Home Blog Page 21

รู้จัก ยิปอินซอย บริษัทเทครายใหญ่ เข้าซื้อกิจการ Robinhood

ยิปอินซอย

หลายคนน่าจะพอเห็นข่าว SCB ปิดดีลขายธุรกิจ Robinhood ให้กับกลุ่มธุรกิจหนึ่ง นำโดยบริษัทที่ชื่อยิปอินซอย ซึ่งเชื่อว่าบางคน อาจจะไม่คุ้นกับชื่อบริษัทนี้ หรืออาจคิดว่าเป็นบริษัทน้องใหม่หรือเปล่า แต่จริง ๆ แล้ว บริษัทนี้อยู่คู่กับคนไทยมานานกว่า 100 ปีครับ

บริษัทก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2469 หรือในสมัยรัชกาลที่ 7 เดิมที ยิบอินซอย เริ่มต้นจากธุรกิจเหมืองแร่ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมสำคัญในยุคนั้น ก่อนจะขยับขยายสู่ธุรกิจอื่น ๆ ตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไป

ปัจจุบัน ยิบอินซอย ได้ปรับเปลี่ยนบทบาทสู่การเป็นบริษัทโฮลดิ้งส์ ที่มีพอร์ตการลงทุนหลากหลาย โดยเน้นหนักไปที่ธุรกิจเทคโนโลยี

และหนึ่งในดีลที่สร้างความฮือฮา คือแผนการเข้าซื้อกิจการ Robinhood แพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรีชื่อดังจาก SCBX  นอกจากนี้ ยังได้ลงทุนธุรกิจพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งเป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรงทั่วโลก มีแผนที่จะขยายการลงทุนในด้านนี้มากขึ้นในอนาคต

การปรับตัวของ ยิบอินซอย จากธุรกิจดั้งเดิมสู่ธุรกิจเทคโนโลยี ถือเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจสำหรับองค์กรไทยหลายแห่งที่กำลังเผชิญกับความท้าทายในการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล

การเข้าซื้อกิจการ Robinhood โดย ยิบอินซอย ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะได้ขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดที่มีศักยภาพสูง ขณะที่ Robinhood จะได้รับการสนับสนุนและทรัพยากรเพื่อการเติบโตต่อไปในระยะยาวมากขึ้น

แม้จะมีการวิเคราะห์ว่า ธุรกิจฟู้ดเดลิเวอรีจะกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ก็มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากมีคู่แข่งจำนวนมากที่ล้วนเป็นบริษัทใหญ่ ๆ  ต้องรอดูว่า เทคโนโลยีที่ยิปอินซอยมีอยู่นั้น จะเข้ามาข่วยเสริมศักยภาพของ Robinhood ได้อย่างไร หรือผู้บริโภค จะได้รับบริการใหม่ ๆ มากขึ้นขนาดไหนครับ

BBC จัดให้ คลังเสียง 3 หมื่นรายการ เปิดให้ดาวน์โหลดใช้งานฟรี

สำหรับใครที่ต้องการเสียงประกอบต่าง ๆ ไว้ใช้ สามารถดาวน์โหลดได้ฟรี จากคลังเสียงประกอบของ BBC มีทั้งไฟล์ WAV และ MP3 รวมกว่า 33,000 เสียง

เสียงใน Effect ทั้งหมด มีตั้งแต่ที่บันทึกไว้ตั้งแต่อัดในสตูดิโอเฉพาะของ BBC และเสียงที่บันทึกจากภาคสนามทั่วโลก

เราสามารถค้นหาเสียงที่ต้องการได้ตามสถานที่บันทึก ระยะเวลา หรือหมวดหมู่ เช่น เสียงฝีเท้า เสียงเครื่องจักร เสียงเหตุการณ์ เสียงสัตว์ บรรยากาศ เสียงตลก ชีวิตประจำวัน เสียงเครื่องบิน เสียงไฟ และอื่น ๆ อีกเพียบเลย

นอกจากนี้ ยังมีเสียงที่ไม่คาดคิดว่าจะมี ตั้งแต่เสียงกวางเรนเดียร์ร้อง เสียงอูฐ ไปจนถึงเสียงฝูงชนในงาน FA Cup Final ปี 1989 แต่เสียงเหล่านี้เผยแพร่ภายใต้สัญญาอนุญาต RemArc ซึ่งหมายความว่าใช้ได้เฉพาะเพื่อการวิจัย การศึกษา หรือโครงการส่วนบุคคลเท่านั้น ห้ามนำไปใช้ในเพลงที่จะขาย แต่ถ้าอยากใช้เพื่อการค้า ก็สามารถซื้อเสียงนั้นได้ครับ

BBC ใช้เสียงประกอบในรายการวิทยุมาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 ก่อนจะสร้างเสียงแบบดิจิทัลได้ วิศวกรเสียงต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์เพื่อให้ได้เสียงที่ต้องการ เช่น ใช้ฝักบัวแทนเสียงฝน ใช้ตัดฟิล์มแทนเสียงตัดหญ้า หรือใช้แทงก์น้ำขนาดเล็กและเสียงไซเรนแทนเสียงเรือกล

เราสามารถเข้าไปดูคลังเสียงทั้งหมดของ BBC ได้ตามลิงก์นี้เลย > https://sound-effects.bbcrewind.co.uk/search?resultSize=30

ก่อนใคร Vivo ปล่อย Android 15 แซงหน้า Google และ Samsung

Android 15

โดยปกติแล้ว เวลามี Android เวอร์ชันใหม่ Google มักจะเป็นบริษัทแรกที่ปล่อยอัปเดตให้กับผู้ใช้งาน ตามด้วย Samsung และ OnePlus แต่ในปีนี้ Vivo แบรนด์สมาร์ทโฟนจากจีนได้แซงหน้า Google และกลายเป็นแบรนด์แรกที่ปล่อย Android 15 ออกมา

โดย Vivo X Fold 3 Pro และในซีรีส์ Vivo X100 ได้รับการอัปเดต Android 15 ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่เสถียร ทำให้พวกมันเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่ได้รับการอัปเดตอย่างเป็นทางการ การปล่อยอัปเดตนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากที่ Google เปิดตัว Android 15 AOSP ซึ่งเป็นการเปิดทางให้ผู้ผลิต Android ทุกรายสามารถปล่อยซอฟต์แวร์ล่าสุดไปยังอุปกรณ์ของตนได้

AOSP หรือ Android Open Source Project เป็นรากฐานสำหรับ Android skin ที่ให้ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนสามารถนำระบบ Android ไปปรับแต่งในแบบของตนเองได้ เช่น One UI ของ Samsung และ OxygenOS ของ OnePlus เรียกง่าย ๆ ว่า เป็นเสมือนชุดแต่งของระบบนั่นเอง

แต่แม้ว่า Vivo จะเป็นรายแรกที่ปล่อยอัปเดต Android 15 แต่ผู้ใช้ Pixel และ Galaxy ไม่ต้องกังวลนะ เพราะ Google ยืนยันแล้วว่าซีรีส์ Pixel 9 และอุปกรณ์ Pixel อื่น ๆ ที่มีสิทธิ์จะได้รับการอัปเดต Android 15 ในเดือนตุลาคมนี้ ในขณะที่ Samsung คาดว่าจะปล่อยอัปเดตให้กับสมาร์ทโฟนระดับพรีเมียมรุ่นล่าสุดอย่างน้อยบางรุ่นก่อนสิ้นปีนี้

ทำไม Android 15 ถึงเป็นเวอร์ชันที่เสถียร? นั่นเพราะ Android 15 ได้ผ่านขั้นตอนการพัฒนาและทดสอบอย่างเข้มข้นมากกว่าเดิม ทำให้มีความพร้อมสำหรับการใช้งานจริงบนอุปกรณ์ต่าง ๆ มากกว่ารุ่นก่อน ซึ่ง Google ค่อนข้างจะมั่นใจในระบบใหม่นี้อย่างมากครับ

ที่มา
https://www.techspot.com/news/104928-Android 15 .html

เป๊ปซี่โคประกาศผล Alterno เป็นผู้ชนะโครงการ Greenhouse Accelerator ประจำปี 2567 มุ่งส่งเสริมสตาร์ตอัพพัฒนานวัตกรรมที่ยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

เป็ปซี่โคประกาศผลผู้ชนะเลิศการแข่งขันในโครงการ Greenhouse Accelerator (GHAC) ปี 2567 ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องของบริษัทในการส่งเสริมความยั่งยืนและนวัตกรรมที่ทันสมัย โครงการ Greenhouse Accelerator ยังสอดคล้องกับกลยุทธ์ pep+ ของเป็ปซี่โค ในการสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับโลกและส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งบริษัทสตาร์ตอัพที่เข้าร่วมการแข่งขันจะต้องสามารถนำเสนอโซลูชั่นที่มุ่งเน้นด้านการลดขยะ ความมั่นคงทางอาหาร และด้านสภาพภูมิอากาศ เพื่อสร้างระบบอาหารที่ยั่งยืนต่อทั้งผู้คนและโลก

สำหรับโครงการ Greenhouse Accelerator ในปีนี้ มีผู้เข้ารอบชิงชนะเลิศทั้งหมด 10 ราย จากประเทศต่าง ๆ ทั่ว เอเชียแปซิฟิก รวมถึงประเทศไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย และจีน และผู้ชนะในปีนี้ คือทีม Alterno นำเสนอโครงการเป็นแนวทางริเริ่มในการลดการปล่อยคาร์บอนในภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และการทำความร้อนในที่อยู่อาศัย ด้วยพลังงานความร้อน ซึ่งทีมผู้ชนะได้เงินสนับสนุนจำนวน 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 3.5 ล้านบาท ในการต่อยอดและผลักดันเทคโนโลยีไปสู่โลกของธุรกิจ เงินรางวัลที่ได้รับในครั้งนี้ จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยให้ Alterno พัฒนาแบตเตอรี่ทรายในการใช้งานในวงกว้างมากขึ้น ได้มีการนำร่องใช้ในแผนงานอาหารของเป็ปซี่โคในเวียดนาม โดยโครงการอบอาหารแห้ง และมีแผนที่จะทดลองใช้แบตเตอรี่ทรายทำความร้อนแทนน้ำมันสำหรับทำอาหารในขั้นตอนต่อไป

นายไฮ โฮ (Hai Ho) ผู้ร่วมก่อตั้งและซีโอโอ ของ Alterno กล่าวว่า รางวัลชนะเลิศโครงการ APAC Greenhouse Accelerator Program ประจำปี 2567 เป็นเกียรติเป็นอย่างยิ่งสำหรับเรา เราได้รับคำแนะนำที่เป็นประโยชน์จากผู้เชี่ยวชาญและผู้บริหารของเป๊ปซี่โคในการพัฒนากลยุทธ์ทางธุรกิจ เพื่อให้ธุรกิจของเราเติบโตตามทิศทางและเป้าหมายที่วางไว้ เราพร้อมที่จะร่วมมือกับเป๊ปซี่โคในการขยายขอบเขตของเทคโนโลยีและโซลูชันต่าง ๆ เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน

สำหรับประเทศไทย มีสตาร์ทอัพที่เข้ารอบจำนวน 2 บริษัท ได้แก่ AllEV ซึ่งนำเสนอธุรกิจเกี่ยวกับการดัดแปลงรถบรรทุกไฟฟ้า รวมถึงการนำแบตเตอรี่เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลเมื่อหมดอายุการใช้งานแล้ว และ CIRAC นำเสนอโครงการจัดการซองบรรจุภัณฑ์จากขนมและกาแฟ โดยมีนวัตกรรมในการแยกชั้นอลูมิเนียม และเปลี่ยนพลาสติกเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อนำไปเผาเป็นพลังงานต่อไป

เหวิน หยวน ตัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์ของเป๊ปซี่โค เอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า “โครงการ Greenhouse Accelerator ปี 2567 ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เป็นการตอกย้ำถึงการผลักดันเบื้องหลังนวัตกรรมด้านความยั่งยืนของเป๊ปซี่โค ผ่านกลยุทธ์ pep+ ซึ่งเราภูมิใจที่ได้ส่งเสริมผู้ประกอบการที่มีวิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนธุรกิจควบคู่กับความยั่งยืน ในปีนี้ เราเน้นแนวคิดเชิงนวัตกรรมที่เกี่ยวกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม โดยเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมแข่งขันทำงานร่วมกัน และรับคำปรึกษาจากผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจ รวมถึงการเข้าถึงทรัพยากรต่าง ๆ ที่ช่วยพัฒนาธุรกิจ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้เห็นการเติบโตของธุรกิจและโซลูชันเหล่านี้ เพื่อประโยชน์ต่อคนรุ่นต่อไป”

ในปีนี้ เป๊ปซี่โคได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายอุตสาหกรรมในการร่วมเป็นคณะกรรมการ ได้แก่ นายปริวรรต วงษ์สำราญ รองผู้อำนวยการด้านระบบนวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ นายยศกร นิรันดร์วิชย ผู้จัดการการลงทุนอาวุโสประจำประเทศไทย เซอร์คูเลท แคปปิตอล นางสาวอรนุช เลิศสุวรรณกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท เทคซอส มีเดีย จำกัด นายอลัน ชอย รองประธานอาวุโส และซีเอฟโอ เป๊ปซี่โค เอเชียแปซิฟิก นายแอชลีย์ บราวน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายความยั่งยืน เอเชียแปซิฟิก และรองประธานฝ่ายซัพพลาย และนายสุดิปโต โมซุมดา กรรมการผู้จัดการประจำประเทศไทยและเวียดนาม บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด โดยพิจารณาจากระดับนวัตกรรม โอกาสในการขยายโมเดลธุรกิจ โอกาสในการสร้างความเปลี่ยนแปลงในกระบวนการทำงาน ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจในการขับเคลื่อนความยั่งยืนของเป๊ปซี่โค

ในช่วงระยะเวลาเพียงสี่เดือน โครงการ Greenhouse Accelerator ปี 2567 ได้เปิดตัวโครงการนำร่องของสตาร์ทอัพจำนวน 7 ราย โดยมุ่งเน้นการจัดการด้านสภาพภูมิอากาศ การทำเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน และเศรษฐกิจหมุนเวียน เช่น การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน การเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากร และการส่งเสริมห่วงโซ่อุปทานแบบหมุนเวียน

ในบรรดาผู้เข้าร่วมเมื่อปีที่แล้ว TURN เป็นสตาร์ตอัปที่เข้ารอบสุดท้ายและได้ร่วมมือกับ Gatorade ในการเปิดตัวโครงการแก้วน้ำแบบใช้ซ้ำได้ โครงการนี้กำลังถูกนำไปใช้ในโครงการนำร่องกับสโมสร AFL (Australian Rules Football League) และ AFL Women’s ในออสเตรเลีย โดยมีเป้าหมายแทนที่แก้วแบบใช้ครั้งเดียวประมาณ 200,000 ใบ ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีของผลกระทบที่สตาร์ตอัปสามารถมีต่อความยั่งยืน Adiona เป็นสตาร์ตอัปที่นำข้อมูลแบบเรียลไทม์มาปรับปรุงการดำเนินงานด้านการขนส่ง ปัจจุบัน Adiona กำลังทำงานร่วมกับโครงการนำร่องที่วิเคราะห์ข้อมูลการจัดส่งสินค้าของเป๊ปซี่โค และนำเสนอการปรับปรุงประสิทธิภาพที่โรงงานทิงกัลปา ในออสเตรเลีย การปรับปรุงกระบวนการนี้ช่วยลดระยะทางในการขนส่ง ซึ่งมีผลโดยตรงต่อการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์”

โครงการ Powered Carbon ซึ่งเป็นโครงการชนะเลิศในปีที่แล้ว มีความคืบหน้าในเชิงธุรกิจในหลายส่วน โดย Powered Carbon สามารถจัดหาปุ๋ยอินทรีย์คาร์บอนต่ำให้กับไร่มันฝรั่งของเป็ปซี่โค ใน กวางตุ้ง ซานตง กานซู่ ของจีน และมองโกเลีย การเข้าร่วม GHAC ทำให้ Powered Carbon สามารถบรรลุเป้าหมายทั้งด้านชื่อเสียงที่มีคนรู้จักมากขึ้น เป็นที่สนใจของนักลงทุนมากขึ้น และประสบความสำเร็จทางธุรกิจเป็นอย่างมากอีกด้วย โดยรายได้จากพลังงานคาร์บอนเพิ่มขึ้น 6 เท่าตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2567

ปัจจุบัน สตาร์ทอัพทั้ง 11 บริษัท ที่ได้ผ่านการประกวดในปีก่อนหน้านี้ สามารถสร้างรายได้รวมกว่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 7,000 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของโครงการในการขับเคลื่อนการเติบโตและส่งมอบโซลูชันด้านความยั่งยืนให้กับโลก

 

บอกลารหัสยาก NIST เผยแนวทางใหม่ สร้างรหัสผ่านแบบไม่ซับซ้อน

[รีเซ็ตรหัส] ในหลาย ๆ ครั้ง เราอาจเคยเจอการบังคับให้เปลี่ยนรหัสผ่านใหม่ เพื่อความปลอดภัย แต่ไม่สะดวกผู้ใช้ เพราะต้องมาจำรหัสใหม่ กับหารหัสใหม่ที่มีความ “ซับซ้อน” มากพอด้วย ล่าสุดทางหน่วยงานใหญ่ในสหรัฐฯ อย่าง NIST ได้ร่างแนวทางการจัดการรหัสผ่านฉบับล่าสุด เผยควรลดความเข้มงวดให้น้อยลง

NIST สถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติของสหรัฐฯ ได้เสนอร่างแนวทางการจัดการรหัสผ่านใหม่ โดยใจความสำคัญคือการลดความซับซ้อน ไม่แนะนำให้ใช้รหัสผ่านหลายรูปแบบ หรือเปลี่ยนรหัสผ่านเป็นประจำอีกต่อไป

ตามร่างแนวทางการจัดการรหัสผ่านฉบับที่ 2 ของ NIST (SP 800-63-4) ได้ระบุข้อกำหนดทางเทคนิคและแนะนำแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด สำหรับการจัดการรหัสผ่านและการยืนยันตัวตนใหม่ อย่างแรกคือ ผู้ให้บริการข้อมูลประจำตัว (CSP) หยุดบังคับผู้ใช้ให้ตั้งรหัสผ่านใหม่เป็นระยะ ๆ เช่นใน 60 ถึง 90 วัน ถัดมาคือหยุดบังคับให้ตั้งรหัสผ่านที่ใช้อักขระเฉพาะด้วย

ส่วนคำแนะนำอื่น ๆ ที่น่าสนใจ ก็มีทั้งการอนุญาตให้ใช้รหัสผ่านที่มีความยาวสูงสุดอย่างน้อย 64 อักขระ อนุญาตให้รวมอักขระ ASCII และ Unicode ในรหัสผ่าน

ย้อนไปในปี 2017 ทาง NIST เคยแนะนำให้ตั้งรหัสผ่านที่ประกอบด้วยตัวอักษรพิมพ์ใหญ่พิมพ์เล็ก การใช้ตัวเลข และการใช้อักขระพิเศษ ปัจจุบันเล็งเห็นแล้วว่าการตั้งรหัสผ่านที่ซับซ้อน กลับไม่ได้ปลอดภัยเสมอไป

เหตุเพราะความซับซ้อนนี้เอง ส่งผลให้ผู้ใช้ต้องทำทุกวิธี เพื่อให้รหัสผ่านเดาได้ง่ายขึ้น เช่น การเขียนรหัสผ่านในที่ที่ค้นหาได้ง่าย หรือใช้รหัสซ้ำในทุกบัญชี ส่วนการบังคับให้เปลี่ยนรหัสผ่านบ่อยครั้ง ก็ส่งผลให้ผู้ใช้ตั้งรหัสผ่านใหม่ที่ปลอดภัยน้อยกว่าเดิมลงไปอีก

จุดน่าสนใจอีกอย่างในร่างแนวทางการจัดการรหัสผ่านใหม่นี้ คือทาง NIST จากที่เคยใช้คำว่า should not หรือ “ไม่ควร” ก็เปลี่ยนเป็นคำว่า shall not หรือ “ต้องไม่” แทน อาจกล่าวได้ว่าร่างแนวทางนี้ ไม่ใช่เพียงคำแนะนำแล้ว หากแต่เป็นข้อกำหนดใหม่กันเลย ซึ่งอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับทาง CSP หรือในหลาย ๆ องค์กรนับจากนี้อย่างแน่นอน

ที่มา : Darkreading

SpaceX เอาจริง เปิดแผนสำรวจดาวอังคาร ด้วยยานไร้คนขับ 5 ลำ

[นับถอยหลัง] หนึ่งในเป้าหมายสุดยิ่งใหญ่ของ Elon Musk คือการส่งคนไปดาวอังคาร และการตั้งอาณานิคมเมื่อพร้อม ล่าสุดทาง SpaceX เผยแผนสำรวจดาวอังคารในปี 2026 มีทั้งเตรียมส่งยานสำรวจแบบไร้คนขับ และหากพบความเป็นไปได้ ก็เตรียมส่งลูกเรือหรือมนุษย์ไปในปี 2028 ด้วย

ย้อนกลับไปสัปดาห์ก่อน Elon Musk ซีอีโอของ SpaceX ได้ประกาศผ่าน X ว่า บริษัทมีแผนส่งยานอวกาศไร้คนขับ 5 ลำ ไปยังดาวอังคารภายใน 2 – 3 ปีข้างหน้านี้ โดยรอช่วงเวลาที่โลกและดาวอังคารตั้งเรียงแถวกัน เพื่อการใช้ทั้งเวลาและพลังงานให้น้อยที่สุด ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวคือในปี 2026 นี้เอง

หากตัวยานอวกาศไร้คนขับลงจอดได้อย่างปลอดภัย Elon Musk เผยต่อด้วยว่า ครั้งต่อไปอาจส่งยานอวกาศพร้อมคนขับไปด้วย คาดมีภารกิจในปี 2028 ถึง 2029 แต่หากยานอวกาศไร้คนขับลงจอดล้มเหลว ก็อาจเลื่อนเวลาต่อไป

ตามเป้าหมายสูงสุดของ SpaceX คือการสร้างเมืองบนดาวอังคาร ที่สามารถอาศัยอยู่ได้จริงภายใน 20 ปี โดยมีจรวดขนาดใหญ่อย่าง Starship ที่สามารถบรรทุกน้ำหนักได้ถึง 150 เมตริกตัน เตรียมรองรับการเดินทางดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม Elon Musk เผยโครงการ Starship ถูกทำให้ล่าช้าเพราะ “ระเบียบราชการ” ที่รัดกุมเกินไป และยังมีขั้นตอนเพิ่มมากขึ้นทุกปีด้วย ส่งผลให้ SpaceX ไม่สามารถส่งยานอวกาศไปยังดาวอังคารได้เร็วกว่านี้

ที่มา : Cnet

ไม่ถึง 4 ปี เน็ตดาวเทียม Starlink ยอดผู้ใช้ทะลุ 4 ล้านราย

[ขยายบริการ] จากบริษัทที่เคยถูกเยาะเย้ย สู่การเป็น ISP หรือผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตหน้าใหม่ ที่ใช้เวลาไม่ถึง 4 ปี ก็สามารถกวาดผู้ใช้บริการกว่า 4 ล้านรายแล้ว ใน 100 ประเทศทั่วโลก ด้วยแนวคิดการใช้อินเทอร์เน็ตดาวเทียมอย่าง Starlink จากเครือ SpaceX

แนวคิดการใช้อินเทอร์เน็ตจากดาวเทียม แม้จะไม่ใช่ของใหม่ แต่การทำจริงก็ไม่ง่าย มีข้อมูลว่า Starlink ใช้เวลาพัฒนากว่า 10 ปี โดยเปิดตัวครั้งแรกในปี 2010 จากนั้นปี 2019 ถึงจะเริ่มเปิดใช้งานรุ่นทดสอบ และสามารถให้บริการเชิงพาณิชย์ได้จริง ๆ ก็ปี 2021 จนถึงปัจจุบัน

หลังเปิดให้บริการ Starlink ก็มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยในช่วงปลายปี 2022 พบมียอดผู้ใช้กว่า 1 ล้านราย จากนั้นก็แตะ 2 ล้านในเดือนกันยายน 2023 และในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาก็ทะลุ 3 ล้านรายแล้ว นับเป็นการพิสูจน์ความนิยมจากคนทั่วโลก ที่อยากใช้อินเทอร์เน็ตจากดาวเทียมได้เป็นอย่างดี

เมื่อต้นเดือนกันยายน มีรายงานว่าสายการบิน United Airlines ได้ประกาศแผนติดตั้ง Starlink บนเครื่องบินทั้งหมดของบริษัท เพื่อให้ผู้โดยสารเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงได้ขณะขึ้นบิน โดยจะเล่นเกม ดูหนัง หรือสตรีมมิ่งก็ทำได้หมด ซึ่งจะเริ่มทดสอบระบบในช่วงต้นปีหน้านี้

ที่ผ่านมาทาง SpaceX ได้ปล่อยดาวเทียม Starlink ไปแล้วกว่า 7,000 ดวง แต่ก็มีอุปสรรคสำคัญคือ การปล่อยดาวเทียมแต่ละครั้ง อาจไม่สามารถใช้งานดาวเทียมได้ทั้งหมด เช่นในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา พบดาวเทียมจำนวนหนึ่งสูญหายไป เนื่องจากจรวดเกิดขัดข้อง ทำให้ทางบริษัทต้องคอยส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรอยู่บ่อยครั้ง

ความสำเร็จของ SpaceX ได้สร้างความประหลาดใจให้กับหลาย ๆ คน โดย Chris Quilty ผู้ก่อตั้ง Qulity Space กล่าวเลยว่า ในตอนที่ SpaceX และ OneWeb ประกาศเปิดตัวบริการจากกลุ่มดาวเทียมเมื่อหลายปีก่อนนั้น ก็ได้รับเสียง “เยาะเย้ย” จากเหล่าผู้คร่ำหวอดในวงการอยู่หลายคน แต่ปัจจุบันเสียงเหล่านั้นคงเปลี่ยนไปแล้ว

ที่มา : Techspot

เปิดรายได้ Mark Zuckerberg รวยติดอันดับ 4 ของโลก

[เงินเทมา] เรียกได้ว่าผ่านช่วงล้มลุกคลุกคลานแล้วกับ Mark Zuckerberg ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Meta เจ้าของ Facebook กับ Instagram และอีกหลายอย่าง ล่าสุดขึ้นแท่นเป็นบุคคลที่รวยเป็นอันดับ 4 ของโลกเรียบร้อย หลังมีทรัพย์สินรวมกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์ฯ

รายงานจาก Bloomberg เผย Mark Zuckerberg มีทรัพย์สินส่วนตัวเพิ่มขึ้นถึง 73,400 ดอลลาร์ฯ ในปีนี้ ส่งผลให้มีทรัพย์สินรวมกว่า 201,000 ล้านดอลลาร์ฯ แล้ว จนกลายเป็นบุคคลที่รวยเป็นอันดับ 4 ของโลกเรียบ ตามหลัง Jeff Bezos และ Bernard Arnault มาติด ๆ ส่วนอันดับหนึ่งอย่าง Elon Musk ที่ล่าสุดพบมีทรัพย์สินรวมกว่า 256,000 ล้านดอลลาร์ฯ

อย่างไรก็ตาม ความน่าสนใจของ Mark Zuckerberg คือการทำให้บริษัทกลับมามีมูลค่าพุ่งขึ้นเกือบ 64% ในปีนี้ โดยปิดยอดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 568.31 ดอลลาร์ฯ ก่อนจะเหลือ 567.36 ดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ที่ผ่านมา

ปัจจุบัน Mark Zuckerberg มีอายุได้ 40 ปีแล้ว หลังก่อตั้ง Facebook ในปี 2004 ปัจจุบันกลายเป็นบริษัทในเครือ Meta ซึ่งยังมีทั้ง Instagram กับ Threads และ WhatsApp รวมอยู่ในเครือด้วย ทั้งนี้บริษัทเตรียมมุ่งเน้นในด้าน AI โดยในงาน Meta Connect 2024 ที่ผ่านมา ทาง Mark Zuckerberg ประกาศกร้าวเลยว่า Meta AI กำลังจะกลายเป็นผู้ช่วย AI อัจฉริยะ ที่มียอดผู้ใช้งานมากที่สุดในโลก

ที่มา : CNN

เลียนเสียงคนดัง Meta เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ ผู้ช่วย AI พูดคุยผ่านเสียง

[แค่เพื่อนคุย] Meta นับเป็นอีกบริษัทที่แข่งขันด้าน AI อย่างดุเดือดไม่น้อย (ผู้ใช้ Facebook ก็เดือดเช่นกัน…) ซึ่งที่ผ่านมารู้จักในชื่อ Meta AI จนเกิดเป็นฟีเจอร์ใหม่ ๆ มากมาย ล่าสุดได้ก้าวไปอีกขั้นกับการเปิดตัวผู้ช่วย AI ที่สนทนากับผู้ใช้ได้เหมือนมนุษย์ ทว่าได้เฉพาะผู้ใช้ที่สวมแว่นตาอัจฉริยะเท่านั้น

อย่างที่ทราบกันว่า Meta ได้จับมือกับ Ray-Ban เปิดตัวแว่นตาอัจฉริยะที่มีดีไซน์สวยหล่อ (คนละตัวกับแว่น Orion) และเพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับตัวแว่น ล่าสุดได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ที่เปิดให้ผู้ใช้สามารถะพูดคุยกับ Meta AI ได้

โดยตัว Meta AI จะตอบกลับเป็นเสียงมนุษย์เลย ระดับที่เลียนเสียงคนดังได้ทั้ง Awkwafina, Dame Judi Dench, John Cena, Keegan Michael Key และ Kristen Bell คาด Meta คงหวังให้เหล่าแฟนคลับ หันมาใช้ตัวแว่นมากขึ้นนั่นเอง

นอกจากรองรับการแชทด้วยเสียงแล้ว Meta AI ยังเพิ่มฟีเจอร์เกี่ยวกับรูปภาพด้วย โดยผู้ใช้สามารถขอให้ AI เพิ่มวัตถุ ลบวัตถุ หรือเปลี่ยนองค์ประกอบของภาพต่าง ๆ เช่น สลับพื้นหลังหรือเสื้อผ้าในทันที

สำหรับตัว AI ใน Facebook ทาง Meta เผยกำลังทดสอบนำ Llama 3.2 โมเดลภาษาตัวล่าสุดของบริษัท มาช่วยเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ กับผู้ใช้ ทั้งการแนะนำเนื้อหาใน Feed การสร้างรูปภาพจาก AI กับการช่วยแปลคลิปวิดีโอใน Reels และการพากย์เสียงอัตโนมัติ ซึ่งจะจำลองเสียงของผู้พูดในภาษาอื่น พร้อมซิงค์ริมฝีปากของผู้พูดให้ตรงกันด้วย

ที่มา : Engadget

ปรับแต่งอัตโนมัติ อัปเดต Google Photos เพิ่ม AI ช่วยตัดวิดีโอ

[ตัดต่อทันใจ] ตอนนี้อาจเรียกได้ว่า เกือบทุกแอปฯ ของ Google มี AI หมด แฝงอยู่ในฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่ช่วยให้ใช้งานแอปฯ ได้ง่ายขึ้น ล่าสุดแอปฯ ดูรูปภาพอย่าง Google Photos ได้อัปเดตฟีเจอร์ AI ใหม่แล้ว

เผยฟีเจอร์ใหม่ AI-powered video presets ในแอปฯ Google Photos ช่วยตัดต่อทั้งความยาววิดีโอ ปรับแสง ความเร็ว และการใช้เอฟเฟกต์ต่าง ๆ โดยอัตโนมัติ ในการคลิกเพียงไม่กี่ครั้ง ทำให้ได้คลิปวิดีโอสวย ๆ ไปโชว์ในโซเชี่ยลมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ตัวแอปฯ เคยมีฟีเจอร์ AI มาแล้วอย่าง “Ask Photos” ช่วยให้ค้นหารูปภาพได้อย่างละเอียด และยังเป็นแชทบอตด้วย โดยเปิดให้ใช้งานก่อนในสหรัฐฯ

นอกจากช่วยตัดต่อวิดีโออัตโนมัติแล้ว ทาง Google ยังได้ปรับแต่งประสิทธิภาพแอปฯ Google Photos เพิ่มเติมด้วย ทั้งการช่วยให้ควบคุมการตัดต่อทำได้ง่ายและแม่นยำขึ้น และเครื่องมือช่วยปรับภาพวิดีโอให้มีความเสถียรทันที รวมไปถึงการใช้โหมดเร่งหรือชะลอความเร็วของวิดีโอได้อีก เรียกได้ว่าหากต้องการตัดต่อเอง ก็สามารถทำได้ง่ายและยังอัตโนมัติเหมือนกันด้วย

ล่าสุดทาง Google ได้ปล่อยตัวอัปเดตแล้ว ใครมีแอปฯ Photos ลองไปใช้งานกันได้ครับ ดูรายละเอียดได้ที่ Google Support

ที่มา : Engadget

Hot Issue