Home Blog Page 23

HP เปิดตัว AI ช่วยเรื่องการพิมพ์ ตัดโฆษณาออกได้

HP เปิดตัว AI

ในยุคที่ AI มาแรง HP ได้พัฒนา AI Chatbot สำหรับเครื่องพิมพ์ ที่ช่วยให้การสั่งพิมพ์ง่ายขึ้น โดยสามารถจัดเลย์เอาต์เอกสารให้อัตโนมัติ แถมยังช่วยติดตั้งซอฟต์แวร์ของเครื่องพิมพ์ผ่านการคุยกับ chatbot ได้อีกด้วย

HP โฆษณาว่านี่คือ “ประสบการณ์การพิมพ์อัจฉริยะ” และเป็นครั้งแรกของวงการ ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์เด็ดๆ อย่าง Perfect Output ที่ช่วยจัดหน้าเอกสารจากเว็บไซต์ให้พิมพ์ออกมาสวยงาม สามารถตัดโฆษณาและส่วนเกินออกให้เลย รวมถึงช่วยสร้างสเปรดชีทที่พิมพ์ได้โดยไม่ต้องแบ่งตารางหรือกราฟออกหลายหน้า

นอกจากนี้ HP ยังพัฒนา AI สำหรับการสแกนเอกสารด้วย เรียกว่า Scan AI Enhanced ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่ช่วยให้ธุรกิจขนาดกลาง และขนาดเล็ก ทำงานได้ดีขึ้น

อยากลองใช้เหมือนกันนะ ไม่รู้ว่า ระบบจะรองรับกับเครื่องพิมพ์ทุกรุ่นไหม รอดูกัน

ที่มา
techspot

ปลอกคอสุดล้ำ นวัตกรรมสายจูงเสมือนจริง ควบคุมผ่านรีโมทคอนโทรล

ปลอกคอสุดล้ำ

มาถึงขนาดนี้แล้วหรอ

บริษัทที่ชื่อว่า Heel เปิดตัวอุปกรณ์ที่เสมือนคล้ายกับสายจูงสุนัข เพื่อให้เราสามารถควบคุมเจ้าหมาของเรา ให้เดินตามเรา หรือให้อยู่ในพื้นที่ ที่อยู่ไม่ไกลจากเรามากนัก เหมาะกับเวลาที่เราต้องพาน้องหมาไปเดินเที่ยว ไปแคมปิ้ง หรือเดินป่าครับ โดยอุปกรณ์ของ Heel จะประกอบไปด้วย รีโมทคอนโทรล และปลอกคอไว้ใส่น้องหมา

หลักการทำงานของคือ

– สร้างขอบเขตเสมือน เจ้าของสุนัขจะต้องกำหนดระยะห่างของสายจูงเสมือนจริงผ่านรีโมทคอนโทรล ระยะนี้สามารถปรับได้ตั้งแต่ 10 ฟุต ไปจนถึง 750 ฟุต
– ส่งสัญญาณระหว่างปลอกคอและรีโมท ปลอกคอและรีโมทคอนโทรลจะส่งสัญญาณหากันและกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อวัดระยะห่างระหว่างปลอกคอกับรีโมท
– แจ้งเตือนเจ้าของ เมื่อสุนัขเข้าใกล้ขอบเขต ปลอกคอจะส่งเสียงเตือน หรือสั่นเตือน พร้อมกับแจ้งไปยังรีโมทคอนโทรลของเจ้าของเช่นกัน
– แก้ไขพฤติกรรมเมื่อออกนอกขอบเขต หากน้องหมาของเรา ยังคงเดินออกนอกขอบเขต ปลอกคอจะทำการแก้ไขพฤติกรรม โดยการส่งเสียงเตือน สั่น หรือปล่อยกระแสไฟเบา ๆ ซึ่งเจ้าของสามารถเลือกโหมดการแก้ไขพฤติกรรม

จุดเด่นคือ สามารถกำหนดขอบเขตเสมือนจริงที่เคลื่อนที่ไปพร้อมกับเราได้ ตั้งแต่ 10 ฟุต ถึง 750 ฟุต ไม่ต้องใช้ Cellular หรือ GPS ไม่ต้องเสียค่าบริการรายเดือน ใช้ได้กับสุนัข 1-3 ตัว และมีรุ่นกันน้ำที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา

ยอมรับนะว่า ไม่คิดว่าจะมีสิ่งนี้เกิดขึ้นมา มีส่วนช่วยให้สุนัขวิ่งเล่นได้ไกลมากขึ้น แต่ก็มันก็อาจจะไม่ได้เหมาะกับสุนัขทุกตัว และอาจต้องใช้งานกับสุนัขที่มีการฝึกมาแล้วบ้าง เช่น เรียกแล้วกลับมาไงงี้ ไอหูตึงที่บ้านคงใช้ไม่ได้แหละ แต่ก็นับว่า เป็นการพัฒนานวัตกรรมสำหรับคนรักหมาจริง ๆ

ที่มา
active

กระดูกเทียมสั่งตัด ฝีมือคนไทย ใช้ AI และเครื่องพิมพ์ 3 มิติ

ไม่ไกลเกินเอื้อม คนไทยสร้างกระดูกเทียมใช้งานได้จริง หนึ่งในความสำเร็จของ Health Tech Innovation เมื่อการพัฒนานวัตกรรมก้าวข้ามผ่านความท้าทายเรื่องความปลอดภัย จนได้รางวัลการันตีจากต่างประเทศ

Techhub insight พาไปคุยกับผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท เมติคูลี่ จำกัดผศ.ดร.เชษฐา พันธ์เครือบุตรผู้อยู่เบื้องหลังการผลักดันให้เกิดนวัตกรรมฝีมือคนไทยที่ออกแบบให้เข้ากับสรีระของผู้ป่วย เป็นกระดูกเทียมสั่งตัด ที่มีเพียงชิ้นเดียวในโลก


:
จุดเริ่มต้นนวัตกรรม

ก่อนหน้านี้การรักษาผู้ป่วยอุบัติเหตุให้รอดชีวิตด้วยอวัยวะเทียม จำเป็นต้องนำเข้าวัสดุเทียมจากต่างประเทศ ที่เป็นไซส์มาตรฐานของชาวต่างชาติมารักษาผู้ป่วย อย่างแผ่นปิดกระโหลกเทียม ที่ใช้เป็นวัสดุทดแทนให้กับผู้ป่วยที่จำเป็นต้องผ่าเปิดกระโหลกศีรษะ แต่ตอนนี้คนไทยสามารถพัฒนากระดูกเทียมขึ้นเองได้ แถมยังเป็นกระดูกเทียมเฉพาะบุคคล ที่ออกแบบให้เข้ากับสรีระของคนไข้ได้มากที่สุด

ผศ.ดร.เชษฐา เล่าว่า นวัตกรรมกระดูกเทียมเฉพาะบุคคลเกิดขึ้นตั้งแต่ 7 ปีก่อน จากจุดเริ่มต้นของการพัฒนาโลหะไทเทเนี่ยมในรูปแบบผง มาจนถึงการใช้เครื่องพิมพ์ 3 มิติสร้างเป็นกระดูกเทียม ที่แข็งแรงและปลอดภัย

“เริ่มจากเคสแรกคือการผ่าตัดรักษาส่วนของนิ้วหัวแม่มือให้กับผู้ป่วย จากวันนั้นเราก็มีการเอาเทคโนโลยีนี้ไปช่วยอีกหลายๆ ส่วนของร่างกาย โดยเฉพาะ แผ่นปิดกะโหลกเทียม ซึ่งคนไทยเราเองมีความจำเป็นที่จะต้องใช้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุมอเตอร์ไซค์ล้ม หรือว่าเส้นเลือดในสมองแตก คุณหมอมีความจำเป็นต้องผ่าตัดเอากะโหลกเดิมออกและไม่สามารถเอากระโหลกเดิมมาปิดได้” ผศ.ดร.เชษฐา กล่าว

ความสำเร็จของนวัตกรรมเกิดขึ้นจากองค์ความรู้ด้านวิศวกรรมและการทำงานร่วมกับคุณหมอ เพื่อให้มั่นใจว่าสิ่งที่พัฒนาขึ้นมีความปลอดภัยสามารถใช้งานได้จริงแล้วก็ยังสามารถช่วยเหลือผู้ป่วยคนไทยให้ได้รับการรักษาที่ดีขึ้น


: จากต้นแบบสู่การใช้จริง

ขั้นตอนการสร้างกระดูกเทียมเฉพาะบุคคลต้องเกิดขึ้นในระยะเวลาที่สั้นที่สุด นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เกิดนวัตกรรมขึ้นอย่างต่อเนื่อง เทคโนโลยีช่วยให้คุณหมอสามารถสร้างกระดูกเทียมสำหรับผู้ป่วยได้ใน 7 วัน

“ตอนนี้เราสามารถรับข้อมูลภาพถ่าย CT SCAN กระดูกของผู้ป่วย มาเปลี่ยนเป็นกระดูกที่ออกแบบด้วยคอมพิวเตอร์และ AI นำไปผลิต ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อ และส่งมอบให้โรงพยาบาลได้โดยไม่ต้องรอนานกว่า 2 เดือน” ผศ.ดร.เชษฐา กล่าว

จากศาสตร์ด้านวิศวกรรมศาสตร์ รวมกับศาสตร์ทางการแพทย์ การทำงานร่วมกันระหว่างคุณหมอและนักพัฒนานวัตกรรม ทำให้ได้วัสดุเทียมที่มีความปลอดภัยและได้รับการยอมรับ จนได้รับการขึ้นทะเบียนให้อยู่ในสิทธิ์ของการเบิกจ่ายประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือสิทธิ์บัตรทอง ช่วยให้คนไข้เข้าถึงการรักษากระดูกเทียมเฉพาะบุคคล ได้แบบไม่ต้องเสียเงิน

“การที่เราสามารถพัฒนานวัตกรรมเป็นของเราเองได้ จะช่วยลดการนำเข้า และระหว่างทางยังเกิดการพัฒนากระบวนการการผลิตให้แม่นยำ และรวดเร็ว สามารถเข้าถึงการรักษาได้มากขึ้นในอนาคต” ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท เมติคูลี่ กล่าวและย้ำว่า จากจุดเริ่มต้นของนวัตกรรม จนถึงวันนี้กระดูกเทียมสั่งตัดได้ ได้ช่วยคนไทยไปแล้วมากกว่า 1,800 ราย และกำลังขยายไปช่วยคนทั่วโลก

ติดตามเบื้องหลังของ เมติคูลี่ สตาร์ทอัพไทย หนึ่งใน Health Tech Innovation ที่กำลังเป็นที่จับตามอง กับรายการ Techhub Inspire ได้ทาง Social Media ของ Techhub

 

ไทยพาณิชย์ร่วม Databricks พัฒนาแพลตฟอร์มข้อมูลองค์กร ยกระดับบริการลูกค้า

ธนาคารไทยพาณิชย์ หนึ่งในผู้นำด้านดิจิทัลแบงก์กิ้ง ผนึกกำลังDatabricks บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้าน Data และ AI มุ่งยกระดับขีดความสามารถด้าน Data และเทคโนโลยี AI ของทั้งองค์กร ด้วยแพลตฟอร์ม Data Intelligence ของ Databricks

สร้างมาตรฐานใหม่สำหรับดิจิทัลแบงก์ที่ขับเคลื่อนโดย AI ด้วยแพลตฟอร์ม Data Intelligence ของ Databricks

ปัจจุบันธนาคารไทยพาณิชย์มีจำนวนลูกค้า 17 ล้านราย ยอดธุรกรรมกว่า 1.5 พันล้านรายการต่อเดือน ธนาคารจึงต้องสามารถรองรับปริมาณการประมวลผลข้อมูลที่แตะระดับเพตาไบต์ (petabytes) เพื่อที่จะใช้ในการตัดสินใจต่างๆ บนพื้นฐานของข้อมูล โดยยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ด้วยเหตุนี้ ธนาคารจึงเลือกที่จะรวมศูนย์ (Centralize) และควบคุม Data และ AI Asset ทั้งหมดบนแพลตฟอร์ม Databricks Data Intelligence บน Microsoft Azure เพื่อช่วย Personalize และจัดการบริการธนาคาร AI (AI banking services) สำหรับลูกค้าหลายล้านคน ไปพร้อมกับการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับดิจิทัลแบงก์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังของเทคโนโลยี AI โดยแพลตฟอร์ม Data Intelligence จะเป็นรากฐานของแพลตฟอร์มข้อมูลองค์กรแบบครบวงจรของธนาคาร ซึ่งจะสนับสนุนกลยุทธ์ด้านการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัล (Digital Transformation) ขององค์กร รวมถึงการพัฒนาระบบไอทีหลักของธนาคาร (Core Banking) และบริการธนาคาร AI (AI banking services) อีกด้วย

แพลตฟอร์ม Data Intelligence ของ Databricks สร้างขึ้นบนสถาปัตยกรรม Open Lakehouse ที่วางรากฐานแบบครบวงจรสำหรับข้อมูลและการกำกับดูแลทั้งหมด และเมื่อทำงานร่วมกับโมเดล AI จึงนำมาสู่ความเป็นลักษณะเฉพาะอันโดดเด่นขององค์กร

การประยุกต์ใช้ Data ร่วมกับ AI เพื่อสร้างประสบการณ์ดิจิทัลแบงก์เฉพาะบุคคลแบบไร้รอยต่อแก่ลูกค้าหลายล้านราย

การร่วมมือกันระหว่างธนาคารและ Databricks สามารถสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ เช่น:

  • ยกระดับประสบการณ์ลูกค้าแบบ 360 องศาด้วย AI (AI-powered customer 360): แพลตฟอร์ม Data Intelligence ทำให้ธนาคารสามารถเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุมรอบด้าน และช่วยสร้างประสบการณ์ด้านการเงินเฉพาะบุคคลแบบไร้รอยต่อให้แก่ลูกค้าในทุกช่องทางของธนาคาร อาทิ เว็บไซต์ โมบายแบงก์กิ้ง หรือที่สาขาของธนาคาร
  • จัดระดับความน่าเชื่อถือของการอนุมัติสินเชื่อแบบทันทีด้วย AI (AI-powered credit scoring for instant loan approvals): จากเดิมที่การอนุมัติสินเชื่อต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ แต่ปัจจุบันลูกค้าสามารถทำธุรกรรมได้ทันทีเพียงคลิกเดียว เนื่องจากธนาคารสามารถวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ด้วยการใช้ข้อมูล ผนวกกับศักยภาพของ AI ที่มีอยู่เพื่อพิจารณาคุณสมบัติของลูกค้าแทนระบบเดิม ส่งผลให้ธนาคารสามารถอนุมัติสินเชื่อดิจิทัลใหม่ได้อย่างรวดเร็ว และเพิ่มอัตราการอนุมัติได้มากขึ้นถึงสองเท่า

นายอรพงศ์ เทียนเงิน ผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงาน Technology ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า “เรายินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับ Databricks เพื่อสร้างแพลตฟอร์มข้อมูลองค์กรแบบครบวงจรโดยยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง สอดคล้องกับกลยุทธ์ “Digital Bank with Human Touch” ของธนาคาร ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อให้การเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลของทั้งองค์กรประสบความสำเร็จ และสร้างการเติบโตไปพร้อมกับการยกระดับประสบการณ์แบบไร้รอยต่อให้แก่ลูกค้า ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้ ยังครอบคลุมถึงการฝึกอบรมเพื่อยกระดับความรู้ ความสามารถด้าน Data และ AI ให้กับพนักงานของเราอีกด้วย”

ด้าน เซซิลี อึ้ง รองประธานและผู้จัดการทั่วไปของ Databricks (ASEAN และ Greater China) เปิดเผยว่า “เรารู้สึกยินดีและเป็นเกียรติที่ธนาคารไทยพาณิชย์เลือกแพลตฟอร์ม Data Intelligence ของ Databricks สำหรับการสร้างกลยุทธ์ในการทรานส์ฟอร์มและปรับเปลี่ยนองค์กรสู่ระบบดิจิทัลของธนาคาร โดยความร่วมมือครั้งนี้ เราจะร่วมกันสร้างคุณค่าเพื่อตอบสนองความต้องการด้านการธนาคารแก่ลูกค้าของ ธนาคารให้มากยิ่งขึ้นผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์”

ยกระดับทักษะด้าน Data และ AI ของพนักงานธนาคารกว่า 1,800 ราย

ภายใต้กลยุทธ์การเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัล (Digital Transformation) ของธนาคาร Databricks จะเปิดตัว Data and AI Academy ร่วมกับ IT Academy ของธนาคาร เพื่อฝึกอบรมพนักงานกว่า 1,800 คน ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับวิทยาการข้อมูล การวิเคราะห์ และ AI เพื่อเพิ่มทักษะความเชี่ยวชาญในการใช้เทคโนโลยี Data และ AI ให้แก่พนักงาน อันจะนำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพและผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นต่อไป โดยโครงการฝึกอบรมจะเริ่มขึ้นเร็วๆ นี้ และเมื่อพนักงานที่เข้ารับการอบรมจนจบโครงการจะได้รับมอบใบรับรองและประกาศนียบัตรอย่างเป็นทางการจาก Databricks โดยโครงการนี้จะช่วยเพิ่มพูนทักษะความสามารถด้าน Data และ AI ทั่วทั้งองค์กร ควบคู่ไปกับการยกระดับศักยภาพของพนักงาน

เกี่ยวกับ Databricks

Databricks คือผู้ให้บริการด้านข้อมูลและเอไอ (AI) องค์กรกว่า 10,000 แห่งทั่วโลก รวมถึง Block, Comcast, Condé Nast, Rivian, Shell และมากกว่า 60% ของบริษัทที่ได้รับการจัดอันดับใน Fortune 500 ต่างใช้แพลตฟอร์ม Data Intelligence ของ Databricks ในการรวมศูนย์และจัดการข้อมูลเพื่อทำการวิเคราะห์ร่วมกับ AI Databricks มีสำนักงานใหญ่ในซานฟรานซิสโก และมีสำนักงานตั้งอยู่ทั่วโลก Databricks ก่อตั้งขึ้นโดยผู้สร้างและพัฒนา Lakehouse, Apache Spark™, Delta Lake and MLflow ทั้งนี้ หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Databricks สามารถติดตามได้ทั้งทาง LinkedIn, X และ Facebook

เกี่ยวกับ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เป็นธนาคารพาณิชย์ไทยแห่งแรกของประเทศ ให้บริการทางการเงินแบบครบวงจรแก่ลูกค้าทุกประเภท ทั้งที่เป็น บริษัทขนาดใหญ่ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และลูกค้ารายย่อย มีเครือข่ายสาขาและศูนย์บริการที่ครอบคลุมอยู่ทั่วประเทศ ธนาคารไทยพาณิชย์มุ่งมั่นที่จะเป็น “ธนาคารที่น่าชื่นชมที่สุด” หรือ “The Most Admired Bank” ภายใต้กลยุทธ์ “Digital Bank with Human Touch รู้จักลูกค้าผ่านข้อมูล รู้ใจลูกค้าผ่านความรู้สึก” ด้วยพันธกิจสำคัญในการเป็นธนาคารดิจิทัลแบบครบวงจรอันดับหนึ่งด้านการบริหารความมั่งคั่ง พร้อมมอบประสบการณ์การให้บริการที่เชื่อมถึงกันอย่างไร้รอยต่อในทุกช่องทาง โดยการสร้างดุลยภาพในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผู้มีส่วนได้เสียหลักทุกฝ่ายทั้งลูกค้า พนักงาน ผู้ถือหุ้น หน่วยงานกำกับดูแล และสังคม รวมถึงการเป็นผู้นำในการวางรูปแบบการดำเนินธุรกิจการธนาคารของประเทศไทยในอนาคต

ฮุนได โมบิลิตี้ ประเทศไทย ทุ่มงบพันล้านเสริมแกร่งอุตสาหกรรม EV ไทย พร้อมเปิดตัว “IONIQ 5N” สร้างนิยามใหม่ของรถไฟฟ้าสมรรถนะสูง

บริษัท ฮุนได โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศความยิ่งใหญ่และความมุ่งมั่นครั้งสำคัญ ด้วยการเดินหน้าลงทุนมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท เร่งเสริมความแข็งแกร่งและสนับสนุนการเติบโตของอีโคซิสเต็มยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ของประเทศไทย หลังได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เต็มรูปแบบ การลงทุนครั้งนี้มาพร้อมกับการจัดตั้งบริษัท ฮุนได โมบิลิตี้ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งจะมุ่งเน้นการผลิตและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศ พร้อมกันนี้ ฮุนได โมบิลิตี้ ประเทศไทย ยังได้เปิดตัว “IONIQ 5N” รถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูงรุ่นล่าสุด ที่จะสร้างระดับมาตรฐานใหม่ให้แก่วงการยานยนต์ทั้งในด้านพละกำลัง ความเร็ว และเทคโนโลยีการขับขี่ที่เหนือคู่แข่ง

นายเจ กิว จอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮุนได โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ฮุนได โมบิลิตี้ ประเทศไทย มุ่งมั่นสร้างสรรค์อนาคตแห่งการเดินทางที่ยั่งยืน ผ่านการลงทุนเชิงกลยุทธ์และนวัตกรรมมากมาย โดยเรามุ่งเน้นที่การพัฒนาอีโคซิสเต็มยานยนต์ไฟฟ้าที่แข็งแกร่ง เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก การลงทุนด้านการผลิตและโครงสร้างพื้นฐานในประเทศครั้งนี้ ทำให้เราสามารถวางตำแหน่งประเทศไทยให้กลายเป็นผู้เล่นหลัก ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมขับเคลื่อนความก้าวหน้า ยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า และมุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านไปยังอนาคต ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีความยั่งยืนมากขึ้น”

บทบาทของโครงการ EV3.5 ต่อความยั่งยืน

ฮุนไดเป็นผู้นำในด้านโซลูชันเพื่อการเดินทางอัจฉริยะและยั่งยืนมาอย่างยาวนาน ผ่านการเปิดตัวรถยนต์แบรนด์ IONIQ ที่เป็นรุ่นพลังงานไฟฟ้าทั้งหมด กลุ่มผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการออกแบบด้วยวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัลและดูแลสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน ฮุนไดยังตอกย้ำความมุ่งมั่นด้วยการจัดตั้งโครงการ EV3.5 ผ่าน บริษัท ฮุนได โมบิลิตี้ แมนูแฟคเตอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ด้วยเงินลงทุนสูงกว่า 1 พันล้านบาท ด้วยความร่วมมือกับบริษัทพันธมิตรในประเทศไทย โครงการนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม บนเนื้อที่กว่า 28,500 ตารางเมตร โดยมีพื้นที่ใช้สอยอาคาร 17,500 ตารางเมตร ซึ่งมีทั้งส่วนโรงงานประกอบรถยนต์และแบตเตอรี่ กำหนดเริ่มการผลิตในปี 2569 โดยตั้งเป้าผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจำนวน 5,000 คันต่อปี เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าภายในประเทศ 

โรงงานแห่งใหม่นี้จะมีบทบาทสำคัญในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นล่าสุดของฮุนได ซึ่งรวมถึงแบรนด์ IONIQ โดยจะมุ่งเน้นการใช้ส่วนประกอบหลักจากในประเทศ การเสริมสร้างความร่วมมือกับซัพพลายเออร์ไทย การส่งเสริมการจ้างงานในท้องถิ่น และการสนับสนุนห่วงโซ่อุปทานรถยนต์ไฟฟ้าของไทย การลงทุนครั้งนี้จึงสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของฮุนไดต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศในระยะยาว จากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น สำหรับอีโคซิสเต็มของยานยนต์ไฟฟ้าที่เข้มแข็งและมั่นคง 

แบรนด์ IONIQ จุดบรรจบแห่งนวัตกรรมและความยั่งยืน

IONIQ เป็นเสมือนสัญลักษณ์ของอนาคตแห่งการเดินทางที่ผสานเทคโนโลยีขั้นสูง ความยั่งยืน และประสิทธิภาพระดับพรีเมี่ยมในหนึ่งเดียว โดยมียานยนต์ไฮไลต์คือ IONIQ 5 ซึ่งเป็นรถเอสยูวีไฟฟ้าที่คว้ารางวัลระดับโลกมาแล้วมากมาย จากการผสมผสานมรดกทางวัฒนธรรมของฮุนได เข้ากับนวัตกรรมใหม่ได้อย่างยอดเยี่ยม มอบระยะการขับขี่ไกลสูงสุดถึง 481 กิโลเมตร และความสามารถชาร์จไฟเร็วเป็นพิเศษ (10-80% ในเวลาเพียง 18 นาที) พื้นที่ใช้สอยภายในออกแบบให้มีความอเนกประสงค์และความยืดหยุ่นสูง พร้อมฟีเจอร์เพื่อความปลอดภัยอันล้ำสมัย เช่น ระบบจอดรถอัตโนมัติและ Hyundai SmartSense โดย IONIQ 5 มีราคาจำหน่ายในเมืองไทยเริ่มต้นที่ 1,699,000 – 1,829,000 บาท ซึ่งนับว่าคุ้มค่าอย่างมาก สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการเดินทางด้วยรถยนต์ไฟฟ้าระดับไฮเอนด์ 

อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่มาเติมเต็มความต้องการคือ IONIQ 6 รถซีดานที่ทันสมัยและเปี่ยมด้วยสไตล์อันโดดเด่น ภายใต้รูปทรงที่โฉบเฉี่ยวและการตกแต่งห้องโดยสารที่กว้างขวาง มอบระยะทางการขับขี่สูงสุด 545 กิโลเมตร และอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 7.4 วินาที และสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือ ระบบชาร์จ Multi-Charging System 400V และ 800V ซึ่งอยู่ในรถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง ทั้งยังมีระบบขับเคลื่อนล้อหลังซึ่งมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ พร้อมมอบอีกระดับแห่งสมรรถนะและเสถียรภาพของการขับขี่

IONIQ 6 มีราคาเริ่มต้น 1,899,000 บาท พร้อมให้คุณสัมผัสการผสมผสานที่โดดเด่นระหว่างประสิทธิภาพ นวัตกรรม และความยั่งยืน

เผยโฉม IONIQ 5N นิยามใหม่แห่งยนตกรรมสมรรถนะสูง

IONIQ 5N รถยนต์ไฟฟ้าที่มีสมรรถนะสูงสุดของฮุนได ก้าวข้ามขีดจำกัดรถยนต์ไฟฟ้าทั่วไป ด้วยกำลังขับเคลื่อนถึง 601 แรงม้า มอบประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจอย่างไร้คู่แข่ง เสริมการทำงานด้วยโหมด N Grin Boost ซึ่งจะเพิ่มกำลังสูงสุดเป็น 641 แรงม้า มอบอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.4 วินาที โดย IONIQ 5N มีราคาจำหน่าย 3,790,000 บาท ด้วยสมรรถนะการขับขี่อันน่าทึ่ง ผสานกับเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าที่ล้ำหน้าของฮุนได IONIQ 5N จึงเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่ต้องการความตื่นเต้น พละกำลัง และนวัตกรรมล้ำยุค เพื่อมุ่งสู่อนาคตแห่งการเดินทางด้วยยานยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง

ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม IONIQ 5N ได้ที่ IONIQ Lab (TDPK), H-Space วิภาวดี และ H-Studio ที่ The Emsphere

นวัตกรรม E-Pit พร้อมให้บริการแล้ว

ในโอกาสเดียวกันนี้ ฮุนได โมบิลิตี้ ประเทศไทย ยังขอแนะนำ E-Pit สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบ Ultra-fast charging ซึ่งพร้อมให้บริการแล้ววันนี้ที่ IONIQ Lab โดยมาพร้อมกับแรงดันไฟฟ้าสูงสุด 800 โวลต์ / 350 กิโลวัตต์ สามารถชาร์จไฟเพียง 5 นาที ให้ขับขี่ IONIQ 5 ไปได้ไกลอีก 100 กิโลเมตร นวัตกรรมที่ชาร์จ E-Pit แห่งนี้สงวนสิทธิ์การให้บริการสำหรับลูกค้า IONIQ 5, IONIQ 6 และ IONIQ 5N เท่านั้น โดยยังให้บริการฟรีไม่คิดค่าใช้จ่ายจนถึงสิ้นปีนี้อีกด้วย ลูกค้า IONIQ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมของ E-Pit ได้ที่ IONIQ Lab นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังมีแผนขยายจุดให้บริการสถานีชาร์จ E-Pit โดยจะตั้งขึ้นที่ H-Space ในอนาคตอันใกล้

นายวัลลภ เฉลิมวงศาเวช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮุนได โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า
“แบรนด์ IONIQ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของฮุนไดในการนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าที่ล้ำสมัย เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภคชาวไทยได้อย่างครอบคลุม IONIQ 5N จึงเป็นอีกหนึ่งหลักชัยสำคัญบนเส้นทางแห่งความยั่งยืนของเรา ผ่านการผสมผสานที่สมบูรณ์แบบระหว่างสุดยอดประสิทธิภาพ เทคโนโลยีขั้นสูง และความยั่งยืน เป้าหมายของเราคือการเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของเมืองไทย พร้อมด้วยโซลูชันที่เป็นนวัตกรรมใหม่ที่กระตุ้นเร้าแรงบันดาลใจ เสริมสร้างความเชื่อมั่น และร่วมขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงไปสู่อนาคต ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมยิ่งขึ้น” 

“เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ของเรา ฮุนไดขอมอบแพ็กเกจระดับพรีเมียม ด้วยการรับประกันแบตเตอรีไฟฟ้าแรงสูงนาน 8 ปี หรือ 160,000 กม. และการรับประกันคุณภาพรถยนต์นาน 5 ปีหรือ 150,000 กม. เพื่อมอบความมั่นใจในทุกการเดินทาง นอกจากนี้ เรายังเพิ่มความอุ่นใจที่เหนือระดับสำหรับลูกค้า IONIQ ด้วยแพ็คเกจบริการหลังการขายสุดพิเศษ ด้วยบริการฟรีค่าแรงเช็คระยะนาน 10 ปีหรือ 150,000 กม. ฟรีเครื่องชาร์จ Home Charger พร้อมฟรีค่าติดตั้ง พร้อมเครื่องชาร์จพกพากระแสไฟฟ้า AC ความยาวสายไฟ 6 เมตร ซึ่งรับประกันนาน 3 ปี ทั้งยังมีบริการชาร์จไฟ V2L ฟรี 3 ปี เหนือสิ่งอื่นใด ฮุนไดยังบริการส่งมอบยานยนต์ถึงบ้านปีละสองครั้ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นในการสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า นอกจากนี้ ฮุนไดยังมอบบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน ยกรถฟรีไปยังศูนย์บริการฮุนไดหรือสถานีชาร์จที่ใกล้ที่สุด นานสูงสุดเป็นเวลา 5 ปีโดยไม่จำกัดระยะทาง ซึ่งเป็นบริการพิเศษสุดสำหรับลูกค้าฮุนไดเท่านั้น” นายวัลลภ กล่าวสรุป

นอกจากการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ฮุนไดยังประกาศความมุ่งมั่น ขยายโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานไฟฟ้าของประเทศไทย เพื่อให้ผู้บริโภคเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าได้ง่ายและสะดวกสบายยิ่งขึ้น วิสัยทัศน์ของฮุนไดคือการสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมสำหรับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า โดยมีเครือข่ายสถานีชาร์จที่ครอบคลุม พร้อมสนับสนุนหลังการขายชั้นเลิศ และไม่เป็นเพียงแค่การพัฒนานวัตกรรมทางเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ฮุนไดยังลงทุนในโครงการด้านความยั่งยืน ผ่านความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาและชุมชน เพื่อส่งเสริมโครงการสีเขียวและสนับสนุนอนาคตที่ยั่งยืน ด้วยโครงการเหล่านี้ ประเทศไทยจะพร้อมสู่การเป็นศูนย์กลางระดับภูมิภาคของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และรถยนต์ IONIQ ของฮุนไดจะเป็นแนวหน้าของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ พร้อมร่วมเดินทางสู่อนาคตแห่งพลังงานสะอาด เทคโนโลยีอัจฉริยะ และสร้างความยั่งยืนที่มากยิ่งขึ้นร่วมกับทุกคน

ค้นพบประสบการณ์ยานยนต์ IONIQ รุ่นใหม่ล่าสุดจากฮุนได ทั้ง IONIQ 5 และ IONIQ 6 ได้ที่ศูนย์ IONIQ Lab, H Studio ศูนย์การค้าเอ็มสเฟียร์ หรือ IONIQ Agency ในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี (ฮุนได ติวานนท์), จังหวัดสมุทรปราการ (ฮุนได บางปู), จังหวัดปทุมธานี (ฮุนได คลองหลวง), จังหวัดระยอง (ฮุนได ระยอง) ทั้งยังมีแผนขยายเครือข่าย IONIQ Agency ในพื้นที่จังหวัดลพบุรี (กำหนดเปิดในเดือนตุลาคม 2567) วงศ์สว่าง และจังหวัดอุบลราชธานี (กำหนดเปิดในเดือนพฤศจิกายน 2567) เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสยานยนต์ไฟฟ้าที่ล้ำสมัยของฮุนไดได้อย่างสะดวกสบายด้วยตัวเอง ติดตามข่าวสารกิจกรรมได้ที่เฟซบุ๊ก “Hyundai Thailand” หรือศึกษาข้อมูลรถยนต์ฮุนไดทุกรุ่น ได้ที่เว็บไซต์ https://hyundai.com/th   

เปิดตัว Orion แว่น AR สุดล้ำ มาพร้อม Meta AI

[เริ่มจริงจัง] จุดอ่อนของแว่น VR/AR ที่ยังแก้ยากอยู่คือ ‘ขนาด’ ทำให้ไม่สามารถใช้งานต่อเนื่องได้เป็นเวลานาน แต่หากพัฒนาให้มีรูปร่างไม่ต่างจากแว่นตาจริง ๆ ได้นั้น วงการ ‘โลกเสมือน’ อาจก้าวกระโดดกว่าเดิมแน่

Meta เปิดตัว Orion ชูเป็นแว่นตา AR ที่ล้ำหน้าที่สุดเท่าที่เคยมีมา สามารถเชื่อมโยงระหว่าง โลกเสมือน และ โลกกายภาพ เข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว ไม่ถูกจำกัดด้วยจอสมาร์ทโฟนอีกต่อไป

ตัวแว่น Orion จะมาพร้อม Meta AI ซึ่งจะเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสั่งการหรือตอบสนองการใช้งานต่าง ๆ ได้แบบ Realtime เช่น หากผู้ใช้สวมแว่นแล้วกำลังมองไปที่ตู้เย็น ตัวแว่นก็จะมีหน้า UI (แสดงผลแบบ AR ผ่านแว่น) บอกสูตรอาหารต่าง ๆ ตามของที่เหลืออยู่ในตู้เย็นจริง ๆ ได้

หากมีคนส่งข้อความหรือ WhatsApp (ของเราคงเป็น Line) มายังสมาร์ทโฟน ตัวแว่นก็จะขึ้นแจ้งเตือน พร้อมเปิดให้ผู้ใช้สามารถตอบกลับผ่านตัวแว่นได้โดยตรง ไม่ต้องหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาดูเอง

อาจเรียกได้ว่าตัวแว่น Orion เป็นอูปกรณ์ศูนย์กลาง ที่จะทำงานร่วมกับสมาร์ทโฟน และอุปกรณ์อื่น ๆ หรือ Smart Home ร่วมกันได้ การใช้งานก็จะมีอุปกรณ์เสริมเป็น สายรัดข้อมือ และ ชุดควบคุม (คล้ายรีโมททีวี) ที่ช่วยให้ควบคุมตัวแว่นได้มากขึ้น

ท้ายนี้ตัวแว่น Orion ยังอยู่ระหว่างพัฒนา รายละเอียดเชิงเทคนิดต่าง ๆ จึงยังไม่เผยมาก แต่ระหว่างนี้ทาง Meta ได้เปิดตัว Quest 3S แว่น VR อีกรุ่น แต่รอบนี้ชูราคาที่เข้าถึงง่ายเพียง 299 ดอลลาร์ฯ หรือราว ๆ 9 พันบาทเท่านั้น วางจำหน่าย 15 ตุลาคมปีนี้

ที่มา : FacebookNews

ทำได้จริง ใช้ระบบทำความเย็น สร้างภาพ โฮโลแกรม 3 มิติ

โฮโลแกรม 3 มิติ

ถึงแม้ว่าภาพโ ฮโลแกรมแบบ 3 มิติของจริง ยังคงเป็นความฝันที่ต้องรอให้เทคโนโลยีล้ำสมัยมาทำให้มันเกิดขึ้น แต่ตอนนี้ หลายบริษัทก็พยายามใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ เพื่อสร้างเอฟเฟกต์ที่ใกล้เคียงที่สุด

หนึ่งในนั้นคือ Panasonic ซึ่งได้นำเทคโนโลยีจากระบบทำความเย็นกลางแจ้งมาประยุกต์ใช้สร้างจอภาพ 3 มิติที่ให้เราสามารถเดินทะลุผ่านได้

เทคโนโลยีนี้เรียกว่า “Silky Fine Mist” เดิมทีถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อสร้างไอน้ำสำหรับคลายร้อน แต่สามารถใช้เป็นอุปกรณ์สร้าง โฮโลแกรม 3 มิติ ได้ ระบบดังกล่าว ใช้หัวฉีดแรงดันสูงเพื่อพ่นละอองน้ำขนาดเล็กจิ๋วเพียง 6 ไมครอน ซึ่งมันเล็กกว่าละอองหมอกในธรรมชาติมาก ละอองน้ำเหล่านี้จะระเหยไปอย่างรวดเร็วเมื่ออยู่ในอากาศ พร้อมกับดูดซับความร้อนไปด้วย

เมื่อรวมละอองน้ำถูกฉีดออกไป มันจะสร้างให้ตัวเองให้เป็นพื้นที่ว่าง ๆ ที่สามารถใช้โปรเจคเตอร์ฉายภาพลงไปได้ ทำให้ Panasonic สามารถสร้างภาพ 3 มิติที่ดูเหมือนลอยอยู่ในอากาศได้ ทำให้เราสามารถเดินทะลุผ่านภาพ 3 มิติได้เหมือนในหนัง หากยังไม่เห็นภาพ ลองดูในวีดีโอกันได้ครับ

Panasonic เริ่มทดลองไอเดียนี้กับงานศิลปะและงานแสดงแบรนด์ต่างๆ ตั้งแต่ปี 2018 และได้นำโปรเจคเตอร์ละอองน้ำไปจัดแสดงในงานต่างๆ สร้างความตื่นตาตื่นใจให้ผู้ชมด้วยภาพปลา 3 มิติว่ายน้ำ ลูกโลกที่ลอยได้ และแน่นอน โลโก้บริษัทคือสิ่งที่ขาดไม่ได้

ถึงแม้ว่าการสาธิตจะดูน่าทึ่ง แต่ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่บ้าง ตัวเครื่องพ่นละอองน้ำนั้นมีขนาดใหญ่พอสมควร โดยรุ่นที่เล็กที่สุดมีน้ำหนักเกือบ 200 กิโลกรัมและใช้พลังงานมากกว่า 2,000 วัตต์ แต่ในทางกลับกัน มันก็คงไม่มีจอภาพไหนที่ทำหน้าที่เป็นเครื่องปรับอากาศได้ด้วย (เอออ อันนี้ดีแฮะ)

ต้องยอมรับว่า ตอนนี้เทคโนโลยีดังกล่าว คือสิ่งที่ใกล้เคียงกับภาพ 3 มิติในชีวิตจริงมากที่สุด โดยไม่ต้องพึ่ง ก้านจอภาพแบบหมุนหรือลูกเล่นแบบกระจก ซึ่งมันเป็นภาพ 3 มิติจริง ๆ ที่เราสามารถเดินผ่านได้

ที่มา
techspot

แอบขโมยข้อมูล ใช้ช่องโหว่ ChatGPT สร้างความทรงจำปลอม

เมื่อไม่นานมานี้ นักวิจัยด้านความปลอดภัยชื่อ Johann Rehberger ได้รายงานถึงช่องโหว่ใน ChatGPT ที่ทำให้ผู้โจมตีสามารถจัดเก็บข้อมูลเท็จและคำสั่งอันตรายไว้ในส่วนการตั้งค่าความทรงจำระยะยาวของผู้ใช้ได้

วิธีการดังกล่าวคือ การฉีด Prompt ทางอ้อมลงไปในฟีเจอร์ “ความทรงจำระยะยาวของ AI” ลองนึกภาพว่า ChatGPT เป็นเหมือนเพื่อนที่คุยด้วยได้ แต่เพื่อนคนนี้มีความจำเป็นเลิศ เขาจำทุกอย่างที่เราเคยคุยกันได้หมด ปัญหาคือ มีคนแอบเอาข้อมูลเท็จมาใส่ในความทรงจำของเพื่อนเรา ทำให้เขาเข้าใจเราผิดไปหมด นี่แหละคือ “การฉีด Prompt ทางอ้อม”

โดยปกติ ChatGPT จะเรียนรู้และจดจำจากบทสนทนาของเรา แต่มันก็มีช่องโหว่ที่ทำให้คนไม่หวังดีสามารถ “ฉีด” ข้อมูลปลอมเข้าไปในความทรงจำของมันได้ เหมือนกับการแอบเขียนโน้ตใส่สมุดเพื่อนโดยที่เขาไม่รู้ตัว ข้อมูลปลอมเหล่านี้อาจมาจากอีเมล เว็บไซต์ หรือแม้แต่รูปภาพที่เราเปิดดู

เมื่อ ChatGPT ถูก “ฉีด” ข้อมูลปลอม มันก็จะเชื่อว่าข้อมูลเหล่านั้นเป็นเรื่องจริง และจะตอบคำถามหรือทำตามคำสั่งของเราโดยอ้างอิงจากข้อมูลที่ผิด ๆ นั้น ยกตัวอย่างเช่น แฮกเกอร์อาจหลอก ChatGPT ให้เชื่อว่าเราอายุ 100 ปี ทั้งที่จริงๆ แล้วเราอายุแค่ 20 ปี

สิ่งที่อันตรายกว่านั้นคือ แฮกเกอร์สามารถใช้ช่องโหว่นี้เพื่อขโมยข้อมูลของเราได้ พวกเขาอาจหลอกให้ ChatGPT ส่งข้อมูลการสนทนา หรือข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ ของเราไปให้โดยที่เราไม่รู้ตัว นอกจากนี้ ยังอาจถูกใช้ในการโจมตีแบบ Phishing ซึ่งแฮกเกอร์ อาจใช้การฉีด Prompt ทางอ้อมเพื่อสร้างข้อความหลอกลวงที่ดูเหมือนมาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ หลอกล่อให้ผู้ใช้เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวหรือคลิกลิงก์ที่เป็นอันตรายได้เช่นกัน

สำหรับฟีเจอร์ดังกล่าวที่เป็นปัญหาคือ ความทรงจำระยะยาวในการสนทนา ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ OpenAI เริ่มทดสอบในเดือนกุมภาพันธ์ และเปิดให้ใช้งานอย่างกว้างขวางมากขึ้นในเดือนกันยายน โดย ChatGPT จะเก็บข้อมูลจากการสนทนาก่อนหน้า และนำมาใช้เป็นบริบทในการสนทนาในอนาคตทั้งหมด วิธีนี้ทำให้ LLM สามารถรับรู้รายละเอียด เช่น อายุ เพศ ความเชื่อทางปรัชญา และข้อมูลอื่นๆ ของผู้ใช้ เพื่อไม่ให้ต้องป้อนข้อมูลเหล่านี้ซ้ำในการสนทนาแต่ละครั้ง

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ OpenAI ได้ทำการออกแพทซ์ป้องกันการดึงข้อมูล โดยมีการแก้ไขเพื่อป้องกันไม่ให้ความทรงจำถูกใช้เป็นช่องทางในการดึงข้อมูลของผู้ใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตออกมาแล้ว รอดูกันต่อไปว่า จะมีปัญหาอะไรตามมาในอนาคตอีกไหม…

ที่มา
arstechnica

ใครก็เรียนได้ คอร์สออนไลน์สุดฮิต Data Analytics ขั้นพื้นฐาน

มาแล้วคอร์สเรียน Data Analytics ระดับพื้นฐาน ที่ใคร ๆ ก็เรียนได้ พื้นฐานในการวิเคราะห์ข้อมูล เรียนได้ฟรีไม่มีวันหมดอายุ

ในการทำ Data Cleaning เรียนรู้ฟังก์ชันต่าง ๆ ผ่านการสาธิตการใช้งานเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องในเบื้องต้น เช่น Microsoft Excel และ Power BI

ลงทะเบียนแล้วเริ่มเรียนได้ที่เว็บไซต์ mux.mahidol
⭐ การวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น (15 ชั่วโมง)
ทางไปเรียน >> mux.mahidol

เนื้อหาที่น่าสนใจ
– รู้จักการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น
– เครื่องมือในการจัดการข้อมูล
– การสร้าง Formulas และการใช้ Functions
– การใช้ Chart ในการนำเสนอข้อมูล
– การใช้ Excel Table, Pivot Table, และ Pivot Chart
– การวิเคราะห์ข้อมูลด้วย Power BI

เมื่อผ่านการวัดผลทั้งหมด และได้ผลการประเมินเกิน 50% ผู้เรียนได้รับประกาศนียบัตรอิเล็คทรอนิกส์

นอกจากเนื้อหาที่แนะนำไปแล้ว ยังมีคอร์สเรียนอีกมากมายให้ได้อัปสกิลกันที่ จิ้มลิ้งก์เลย >> techhub productivity

#PowerBI #DataAnalytics #TechhubUpdate

ทนกว่าเดิม สร้างซีเมนต์แบบใหม่ เลียนแบบโครงกระดูก

วิศวกรจากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตันในสหรัฐ สร้างซีเมนต์ด้วยการเลียนแบบโครงสร้างของกระดูกมนุษย์

โดยใช้ท่อของหุ่นยนต์เพื่อควบคุมลดการแพร่กระจายของรอยแตกร้าว ช่วยเพิ่มความทนทานต่อความเสียหายมากกว่าวัสดุแบบดั้งเดิมถึง 5.6 เท่า โดยไม่ต้องเพิ่มวัสดุอื่น ๆ ให้ยุ่งยาก

วิศวกรได้รับแรงบันดาลใจจากกระดูก cortex ของมนุษย์ซึ่งเป็นโครงสร้างที่แข็งแกร่ง ทำให้ทนทานต่อการแตกร้าวและป้องกันการพังทลายกะทันหันได้ดีกว่าซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ในปัจจุบัน พร้อมขึ้นโครงทรงกระบอกและรูปวงรี เสริมความแข็งแกร่งด้วยการวางแบบขั้นบันได

หุ่นยนต์ที่มารับหน้าที่ต่อจะมีระบบประมวลผลอย่างละเอียด มีการวัดขนาดอย่างแม่นยำ เพื่อให้การทำงานนั้นง่ายขึ้น

ผลงานวิจัยได้ถูกตีพิมพ์เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2024 ใน Advanced Materials และได้รับมาจากรางวัล CAREER Award มีเงินทุนสำหรับพัฒนานวัตกรรมนี้ต่อไป

เมื่อวิจัยฉบับสมบูรณ์ซีเมนต์ขึ้นโครงแบบกระดูกจะถูกนำไปใช้งานจริงสำหรับการสร้างตึกในอนาคต

 

ที่มา : scitechdaily

#TechhubUpdate

 

Hot Issue