Home Blog Page 20

ขยายเวลาคลิปสั้น YouTube Shorts เพิ่มให้ ความยาวไม่เกิน 3 นาที

ลงได้ยาวขึ้น เตรียมตัวให้พร้อม YouTube Shorts ประกาศอัปเดต ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม ผู้ใช้สามารถอัปโหลดวิดีโอสั้นที่มีความยาวไม่เกิน 3 นาทีได้แล้ว

ทำให้การเล่าเรื่องบนวิดีโอสั้นมีความสมจริงมากขึ้นด้วยความยาวไม่เกิน 3 นาทีฟีเจอร์นี้ได้รับคำขอมากที่สุดจากผู้สร้างวิดีโอ YouTube จึงได้ยืดหยุ่นและพัฒนาให้ตอบโจทย์ผู้ใช้งาน

การเปลี่ยนแปลงนี้มีผลกับวิดีโอที่มีอัตราส่วนภาพเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสหรือสูงกว่า และจะไม่ส่งผลต่อวิดีโอใดๆ ที่คุณอัปโหลดก่อนหน้านี้ 

รวมถึงจะปรับหน้าตาของโปรแกรมให้มีประสิทธิภาพกว่าเดิม ช่วยให้เข้าถึงเนื้อหาที่สนใจได้ง่ายขึ้น

ผู้ใช้งานจะสร้างวิดีโอสั้นได้อย่างง่ายดายด้วยเทมเพลต รีมิกซ์คลิป แถมสามารถดึงคลิปจากจาก YouTube มาสร้างเป็นวิดีโอของตัวเองได้อีก

นอกจากนี้ผู้ใช้งานสามารถปรับแต่ง YouTube ได้ตามความชอบ หากอยากดูแต่เนื้อหาที่มีความยาวแบบปกติ ก็สามารถเลือกแสดง Shorts น้อยลงโดยคลิกที่เมนูสามจุดที่มุมขวา ระบบจะแสดง Shorts ให้น้อยลงในฟีดหลักเป็นการชั่วคราวต่อไป

ที่มา : YouTube

#YouTubeShorts #TechhubUpdate

รูปร่างคล้ายคน จีนเปิดตัวหุ่นยนต์ GR-2 คอยช่วยเหลือดูแลผู้สูงอายุ

จีนมาเหนือเปิดตัวหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ GR-2 เป็นหุ่นยนต์ที่มีรูปร่างคล้ายคนมากที่สุด แข็งแกร่งกว่าและฉลาดกว่ากว่าเดิม

หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ซีรีส์ GR สร้างขึ้นมาเพื่อใช้เป็นผู้ช่วยดูแลผู้ป่วยสูงอายุและผู้พิการที่บ้าน โดยเฉพาะในประเทศที่มีประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หุ่นยนต์จะคอยช่วยเหลือผู้ป่วยขึ้นลงเตียงและรถเข็นได้

พิเศษคือหุ่นยนต์ติดตั้งที่จับสีม่วงบริเวณกลางตัว เพื่อให้มันเป็นตัวยึดกับอุปกรณ์ทางการแพทย์ หรือเป็นที่จับของผู้ป่วย หุ่นยนต์มีความสูง 175 ซม. และสามารถยกของหนักได้เกือบ 55 กก. นอกจากนั้นยังร่วมมือกันพัฒนาเครื่องมือซอฟต์แวร์ ร่วมกับ ROS, Mujoco และ Isaac Lab ของ NVIDIA

ระบบ AI ออนบอร์ดได้รับการออกแบบให้เรียนรู้โดยการดูหรือลงมือทำ สามารถควบคุมแขนและมือได้ผ่านการแสดงทางไกลแบบ VR คำสั่งโดยตรง ฝึก AI ที่อยู่ในหุ่นยนต์โต้ตอบและฝึกฝนเพื่อประมวลผลตลอดเวลา 

เชื่อว่าในอนาคตเทคโนโลยี AI สมัยใหม่ก็ประสบความสำเร็จอย่างน่าทึ่งแล้ว และก้าวหน้าด้วยอัตราที่เร็วกว่าเทคโนโลยีล้ำสมัย

 

#หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ #TechhubUpdate

ปิดฉาก HoloLens Microsoft ประกาศเลิกผลิต หลังกระแสนิยมลดลงมาก

Microsoft ประกาศยุติการผลิต HoloLens 2 แว่นตา Mixed Reality รุ่นที่สองของบริษัทแล้ว และดูเหมือนว่าจะไม่มีแผนพัฒนารุ่นอื่น ๆ ในอนาคต ซึ่งอาจเป็นการปิดฉาก HoloLens อย่างที่เรารู้จัก

HoloLens 2 คือแว่นตา Mixed Reality ที่ผสานเอาโลกจริงและโลกเสมือนเข้าด้วยกัน โดยจะฉายภาพโฮโลแกรม 3 มิติ ซ้อนทับกับสิ่งแวดล้อมจริง ทำให้ผู้ใช้งานสามารถมองเห็นและโต้ตอบกับวัตถุเสมือน ราวกับว่าเป็นของจริงได้

HoloLens 2 เปิดตัวในปี 2019 มาพร้อมกับราคาถึง $3,500 แม้จะมุ่งเป้าไปที่ตลาดลูกค้าองค์กร แต่ก็ต้องเผชิญกับคู่แข่งสำคัญอย่าง Magic Leap ที่หันมาจับตลาดเดียวกัน และข่าวลือเกี่ยวกับ HoloLens รุ่นที่สาม ก็ถูกยกเลิกไปก่อนหน้านี้

สื่ออย่าง UploadVR รายงานว่า Microsoft ได้แจ้งให้คู่ค้าและลูกค้าทราบว่า นี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่จะซื้อ HoloLens 2 เมื่อสินค้าในสต็อกหมดลง ก็จะไม่มีการผลิตเพิ่ม ส่วนการสนับสนุนด้านซอฟต์แวร์ จะยังคงมีอยู่จนถึงสิ้นปี 2027

การยุติการผลิต HoloLens 2 อาจไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เพราะอุปกรณ์นี้ก็เปิดตัวมาเกือบ 5 ปีแล้ว ซึ่ง Microsoft ก็มีการปรับลดขนาดทีม รวมทั้งหัวหน้าทีมก็ลาออก บวกกับความนิยมของอุปกรณ์ Mixed Reality ที่ไม่เป็นไปตามคาด ประกอบกับราคาที่สูง อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Microsoft ตัดสินใจยุติการพัฒนา HoloLens

แต่แม้ Mixed Reality (MR) จะดูเหมือนเงียบๆ ไปบ้าง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับกระแส AI ที่กำลังมาแรง แต่ก็ยังสรุปไม่ได้เต็มปากว่า MR เสื่อมความนิยมลงแล้ว ซึ่งอาจจะยังไม่เป็นกระแสหลักในตอนนี้ แต่ก็ยังมีอนาคตที่สดใส โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทคโนโลยี Metaverse เริ่มแพร่หลายมากกว่านี้ หรือมีอุปกรณ์ที่ราคาถูกลง

ที่มา
techspot

แฟนพันธุ์แท้ Youtuber หนุ่มสร้างหุ่น AT-AT ขึ้นไปนั่งแล้วเดินได้จริง

หุ่นยนต์ AT-AT ย่อมาจาก All Terrain Armored Transport เป็นพาหนะหุ้มเกราะสำหรับเคลื่อนที่บนทุกสภาพพื้นผิว ที่ปรากฏตัวในภาพยนตร์เรื่อง Star Wars

AT-AT เป็นยานพาหนะของฝ่ายจักรวรรดิ มีลักษณะเด่นคือ มีขนาดใหญ่ เดินด้วยขาทั้งสี่ ดูคล้ายกับสัตว์ และมีอาวุธหนักติดตั้งอยู่ ซึ่งใครเป็นแฟนภาพยนต์ ก็ต้องคุ้นกับหุ่นตัวนี้

ล่าสุด James Bruton ยูทูบเบอร์ผู้หลงใหลในจักรวาล Star Wars ได้ใช้เวลาหลายเดือนสร้างแบบจำลองหุ่นยนต์ AT-AT ที่ไม่ใช่แค่โมเดลธรรมดาๆ แต่สามารถขึ้นไปขี่และบังคับได้จริง!

เจ้าหุ่น AT-AT ความสูงกว่าคนทั่วไปอยู่ไม่มาก สร้างขึ้นจากชิ้นส่วนที่พิมพ์ 3 มิติและโครงอะลูมิเนียม ขาแต่ละข้างมีมอเตอร์และชุดเกียร์ไว้สำหรับใช้ในการขับเคลื่อน

แต่การเคลื่อนที่ นั้นค่อนข้างช้า ด้วยความเร็วสูงสุด 0.05 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ก็สมจริงตามสเกลของหุ่นยนต์ที่ออกแบบมาเพื่อถล่มฐานทัพ ไม่ได้สร้างมาเพื่อความเร็ว ความเชื่องช้านี้กลับให้ความรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในหนังจริง ๆ ซึ่งทำให้เราเห็นว่า วิศวกรรมหุ่นยนต์มีก้าวหน้ามากขึ้น ถึงขนาดที่มีการสร้างใช้งานเล่นได้ในบ้านกันได้แล้ว

ที่มา
techspot

ไม่บังคับ Microsoft ประกาศชัด ยอมให้พนักงาน WFH

ไมโครซอฟท์ประกาศชัด! พนักงานทำงานที่บ้านได้ต่อ ไม่บังคับกลับเข้าออฟฟิศเหมือนบางบริษัท โดย Scott Guthrie รองประธานบริหาร ไมโครซอฟท์ ยืนยันว่าบริษัทยังคงยึดนโยบายการทำงานแบบยืดหยุ่น แม้หลายบริษัทเริ่มเรียกพนักงานกลับเข้าออฟฟิศแล้วก็ตาม แต่ก็มีเงื่อนไขสำคัญคือ ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานต้องไม่ลดลง สอดคล้องกับแนวคิดที่ว่า หากบริษัทวางแผนการทำงานแบบรีโมตได้ดี พนักงานก็จะมีส่วนร่วมและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แน่นอนว่า การทำงานแบบรีโมตมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ไมโครซอฟท์เอง ก็เล็งเห็นถึงข้อกังวลเรื่องประสิทธิภาพการทำงาน เพราะพนักงานอาจใช้เวลางานไปกับธุระส่วนตัว ขณะเดียวกัน พนักงานเองก็ชอบใจกับความยืดหยุ่นนี้ จึงพยายามต่อต้านการกลับเข้าออฟฟิศ ส่งผลให้เกิดการประท้วงและการรวมตัวกันเป็นสหภาพแรงงานในหลายบริษัท

อย่างไรก็ตาม ไมโครซอฟท์เชื่อมั่นว่าพวกเขาสามารถบริหารจัดการรูปแบบการทำงานแบบรีโมตได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาเป็นผู้พัฒนา Microsoft Teams แพลตฟอร์มที่อำนวยความสะดวกในการทำงานจากที่บ้าน ซึ่งนี่เป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ว่า ไมโครซอฟท์ให้ความสำคัญกับการทำงานแบบยืดหยุ่น และพร้อมสนับสนุนให้พนักงานทำงานจากที่ไหนก็ได้ ตราบใดที่ยังคงประสิทธิภาพการทำงานไว้ได้

แหงล่ะ ถ้าบังคับทำงานที่บ้านเหมือนบริษัทอื่น ๆ เราก็คงมอง Microsoft Teams ในอีกภาพลักษณ์หนึ่งแหละนะ

คงต้องจับตาดูกันต่อไปว่า ไมโครซอฟท์จะรักษาสมดุลระหว่างความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพในการทำงานได้อย่างไรในระยะยาว และบทสรุปของการทำงานแบบรีโมตจะเป็นอย่างไรในอนาคต

ที่มา
techspot

Broadcom เปิดตัว VMware Cloud Foundation 9 (VCF 9) ที่งาน VMware Explore 2024

Broadcom เปิดตัว VMware Cloud Foundation 9 (VCF 9) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีแห่งอนาคตของ VMware Cloud Foundation ที่จะเร่งการเปลี่ยนผ่านจากสถาปัตยกรรมไอทีแบบ Silo ไปสู่แพลตฟอร์ม private cloud ที่รวมเป็นหนึ่งเดียวและบูรณาการเข้าด้วยกัน ซึ่งช่วยลดต้นทุนและความเสี่ยงของลูกค้าได้ VMware Cloud Foundation 9 จะช่วยลดความซับซ้อนในการสร้างและการบริหารจัดการ private cloud ที่ปลอดภัยและคุ้มต้นทุนอย่างเห็นได้ชัด

VMware Cloud Foundation เป็นแพลตฟอร์ม private cloud แรกของวงการที่สามารถขยายระบบและมีความยืดยุ่นได้เทียบเท่ากับ Public Cloud โดยมีความปลอดภัย ความยืดหยุ่น และประสิทธิภาพการทำงานในระดับของ Private Cloud อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายโดยรวมในการลงทุนที่ต่ำกว่าอีกด้วย VMware Cloud Foundation จึงช่วยสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมดิจิทัลของลูกค้าได้เป็นอย่างดี

จากรายงานการศึกษามูลค่าธุรกิจของ IDC ล่าสุดพบว่า องค์กรที่เข้าร่วมตอบแบบสอบถามได้ใช้ VMware Cloud Foundation เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน private & hybrid cloud ที่มีความปลอดภัย คล่องตัว ยืดหยุ่น และคุ้มทุน  เมื่อวิเคราะห์จากคำตอบและนำมาเปรียบเทียบกับสภาพแวดล้อมก่อนใช้ VMware Cloud Foundation พบว่าลูกค้าบรรลุผลสำเร็จดังนี้:

  • ต้นทุนโครงสร้างพื้นฐานลดลง 34% และประสิทธิภาพของทีมงานที่ดูแลระบบโครงสร้างพื้นฐานและระบบรักษาความปลอดภัยเพิ่มขึ้น 50% ส่งผลให้ต้นทุนการดำเนินงานโดยรวมลดลง 42%1
  • ใช้เวลาในการสร้างและบริหารจัดการ VM ใหม่เร็วขึ้น 61% ความสามารถในการทำงานของเครือข่ายเร็วขึ้น 50% และการจัดเก็บข้อมูลเร็วขึ้น 32% ส่งผลให้ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) โดยรวมใน 3 ปีอยู่ที่ 564% และคืนทุนภายใน 10 เดือน1

“VMware Cloud Foundation 9 จะกำหนดขอบเขตใหม่สำหรับระบบ private cloud ด้วยการนำเสนอแพลตฟอร์มแบบบูรณาการที่ทันสมัย ซึ่งจะรวมการบริหารจัดการและระบบอัตโนมัติเข้าด้วยกัน เพื่อมอบประสบการณ์ระบบคลาวด์ที่ช่วยให้ธุรกิจต่างๆ มีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น มีประสิทธิภาพ ยืดหยุ่น และปลอดภัยยิ่งขึ้น เพื่อปิดการใช้งานโครงสร้างพื้นฐานแบบ Silo เรียกคืนการควบคุมการขยายตัวของระบบ public cloud และคว้าโอกาสสำหรับการประยุกต์ใช้ AI ในองค์กร ลูกค้าของเราจึงเปลี่ยนจากสถาปัตยกรรมแบบ Silo ไปเป็นแพลตฟอร์ม private cloud ที่ล้ำสมัย” Krish Prasad รองประธานอาวุโสและผู้จัดการทั่วไป ฝ่าย VMware Cloud Foundation by Broadcom กล่าว

ข้อมูลสำคัญที่ได้จากการเปิดตัว VMware Cloud Foundation 9:

  • Private Cloud เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้งานบนโครงสร้างพื้นฐานส่วนตัวขององค์กร ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด: DC, Edge, Hyperscaler, ผู้ให้บริการ ฯลฯ license portability คือส่วนสำคัญของกลยุทธ์นี้
  • VMware Private AI ที่ทำงานบน VMware Cloud Foundation 9 จะช่วยให้ลูกค้าสามารถปรับตัวให้ทำงานสอดคล้องกับสภาพแวดล้อม private cloud ได้อย่างยอดเยี่ยม ช่วยให้พวกเขาสามารถก้าวทันและต่อยอดจินตนาการเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมได้อย่างต่อเนื่อง
  • เร่งการขับเคลื่อน VMware Private AI Foundation มาใช้ร่วมกับ NVIDIA: โดยมุ่งเป้าไปยังองค์กรที่ต้องการใช้ประโยชน์จากขุมพลังของ AI ในขณะที่ยังคงใช้ข้อดีต่างๆ ของ private cloud ได้ โดยให้โซลูชันที่ครอบคลุมสำหรับการสร้าง การจัดการ และการขยายแอปพลิเคชันที่ขับเคลื่อนด้วย AI อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพบน Private Cloud ด้วย VMware Cloud Foundation 9 ทาง Broadcom จะนำเสนอ VMware Private AI Foundation ใหม่ที่มาพร้อมความสามารถของ NVIDIA ที่จะช่วยลดความซับซ้อนในการสร้าง GenAI Application เช่น การมองเห็นโปรไฟล์ vGPU การจองใช้งาน GPU การจัดทำฐานข้อมูลเพื่อใช้งานร่วมกับ LLM และการสร้างส่วนประกอบอื่นๆที่จำเป็นสำหรับ GenAI Application
  • ทาง Tanzu ได้พัฒนาไปสู่แพลตฟอร์มเดียวที่สามารถใช้งานรันไทม์ที่แตกต่างกัน (Kubernetes และ Cloud Foundry/TAS) ซึ่งทุกอย่างที่นักพัฒนาต้องการในการสร้างแอปพลิเคชันนั้น จะถูกทำให้เป็นระบบ Automation ลดภาระงานทางกระบวนการคิดที่จำเป็น สามารถปรับขยายแอปพลิเคชันขนาดใหญ่ โดย VMware Tanzu Platform 10 สามารถติดตั้งบน VMware Cloud Foundation ได้อย่างราบรื่น โดยมีการผูกการจัดการเข้ากับ VMware Cloud Foundation และ Private AI
  • การลงชื่อเข้าใช้งานครั้งเดียว (Single-Sign-On) เป็นหนึ่งในฟีเจอร์ใหม่ที่สำคัญของ VMware Cloud Foundation 9 ที่จะมอบความสามารถที่ช่วยให้โครงสร้างพื้นฐานทำงานเป็นระบบรวมและอัตโนมัติเพียงตัวเดียว ช่วยให้ลูกค้าสามารถก้าวทันความต้องการของแอปสมัยใหม่ และนำความสามารถขั้นสูงของ VMware ที่มีอยู่แล้วจาก Broadcom มาสู่แพลตฟอร์ม private cloud
  • VMware Cloud Foundation มักจะทำงานคู่กับ 2 ทีมหลักคือ ทีมโครงสร้างพื้นฐาน (Operation Team) และวิศวกรแพลตฟอร์ม (Platform Team) ที่ใช้ทรัพยากรไอทีเพื่อใช้งานแอปพลิเคชัน สำหรับทั้งสองกลุ่มนั้น ทาง VMware Cloud Foundation มี VCF Operations หรือคอนโซลหลักสำหรับการบริหารจัดการแพลตฟอร์ม โดยเริ่มตั้งแต่การตรวจวิเคราะห์ไปจนถึง Application Topology ระบบจัดการ Tenant ไปจนถึง Application Blueprint และความสามารถอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้นอีกมากมาย ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่ที่จะทำให้วิสัยทัศน์ของ Private Cloud แพลตฟอร์มเป็นจริง

นอกจากนี้ แพลตฟอร์ม VMware Cloud Foundation ยังเพิ่มเติม Advanced services ไว้ให้เลือกใช้ เช่น data service, private AI, security ความยืดหยุ่น บริการข้อมูล AI ส่วนตัว ความปลอดภัย เป็นต้น อย่างไรก็ตาม VMware Cloud Foundation 9 ไม่ได้เป็นแค่คอนโซลที่มาพร้อมฟีเจอร์เพิ่มเติมบางอย่างเท่านั้น แต่ยังเสริมคุณลักษณะและความสามารถใหม่ๆ มากมายที่ฝังอยู่ในผลิตภัณฑ์หลักของเราด้วย อาทิ ESX, vSAN และ NSX  คุณลักษณะใหม่ที่สำคัญมีดังต่อไปนี้:

Platform-wide integrations (การบูรณาการทั่วทั้งแพลตฟอร์ม):

  • Expanced VCF import: VCF import รุ่นสองมาพร้อมความสามารถที่เพิ่มขึ้นเพื่อให้การย้ายระบบเดิมมาสู่ VMware Cloud Foundation ทำได้ง่ายขึ้นสำหรับลูกค้าของเรา โดยสามารถ import ระบบ VMware NSX, VMware vDefend, VMware Avi Load Balancer และโครงสร้างพื้นที่จัดเก็บข้อมูลที่มีความซับซ้อนเข้าสู่ VMware Cloud Foundation ได้แล้ว พร้อมทั้ง UI แบบใหม่ที่ใช้งานง่ายช่วยให้การจัดการและการประยุกต์ใช้ง่ายขึ้นกว่าเดิม
  • VCF Multi-Tenancy:VMware Cloud Foundation 9 จะติดตั้ง Multi-Tenant ในตัวโดยไม่ต้องมี VMware Cloud Director แยกอีกต่อไป ช่วยให้ทีม IT ของบริษัทสามารถสนับสนุนองค์กรต่างๆ กลุ่มธุรกิจ หรือทีมพัฒนาบนโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้ร่วมกันได้ ขณะเดียวกันก็อนุญาตให้เจ้าของแอปพลิเคชันและทีมพัฒนาแบ่งส่วนโครงสร้างพื้นฐานตามความต้องการเฉพาะของตนสำหรับการเข้าถึง การจัดการภาระงาน ระบบรักษาความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัว

Compute (การประมวลผล):

  • Advanced Memory Tiering with NVMe: ฟีเจอร์นี้เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการหน่วยความจำ โดยการถ่ายโอนข้อมูลcold data ไปยังพื้นที่เก็บข้อมูล NVMe ในขณะที่เก็บข้อมูลที่ใช้งานประจำไว้ใน DRAM ส่งผลให้การ consolidate เซิร์ฟเวอร์ดีขึ้น 40% ช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถรันภาระงานได้มากขึ้นด้วยจำนวนเซิร์ฟเวอร์น้อยลง นอกจากนี้ การแบ่ง tier storage ของแอปพลิเคชัน AI ช่วยปรับสเกลโซลูชันเพื่อคงประสิทธิภาพการทำงานได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากเกินไป
  • Confidential Computing with TDX: มอบความปลอดภัยขั้นสูงด้วยการแยกและเข้ารหัสภาระงาน ช่วยให้มั่นใจถึงความสมบูรณ์และความเป็นส่วนตัวของข้อมูลในระดับไฮเปอร์ไวเซอร์ได้
  • Kubernetes Service Enhancements: VMware Cloud Foundation จะรวมการสนับสนุนแบบพร้อมใช้งานสำหรับ Windows containers การเชื่อมต่อเครือข่ายโดยตรงผ่าน VPC และการรองรับ Native OVF ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความสามารถในการ scale แอปพลิเคชันได้

Storage (พื้นที่จัดเก็บข้อมูล):

  • Native vSAN-to-vSAN Data Protection with Deep Snapshotsให้การกู้คืนข้อมูลได้เกือบจะทันทีด้วย RPO 1 นาที มอบการทำระบบการกู้คืนข้อมูลในกรณีเกิดภัยภิบัติ
  • Integrated vSAN Global Deduplication:ลดต้นทุนการจัดเก็บข้อมูลลง 46% ต่อเทราไบต์ เมื่อเทียบกับโซลูชันดั้งเดิม ด้วยการกำจัดข้อมูลซ้ำซ้อนที่มีประสิทธิภาพทั่วทั้งคลัสเตอร์
  • vSAN ESA Stretched Site Recovery:ช่วยรับประกันความต่อเนื่องของธุรกิจ โดยดูแลระบบปฏิบัติงานและความพร้อมใช้งานของข้อมูลแม้ในกรณีที่เกิดล่มเพื่อความต่อเนื่องของการทำงาน

Networking (ระบบเครือข่าย):

  • Native VPCs in vCenter and VCF Automation:ลดความซับซ้อนในการสร้างและจัดการเครือข่ายแยกที่ปลอดภัย ลดความซับซ้อนและเวลาที่จำเป็นในการตั้งค่าเครือข่ายเสมือน
  • High-Performance Network Switching with NSX Enhanced Data Path:มอบประสิทธิภาพการทำงานของ switching ที่เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า ตอบสนองความต้องการของแอปพลิเคชันที่ทันสมัยซึ่งมีการใช้ข้อมูลที่เข้มข้น และลดเวลาแฝงของเครือข่าย
  • Easy Transition from VLAN to VPC:ปรับกระบวนการย้ายข้อมูลจากเครือข่ายที่ใช้ VLAN ดั้งเดิมไปยัง VPC ให้คล่องตัวขึ้น ลดความซับซ้อนในการจัดการเครือข่ายและปรับปรุงระบบรักษาความปลอดภัย

การเปิดตัวโมเดลและบริการสำคัญอื่นๆ อาทิ:-

  • VLR On-premises Isolated Recovery environment:คุณลักษณะใหม่นี้จะมอบความสามารถที่โดดเด่นของสิ่งที่เราสามารถทำได้บนคลาวด์แต่อยู่ภายในสถานที่ของลูกค้า  สะดวกสำหรับสภาพแวดล้อมที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกฏระเบียบ และอีกไม่นานเราจะมอบความสามารถ VLR สำหรับระบบคลาวด์อื่นๆ
  • Model StoreHarbor เป็นโครงการโอเพ่นซอร์สที่เราภูมิใจมาก พร้อมแล้วที่จะส่งมอบคลังโมเดลที่ปลอดภัย ในโลกปัจจุบันที่โมเดลกำลังจะกลายเป็นทรัพย์สินทางปัญญา เพราะช่วยขับเคลื่อนความได้เปรียบทางการแข่งขัน และอยู่ภายใต้การตรวจสอบ ดังนั้นคลังโมเดลจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง
  • NIM and Nvidia AI Foundation Models:NVIDIA NIM ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ NVIDIA AI Enterprise เป็นชุดไมโครเซอร์วิสที่ใช้งานง่าย ซึ่งออกแบบมาเพื่อการใช้งานที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้สำหรับการอนุมาน high performance AI model บน public และ private cloud รวมถึงเวิร์กสเตชัน คอนเทนเนอร์ที่สร้างไว้ล่วงหน้าเหล่านี้รองรับโมเดล AI หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่โมเดลโอเพ่นซอร์ส NVIDIA AI Foundation ไปจนถึงโมเดล AI ที่ปรับแต่งเองได้ NVIDIA NIM Operator ทำให้การนำ Generative AI ที่อยู่ใน pipeline ขึ้นใช้งานบนระบบจริงเป็นเรื่องง่าย โดยทำให้การปรับใช้งาน การปรับขนาด และการบริหารจัดการ RAG ใน pipeline และการทำ AI inferencing เป็นไปแบบอัตโนมัติ
  • Data Indexing & Retrieval Service:บริการจัดทำดัชนีและเรียกค้นข้อมูล จะช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถแบ่งส่วน จัดทำดัชนีแหล่งข้อมูลส่วนตัว (เช่น PDF, CSV, PPT, เอกสาร Microsoft Office, เว็บภายในหรือหน้า wiki) และแปลงข้อมูลเป็นเวกเตอร์ได้ ข้อมูลเวกเตอร์นี้จะพร้อมใช้งานผ่านฐานความรู้ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูล นักวิทยาศาสตร์ข้อมูลและทีม MLOps จะสามารถอัปเดตฐานความรู้ตามกำหนดเวลาหรือตามความต้องการ เพื่อให้แน่ใจว่าแอปพลิเคชัน Gen AI สามารถเข้าถึงข้อมูลล่าสุดได้
  • AI Agent Builder Service: ความสามารถใหม่นี้จะช่วยให้นักพัฒนาแอปพลิเคชัน วิศวกร MLOps และนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลสามารถสร้างและปรับใช้ AI agent โดยใช้ LLM จาก Model Store และข้อมูลจาก Data Indexing & Retrieval Service

ETDA ร่วมกับ สวทช. ขับเคลื่อนความพร้อมในการประยุกต์ใช้ AI อย่างต่อเนื่องสู่ปีที่ 2

ETDA ร่วมกับ สวทช. ขับเคลื่อนความพร้อมในการประยุกต์ใช้ AI อย่างต่อเนื่องสู่ปีที่ 2 ใช้เกณฑ์ 5 ด้านในการประเมิน ชี้เป้าการประยุกต์ใช้ AI ของประเทศไทยขยายตัวต่อเนื่อง

สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA (เอ็ตด้า) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จัดแถลงผลการศึกษาความพร้อมในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) สำหรับบริการดิจิทัลของปี 2567 เผย 5 ด้านสำคัญที่ใช้ในการประเมินความพร้อมขององค์กร และนำไปสู่แนวทางการส่งเสริมให้เกิดการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยี AI ในภาคธุรกิจ/ อุตสาหกรรม ที่สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทย พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากทุกภาคส่วน ได้ร่วมให้ข้อคิดเห็นในประเด็นต่างๆ

คุณรจนา ล้ำเลิศ ที่ปรึกษาฝ่ายอำนวยการและทรัพยากรบุคคล หัวหน้าทีมศูนย์ธรรมาภิบาลปัญญาประดิษฐ์ ETDA กล่าวว่า การศึกษาในครั้งนี้ นับเป็นการดำเนินการต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจะได้ทราบถึงสถานการณ์และข้อมูลสำคัญ ที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงและแนวโน้มในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI จากปีที่แล้ว (ปี 2566) ซึ่งเป็นปีแรกที่ได้มีการศึกษาสถานภาพความพร้อมในการประยุกต์ใช้ AI ของภาคส่วนต่างๆ ของไทยและได้ทำเป็นข้อมูล Baseline เอาไว้ อีกทั้งช่วยชี้ให้เห็นโอกาสและอุปสรรคในการพัฒนาและประยุกต์ใช้ AI ในสาขาหรือกลุ่มธุรกิจที่สำคัญ เพื่อนำไปสู่ข้อเสนอแนะในการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาและใช้งานสำหรับบริการดิจิทัล อย่างสร้างสรรค์และมีธรรมาภิบาล รวมทั้ง เพื่อเป็นการสนับสนุนการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศระยะ 6 ปี (.. 2565 – 2570) ให้บรรลุเป้าหมายต่อไป

นอกจากนี้ยังจะช่วยยกระดับมาตรฐานด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI Governance) และผลักดันประเทศให้มีการประยุกต์ใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบ เป็นกลไกในการขับเคลื่อนนโยบายด้านการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ ส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์และพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของประเทศ ตลอดจนการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนามาตรฐานหรือกฎเกณฑ์ในการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อให้เชื่อมโยงกันได้ มีความมั่นคงปลอดภัย และมีความน่าเชื่อถือ ครอบคลุมทั้งในเรื่องจริยธรรมและธรรมาภิบาล หรือ AI Ethics and Governance, การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน, การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม, การเพิ่มศักยภาพของคนและการส่งเสริมให้เกิดการประยุกต์ใช้งาน อันเป็นพันธกิจสำคัญของ ETDA ซึ่งจากผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ในการศึกษาและวิเคราะห์ถึงสถานการณ์ความพร้อมของการประยุกต์ใช้ AI ใน 10 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายนี้ ได้สะท้อนให้เห็นว่า ETDA ยังคงต้องมุ่งเน้นพัฒนาแนวทางปฏิบัติต่างๆ ให้ทันต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน ตลอดจนการสร้างความร่วมมือที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งเสริม สนับสนุนให้ทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชนเกิดการประยุกต์ใช้งาน AI ในทุกกิจกรรม บนพื้นฐานความสอดคล้องตามหลักธรรมาภิบาล อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสม และยั่งยืน

 

ดร.กัลยา อุดมวิทิต รองผู้อำนวยการ สวทช. รายงานว่า การศึกษาครั้งนี้ได้มีการดำเนินการรวบรวมข้อมูลจาก 3 ส่วนด้วยกัน คือ การประชุมความเห็นของผู้เชี่ยวชาญจากผู้แทนหน่วยงาน/ องค์กรที่มีบทบาทสำคัญ การประชุมรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย และการสำรวจโดยใช้แบบสอบถาม เพื่อนำข้อมูลที่ได้ทั้งหมดมาประกอบการวิเคราะห์และจัดทำเป็นข้อเสนอแนะมาตรการเพื่อเตรียมความพร้อมต่อไป จากการศึกษาพบว่า องค์กร/หน่วยงานในประเทศไทย ได้เริ่มมีการใช้งาน AI แล้ว และมีแนวโน้มใช้งานมากขึ้น ตัวอย่าง เช่น ในกลุ่มการศึกษา กลุ่มการเงินและการค้า ก็มีการนำ AI มาช่วยตรวจสอบข้อมูล แนะนำผลิตภัณฑ์ทางการเงิน การอนุมัติสินเชื่อ และประเมินความเสี่ยง ในกลุ่มการแพทย์และสุขภาวะ ใช้ AI มาช่วยตรวจสอบความครบถ้วนของเครื่องมือผ่าตัด และช่วยในการวินิจฉัยและตัดสินใจของแพทย์ เป็นต้น

การศึกษาครั้งนี้ได้ปรับปรุงตัวชี้วัด 13 มิติจากปีที่แล้วของดัชนีการวัด 5 ด้าน ได้แก่ (1) ด้านยุทธศาสตร์และความสามารถขององค์กร (2) ด้านข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐาน (3) ด้านบุคลากร (4) ด้านเทคโนโลยี และ (5) ด้านธรรมาภิบาล ดำเนินการสำรวจหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน จำนวน 10 กลุ่ม ตามที่ระบุในแผนปฏิบัติการ AI ได้แก่ เกษตรและอาหาร การใช้งานและบริการภาครัฐ การแพทย์และสุขภาวะ อุตสาหกรรมการผลิต พลังงานและสิ่งแวดล้อม การศึกษา ท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ความมั่นคงและปลอดภัย โลจิสติกส์และการขนส่ง และการเงินและการค้า ซึ่งผลที่ได้จากการประเมินตามด้านต่างๆ จะนำไปสู่การแบ่งความพร้อมขององค์กรได้เป็น 4 ระดับ คือ ระดับ Unaware = ยังไม่มีความตระหนัก/ อยู่ในช่วงเริ่มต้นเรียนรู้, Aware = มีความตระหนักและเริ่มนำ AI ไปใช้งานแล้ว, Ready = มีความพร้อมในการนำ AI ไปใช้งาน และ Competent = มีความเข้มแข็งในการใช้งาน AI

สรุปผลการศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างที่ส่งแบบสอบถามทั้งสิ้น 3,758 หน่วยงาน ในช่วงเวลา 75 วัน (เดือน ก..- .. 2567) ได้ข้อมูลกลับมาทั้งสิ้น 580 หน่วยงาน พบว่า  หน่วยงานที่มีการนำ AI มาใช้งานในองค์กรแล้ว 17.8% ซึ่งสูงกว่าปีที่แล้วเล็กน้อย  ส่วนหน่วยงานที่มีแผนที่จะนำมาใช้ในอนาคต 73.3% และที่ยังไม่มีแผนที่จะใช้ AI  8.9%  ดังนั้น จึงคาดการณ์ได้ว่าในอนาคตองค์กรในประเทศไทยจะมีนำ AI มาประยุกต์ใช้เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วแน่นอน ทั้งนี้ องค์กรที่มีการประยุกต์ใช้งาน AI มีเป้าหมายสำคัญ 3 อันดับแรก ได้แก่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตหรือการให้บริการขององค์กร  เพื่อใช้ในการบริหารจัดการภายในองค์กร และ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตภัณฑ์ และ/หรือบริการขององค์กรให้แก่องค์กร ตามลำดับ

ผลการสำรวจยังพบว่า องค์กรที่มีการนำ AI มาใช้งานแล้ว มีความพร้อมเฉลี่ยอยู่ที่ 55.1% หรืออยู่ในระดับ “Aware” ซึ่งหมายถึง องค์กรมีความตระหนักถึงความสำคัญของเทคโนโลยี AI  และเริ่มนำเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้ในองค์กร โดยเมื่อพิจารณาแยกลงไปในแต่ละด้าน (Pillar) พบว่า ด้านที่มีความเข้มแข็งมากที่สุด คือ ด้านข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐาน (ประกอบด้วย รูปแบบและคุณภาพของข้อมูล และ โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่จำเป็นต่อการใช้งาน AI) โดยมีคะแนนเฉลี่ยความพร้อมในด้านนี้อยู่ที่ 65.5% ซึ่งจัดอยู่ในระดับ “Aware” โดยกลุ่มที่มีความพร้อมอยู่ในระดับต้นๆ ได้แก่ กลุ่มการเงินและการค้า
กลุ่มโลจิสติกส์และการขนส่ง และ กลุ่มการศึกษา ทั้งนี้ การที่หน่วยงานมีความพร้อมโดยเฉพาะในด้านข้อมูลสูง สาเหตุหนึ่งมาจากในห้วงเวลาที่ผ่านมา ประเทศไทยมีความตื่นตัวในเรื่องของ Big Data และเห็นความสำคัญของการนำข้อมูลมาวิเคราะห์ในมุมมองต่างๆ ตามที่องค์กรให้ความสนใจ  สำหรับด้านที่มีคะแนนเฉลี่ยในระดับรองลงมาได้แก่ด้านบุคลากรด้านยุทธศาสตร์และความสามารถขององค์กรด้านธรรมาภิบาลและด้านเทคโนโลยีตามลำดับ

สำหรับองค์กรที่ปัจจุบันยังไม่มีการนำ AI มาประยุกต์ใช้ในองค์กร ได้ให้เหตุผลที่น่าสนใจ 3 อันดับแรก ได้แก่ (1) ยังอยู่ในช่วงของการศึกษาข้อมูล เนื่องจากยังไม่ทราบว่าจะนำ AI มาประยุกต์ใช้อย่างไร  (2) รอนโยบายจากผู้บริหารที่จะเห็นความจำเป็นในการนำ AI มาใช้ และ (3) องค์กรยังขาดความพร้อมและต้องการการสนับสนุนในด้านงบประมาณ รวมถึงยังต้องคำนึงถึงความคุ้มค่าในการลงทุนต่างๆ เพื่อให้สามารถนำ AI มาใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

ประเด็นและแนวโน้ม ที่น่าสนใจจากการศึกษาในปี 2567 นี้ได้แก่ ด้าน Generative AI  พบว่า องค์กรมีใช้ Generative AI ไปเพื่อสนับสนุนการทำงานในด้านหลายด้าน โดยงาน 3 อันดับแรก ได้แก่ (1) ด้านการพัฒนาสินค้าหรือบริการ/การวิจัยและพัฒนา (2) ด้านการตลาด การขายและบริการลูกค้า และ (3) ด้านกระบวนการผลิต ในขณะที่อุปสรรคสำคัญในการใช้งาน Generative AI คือ (1) องค์กรขาดบุคลากรที่มีทักษะ (2) องค์กรมีความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพของข้อมูลที่นำมาใช้งาน และ (3) องค์กรยังขาดเงินทุนสำหรับการจัดซื้อและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อให้สามารถใช้งานได้  นอกจากนี้ ประเด็นที่น่าสนใจคือ ยังไม่พบว่าองค์กรใดเลยที่มีนโยบายที่จะเลิกการจ้างคนทั้งหมด แม้ว่างานในส่วนนั้นจะสามารถนำ Generative AI มาใช้แทนได้ก็ตาม แต่เน้นการพัฒนาบุคลากรให้สามารถทำงานร่วมกับ Generative AI ให้มากขึ้น

 

จากผลการสำรวจดังกล่าว นำมาสู่ข้อเสนอแนะเพื่อเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ  ได้แก่

  1. Human development หรือ การพัฒนาทักษะ AI ในทุกระดับ เช่น ผลิต AI Talent, ให้มี AI Engineer, พัฒนาหลักสูตรที่เกี่ยวข้อง และพัฒนาคุณวุฒิวิชาชีพด้าน AI รวมถึงความตระหนักรู้ AI Governance เป็นต้น
  2. AI Cost and Productivity หรือ การสนับสนุนโดยภาครัฐในการช่วยให้ต้นทุนของการใช้ AI ลดลง และการส่งเสริมการใช้ AI ให้เกิดความคุ้มค่า
  3. Ethics and Governance หรือ ธรรมาภิบาล AI เช่น แนวปฏิบัติ AI Governance และ การพัฒนา AI Risk Management Framework เป็นต้น
  4. Consultancy Services หรือ การสร้างความตระหนักและสนับสนุนให้เกิดสภาพแวดล้อมที่รองรับการขยายตัวของ AI เช่น มีศูนย์บริการเฉพาะด้านเพื่อให้คำปรึกษา (AI Consulting Clinic), ศูนย์ทดสอบและขึ้นทะเบียนนวัตกรรม AI และ การทำ AI Readiness Measurement เป็นต้น

ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ในฐานะผู้ช่วยเลขาคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติฯ กล่าวว่า ผลการศึกษาครั้งนี้จะเป็นข้อมูลสำคัญในการสนับสนุนการจัดทำแผนการดำเนินการเพื่อส่งเสริมและพัฒนา AI ในระยะที่ 2         ให้เป็นไปอย่างตรงเป้าหมายได้มากขึ้น ตลอดจนเป็นการสร้างโอกาสที่จะนำผลการศึกษาไปต่อยอดและพัฒนานโยบาย แผนการดำเนินงาน แนวทางขับเคลื่อนร่วมกับทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชนเกิดประยุกต์ใช้งาน AI ในทุกกิจกรรมอย่างเหมาะสม มากที่สุดต่อไป ตามยุทธศาสตร์ทั้ง 5 ด้านในแผนฯ ได้แก่ (1) ด้านจริยธรรมและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ที่มุ่งเน้นการสร้างความตระหนักและให้มีศูนย์บริการให้คำปรึกษาด้าน AI (2) ด้านโครงสร้างพื้นฐานและข้อมูลสำหรับ AI ที่เน้นพัฒนา AI Service Platform บนโครงข่าย GDCC ที่จะสนับสนุนภาครัฐและภาคธุรกิจมากขึ้น (3) ด้านการพัฒนากำลังคน เพื่อเพิ่มผู้เชี่ยวชาญและวิศวกรด้าน AI ให้เพียงพอต่อการเติบโต (4) ด้านวิจัยและพัฒนา ด้วยการกำหนด Flagship Project เช่น Thai Large Language Model (LLM) เพื่อสนับสนุนการใช้ Generative AI ในธุรกิจไทย และขึ้นทะเบียนผลงานนวัตกรรม AI และสุดท้าย (5) ด้านการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้งาน AI ได้แก่ การร่วมขับเคลื่อน Tech. Startup เพื่อให้เกิดนวัตกรรมและการสร้างสรรค์งานบริการด้าน AI ในประเทศไทยให้เพิ่มขึ้นเป็นต้น

TikTok Unboxed ประเทศไทย เผยสูตรปั้นแบรนด์ให้ดัง สู่ยอดปังทะลุเป้า

TikTok เผยกลยุทธ์การตลาดแบบครบวงจรและชุดเครื่องมือที่ขับเคลื่อนด้วย AI มุ่งผลักดันแบรนด์ให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ยกระดับการสร้างสรรค์คอนเทนต์ และกระตุ้นการเพิ่มยอดขาย พร้อมเตรียมปล่อยคู่มือด้านการขายและการสร้างแบรนด์เพิ่มผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น เร็วๆ นี้

TikTok แพลตฟอร์มวิดีโอสั้นชั้นนำระดับโลก เผยข้อสรุปจากการจัดงาน ‘TikTok Unboxed Thailand‘ กิจกรรมที่นำเสนอนวัตกรรมในการสร้างแบรนด์และโซลูชันด้านการขาย เพื่อช่วยให้แบรนด์และเอเจนซี่ในไทยสามารถมีส่วนร่วมกับกลุ่มเป้าหมาย และบรรลุผลลัพธ์ทางธุรกิจได้อย่างเป็นรูปธรรม

งาน TikTok Unboxed Thailand จัดขึ้นด้วยจุดประสงค์หลักเพื่อแนะนำกลยุทธ์ในการใช้ประโยชน์จากเครื่องมือทางการโฆษณาของ TikTok ที่ตอบโจทย์การทำการตลาดแบบครบวงจรให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อสร้างแบรนด์และเร่งการเติบโตของยอดขายรวม (Gross Merchandise Value หรือ GMV) ซึ่งภายในงานมีผู้นำด้านการตลาดจากแบรนด์และเอเจนซี่ชั้นนำเข้าร่วมงานมากมาย รวมถึง Bobbi Brown ที่ได้มาแบ่งปันข้อมูลเชิงกลยุทธ์จากการใช้งานโซลูชั่นการตลาดที่ครบวงจรของTikTok เพื่อขับเคลื่อนผลลัพธ์ทางธุรกิจแบบครบวงจรเริ่มตั้งแต่การสร้างการรับรู้ของแบรนด์ไปจนถึงการสร้างยอดขาย

“ที่ TikTok เรามุ่งมั่นในการเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจในไทย ด้วยเครื่องมือและโซลูชันของแพลตฟอร์มที่จำเป็นต่อการเติบโตของแบรนด์ท่ามกลางภูมิทัศน์ดิจิทัลในปัจจุบัน” คุณสิรินิธิ์ วิรยศิริ Head of Business Marketing – TikTok, Thailand กล่าว พร้อมเสริมว่า “การนำกลยุทธ์แบบครบวงจร (Full-funnel) มาใช้นั้น เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับธุรกิจ การสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ไม่เพียงจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อในระยะสั้น แต่ยังส่งผลต่อความสำเร็จของแบรนด์ในอนาคตอีกด้วย โซลูชันด้านการโฆษณาและการขายแบบ Closed-loop สามารถช่วยให้แบรนด์ต่างๆ เข้าถึงลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยกตัวอย่างเช่น เรามีนวัตกรรมอย่าง TikTok ONE และ TikTok Symphony ที่จะช่วยต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ในการผลิตเนื้อหา ซึ่งถือเป็นกุญแจสำคัญของแนวทางการทำการตลาดเพื่อเชื่อมโยงธุรกิจกับลูกค้า และเรามีความมั่นใจว่าทุกแบรนด์ในไทยจะสามารถปลดล็อกอีกขั้นของความสำเร็จได้ด้วยการมีส่วนร่วมกับกลุ่มเป้าหมายอย่างสร้างสรรค์และมีประสิทธิภาพมากขึ้น”

เทรนด์ผู้บริโภคที่แบรนด์ต้องปรับตัวให้ทัน

ในปัจจุบันการใช้คอนเทนต์เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้บริโภค โดยเป็นการผนวกการค้นพบและการซื้อสินค้าเข้าไว้ด้วยกัน มีบทบาทสำคัญมากในการดำเนินธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยังเป็นตัวกำหนดแนวทางที่แบรนด์จะสามารถสร้างความเชื่อมโยงกับผู้บริโภคอีกด้วย และTikTok ในฐานะแพลตฟอร์มที่ปัจจุบันมีผู้ใช้งานมากกว่า 325 ล้านคนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยังเติบโตอย่างต่อเนื่องก็เป็นหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงนี้ TikTok ช่วยให้แบรนด์ต่างๆ สามารถสร้างการรับรู้ สร้างความสนใจ และกระตุ้นความต้องการให้เกิดขึ้นภายในแพลตฟอร์มเดียว นอกจากนี้ TikTok Shop นับเป็นแพลตฟอร์มที่ขับเคลื่อนด้วยระบบนิเวศการช้อปปิ้งแบบครบวงจร ซึ่งผสมผสานพลังของชุมชน ความคิดสร้างสรรค์ และ การค้าขายเข้าด้วยกัน เพื่อส่งมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ไร้รอยต่อ ผู้บริโภคชาวไทยสามารถค้นหาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการและซื้อสินค้าได้โดยตรงจากแพลตฟอร์ม อีกทั้งยังส่งเสริมการมีส่วนร่วมที่มีความหมายระหว่างผู้ซื้อและแบรนด์ผ่านเนื้อหาความบันเทิงที่มากกว่าแค่การขายผลิตภัณฑ์

และท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงนี้ TikTok ส่งเสริมให้แบรนด์ใช้แพลตฟอร์มเป็นช่องทางในการสร้างยอดขายและสร้างธุรกิจให้เติบโต เพราะแพลตฟอร์มของเรามีเครื่องมือและบริการที่จะเป็นประโยชน์กับภาคธุรกิจ ในการสร้างความมีส่วนร่วมกับกลุ่มลูกค้าที่เหมาะสมในทุกๆขั้นตอนของการทำการตลาด การใช้ TikTok Shop และฟีเจอร์อื่นๆ บนแพลตฟอร์มจะช่วยเปลี่ยนการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคให้เป็นยอดขาย ผลลัพธ์ที่ได้ไม่ใช่เพียงแค่การสร้างชื่อเสียงแก่แบรนด์อย่างยั่งยืนเท่านั้น แต่จะให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่ากับการลงทุนอีกด้วย

Bobbi Brown คือตัวอย่างที่น่าสนใจของความสำเร็จจากการใช้งานโซลูชันการตลาดแบบครบวงจรของ TikTok ในประเทศไทย โดยเป็นแบรนด์ในกลุ่ม Prestige แบรนด์แรกที่ประสบความสำเร็จในการสร้างยอดขายสูงสุดจากการใช้โซลูชันด้านการโฆษณาผ่าน TikTok ด้วยการใช้เทคนิค “Brandformance” ที่เป็นการผสมผสานระหว่างการสร้างแบรนด์และอีคอมเมิร์ซ ช่วยให้ Bobbi Brown สามารถยกระดับการจดจำแบรนด์สู่วงกว้างและกระตุ้นยอดขายได้ โดยเฉพาะในแคมเปญโปรโมท Extra Plump Lip Serum กับเทรนด์ “Overlip” ที่แบรนด์ได้แบ่งช่วงของแคมเปญออกเป็นระยะๆ นับจากการสร้างความตื่นเต้นก่อนการเริ่มกิจกรรม Brand Day ด้วยการใช้ TopView ตามด้วยการใช้ Brand Auction Ads เพื่อล็อกกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ซื้อที่มีศักยภาพ และใช้ Shopping Ads เพื่อกระตุ้นยอดขาย แคมเปญดังกล่าวประสบความสำเร็จด้วยยอดขายที่เพิ่มขึ้นถึง 22.4% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงยังมียอด GMV เพิ่มขึ้น 106% และมีอัตราการเข้าถึงสินค้าผ่านโฆษณาใน TikTok Shop เพิ่มขึ้น 6.9% ความสำเร็จของ Bobbi Brown ในครั้งนี้ คือการตอกย้ำถึงประสิทธิภาพในการใช้ TikTok Ads Solutions ในการสร้างผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพทั้งการสร้างแบรนด์และผลักดันยอดขาย

ปลดล็อกศักยภาพของตลาดประเทศไทยด้วยโซลูชันใหม่

จากการศึกษาของ BCG พบว่า Generative AI สามารถลดต้นทุนการผลิตได้สูงสุดถึง 15% ซึ่ง TikTok ได้ตระหนักถึงสิ่งนี้และรับฟังถึงความต้องการของผู้ใช้ พร้อมได้ทำการศึกษาและทำงานร่วมกับนักการตลาดที่มีความคิดสร้างสรรค์ระดับแนวหน้าในอุตสาหกรรมเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการโฆษณาที่ดีที่สุดให้กับธุรกิจ ครีเอเตอร์ และคอมมูนิตี้ TikTok

ในประเทศไทย แบรนด์ต่างๆ จะได้พบกับ ‘TikTok One’ ศูนย์กลางสำหรับนักการตลาดในการเข้าถึงเครื่องมือสร้างสรรค์และผลิตคอนเทนต์ และ ‘TikTok Symphony’ ชุดเครื่องมือการสร้างสรรค์คอนเทนต์ด้วยระบบ AI ใหม่ล่าสุด โดยเครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้แบรนด์สามารถยกระดับการผลิตคอนเทนต์เชิงสร้างสรรค์ไปพร้อมๆ กับสร้างคอนเทนต์ที่เข้าถึงและโดนใจผู้ชมทั่วโลก ซึ่ง TikTok One ช่วยให้แบรนด์สามารถเข้าถึงฐานข้อมูลครีเอเตอร์ของ TikTok ได้กว่า 2 ล้านคน และสามารถค้นพบพันธมิตรจากเอเจนซี่และบริษัทโปรดักชันชั้นนำ รวมถึงข้อมูลเชิงลึกผ่านแพลตฟอร์มเช่น TikTok Creative Exchange, TikTok Creator Marketplace และ TikTok Creative Challenge ผ่านการล็อกอินเพียงแค่ครั้งเดียว ในขณะเดียวกัน TikTok Symphony จะเข้ามาช่วยต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ด้วยเครื่องมือการตัดต่อวิดีโอโดย Generative AI ซึ่งจะช่วยยกระดับการผลิตคอนเทนต์ให้กับธุรกิจต่างๆ นับแต่การเขียนสคริปต์ไปจนถึงการผลิตวิดีโอ ที่สามารถทำให้การสร้างเนื้อหามีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น

นอกจากผลิตภัณฑ์ดังกล่าว TikTok ยังเตรียมเปิดตัวคู่มือการค้าอีคอมเมิร์ซ อันเป็นการสรุปกลยุทธ์ต่างๆ ที่ธุรกิจสามารถนำไปใช้เพื่อการเติบโตของแบรนด์ให้ประสบความสำเร็จในภูมิภาค อาทิ:

  1. การระบุและให้ความสำคัญกับสินค้า Hero SKUs: เพราะสินค้าเหล่านี้จะเป็นสินค้าที่ได้รับความสนใจอย่างมากบนแพลตฟอร์ม โดยได้รับอิทธิพลจากครีเอเตอร์และผู้ใช้สินค้า SKU นั้นๆ ซึ่งแบรนด์จะเริ่มเห็นยอดขายเติบโตอย่างก้าวกระโดดเมื่อมียอดคำสั่งซื้อเฉลี่ย 30 คำสั่งซื้อต่อวันในระยะเวลา 30 วันก่อนหน้า จากนั้นจะทำให้ยอดคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น 36% ในช่วง 30 วันถัดไป และเมื่อยอดคำสั่งซื้อเฉลี่ยเกิน 100 คำสั่งซื้อต่อวัน จะมีการเติบโตเพิ่มขึ้น 60% ในช่วงเวลาเดียวกัน
  2. การผสมผสานการใช้งาน TikTok Shop Ads: เริ่มด้วยการใช้ Product Shopping Ads (PSA) เพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงแรก จากนั้นใช้ Video Shopping Ads (VSA) เพื่อเพิ่มการเข้าถึง และ LIVE Shopping Ads (LSA) เพื่อสร้างสินค้า Super Hero SKUs ซึ่งการใช้งานแบบผสมผสานนี้จะช่วยเพิ่ม GMV ได้ถึง 4 เท่าเมื่อเทียบกับการใช้โฆษณาเพียงแค่สองรูปแบบ
  3. การเข้าถึงแหล่งความรู้ Business Accelerator ของ TikTok บน Seller Center: พร้อมให้การสนับสนุนผู้ขายด้วยการวิเคราะห์และคำแนะนำที่ปรับให้เหมาะสมกับแต่ละธุรกิจ เพื่อช่วยให้ร้านค้าและแบรนด์สามารถดึงดูดกลุ่มเป้าหมายและเติบโตอย่างยั่งยืนบน TikTok Shop

สำหรับผู้ที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับชุดโซลูชันของ TikTok สามารถเข้าชมที่ https://www.tiktok.com/business/th

DEVIALET เปิดตัวร้านแห่งแรกในประเทศไทย ที่ห้างเซ็นทรัลชิดลม ชั้น 2 ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการส่งมอบเสียงที่เปลี่ยนประสบการณ์การฟังในเอเชีย

DEVIALET (เดอเวียเลต์) แบรนด์เครื่องเสียงสุดหรูจากฝรั่งเศสที่บุกเบิกเทคโนโลยีเสียงแห่งอนาคต เปิดตัวร้านแบรนด์แห่งแรกในประเทศไทย ในห้างเซ็นทรัลชิดลม การเปิดร้านนี้นับเป็นก้าวสำคัญของการขยายตลาดของ DEVIALET ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการนำเสนอประสบการณ์เสียงระดับโลกให้กับลูกค้าชาวไทย

ห้างเซ็นทรัลชิดลม เป็นห้างสรรพสินค้าที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการขยายตัวครั้งนี้ เนื่องจากเป็นห้างที่มีชื่อเสียงในด้านทำเลที่ตั้งและความเป็นผู้นำในแนวคิด “One-Stop-Shopping” มาอย่างยาวนาน  ในปัจจุบันเป็นเวลาถึง 50 ปี ที่ห้างเซ็นทรัลชิดลม เป็นห้างระดับไฮเอนด์ของประเทศไทยที่มอบประสบการณ์การเลือกซื้อสินค้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะและมีคุณภาพได้มาตรฐานระดับโลก การร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับภาพลักษณ์ของห้างเซ็นทรัลชิดลมในฐานะ “The Store of Bangkok”

การเปิดร้าน DEVIALET ในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจ โดยการมีร้านในสถานที่สำคัญของกรุงเทพฯ เป็นสัญลักษณ์ของความต้องการเป็นหนึ่งของแบรนด์ในภูมิภาคนี้ DEVIALET ไม่เพียงแต่ตอกย้ำความทุ่มเทต่อตลาดไทย แต่ยังเป็นการปูทางสำหรับการเติบโตในอนาคตด้วยความมุ่งมั่นในการสร้างประสบการณ์การฟังที่ยอดเยี่ยมสำหรับคนรักเสียงเพลงที่มีความต้องการสูง

หนึ่งในไฮไลท์ของร้าน DEVIALET แห่งใหม่คือ LISTENING ROOM ห้องฟังเพลงสุดพิเศษ ที่ได้รับการออกแบบให้เป็นพื้นที่ส่วนตัวและให้ประสบการณ์การฟังเสียงแบบเต็มอิ่ม ช่วยให้ลูกค้าได้สัมผัสถึงคุณภาพเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ DEVIALET ในสภาพแวดล้อมที่ออกแบบมาเฉพาะ ห้องฟังเพลงสีน้ำเงินนี้นำเสนอเทคโนโลยีที่ดีที่สุดของ DEVIALET เป็นโอกาสพิเศษที่ผู้ฟังจะได้สัมผัสกับเสียงเพลงอย่างที่ควรจะได้ยินจริงๆ

Emmanuel Nardin (เอ็มมานูเอล นาร์แดง)  ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายออกแบบของ DEVIALET ได้แสดงถึงวิสัยทัศน์ในการออกแบบร้านนี้ว่า “เมื่อเราออกแบบร้านที่ห้างเซ็นทรัลชิดลม เป้าหมายของเราคือการสร้างพื้นที่ที่สะท้อนถึงแก่นแท้ของ DEVIALET การนำเสนออารมณ์ที่เกิดจากการฟังเสียงบริสุทธิ์ พื้นที่ที่เปิดโล่งและสว่างไสวนี้ ถูกกำหนดด้วยการออกแบบที่เรียบง่ายแต่โดดเด่น เป็นการสดุดีต่อความบริสุทธิ์         เราได้ออกแบบห้องฟังเพลงด้วยการเล่นแสงที่ละเอียดอ่อน เพื่อสร้างประสบการณ์การฟังที่ทุกโน้ตและทุกการสั่นสะเทือนมีชีวิตชีวาอย่างแท้จริง”

นอกจากห้องฟังเพลงแล้ว ร้านยังนำเสนอผลิตภัณฑ์ของ DEVIALET ครบครัน ตั้งแต่ลำโพงรุ่น Phantom ที่เป็นเอกลักษณ์ ไปจนถึง Soundbar รุ่น Dione และหูฟังไร้สายรุ่น Gemini II และร้านจะมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในช่วงปลายปีนี้ ทำให้ลูกค้าได้สัมผัสกับนวัตกรรมเสียงล่าสุด

เพื่อฉลองการเปิดตัว DEVIALET ได้จัดงาน ” DEVIALET Talk” โดยมี Martin Ku (มาร์ติน คู) ผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ร่วมด้วยนักแสดงและนักร้องชื่อดัง ไอซ์ พาริส อินทรโกมาลย์สุต และดีเจมากฝีมือรุ่นใหม่ ไอริส อินทรโกมาลย์สุต (DJ Iris) ในการเสวนาครั้งนี้ นอกจากนี้ DJ Iris ยังมีการแสดงพิเศษ ที่โชว์ศักยภาพของลำโพง DEVIALET ผ่านดนตรีที่น่าตื่นเต้นด้วย งานนี้เป็นการเปิดตัวที่สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับแขกที่มาร่วมงาน และมอบโอกาสให้ผู้เข้าร่วมสัมผัสกับโลกแห่งเสียงของ DEVIALET

องค์กรส่วนใหญ่ โดนโจมตีด้วย Ransomware เพิ่มขึ้น และมากกว่า 71 % กู้คืนข้อมูลไม่ได้

Synology ผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันการจัดเก็บและปกป้องข้อมูล เผย 2 เทรนด์สำคัญ ที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลกธุรกิจอย่างรวดเร็วในปี 2024 เทรนด์แรก มัลแวร์เรียกค่าไถ่ (Ransomware) มีอัตราการโจมตีพุ่งสูงถึง 22% ต่อสัปดาห์ และ71% ขององค์กรที่ถูกโจมตีไม่สามารถกู้คืนข้อมูลได้สมบูรณ์ ส่งผลให้องค์กรต่างๆ เผชิญความเสียหายอย่างมหาศาล  เทรนด์ที่สอง องค์กรทั่วโลกหันมาใช้ระบบ On-premise Productivity Tools ใช้งานบนเซิร์ฟเวอร์ตนเอง หลังองค์กรทั่วโลกพบปัญหาข้อมูลรั่วไหลถึง 81%

สำหรับ On-premise Productivity Tools คือ เครื่องมือหรือซอฟต์แวร์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน สามารถติดตั้งและใช้งานบนเซิร์ฟเวอร์หรือคอมพิวเตอร์ภายในองค์กรเอง แทนที่จะใช้งานผ่านระบบคลาวด์ ข้อดีคือช่วยให้สามารถจำกัดงบประมาณในการใช้งานได้ง่ายกว่าการใช้ผ่านคลาวด์ โดยระบบนี้กำลังกลับมาได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะควบคุมค่าใช้จ่ายได้และจัดการได้ง่ายกว่า

Synology เปิดตัว 4 โซลูชันใหม่ ในปี 2024 ออกแบบเพื่อการจัดเก็บและปกป้องข้อมูลอย่างครบวงจร นำ AI เข้ามาช่วยยกระดับการจัดการข้อมูลให้มีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากขึ้น ตอบโจทย์ความต้องการขององค์กรในยุคดิจิทัลอย่างตรงจุด หลังประสบความสำเร็จในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงเติบโตถึง 150% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา คาดปีนี้มีมูลค่ากว่า  45 ล้านเหรียญสหรัฐฯ พร้อมเดินหน้าขยายตลาดในไทยซึ่งมีศักยภาพเติบโตต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจากนโยบาย Digital Transformation ของภาครัฐและการเพิ่มขึ้นของภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่กระตุ้นความต้องการโซลูชันด้านความปลอดภัยข้อมูลเพิ่มขึ้น

 นายรหัท บุญตันจีน  ผู้จัดการฝ่ายขายประจำประเทศไทย บริษัท ซินโนโลจี้ จำกัด (Synology) เปิดเผยว่า ปัจจุบันมี 2 เทรนด์สำคัญ ที่กำลังมีอิทธิพลต่อองค์กรทั่วโลก ได้แก่ เทรนด์แรก  มัลแวร์เรียกค่าไถ่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว (Ransomware Protection)   การโจมตีทางไซเบอร์โดยเฉพาะ Ransomware ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลก มีอัตราการโจมตีเฉลี่ยต่อองค์กรเพิ่มขึ้นถึง 22% ต่อสัปดาห์ ทำให้องค์กรใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนในการกู้คืนข้อมูล แม้องค์กรที่ยอมจ่ายค่าไถ่ก็ไม่สามารถรับประกันการกู้คืนข้อมูลได้ทั้งหมด จากสถิติพบว่า 71% ขององค์กรที่ถูกโจมตีไม่สามารถกู้คืนข้อมูลได้สมบูรณ์ ทำให้การมีระบบปกป้องข้อมูลที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ กลายเป็นตัวช่วยสำคัญในการลดความเสี่ยงจากการโจมตีทางไซเบอร์ เทรนด์ที่สอง องค์กรทั่วโลกหันมาใช้ระบบ On-premise Productivity Tools ซึ่งเป็นการใช้เครื่องมือหรือซอฟต์แวร์ที่ใช้สำหรับการทำงานและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานขององค์กร ซึ่งถูกติดตั้งและใช้งานบนเซิร์ฟเวอร์หรือคอมพิวเตอร์ภายในองค์กรเองร่วมกับ Cloud SaaS แทนการใช้ออนไลน์ผ่านคลาวด์ (cloud-based services) เพียงอย่างเดียว เพื่อการปกป้องกันข้อมูลรั่วไหลได้มากขึ้น จากรายงานจาก Varonis ระบุว่า 81% ขององค์กรในปี 2022 ประสบปัญหาข้อมูลรั่วไหล การใช้ On-premise Productivity Tools  ช่วยลดความเสี่ยงนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากสามารถควบคุมการเข้าถึงข้อมูลได้อย่างละเอียด และยังช่วยลดต้นทุนการจัดการข้อมูลในระยะยาว 

ทั้งนี้ ในยุคดิจิทัลองค์กรต่างๆ กำลังเผชิญกับความท้าทายที่เพิ่มขึ้นในเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล การจัดการทรัพยากรด้านไอที และความต้องการจัดเก็บข้อมูลที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับความต้องการนำ AI มาเป็นตัวเสริมศักยภาพการทำงานของทีมและองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งเป็นเกราะป้องกันความปลอดภัยที่สูงขึ้น โซลูชันใหม่จาก Synology จึงถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการขององค์กรที่ต้องการขยายศักยภาพในการปกป้องข้อมูล การจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ และการนำเทคโนโลยี AI มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจอย่างมั่นคง บริษัทจึงได้จัดงาน Synology Solution Day 2024 เพื่อเปิดตัวโซลูชันที่สามารถตอบโจทย์องค์กรทั้งภาคเอกชนและภาครัฐในยุคนี้และอนาคต

โดยโซลูชันไฮไลท์ปี 2024 ประกอบด้วย

  1. โซลูชัน การจัดเก็บและการจัดการข้อมูล (Data Storage and Management)

   Synology เปิดตัว Scale-out solution โซลูชันการจัดเก็บและจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ รองรับการขยายได้ถึง 96 โหนด และรองรับทั้ง File Storage และ Object Storage แพลตฟอร์มนี้ออกแบบมาให้ทำงานได้ต่อเนื่องโดยไม่มีสะดุด พร้อมการรองรับ Synology Drive และ Office ที่จะช่วยให้องค์กรสามารถทำงานได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพในยุคที่ข้อมูลเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

  1. โซลูชันป้องกันข้อมูล (Data Protection)

   Active Protect Appliances ใหม่จาก Synology ช่วยให้การปกป้องข้อมูลง่ายขึ้น รองรับการปกป้องเซิร์ฟเวอร์ได้มากถึง 2,500 เครื่อง ในหลายไซต์ทั่วโลก ด้วยนโยบายการเก็บรักษาข้อมูลที่ครอบคลุม พร้อมระบบสำรองข้อมูลที่ช่วยลดการทำข้อมูลซ้ำและเพิ่มประสิทธิภาพในการสำรองข้อมูล

  1. โซลูชันระบบบริหารจัดการเฝ้าระวังและเตือนภัยครบวงจร (Surveillance)

   Surveillance Station ของ Synology ช่วยให้การจัดการระบบเฝ้าระวังในหลายสถานที่เป็นเรื่องง่ายขึ้นจากศูนย์ควบคุมเดียว โดยมีระบบ Centralized Management System (CMS) ช่วยให้ผู้ใช้สามารถจัดการภาพจากกล้องในหลายเซิร์ฟเวอร์ได้ผ่านพอร์ทัลเดียว พร้อมกับ AI Feature ที่จะช่วยให้การเฝ้าระวังทรัพย์สินของคุณปลอดภัยยิ่งขึ้น ในงานนี้ยังมีการเปิดตัวกล้องรุ่นใหม่ ทั้ง FC600เป็นกล้องมุมกว้าง 360 องศา, BC800Z กล้องที่มีความละเอียดสูงถึง 8 ล้านเมกะพิกเซล สามารถถ่ายภาพได้ในความละเอียด 4K และมีฟีเจอร์ AI เช่น การตรวจจับป้ายทะเบียนรถ เพื่อช่วยในการจัดการที่จอดรถ CC400W กล้อง Wi-Fi ที่ง่ายต่อการใช้งาน รวมไปถึงกล้อง Direct to Cloud ใหม่ล่าสุดเช่น CS500B, CS400W  และ CS500T ที่ถูกพัฒนาเพื่อลดความซับซ้อนในการตั้งค่าเซิร์ฟเวอร์ ช่วยให้การตั้งค่าและการใช้งานระบบเฝ้าระวังง่ายขึ้น

  1. Productivity with AI

Synology Office Suite โซลูชันการทำงานร่วมกันแบบครบวงจรที่รวมเครื่องมือต่างๆ เช่น Synology Drive, Synology Office, MailPlus, และ Chat ซึ่งผสานรวมกับ Synology AI Console เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในทีมภายในองค์กรที่สามารถใช้งานได้แบบ on-premise โดย Synology Office Suite นี้จะช่วยให้การทำงานร่วมกันและการสื่อสารเป็นไปอย่างราบรื่น และให้ความปลอดภัยเต็มประสิทธิภาพบน Private cloud ที่องค์กรเป็นเจ้าของข้อมูล100%

ที่ผ่านมาบริษัทมีมูลค่าตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) เติบโตขึ้น 150% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา  จากการนำเสนอผลิตภัณฑ์ และโซลูชันที่ตอบโจทย์ตลาด  โดยผลิตภัณฑ์ NAS/SAN ของ Synology มีความยืดหยุ่นและขยายได้สูง เหมาะสำหรับองค์กรทุกขนาด ด้วยความต้องการที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในภาคธุรกิจ ภาครัฐ และการศึกษา โซลูชันการปกป้องข้อมูลอย่าง Active Backup ยังช่วยปกป้องอุปกรณ์กว่า 20 ล้านรายการ และ Surveillance Station  ที่ช่วยดูแลปกป้องสถานที่ต่างๆ กว่า 500,000 แห่งทั่วโลก  คาดปีนี้มีมูลค่ากว่า 45 ล้านเหรียญฯ ในตลาด SEA

นอกจากนี้ Synology ยังมั่นใจในศักยภาพของตลาดประเทศไทย โดยเล็งเห็นโอกาสการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากการขยายตัวของธุรกิจดิจิทัล รวมถึงการเร่งผลักดันโครงการ Digital Transformation จากหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการบริหารจัดการข้อมูลในยุคดิจิทัล โดยเฉพาะการรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ (Cyber Threats) ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ความต้องการด้านการปกป้องข้อมูลเพิ่มสูงขึ้น ด้วยโซลูชันที่ครอบคลุมทั้งการจัดเก็บ การปกป้องข้อมูล และการบริหารจัดการ IT ที่แข็งแกร่ง บริษัทมีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถเติบโตและขยายฐานลูกค้าในประเทศไทยได้อย่างมั่นคง ตอบโจทย์องค์กรในภาคธุรกิจ รัฐบาล และการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในโลกยุคดิจิทัลที่ความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการจัดการข้อมูลมีความสำคัญอย่างยิ่ง

 

Hot Issue