ครั้งก่อนซึ่งลงนามที่เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ในการประชุมเทคโนโลยีแบตเตอรี่และยานพาหนะไฟฟ้าอาเซียน (ABEVTC) ประจำปี 2566 เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศภายในอาเซียนด้านเทคโนโลยีแบตเตอรี่

NEU ในสิงคโปร์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการรีไซเคิลแบตเตอรี่ LFP จะทำหน้าที่ในการจัดหาวัสดุแบตเตอรี่รีไซเคิล เช่น ลิเธียมคาร์บอเนต และโลหะอื่นๆ เพื่อส่งไปยังศูนย์ Hydrogen-Electric-Vehicle-Battery (HEBATT) ของ GMSB เพื่อทดสอบประสิทธิภาพ GMSB เป็นบริษัทในเครือขององค์กรนาโนมาเลเซีย

ทั้งนี้ ขบวนการทดสอบวัสดุรีไซเคิล จะช่วยสร้างมั่นใจว่าจะมีวัสดุใช้งาน และอยู่ในขบวนการของการสร้างความยั่งยืนภายในระบบนิเวศแบตเตอรี่ของมาเลเซีย ซึ่งจะขยายไปสู่การพัฒนาระบบนิเวศการรีไซเคิลแบตเตอรี่ลิเธียมในประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียน ทั้งนี้ NEU และ GMSB จะทำหน้าที่ในการจัดหาและการพัฒนาวัสดุโดยพิจารณาจากวัสดุแบตเตอรี่ใช้แล้วที่ใช้ในระบบนิเวศแบบครบวงจร

ความร่วมมือดังกล่าว จะเป็นพื้นฐานปูทางไปสู่การสำรวจโครงการพัฒนาร่วมกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรีไซเคิลระหว่างทั้งสองบริษัท

เอ็มโอยู ฉบับที่ 2 ลงนามระหว่าง Gigafactory Malaysia Sdn Bhd (GMSB) และ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ร่วมมือกันในการผลิตเซลล์ที่พัฒนาโดย GMSB

ความร่วมมือกันระหว่าง GMSB และมหาวิทยาลัยขอนแก่น จะก่อให้เกิดประโยชน์จากความเชี่ยวชาญและทรัพยากรร่วมกัน โดยมหาวิทยาลัยขอนแก่นทำหน้าที่เป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่ที่พัฒนาโดย GMSB และความร่วมมือดังกล่าวยังรวมถึงการแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับการทดสอบและการรับรองมาตรฐานแบตเตอรี่ ซึ่งจะนำไปสู่ความก้าวหน้าด้านการผลิตที่ศูนย์ Hydrogen-Electric-Vehicle-Battery  (HEBATT) ของ GMSB ในมาเลเซีย

การลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ในครั้งนี้เป็นส่วนต่อขยายจากข้อตกลงที่ลงนามในการประชุมเทคโนโลยีแบตเตอรี่และรถยนต์ไฟฟ้าอาเซียน (ABEVTC) ปี 2566 ที่บาหลี ซึ่งมีองค์กรสำคัญจากสิงคโปร์ อินโดนีเซีย ไทย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์เข้าร่วม

การลงนามในบันทึกความเข้าใจ ในครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างการพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ภายในอาเซียน เพื่อให้สอดคล้องกับพันธกิจของเครือข่ายแบตเตอรี่อาเซียน

เอ็มโอยู ฉบับที่ 3 ลงนามระหว่าง สถาบันแห่งการวิจัยวัสดุและวิศวกรรม (Institute of Materials Research and Engineering (IMRE)), สิงคโปร์ และ INV Corporation วิจัยร่วมกันเพื่อพัฒนาตัวกั้นสำหรับแบตเตอรี่ไฮบริด

ข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัยจะมีการลงนามระหว่างสถาบันแห่งการวิจัยวัสดุและวิศวกรรม  ในสิงคโปร์และ INV เพื่อพัฒนาตัวกั้นสำหรับแบตเตอรี่ไฮบริดรุ่นต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องท้าทายด้านความปลอดภัยที่แบตเตอรี่แบบชาร์จไฟได้ในปัจจุบันต้องเผชิญ

ความร่วมมือนี้มุ่งหวังที่จะพัฒนาจุดแข็งและสิทธิบัตรเทคโนโลยีแบตเตอรี่โซลิดสเตตที่พัฒนาขึ้นในสิงคโปร์ นอกเหนือจากนี้ INV มีสำนักงานใหญ่ในสิงคโปร์ และเป็นผู้ผลิตฟิล์มแยกแบตเตอรี่รายใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีโรงงานผลิตอยู่ในสวีเดนและมาเลเซีย

เลอโนโว เปิดตัวนวัตกรรมกลุ่มผลิตภัณฑ์ AI PC ที่ออกแบบมาเพื่อเสริมประสิทธิภาพการใช้งานธุรกิจยุค AI ในงาน Lenovo Innovation World 2024

ที่งาน Lenovo Innovate World 2024 เลอโนโว เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ออกแบบขึ้นเพื่อรองรับการทำงานในโลกแห่งอนาคตทั้งในแง่ของประสิทธิภาพการประมวลผล และการใช้งานปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI โดยผลิตภัณฑ์ที่เปิดตัวได้แก่ ThinkPad X1 Carbon Gen 13 Aura Edition แล็ปท็อปดีไซน์พรีเมียมที่มาพร้อมหน่วยประมวลผลรุ่นล่าสุดจาก Intel® Core™ Ultra™, ผลิตภัณฑ์คอนเซ็ปต์ Lenovo Auto Twist AI PC proof of concept, แล็ปท็อป ThinkPad T14s Gen 6 และ ThinkBook 16 Gen 7+ กับหน่วยประมวลผล AMD Ryzen™ AI และแล็ปท็อป ThinkBook 16 Gen 7 พร้อมหน่วยประมวลผล Snapdragon® X Plus

Lenovo Aura Edition

แล็ปท็อป ThinkPad X1 Carbon Gen 13 Aura Edition มีขนาดที่บางและเบากว่า 1 กิโลกรัมตามแบบฉบับของผลิตภัณฑ์ ThinkPad โดยเลอโนโวได้ร่วมกับ Intel ในการพัฒนาคุณสมบัติที่พร้อมใช้งาน AI ทำให้ ThinkPad X1 Carbon Gen 13 Aura Edition เป็นแล็ปท็อปที่มีประสิทธิภาพทรงพลัง แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนาน ตอบโจทย์การทำงานยุคใหม่ผ่านเทคโนโลยีอัจฉริยะและยกระดับประสบการณ์การใช้งานให้เหนือขั้น

ThinkPad X1 Carbon Gen 13 Aura Edition

แล็ปท็อปภายใต้ Lenovo Aura Edition มีด้วยกัน 2 รุ่นได้แก่ ThinkPad X1 Carbon Gen 13 Aura Edition และ Lenovo Yoga Slim 7i โดยมีฟีเจอร์เด่นดังนี้

  • Smart Modes: ที่ปรับการทำงานเครื่องให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างอัจฉริยะทั้งในแง่ของการเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผล การนำความสามารถของ AI มาปรับใช้ในการทำงาน หรือเพื่อความบันเทิงทั่วไป และการทำงานเชิงสร้างสรรค์ ได้แก่
    • Shield ในการดูแลด้านความปลอดภัย
    • Attention ช่วยลดการรบกวนเพื่อให้ผู้ใช้สามารถจดจ่อกับงานที่ทำอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    • Collaboration มาพร้อมคุณสมบัติพิเศษต่าง ๆ เพิ่มประสิทธิภาพให้การประชุมออนไลน์
    • Wellness ช่วยดูแลสุขภาพจิตและกายที่อาจได้รับผลกระทบจากการใช้งานอุปกรณ์ดิจิทัลเป็นเวลานาน
    • การเข้าถึงโหมดพลังงานต่าง ๆ ได้รวดเร็วโดยตรงผ่านแอพพลิเคชัน เพื่อปรับสมดุลระหว่างประสิทธิภาพและการใช้พลังงานของตัวเครื่อง
  • Smart Share: ให้การแชร์ภาพระหว่างมือถือและแล็ปท็อปด้วย AI ทำได้ง่ายขึ้น โดยรองรับทั้งแพลตฟอร์ม IOS และ แอนดรอยด์
  • Smart Care: ผู้ใช้สามารถติดต่อรับความช่วยเหลือจากเลอโนโวผ่านช่องทางออนไลน์และแช็ตบอทแบบเรียลไทม์

ThinkPad X1 Carbon Gen 13 Aura Edition

แล็ปท็อปเพื่อธุรกิจที่พัฒนาร่วมกับ Intel โดยใช้ประสิทธิภาพจากหน่วยประมวลผล Intel Core Ultra รองรับการใช้งาน AI และจัดการพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้การประมวลผลผ่าน NPU, GPU และ CPU โดยมีฟีเจอร์เด่นดังนี้

ThinkPad X1 Carbon Gen 13 Aura Edition

  • เสริมประสิทธิภาพการใช้งาน ด้วยหน่วยประมวลผล Intel Core Ultra, กราฟิกการ์ด Intel Arc™ Xe2 graphics และ NPU ที่ให้การทำงานสูงสุดถึง 45+ TOPS ตัวแทร็คแพดได้รับการออกแบบใหม่ในแบบ Haptic TouchPad ที่มี TrackPoint 3 ปุ่ม กับหน้าจอขนาด 14 นิ้ว ความละเอียดระดับ 8k OLED Dolby Vision display ป้องกันแสงสะท้อน และรีเฟรชเรทสูงสุดถึง 120Hz
  • ขยายประสบการณ์การใช้งาน AI ด้วยปุ่ม Copilot+ PC ที่รองรับฟีเจอร์ PC5 จาก Microsoft
  • แบตเตอรี่ขนาด 57 วัตต์ให้การใช้งานได้ต่อเนื่องกว่า 18 ชั่วโมง
  • Hybrid Work and Mobility ให้ความคล่องตัวด้วยน้ำหนักที่น้อยกว่า 1 กิโลกรัม ซึ่งน้อยกว่าเครื่องรุ่นก่อน ๆ พร้อมเชื่อมต่อด้วย Wi-Fi 7 และตัวเลือก 5G sub-6GHz และพอร์ต USB-A 2 ช่อง, USB-C 2 ช่อง, และ HDMI 1 ช่อง
  • ดีไซน์ที่ให้ความสำคัญกับการสร้างความยั่งยืน โดยแบตเตอรี่ที่ผู้ใช้งานสามารถเปลี่ยนได้ (CRU – customer-replaceable unit) ฝา C Cover จากแม็กนีเซียมรีไซเคิล 90% กล่องบรรจุภัณฑ์ผลิตจากเยื่อไผ่และชานอ้อย ซึ่งปราศจากการใช้พลาสติกถึง 100% นอกจากนี้ตัวเครื่องยังได้รับการการันตีของประสิทธิภาพการจัดการพลังงานตามมาตรฐาน EPEAT Gold และ ENERGY STAR 9.0 

ผลิตภัณฑ์คอนเซ็ปต์ Lenovo Auto Twist AI PC Proof of Concept

เลอโนโวภูมิใจนำเสนอผลิตภัณฑ์ภายใต้แนวคิด Auto Twist AI PC ซึ่งเป็นแล็ปท็อป AI ที่สามารถประมวลผลส่วนบุคคลและปรับการใช้งานผ่านระบบอัตโนมัติอัจฉริยะ นอกจากนี้ยังมีหน้าจอดีไซน์ใหม่ที่ปรับหมุนได้อย่างอิสระให้เข้ากับสถานการณ์ต่าง ๆ ด้วยการระบบอัตโนมัติอย่าง Dual Degree of Freedom ทำให้แล็ปท็อปเป็นอุปกรณ์คู่ใจที่ใช้ทำงานได้อย่างมืออาชีพ

Lenovo Auto Twist AI PC Proof of Concept

พร้อมฟีเจอร์เด่นอื่น ๆ อาทิ

  • AI-Powered Flexibility: ที่คอยมอนิเตอร์การขยับตำแหน่งของผู้ใช้งาน
  • Smart Interaction: รองรับการสั่งงานผ่านทางเสียง
  • Enhanced Security: ฝาครอบอัจฉริยะที่จะปิดหน้าจอเองอัตโนมัติเมื่อไม่มีการใช้งาน
  • Wellness Enhancements: ส่งเสริมท่านั่งการทำงานที่ถูกหลักสรีระศาสตร์ และช่วยลดความตึงเครียด

ThinkPad T14s Gen 6 AMD

ThinkPad T14s Gen 6 AMD

ThinkPad T14s Gen 6 AMD มาพร้อมหน่วยประมวลผล AMD Ryzen AI ที่ให้ประสิทธิภาพการประมวลผลเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าจากสถาปัตยกรรม XDNA 2 architecture ใหม่ล่าสุด

  • เสริมประสบการณ์การใช้งาน ด้วยสถาปัตยกรรมการระบายความร้อนแบบใหม่บริเวณท้ายเครื่องเพื่อรักษาอุณหภูมิให้เย็น และสามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง และเทคโนโลยีฟิล์ม 3M DBEF5 จะช่วยเสริมประสิทธิภาพให้หน้าจอ WUXGA รองรับความสว่างได้สูงสุดถึง 400 nits อีกทั้งช่วยประหยัดพลังงาน ตำแหน่งปุ่ม Ctrl-Fn ที่มีตามมาตรฐาน และ Communication Bar ที่มีกล้องเว็บแคมความละเอียดสูงถึง 5MP จะช่วยตอบโจทย์การใช้งานยิ่งขึ้น
  • การเชื่อมต่อที่รองรับการใช้งาน Wi-Fi 7 และ 5G sub-6GHz รวมถึงพอร์ต USB-A 2 พอร์ต, TBT4 2 พอร์ต, HDMI, และแจ็ค 3.5mm สำหรับระบบเสียง
  • ใช้งาน AI ด้วยโปรเซสเซอร์ Next Generation AMD Ryzen PRO และกราฟิก RDNA 3.5 ใหม่ และหน่วยประมวลผล NPU เพื่อสั่งงานอีกทั้งเสริมพลังการใช้งาน AI และรองรับการใช้งาน Copilot+ จาก Microsoft
  • ทรงพลังและประหยัดพลังงาน ด้วยการรองรับหน่วยความจำสูงสุดถึง 64GB แบบ LPDDR5x dual-channel พร้อมแบตเตอรี่ benchmark ที่ MM25 ให้ใช้งานต่อเนื่องได้นานกว่า 17 ชั่วโมง
  • สัดส่วนหน้าจอและตัวเครื่องแบบ 16:10 ให้มุมมองสูงสุดถึง 88% ตัวแล็ปท็อปมาในสีดำ Deep Black ดีไซน์ภายในที่ถูกปรับให้เหมาะกับการใช้งานมาพร้อมกับความสวยงามที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ตัวเครื่องหนักเพียง 1.3 กิโลกรัม และบางเพียง 16.9 มิลลิเมตร
  • เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยบางชิ้นส่วนของตัวเครื่องผลิตขึ้นจากพลาสติก Post Consumer Content (PCC), ฝาเครื่องทำจากคาร์บอนไฟเบอร์รีไซเคิล 30% และ รีไซเคิลแม็กนีเซียม 90% ที่กรอบคีย์บอร์ด และ 55% ที่ฝาเครื่องด้านล่าง โดยบรรจุภัณฑ์ของ ThinkPad T14s Gen 6 AMD ยังใช้กระดาษที่ผ่านการรับรอง FSC certified paper ซึ่งปราศจากพลาสติกในกล่อง และได้รับรองมาตรฐานการประหยัดพลังงานจาก EPEAT Gold, TCO, และ ENERGY STAR 9.0

ThinkBook 16 Gen 7+

ThinkBook 16 Gen 7+

แล็ปท็อประดับพรีเมียมอย่าง ThinkBook 16 Gen 7+ รองรับการใช้งาน AI เพื่อการทำงานที่เปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ และพลังการสร้างสรรค์ที่เหนือจินตนาการ

  • ประสิทธิภาพ AI ขั้นสูงจากโปรเซสเซอร์ AMD Ryzen AI 9 365 10-คอร์ /20-เธรด ให้ประสิทธิภาพการประมวลผลด้าน AI สูงถึง 50 TOPs พร้อมกราฟิก Radeon ให้ภาพที่ลื่นไหลในทุกการสร้างคอนเทนต์
  • ดีไซน์สวยงามด้วยวัสดุเมทัล พร้อม ForcePad ขนาดใหญ่ กับหน้าจอ 16 นิ้ว ที่ความละเอียดสูง 3.2K ให้การทำงานคล่องตัวยิ่งขึ้น
  • เอนกประสงค์ และปรับแต่งได้ง่ายด้วยพอร์ต input และ output ที่มาพร้อมระบบความปลอดภัย และ Microsoft Pluton’s chip-to-cloud technology ที่จะช่วยปกป้องอัตลักษณ์ และบริการ cryptographic
  • เพิ่มประสิทธิผลให้การทำงานด้วยเครื่องมือ AI ช่วยสร้างคอนเทนต์ ออโตเมชั่นเวิร์กโฟลว์ และรองรับงานที่ซับซ้อน ช่วยลดเวลาการใช้งานของผู้ใช้ให้สามารถโฟกัสกับเนื้องานอื่น ๆ ได้เพิ่มขึ้น
  • พกพาสะดวกด้วยน้ำหนักที่เบา แต่มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ถึง 85Whr ให้การใช้งานเครื่องยาวนานกว่า 17 ชั่วโมง สำหรับการเล่นวีดีโอที่มีความละเอียด 1080p และรองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 7 ที่เร็วและเสถียร
  • ตอบโจทย์การใช้งาน กับดีไซน์คีย์บอร์ดที่รับกับขนาดมือผู้ใช้ กับหน้าจอ 16 นิ้วที่มีสัดส่วน screen-to-body มากถึง 91% และระบบเสียงจากลำโพง Dolby Atmos® เพิ่มประสิทธิภาพและอรรถรสในการใช้งาน

ThinkBook 16 Gen 7

ThinkBook 16 Gen 7 บนหน่วยประมวลผล Snapdragon X Plus 8-Cores

เลอโนโว แนะนำ ThinkBook 16 Gen 7 แล็ปท็อป Copilot+ AI PC สุดล้ำสมัยที่ออกแบบมาเพื่อปฏิวัติการทำงานให้มีประสิทธิภาพ และเป็นตัวช่วยครีเอทความสร้างสรรค์ให้ดียิ่งกว่าที่เคย

  • แล็ปท็อป AI PC ที่ปรับตั้งค่าการใช้งานได้อย่างอิสระด้วยหน่วยประมวลผล Snapdragon X Plus ที่ให้ประสิทธิภาพการประมวลผลของ AI ถึง 45+ TOPs พร้อม NPU เพื่อช่วยเสริมการประมวลผล และเสริมฟีเจอร์ต่าง ๆ ของ AI อย่าง Meeting Assistant ให้การประชุมง่ายดายขึ้น
  • ให้ประสิทธิภาพการทำงานขั้นสูงด้วย AI ที่ช่วยจัดสรรการใช้พลังงานเครื่องให้เหมาะกับแต่ละงานและการประมวลผลภาพ
  • ดีไซน์เครื่องมาพร้อมความทันสมัย และบางเพียง 16 มิลลิเมตร มี TouchPad ขนาดใหญ่ กับหน้าจอขนาด 16 นิ้ว สัดส่วน screen-to-body มากถึง 91.3% เสียงชัดมีมิติด้วยลำโพง Lenovo Pro Sound และระบบเสียง Dolby Atmos
  • ใช้งานได้อย่างยาวนานต่อเนื่องด้วยแบตเตอรี่ขนาด 84 Whr รองรับการใช้งานแอพพลิเคชัน ARM 64 และกลุ่ม X86/X64 พร้อมมาตรฐานความปลอดภัยในระดับองค์กร
  • ปลอดภัยพร้อมใช้งานสำหรับธุรกิจด้วยระบบรักษาความปลอดภัย และฟีเจอร์ในตัวเครื่อง ในระดับที่ลึกกว่าระบบปฏิบัติการ พร้อมเทคโนโลยี Microsoft Pluton’s chip-to-cloud ที่จะช่วยปกป้องอัตลักษณ์และบริการ cryptographic

# # #

เกี่ยวกับเลอโนโว

เลอโนโว ภายใต้บริษัท Lenovo Group Limited (HKSE: 992) (ADR: LNVGY) เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลกที่มีมูลค่าธุรกิจ 57 พันล้านเหรียญสหรัฐ และอยูในรายชื่อบริษัท Fortune Global 500 อันดับที่ 248 เลอโนโวได้มีสาขาให้บริการลูกค้ากว่าล้านคนใน 180 แห่งทั่วโลก โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการสร้างอุปกรณ์อัจฉริยะเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยียุคใหม่ พร้อมวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในการส่งมอบเทคโนโลยีอันชาญฉลาดยิ่งขึ้นสำหรับทุกคน เลอโนโวได้สร้างความสำเร็จในฐานะผู้ผลิตพีซี พร้อม Pocket-to Cloud ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ในพอร์ตโฟลิโอ ได้แก่ อุปกรณ์ทีรองรับและปรับแต่งระบบ AI (พีซี, เวิร์กสเตชัน, สมาร์ทโฟน และ แท็บเล็ต) ระบบโครงสร้างพื้นฐาน (ศูนย์ข้อมูล data center, พื้นที่เก็บข้อมูล, Edge, คอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ประสิทธิภาพสูง) รวมไปถึงซอฟต์แวร์ โซลูชัน และการบริการ เลอโนโวมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมที่เชื่อถือได้และชาญฉลาดยิ่งขึ้นสำหรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตเพื่อสร้างสังคมดิจิทัลที่ครอบคลุม เท่าเทียม และยั่งยืนแก่ผู้ใช้ทุกคนทั่วโลก ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเลอโนโวเพิ่มเติมได้ที่ https://www.lenovo.com และอ่านข่าวสารล่าสุดผ่านทาง StoryHub

แคนนอน จัดซีรีส์โรดโชว์เอาใจน้อง ๆ วัยเรียน “STUDENT BUDDY” ชู Canon PIXMA E Series พรินเตอร์เพื่อนซี้ ใช้คุ้ม พิมพ์สนุก

แคนนอน จัดแคมเปญการตลาดสุดสร้างสรรค์ จัดกิจกรรมระเบิดความสนุกสนานตามสถาบันการศึกษาเน้นกลุ่มเป้าหมายนักเรียน นักศึกษาทั่วกรุงเทพฯ ระหว่างเดือน สิงหาคม – พฤศจิกายน 2567 ผ่านโรดโชว์Student Buddy พรินเตอร์เพื่อนซี้ ใช้คุ้ม พิมพ์สนุก” นำเสนอแคนนอนพรินเตอร์ในกลุ่ม Canon PIXMA E Series ชูจุดเด่นเครื่องพรินเตอร์แบบหมึกตลับประสิทธิภาพสูงราคาประหยัดสำหรับนักเรียนโดยเฉพาะ ตอบโจทย์ทั้งการเรียนและกิจกรรมการพัฒนาทักษะต่าง ๆ ได้อย่างครบครัน ทั้งพิมพ์งาน สแกน และถ่ายเอกสารแบบ All-In-One ในหนึ่งเดียว โดยนอกจากการจัดบูธกิจกรรม เวิร์กช็อปที่น่าสนใจ และเกมสนุก ๆ มากมาย แคนนอนยังร่วมมือกับนักสร้างสรรค์อาร์ตทอยชื่อดัง Babyboy by snm ออกแบบคาแรกเตอร์การ์ตูนเพื่อสะท้อนภาพลักษณ์ของพรินเตอร์แคนนอนที่สดใส เข้าถึงง่าย และเสริมการรับรู้ต่อสินค้าพรินเตอร์แคนนอน รุ่น PIXMA E Series ในฐานะเพื่อนซี้คู่หูวัยเรียนตัวจริง

นางสาวเนตรนรินทร์ จันทร์จรัสสุข ผู้อำนวยการอาวุโส กลุ่มผลิตภัณฑ์คอนซูมเมอร์อิมเมจจิ้งอินฟอร์เมชั่น บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า “แคนนอน เป็นแบรนด์ชั้นนำด้านเทคโนโลยีอิมเมจจิ้งระดับโลก ซึ่งมีผลิตภัณฑ์พรินเตอร์ที่ตอบโจทย์การใช้งานสำหรับลูกค้าทุกประเภท โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์พรินเตอร์ PIXMA E Series ที่เหมาะสมกับการใช้งานของกลุ่มนักเรียนอย่างยิ่ง เพราะมีประสิทธิภาพสูง ราคาประหยัด หาซื้อง่าย และคุ้มค่าทุกการใช้งาน แคนนอนจึงจัดแคมเปญการตลาดเพื่อสร้างการรับรู้ และเข้าถึงกลุ่มนักเรียนมากขึ้น ผ่านกิจกรรม School roadshow ซึ่งแคนนอนเชื่อว่า เมื่อนักเรียน นักศึกษาได้ทดลองใช้ฟีเจอร์ของพรินเตอร์แคนนอน รุ่น PIXMA E Series ที่คุ้มค่า ใช้สะดวก พิมพ์งานได้สวย ราบรื่นไม่สะดุด  แล้วจะต้องถูกใจอย่างแน่นอน”

สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์ PIXMA E Series ที่แคนนอนนำเสนอในกิจกรรมโรดโชว์ “Student Buddy” ครั้งนี้ ได้แก่

  • PIXMA E410 – พรินเตอร์รุ่นเริ่มต้นที่ใช้งานง่าย ตอบโจทย์การเรียน ทั้งการพิมพ์ สแกน และถ่ายเอกสาร ตัวเครื่องขนาดเล็กน้ำหนักเบา ประหยัดพื้นที่ ราคาย่อมเยาเพียง 1,490 บาทเท่านั้น
  • PIXMA E3370 – พรินเตอร์ที่ใช้งานได้ครบครัน ฟังก์ชันพร้อมทั้งพิมพ์ สแกน ถ่ายเอกสาร และสามารถเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi ให้ใช้งานผ่านแอปบนมือถือได้ โดยสามารถพิมพ์ภาพแบบไร้ขอบ 4×6 นิ้ว ราคาสบายกระเป๋าเพียง 2,290 บาท
  • PIXMA E4570 – พรินเตอร์ All-In-One ฟีเจอร์ครบทั้งพิมพ์ สแกน ถ่ายเอกสาร และแฟกซ์ผ่าน Wi-Fi มาพร้อมถาดป้อนกระดาษอัตโนมัติที่ป้อนกระดาษถ่ายสำเนาและสแกนได้สูงสุดถึง 20 แผ่น ทั้งยังสามารถพิมพ์แบบ 2 หน้าได้ด้วย ทั้งหมดนี้ในราคาเพียง 2,690 บาทเท่านั้น

ทั้งนี้กิจกรรมโรดโชว์ “Student Buddy” ของแคนนอน นอกจากแนะนำสินค้าแล้ว ยังให้ความรู้ด้านการใช้งานและการดูแลรักษาพรินเตอร์อย่างถูกวิธี รวมถึงไอเดียการใช้พรินเตอร์เพื่อสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ เช่น การใช้พรินเตอร์สร้างเกมและผลงานศิลปะ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการเรียนรู้และเพิ่มทักษะนอกห้องเรียนของคนรุ่นใหม่ ได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

แคนนอนยังคงมีแผนจัดโครงการที่มีประโยชน์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกิจกรรมที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วม (Engagement) ของลูกค้า เพื่อมอบประโยชน์คืนสู่สังคมและเชื่อมโยงแบรนด์สู่ทุกกลุ่มเป้าหมายได้อย่างครอบคลุมต่อไป หากสถาบันการศึกษาใดที่สนใจต้องการร่วมจัดกิจกรรมดี ๆ กับทางแคนนอน สามารถติดต่อได้ที่บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด ผ่านทุกช่องทาง หรือติดตามข่าวสารและดูรายละเอียดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ได้ที่ http://th.canon

Hot Issue