Home Blog Page 16

Health Tech Innovation โอกาสของสตาร์ทอัพไทย

ขึ้นชื่อว่าอุปกรณ์ทางการแพทย์ต้องมั่นใจเรื่องความปลอดภัยและได้มาตรฐานที่ทั่วโลกยอมรับแต่ถึงแม้จะเป็นโจทย์ยากก็ไม่เกินความสามารถของคนไทย

จากจุดเริ่มต้นทีมวิศวะจุฬาฯ เมื่อ 7 ปีก่อน ได้สร้างปรากฎการณ์ที่น่าทึ่งให้กับวงการแพทย์ไทย เมื่อคนไทยสามารถสร้างกระดูกเทียมเฉพาะบุคคลได้สำเร็จ และมันได้ช่วยชีวิตคนมานับไม่ถ้วน

Techhub Inspire พาไปดูเบื้องหลังของ เมติคูลี่ บริษัทสัญชาติไทย หนึ่งใน Health Tech Startup ที่กำลังมาแรง กับความตั้งใจพัฒนานวัตกรรมของคนไทยให้ไปไกลระดับโลก


:
คนปั้นกระดูกเทียม

สิ่งที่เชื่อตั้งแต่วันแรกคือเราอยากที่จะมีกระดูกสักชิ้นหนึ่งออกแบบมาได้พอเหมาะที่สุด และอยู่กับผู้ป่วยไปได้นานที่สุดผศ.ดร.เชษฐา พันธ์เครือบุตร ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท เมติคูลี่ จำกัด กล่าว และเล่าว่า นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เทคโนโลยีที่อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยถูกนำมาพัฒนาเป็นนวัตกรรมที่ใช้ได้จริง

เมติคูลี่ เกิดจากการรวมกลุ่มของอาจารย์และนักศึกษา คณะวิทยาศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่เชื่อว่ากระดูกของแต่ละคนมีความแตกต่าง เหมือนลายเซ็นที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด การจะปรับกระดูกเทียมนำเข้าที่ผลิตมาเป็นไซส์มาตรฐานให้เข้ากับผู้ป่วยนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย จำเป็นต้องใช้เครื่องมือช่วยปรับกระดูกคนไข้ในขั้นตอนการรักษา

เริ่มจากการผ่าตัดรักษานิ้วหัวแม่มือ เคสแรกที่ประสบความสำเร็จ เมื่อ 7 ปีก่อน จนถึงวันนี้ เทคโนโลยีถูกพัฒนาเพื่อช่วยรักษาและฟื้นฟูอาการบาดเจ็บในส่วนอื่นๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะแผ่นปิดกะโหลกเทียมที่ได้รับมาตรฐานระดับสากลจาก FDA ของสหรัฐ รวมถึงได้รับการขึ้นทะเบียนให้อยู่ในสิทธิ์ของการเบิกจ่ายทั่วหน้าหรือสิทธิ์บัตรทอง ของไทยด้วย

เมติคูลี่ไม่ได้เป็นแค่บริษัทที่พัฒนานวัตกรรมสำหรับคนไทย เราเชื่ออย่างมากเลยว่าเรากำลังพัฒนานวัตกรรมใหม่ให้กับคนไทยได้ต่อเนื่อง จากจุดเริ่มต้นของคน 4-5 คนในปี 2017 ปัจจุบันเรามีคนพัฒนานวัตกรรม หรือ นวัตกรเกิดขึ้นมากกว่า 60 คน ที่กำลังเอานวัตกรรมของประเทศไทยไปช่วยคนทั่วโลกผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท เมติคูลี่ จำกัด กล่าว

 

:  สร้างจุดแข็งจากนวัตกรรม

มีเทคโนโลยีเกิดขึ้นมากมายระหว่างการพัฒนานวัตกรรม เช่น ความพยายามลดขั้นตอนในกระบวนการผลิตโดยนำ AI เข้ามาช่วยวิศวกรออกแบบวัสดุเทียม จากที่เคยใช้เวลาหลักเดือน ให้เหลือเพียง 7 วัน

กันตภัทร ภักดีวิเศษกุล Product development manager ยอมรับว่า ความยากของการพัฒนากระดูกเทียมอยู่ที่การออกแบบให้เหมาะกับคนไข้ เช่นกระดูกข้อต่อสะโพกที่ต้องรับแรงและน้ำหนักตัวของคนไข้ได้ ดีไซน์ต้องเข้ากันได้กับร่างกาย รวมถึงความต้องการคุณหมอที่จำเป็นในขั้นตอนการผ่าตัด

“AI ถูกนำมาใช้ช่วยในการสื่อสารกับระหว่างคุณหมอ กับวิศวกรให้เข้าใจมากขึ้นผ่านแพลตฟอร์มที่สามารถรับข้อมูลจากภาพถ่าย CT-Scan ซึ่งเป็นข้อมูลหลักในการออกแบบวัสดุเทียม ก่อนนำไปขึ้นรูปโลหะไทเทเนียมด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติธันยา เจริญศรีสมบูนณ์ Clinical design lead กล่าว

กันตภัทร เสริมว่า เครื่องพิมพ์ 3 มิติ ไม่ใช่ว่าซื้อมาแล้วจะใช้ผลิตได้เลย แต่ความยากของมันคือจะกำหนดค่าพารามิเตอร์ยังไงให้ออกมาได้ตามที่ออกแบบ รวมถึงสื่อสารกับคุณหมอได้อย่างถูกต้อง นั่นคือสิ่งที่เมติคูลี่กำลังเดินหน้าสร้างทั้งนวัตกรรม และนวัตกร จากรุ่นสู่รุ่น

 

: การตลาดคือแต้มต่อ

จากจุดเริ่มต้นของการสร้างทีม หา Product Champion ที่สามารถหล่อเลี้ยงบริษัทสตาร์ทอัพให้ตั้งตัวได้ ก็เริ่มเข้าสู่ช่วงเวลาขยายตลาดไปยังต่างประเทศ

การตลาดที่เมติคูลี่ทำเรียกว่า โรบินฮู้ดโมเดล หรือการทำของให้ได้มาตรฐานในระดับเดียวกับต่างประเทศ และเราก็จะเอาสิ่งเหล่านั้นกลับมาให้คนไทยได้ใช้ในราคาที่เข้าถึงได้ ในจุดที่มันเหมาะสมกับขนาดตลาดของประเทศไทยจริงเตชวิทย์ หิริสัจจะ Business Development Lead กล่าว

ธนวัฒน์ เพชรรัตนรังสี Research & Development Manager เสริมว่า เมติคูลี่ มีโปรเจค Point of Care ในต่างประเทศเพื่อลดระยะเวลาในการจัดส่ง โดยที่คุณหมอสามารถสั่งผลิตหรือปรับเปลี่ยนชิ้นงานให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละคนได้ทันที ซึ่งการที่จะทำได้นั้น สิทธิบัตรเป็นสิ่งสำคัญมากในการปกป้องนวัตกรรม

ที่ผ่านมาบริษัทได้จดเครื่องหมายการค้า (Trademark) ความลับทางการค้า (Trade Secret) และจดสิทธิบัตรทรัพย์สินทางปัญญา ไปแล้วมากกว่า 36 สิทธิบัตร อีกทั้งยังคำนึงถึงการไม่ละเมิดสิทธิทรัพย์สินทางปัญญาของผู้อื่น ซึ่งล่าสุดเมติคูลี่ได้รับเลือกให้เป็นผู้ชนะในโครงการ WIPO Global Awards ปี 2024 จากเมืองเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์

เตชวิทย์ กล่าวทิ้งท้ายว่า สถานการณ์ปัจจุบันไม่น่าจะต้องรอนาน ภายใน 2-3 ปีนี้ น่าจะมีหน่วยผลิตกระดูกเทียมตามประเทศใหญ่ๆ อย่างน้อย 2-3 ที่ ซึ่งจะช่วยให้บริษัทของไทย สามารถขยายตลาดได้เพิ่มมากขึ้น และผลิตได้จำนวนมากพอกับความต้องการ เพื่อสร้างโอกาสในการต่อยอดและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้คนไทยได้ใช้ ผ่านระบบเบิกจ่ายของประเทศต่อไปในอนาคต

ดูเพิ่มเติม : meticuly

ในยุคที่เทคโนโลยี Generative AI กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว ทำให้องค์กรต่าง ๆ ต้องให้ความสำคัญกับการสร้างวัฒนธรรมที่มุ่งเน้นด้านความปลอดภัยอย่างจริงจังมากยิ่งขึ้น

เทคโนโลยี Generative AI ได้เปิดโอกาสใหม่ ๆ ให้เราสามารถทำในสิ่งที่ในอดีตไม่เคยคาดคิดว่าจะเป็นไปได้ ด้วยเหตุนี้ธุรกิจต่าง ๆ จึงรีบนำเทคโนโลยีทันสมัยเหล่านี้มาใช้ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า และขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มใหม่ ๆ ระบบประมวลผลภาษาธรรมชาติสามารถวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ สำหรับนักพัฒนาแอปพลิเคชัน แต่ขณะที่เทคโนโลยีเหล่านี้แพร่หลายอย่างรวดเร็ว เราต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัย ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของ AI และเทคโนโลยีอื่น ๆ

วัฒนธรรมองค์กรที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัย จะช่วยให้สามารถคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็วและมีความมั่นคงยิ่งขึ้น

ถ้าทุกคนในองค์กรมองว่าความปลอดภัยเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมสร้างธุรกิจ ไม่ใช่อุปสรรค จะช่วยลดความเสี่ยงและทำให้เราปรับตัวได้ง่ายขึ้นเมื่อพบกับปัญหา การมีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่ดีจะทำให้องค์กรสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็วและมั่นใจมากขึ้น ทีมด้านความปลอดภัยและผู้บริหารควรร่วมมือกันทำความเข้าใจความต้องการทางธุรกิจ และจัดให้มีมาตรการป้องกันที่เหมาะสมเพื่อสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจ และนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่าง Generative AI มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

เมื่อนำเทคโนโลยี Generative AI มาใช้งาน การมีระบบรักษาความปลอดภัยข้อมูลที่มั่นคงและให้ผู้ใช้สามารถควบคุมข้อมูลของตนเองได้นั้นมีความสำคัญมาก เพราะจะช่วยลดความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้แอปพลิเคชัน AI ระบบปฏิบัติการ AWS Nitro System ถูกออกแบบมาด้วยมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด โดยไม่ว่าจะเป็นพนักงาน AWS หรือบุคคลอื่นใด ก็ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูล งานประมวลผล หรือระบบคลาวด์ที่ลูกค้าใช้งานบนเซิร์ฟเวอร์ Amazon EC2 (Amazon Elastic Compute Cloud) ได้เลย ดังนั้น องค์กรควรเลือกใช้ระบบคลาวด์และโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ AI ที่มีความปลอดภัยสูง เพื่อให้สามารถควบคุมและปกป้องข้อมูลของตนเองได้อย่างมั่นใจ

Generative AI ช่วยให้ผู้ใช้งานที่ให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยใช้งานได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เครื่องมือที่ใช้ AI สามารถช่วยผู้ดูแลระบบไอทีและระบบรักษาความปลอดภัยตรวจพบและแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ฟังก์ชันถามตอบด้วยภาษาธรรมชาติ (NLP) ช่วยให้เราค้นหาและดูข้อมูลบันทึกความปลอดภัยและเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น เพียงป้อนคำถามด้วยประโยคภาษาธรรมชาติโดยไม่ต้องใช้คำสั่งหรือรหัสที่ซับซ้อน ความสามารถใหม่ที่เพิ่มเข้ามาใน AWS CloudTrail Lake ช่วยให้ผู้ดูแลระบบความปลอดภัยสามารถถามคำถามด้วยภาษาธรรมชาติ เช่น “ข้อผิดพลาดนี้เกิดจากอะไร” นอกจากนี้ AWS ได้พัฒนา framework ใหม่ในส่วนของ AWS Audit Manager ช่วยให้ลูกค้าเข้าใจการใช้งาน Generative AI ของตนเองได้ดียิ่งขึ้น ระบบนี้จะช่วยระบุข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อน และติดตามการใช้งานโมเดล AI รวมถึงสิทธิ์การเข้าถึงของผู้ใช้ต่าง ๆ

วัตสัน ถิรภัทรพงศ์ Country Manager ของ AWS ประเทศไทย กล่าวว่า “เพื่อให้เทคโนโลยีเหล่านี้สร้างการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง เราจำเป็นจะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องการรักษาความปลอดภัยในทุกส่วนของระบบ AI ที่เราใช้งาน ส่วนแรกคือเครื่องมือสำหรับสร้างและฝึกโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) และโมเดลพื้นฐาน (FM) ต่าง ๆ ส่วนถัดมาคือช่องทางเข้าถึงโมเดลต่าง ๆ เหล่านั้น พร้อมด้วยเครื่องมือที่จำเป็นในการพัฒนาแอปพลิเคชัน AI รวมถึงความสามารถในการขยายในอนาคต และส่วนสุดท้ายคือแอปพลิเคชันที่พร้อมใช้โมเดล LLM เหล่านี้ในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการเขียนและแก้โค้ด การสร้างเนื้อหา หรือการแบ่งปันข้อมูลเชิงลึก เพื่อให้การทำงานง่ายและราบรื่นขึ้น การยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในทุกส่วนของระบบเป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญสูงสุด”

การรักษาความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพนั้นต้องเป็นเชิงรุกและมีการทำงานร่วมกัน

การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่มุ่งเน้นด้านความปลอดภัยนั้น ควรมีการกระจายความรับผิดชอบด้านนี้ไปยังพนักงานทุกระดับ ตั้งแต่ผู้บริหารระดับสูงจนถึงนักพัฒนา ทุกคนต้องมีส่วนร่วมในการรักษาความปลอดภัย วิธีนี้จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าความปลอดภัยจะได้รับดูแลและไตร่ตรองในทุกขั้นตอนของการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือแม้แต่ในการประชุมประจำวัน ในปัจจุบันที่มีภัยคุกคามด้านความปลอดภัยรอบด้าน การมีมุมมองและวิธีการด้านความปลอดภัยที่ทันสมัยและเชิงรุกจึงมีความสำคัญมาก นอกจากนี้ การปฏิบัติตามหลักการและมาตรฐานขั้นพื้นฐานด้านความปลอดภัยก็ยังคงเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องให้ความสำคัญเช่นกัน

การปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน เช่น การใช้การยืนยันตัวตนหลายขั้น (Multi-Factor Authentication) ยังคงเป็นเรื่องสำคัญ แม้ว่าจะเป็นแนวปฏิบัติพื้นฐานแต่ก็ยังไม่แพร่หลายนัก ล่าสุด AWS Identity and Access Management (IAM) ได้เพิ่มการรองรับ Passkeys ซึ่งเป็นวิธียืนยันตัวตนที่ปลอดภัยกว่าการใช้รหัสผ่านเพียงอย่างเดียว

ความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการดำเนินธุรกิจ

องค์กรต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรมด้านความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง เพราะภัยคุกคามทางไซเบอร์มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้นธุรกิจจึงต้องเตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามใหม่ ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอด จึงจำเป็นต้องลงทุนในเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยให้ทันสมัยอยู่เสมอ และปลูกฝังให้ทุกคนในองค์กรตระหนักถึงความสำคัญของความปลอดภัย การนำหลักการเหล่านี้มาปฏิบัติ จะช่วยสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยที่ไม่เพียงป้องกันภัยคุกคามในปัจจุบัน แต่ยังเตรียมความพร้อมในการรับมือกับความท้าทายจากเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างปลอดภัยด้วย ในยุคดิจิทัลที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การมีพื้นฐานด้านความปลอดภัยที่มั่นคงจึงไม่ใช่เพียงแค่การป้องกันเท่านั้น แต่ยังเป็นข้อได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจอีกด้วย

สรุปผลการวิจัยโดย Salesforce และ YouGov ในหัวข้อ มุมมองของผู้บริหารระดับสูงในประเทศไทยต่อเทคโนโลยี Generative AI

วิธีการวิจัย 

งานวิจัยชิ้นนี้ได้รวบรวมความคิดเห็นจากผู้บริหารระดับสูงจำนวน 225 คนในประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงจากองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีพนักงานมากกว่า 250 คนขึ้นไป ผู้ให้ข้อมูลในการสำรวจครั้งนี้ประกอบด้วยประธานฝ่ายสารสนเทศ (CIO) หรือประธานฝ่ายสายงานเทคโนโลยี  (CTO) และผู้บริหารระดับสูงอื่นๆ เช่นประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท (CEO) กรรมการบริษัท และเจ้าของธุรกิจ

ผู้บริหารระดับสูงในประเทศไทย มองว่า Generative AI เป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากต่อการดำเนินธุรกิจ และได้นำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงานขององค์กรแล้ว

  • ‎ผู้บริหารที่ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ (84%) มองว่า Generative AI เป็นหนึ่งในสิ่งที่มีความสำคัญมากที่สุดในการดำเนินธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ ภายในอีกสามปีข้างหน้า
    • 37% มองว่า Generative AI มีความสำคัญมากที่สุดเป็นลำดับแรก
    • 47% มองว่าเป็นหนึ่งในสามสิ่งที่มีความสำคัญมากที่สุด
  • ผู้บริหารระดับสูงส่วนใหญ่ (58%) กล่าวว่าองค์กรได้มีกลยุทธ์ด้าน Generative AI ที่กำหนดขึ้นอย่างชัดเจนแล้ว ขณะที่ผู้บริหารจำนวน 38% กล่าวว่าได้เริ่มวางแผนเพื่อกำหนดกลยุทธ์ด้านนี้แล้วเช่นกัน
  • ปัจจัยสามอันดับแรกที่ผลักดันให้ผู้บริหารจัดลำดับความสำคัญกับการนำ Generative AI มาใช้ในองค์กร ได้แก่
    • ความคาดหวังจากลูกค้า ที่ต้องการความรวดเร็วและประสบการณ์ที่ปรับให้เหมาะกับแต่ละบุคคลมากยิ่งขึ้น (44%)
    • ความต้องการของพนักงานในการนำเครื่องมือ Generative AI มาใช้ในองค์กร (44%)
    • ความต้องการขององค์กรที่จะนำนวัตกรรมที่สร้างประสบการณ์รูปแบบใหม่ มามอบให้กับลูกค้าและพนักงาน (41%)
  • ผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท (CEO) เป็นผู้ที่มีความสำคัญและความรับผิดชอบมากที่สุด (30%) ต่อความสำเร็จในการนำ Generative AI มาใช้งาน และสนับสนุนให้องค์กรมีความพร้อม โดย 28% ระบุว่าเป็นประธานฝ่ายสารสนเทศ (CIO) หรือประธานฝ่ายสายงานเทคโนโลยี (CTO) และ 24%‎ ระบุว่าคือหัวหน้าแผนกงานด้านต่าง ๆ

แม้ว่าผู้บริหารจะมีความมั่นใจต่อการใช้งานเทคโนโลยี แต่ยังคงพบอุปสรรคในการนำ Generative AI มาใช้ดำเนินงาน เนื่องจากประสบปัญหาในด้านข้อมูล ซึ่งอาจขัดขวางความก้าวหน้าในการใช้ Generative AI ได้

 

  • อุปสรรคและปัญหาในด้านข้อมูลที่พบจากการสำรวจ ได้แก่
    • Generative AI มักให้ผลการทำงานที่ขาดความถูกต้องแม่นยำ (29%)
    • การใช้ข้อมูลสาธารณะซึ่งขาดความครบถ้วนและไม่เป็นปัจจุบัน ในการฝึกโมเดล AI (28%)‎
    • การใช้ข้อมูลลูกค้าหรือข้อมูลบริษัทที่ไม่ครบถ้วน ในการฝึกโมเดล AI (28%)‎
    • ปัญหาการปกป้องความเป็นส่วนบุคคลและความปลอดภัยของข้อมูล (28%)‎
    • สำหรับผู้บริหารจากกลุ่มธุรกิจที่มีพนักงานมากกว่า 1,000 คน ผลสำรวจพบว่าประเด็นด้านความเป็นส่วนบุคคลและความปลอดภัยของข้อมูลถือเป็นอุปสรรคที่ผู้บริหารเลือกมากที่สุดเป็นอันดับสอง (30%)
  • เมื่อถามถึงเรื่องที่เป็นหัวข้อสำคัญในการสร้างความไว้วางใจและความเชื่อมั่นต่อการใช้เครื่องมือ Generative AI ผู้บริหารที่ตอบแบบสอบถามเกือบทั้งหมด (98%) ระบุว่าความถูกต้องแม่นยำ‎เป็นสิ่งสำคัญ นอกจากนี้ยังระบุว่าการมีข้อมูลที่ครบถ้วนสมบูรณ์ (96%) และการปกป้องความเป็นส่วนบุคคลและความปลอดภัยของข้อมูล (97%) นั้นคือสิ่งสำคัญต่อการสร้างความเชื่อมั่นในการใช้เทคโนโลยีนี้

เมื่อพิจารณาตามฟังก์ชันแผนกงาน การวิจัยพบว่ายังคงมีช่องว่างระหว่างศักยภาพของผลตอบแทนจากการลงทุนในเทคโนโลยี Generative AI ซึ่งสามารถพัฒนาต่อไป และยังคงมีโอกาสสำหรับการลงทุนในอนาคตสำหรับประเทศไทย

  • เมื่อถามว่า Generative AI จะสร้างผลเชิงบวกที่สำคัญในฝ่ายงานด้านไหนขององค์กร ผู้บริหารระดับสูงระบุว่าฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศหรือ IT เป็นด้านที่ได้รับผลเชิงบวกมากที่สุด ‎(44%)‎ โดยฝ่ายปฏิบัติการเป็นอีกด้านที่ได้รับผลเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญ ‎(30%)‎
  • ผู้บริหารมองเห็นผลกระทบเชิงบวกของ AI ในฝ่ายงานที่ต้องติดต่อสัมพันธ์กับลูกค้า เช่น ฝ่ายบริการลูกค้า (26%) และฝ่ายขาย (23%)‎

ท่ามกลางความนิยมในการใช้ Autonomous AI ผู้บริหารระดับสูงของไทยต่างมีความมั่นใจที่จะมอบให้ AI ดำเนินงานแบบอัตโนมัติได้ด้วยตนเอง

  • ปัจจุบันเรากำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของคลื่นลูกที่สามของการพัฒนา AI ซึ่งคือ Autonomous AI หรือ AI ที่ทำงานได้ด้วยตัวเองแบบอัตโนมัติ เทคโนโลยีนี้สามารถทำงานที่ซับซ้อนได้ด้วยตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องมีมนุษย์เข้ามาคอยควบคุมกำกับ
  • ผู้บริหารระดับสูงทั้งหมดที่เข้าร่วมในการวิจัย (100%) ระบุว่าพวกเขาเชื่อมั่นและไว้วางใจที่จะมอบหมายงานตามที่ระบุในการสำรวจอย่างน้อยหนึ่งด้าน ให้ AI เป็นผู้ดำเนินการโดยไม่ต้องมีการควบคุมกำกับจากมนุษย์ ภายในอีกสามปีข้างหน้านี้

อัลกอริทึมใหม่ L-Mul ประมวลผล AI ลดใช้พลังงานได้ 95%

L-Mul

ปัญหาการใช้พลังงานมหาศาลของ AI กำลังเป็นเรื่องน่ากังวล บางครั้งคนพูดกันว่า แค่เราพิมพ์คำสั่งลงใน ChatGPT 1 ครั้ง มันก็สร้างคาร์บอนมหาศาล

ตอนนี้มีบริษัทหนึ่งกำลังหาทางออกเรื่องนี้ ด้วยการสร้างอัลกอริทึมใหม่ที่ชื่อว่า L-Mul ซึ่งใช้การบวกเลขจำนวนเต็ม แทนการคูณเลขทศนิยมแบบเดิม ช่วยลดการใช้พลังงานได้มากถึง 95% โดยไม่กระทบต่อความแม่นยำและความเร็ว

ผลการทดสอบกับ AI ประเภท Transformer เช่น GPT พบว่า L-Mul ช่วยประหยัดพลังงานได้อย่างมีนัยสำคัญ แถมยังเพิ่มความแม่นยำในการทำงานบางอย่างได้อีกด้วย เทคโนโลยีนี้จึงน่าจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อวงการ AI ในอนาคต

อย่างไรก็ตาม L-Mul ยังต้องใช้ฮาร์ดแวร์เฉพาะ ซึ่งทาง BitEnergy AI กำลังพัฒนาอยู่ นอกจากนี้ ยังต้องรอดูท่าทีของบริษัทผู้ผลิตฮาร์ดแวร์สำหรับAI รายใหญ่อย่าง Nvidia ว่าจะยอมรับเทคโนโลยีนี้หรือไม่ครับ รอดูต่อไปกัน

หาก L-Mul ประสบความสำเร็จ จะช่วยลดต้นทุนและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการใช้ AI และอาจนำไปสู่การพัฒนา AI ที่ทรงพลังยิ่งขึ้นในอนาคต

ที่มา
https://www.techspot.com/news/105075-new-ai-algorithm-promises-slash-ai-power-consumption.html

ไร้คนขับ Tesla เปิดตัว Cybercab แท็กซี่ขับเคลื่อนอัตโนมัติ 100%

[มีแต่เบาะ] อาจเรียกได้ว่าเป็นปีทองของ Elon Musk เลยก็ว่าได้ หลังประสบความสำเร็จทั้งฝั่ง Starlink ที่มีผู้ใช้กว่า 4 ล้านคนแล้ว ทั้งจรวด Falcon Heavy ที่ลงจอดบนแท่นปล่อยได้สำเร็จ และการเปิดตัว Optimus หุ่นยนต์ Humanoid ที่สร้างเสียงฮือฮาไปทั่วโลก ในช่วงเวลาเดียวกันนี้เอง ยังได้เปิดตัวแท็กซี่ขับเคลื่อนเองได้จาก Tesla ที่หลายคนรอมานานแล้วอย่าง Cybercab

ในงาน We, Robot ของ Tesla ล่าสุดได้เปิดตัว Cybercab รถแท็กซี่ไร้คนขับ ไร้พวงมาลัย และไร้คันเร่ง ชูระบบขับเคลื่อนเองได้ 100% โดยลักษณะคล้ายกับรถกระไฟฟ้าตัวดังอย่าง Cybertruck แต่มีสองที่นั่ง มีประตูแบบปีกผีเสื้อ และมีขนาดเล็กกับเพรียวบางกว่า

สำหรับตัว Cybercab ยังได้รับการออกแบบให้ใช้ AI และกล้องนำทางช่วยในการเคลื่อน แทนที่จะใช้ฮาร์ดแวร์ยอดนิยมอย่าง Lidar ที่คู่แข่งมักใช้ในรถไฟฟ้าขับเคลื่อนเองได้ของตัวเอง

ทางด้าน Elon Musk เผยด้วยว่า Cybercab จะมีราคาต่ำกว่า 30,000 ดอลลาร์ฯ หรืออาจไม่เกิน 1 ล้านบาท คาดจะเริ่มผลิตได้ในปี 2027 หรืออีกราว ๆ 3 ปีข้างหน้า

นอกจาก Cybercab แล้ว ในงานยังเปิดตัว Cybervan รถบัตรขับเคลื่อนเองได้ สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ถึง 20 คน

“เราคาดหวังว่าจะเริ่มใช้ Full Self-Driving (FSD) เต็มรูปแบบในเท็กซัสและแคลิฟอร์เนียได้ในปีหน้า” Elon Musk กล่าว

ที่มา : Techcrunch

Infinix เปิดตัว E-Color Shift 2.0 ปฏิวัติการปรับแต่งฝาหลังสมาร์ทโฟนรูปแบบใหม่ด้วยเทคโนโลยี AI

อินฟินิกซ์ (Infinix) แบรนด์สมาร์ทโฟนระดับโลกที่คุ้มค่า ครบครันทุกการใช้งาน และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ เปิดตัวเทคโนโลยี E-Color Shift 2.0 สร้างสีสันให้กับการปรับแต่งฝาหลังสมาร์ทโฟนด้วยพลัง AI ครั้งแรกของโลก เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งฝาหลังสมาร์ทโฟนได้ด้วยสีสันและไอคอนต่าง ๆ  นวัตกรรมนี้ตอบโจทย์ความต้องการในการแสดงออกได้อย่างอิสระ ช่วยให้ผู้ใช้งานสร้างสรรค์สมาร์ทโฟนที่มีความเป็นตัวเองได้ไม่ซ้ำใครและเปลี่ยนแปลงได้ตามสไตล์ที่ต้องการ

เทคโนโลยี Color-shifting หรือการเปลี่ยนสีที่ฝาหลังของสมาร์ทโฟนได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยเทคโนโลยีนี้แบ่งได้เป็นสองประเภท คือแบบไม่ใช้ไฟฟ้า (non-electrically driven) และแบบใช้ไฟฟ้า(electrically driven) อินฟินิกซ์เป็นผู้นำในด้านนวัตกรรมทั้งสองรูปแบบ ตั้งแต่การพัฒนาคอนเซ็ปต์ไปจนถึงการวิจัยขั้นสูง โดยมีจุดเริ่มต้นในปีพ.ศ. 2564 อินฟินิกซ์เปิดตัวคอนเซ็ปต์โฟนที่มาพร้อมฝาหลังที่เปลี่ยนสีได้สองสีครั้งแรกในตลาดสมาร์ทโฟน ด้วยการใช้เทคโนโลยี Electrochromic และ Electroluminescent ต่อมาในปี พ.ศ. 2565 อินฟินิกซ์ได้พัฒนาเทคโนโลยี Light-Painting Leather ไปสู่เทคโนโลยี Photochromic ล่าสุดในปีนี้กับการเปิดตัวเทคโนโลยี E-Color Shift 2.0 ที่มีการอัปเกรดจากเวอร์ชันแรกในส่วนสำคัญ เช่น จำนวนพื้นที่ในการเปลี่ยนสี การอัปเกรดฮาร์ดแวร์ Prism3S ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้สูงขึ้น การผสาน AI กับฮาร์ดแวร์สุดล้ำเพื่อยกระดับการใช้งานที่ผสานเข้ากับศิลปะที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น

นายเวยจี เน่ย (Weiji Nie) หัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์บริษัท อินฟินิกซ์ “นวัตกรรมล่าสุดของอินฟินิกซ์ตอบสนองความต้องการในการปรับแต่งสีสันและการแสดงออกถึงตัวตนที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ทั่วโลก โดยทั่วไปแล้วการปรับแต่งสมาร์ทโฟนมักจำกัดอยู่ที่วอลเปเปอร์หน้าจอเและมาพร้อมกับฝาหลังที่ออกแบบไว้แล้ว โดยเทคโนโลยี E-Color Shift 2.0 ได้ทลายข้อจำกัดนี้ด้วยฝาหลังที่เปลี่ยนสีได้ ด้วยเทคโนโลยี AI ในการปรับสีและลวดลายฝาหลังตามภาพที่ผู้ใช้งานเลือกและสะท้อนออกมาบนพื้นที่ฝาหลังที่ปรับแต่งได้กว่า 46 จุด การผสานระหว่างเทคโนโลยีกับศิลปะนี้จะช่วยให้เกิดการสร้างสรรค์สิ่งใหม่และทำให้อินฟินิกซ์เป็นสมาร์ทโฟนแห่งอนาคตที่มีความโดดเด่นอย่างแท้จริง” 

E-Color Shift 2.0 ปฏิวัติการปรับแต่งฝาหลังสมาร์ทโฟน

E-Color Shift 2.0 ของอินฟินิกซ์จะช่วยยกระดับการปรับแต่งสมาร์ทโฟนไปอีกขั้น ผู้ใช้งานสามารถเปลี่ยนฝาหลังโทรศัพท์ตามที่ต้องการด้วยตัวเลือกที่ไม่จำกัด โดยเทคโนโลยี E-Color Shift 2.0 ขับเคลื่อนโดยไดอะแฟรม Prism3S ซึ่งทำงานร่วมกับ AI เพื่อมอบประสบการณ์การปรับแต่งที่เหนือระดับ ให้ผู้ใช้งานสามารถปรับสีสันอย่างอิสระได้กว่า 46 จุดบนฝาหลัง ผสานสีสันและลวดลายที่แปลกใหม่ นอกจากนี้อัลกอริทึม AI ยังช่วยวิเคราะห์ภาพที่ผู้ใช้งานเลือกและปรับแต่งสีฝาหลังให้สอดคล้องกับภาพที่เลือกได้อย่างอัตโนมัติ หนึ่งในความก้าวหน้าที่สำคัญ คือการเปลี่ยนจากการใช้แหล่งพลังงานภายนอกเป็นการใช้แบตเตอรี่ของสมาร์ทโฟน ทำให้ฝาหลังสามารถส่องสว่างได้ตลอดเวลา ยกระดับเพื่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน และฝาหลังได้พัฒนาไปจากรูปแบบสองมิติเป็นสามมิติ ทำให้สามารถใช้งานบนสมาร์ทโฟนรุ่นต่าง ๆ ได้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังนำไดอะแฟรม Prism3S มาช่วยปรับปรุงคุณภาพของการแสดงผลทำให้การเปลี่ยนสีชัดเจนและสวยงามยิ่งขึ้น

คุณสมบัติใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI นิยามใหม่ของสมาร์ทโฟน

E-Color Shift 2.0 ก้าวข้ามการปรับแต่งรูปแบบเดิม โดยการผสานเทคโนโลยี AI ขั้นสูง ด้วยคุณสมบัติอย่าง AI Color Matching ที่จะวิเคราะห์สีที่โดดเด่นในภาพถ่ายของผู้ใช้และแปลงเป็นเฉดสีที่สะท้อนบนฝาหลัง AI Weather Response ตรวจจับสภาพอากาศในภาพและแปลงเป็นสีสันที่สะท้อนถึงบรรยากาศนั้น และ AI Emotion Matching ยกระดับการปรับแต่งขึ้นไปอีกขั้น ด้วยการวิเคราะห์สีหน้าของตัวละครในภาพพอร์ตเทรต และจะระบุอารมณ์ที่พร้อมปรับเปลี่ยนเป็นสีและลวดลายให้สอดคล้องกับอารมณ์บนภาพ

อินฟินิกซ์ได้เปิดตัวเทคโนโลยี AI-Powered E-Color Shift 2.0 เพื่อยกระดับประสบการณ์ในการปรับแต่งสมาร์ท
โฟนของผู้ใช้งาน นวัตกรรมนี้ไม่เพียงแต่ขยายขีดจำกัดทางเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟนเท่านั้น แต่ยังเป็นการผสานงานศิลปะเข้ากับเทคโนโลยีขั้นสูงอย่างลงตัว อินฟินิกซ์ตอกย้ำความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในการพัฒนาเทคโนโลยีล้ำสมัยและนำสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ในอนาคต เพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วของคนรุ่นใหม่ 

สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/InfinixMobileThailand/

EDGNEX Data Centers โดย DAMAC สำนักงานใหญ่จากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ประกาศร่วมทุนเชิงกลยุทธ์กับ PROEN Corp บริษัทในประเทศไทย

  • ประกาศโครงการศูนย์ข้อมูลที่ทันสมัยในประเทศไทย ด้วยศักยภาพความจุรวม 20 เมกะวัตต์
  • EDGNEX จะลงทุน 1 พันล้านดอลลาร์ (32,000 ล้านบาท) Data Center ในประเทศไทย
  • EDGNEX ก่อตั้งโดย DAMAC Group ผู้ให้บริการ Data Center ระดับโลก สนับสนุนการขายส่งและค้าปลีก แบบไฮเปอร์สเกล

EDGNEX Data Centers โดย DAMAC ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลระดับโลก ได้ประกาศการลงทุนครั้งสำคัญ โดยครั้งที่สองนี้ ได้สนใจลงทุนกับประเทศไทย ในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ซึ่ง EDGNEX วางแผนที่จะลงทุนกว่า 32,000 ล้านบาท (1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในโครงการพัฒนาศูนย์ข้อมูล (Data Center) หลายโครงการ เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นทางด้านเทคโนโลยี AI ขั้นสูง และความสามารถในการประมวลผลข้อมูล EDGNEX ในเครือ DAMAC Group ยังเป็นผู้นำ ระดับโลก ในด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และ Data Centers อื่นๆ อีกด้วย

ล่าสุด EDGNEX ประกาศการร่วมทุนกับ บริษัท โปรเอ็น คอร์ป จำกัด (มหาชน) บริษัทชั้นนำในด้านเทคโนโลยีของประเทศไทย โดยการจับมือกันครั้งนี้ เป็นการขยายธุรกิจครั้งใหญ่ของทั้งสองบริษัทในประเทศไทยที่สอดคล้องกับความมุ่งมั่นในการสนับสนุนและพัฒนาด้านดิจิทัล ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) โดย EDGNEX จะถือหุ้น 70% ในการร่วมทุนและเป็นหัวเรือใหญ่ รับผิดชอบงานบริการด้านดาต้า เซอร์วิส (Data Services) โดยมี ฯพณฯ ประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้เกียรติร่วมเป็นประธานในงาน และ ท่านรองนายกฯ ยังได้ขึ้นกล่าวแสดงความยินดี และวิสัยทัศน์ของรัฐบาลด้านการลงทุนธุรกิจดิจิทัลในประเทศไทย

“ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับเชิญมาเป็นประธานในโอกาสการประกาศความร่วมมือระหว่างของทั้งสองบริษัท และการได้มาร่วมงานในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสอันดีที่ได้พบปะกับบุคคลสำคัญในแวดวงเทคโนโลยีและดิจิทัล เนื่องจากปัจจุบัน ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ และรัฐบาลก็ได้ให้ความสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลอย่างมาก เราได้วางนโยบายเพื่อส่งเสริมการเติบโตของภาคดิจิทัลในทุกด้าน ตั้งแต่การสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ไปจนถึงการพัฒนาทรัพยากรบุคคลและการส่งเสริมธุรกิจดิจิทัล การลงทุนครั้งนี้จะเสริมสร้างขีดความสามารถในการประมวลผลข้อมูลของประเทศไทย รองรับการเติบโตของธุรกิจดิจิทัล รวมถึงดึงดูดนักลงทุนจากทั่วโลกเข้ามา นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับคนไทยในแง่ของงานและธุรกิจ ผมขอแสดงความยินดีและขอขอบคุณ EDGNEX ที่ได้ให้ความไว้วางใจและเลือกประเทศไทยเป็นฐานการลงทุน ผมเชื่อมั่นว่าการร่วมลงทุนในครั้งนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการพัฒนาภาคดิจิทัลของประเทศไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป”ฯพณฯ ประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี กล่าว.

ในส่วนของ Mr.Hussain ได้กล่าวถึงการร่วมทุนครั้งนี้ด้วยว่า “เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะขยายการลงทุนของเรา มายังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และโดยเฉพาะการลงทุนในประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่มีศักยภาพอย่างมาก ในการเติบโตด้านนวัตกรรม ดิจิทัล และเทคโนโลยีอัจฉริยะ เรามุ่งมั่นสนับสนุนเศรษฐกิจดิจิทัล ที่กำลังเติบโตในประเทศไทย และการจัดหาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับธุรกิจยุคใหม่ ที่เน้นการขับเคลื่อนด้วย AI ในการร่วมทุนเชิงกลยุทธ์ในประเทศไทยครั้งนี้ เราวางแผนในการขยายกำลังการผลิตของศูนย์ข้อมูล (Data Center) ให้ถึงระดับ 100 เมกะวัตต์” Mr.Hussain Sajwani กล่าว.

ด้าน นายกิตติพันธ์ ศรีบัวเอี่ยม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โปรเอ็น คอร์ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีมากที่ได้เป็นพันธมิตรกับ EDGNEX โดย DAMAC ซึ่งเป็นผู้นำในธุรกิจศูนย์ข้อมูล (Data Center) โดยมีฐาน การดำเนินงานที่มั่นคงทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การร่วมทุนกันครั้งนี้ ตอกย้ำถึงความสำคัญของการขยายโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งเรามุ่งหวังที่จะนำความเป็นเลิศและนวัตกรรมมาสู่ตลาดได้”

การร่วมทุนดังกล่าวจะรวมถึงโครงการศูนย์ข้อมูล  (Data Center) ที่ล้ำสมัยซึ่งมีกำลังการผลิตรวม 20 เมกะวัตต์ โดยระยะแรกจะมีกำลังการผลิตที่ 5 เมกะวัตต์ กำหนดเปิดดำเนินการได้ในต้นปี 2568 ศูนย์ข้อมูล (Data Center) แห่งนี้จะเป็นศูนย์ข้อมูลที่เป็นกลางทางด้านเครือข่าย (Carrier-Neutral Facility) พร้อมด้วยการรองรับ มาตรฐานการใช้งานในระดับ Tier III ซึ่งมีความน่าเชื่อถือและ รองรับการให้บริการลูกค้าในระดับโลก โดยจะเริ่มดำเนินการภายในปีนี้

การแถลงข่าวครั้งนี้เพื่อเฉลิมฉลองความสำเร็จครั้งสำคัญ โดยมีผู้บริหารระดับสูงของ EDGNEX และ PROEN Corp เป็นตัวแทนในการร่วมทุนครั้งยิ่งใหญ่ คาดว่าตลาดศูนย์ข้อมูลในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ขนาดตลาดคาดว่าจะอยู่ที่ 14.27 พันเมกะวัตต์ในปี 2567 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 23.2 พันเมกะวัตต์ในปี 2572 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) อยู่ที่ 10.21%

ทั้งนี้ DAMAC Group ได้ร่วมทุนกับ PROEN ผ่านบริษัท ซีซอร์ ดาต้าเซ็นเตอร์ แอนด์ คลาวด์ เซอร์วิสเซส จำกัด   ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุน(JV) ระหว่างบริษัทแมกม่า โฮลดิ้ง คอมพะนี ลิมิเต็ด และ บริษัท โปรเอ็น คอร์ป จำกัด (มหาชน) ทั้งนี้ บ.แมกม่าฯ ถือหุ้นใหญ่โดยกลุ่มผู้ก่อตั้ง DAMAC Group ซึ่งเป็นผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และศูนย์ข้อมูลดาต้าเซ็นเตอร์ระดับโลก

ส่องไฮไลท์สุดล้ำ Bespoke AI Laundry Combo เครื่องซักและอบผ้าในเครื่องเดียวจากซัมซุง

เปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทยแล้ว  สำหรับ Bespoke AI Laundry Combo™ เครื่องซักผ้าสุดล้ำจากซัมซุง ที่รวมทั้งการซักและอบผ้าไว้ในเครื่องเดียว โดยใช้เทคโนโลยีการอบผ้าที่ดีที่สุดอย่าง Heatpump  และมาพร้อมกับฟังก์ชันการใช้งานที่นำเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยยกระดับการดูแลผ้าให้สะดวกสบายยิ่งขึ้น ลดความยุ่งยากในการย้ายผ้าระหว่างการซักและอบ ประหยัดพื้นที่ ประหยัดเวลา ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่

การเปิดตัว Bespoke AI Laundry Combo™ นับว่าเป็นการเขย่าอุตสาหกรรมซักอบผ้าครั้งสำคัญ ซึ่ง Bespoke AI Laundry Combo™ ถือเป็นเรือธงในฝั่งเครื่องซักผ้าของซัมซุงประจำปี 2567 ด้านนายเริงบุญ คล่องคำนวนการ ผู้อำนวยการธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด กล่าวว่า “การเปิดตัว Bespoke AI Laundry Combo™ ถือเป็นการปฏิวัติวงการเครื่องซักผ้าครั้งใหญ่ โดยในปัจจุบัน ตลาดเครื่องซักผ้าในประเทศไทยมีมูลค่าอยู่ที่ 14,700 ล้านบาท[1] และมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ย 4.2%[2] ต่อปี ซัมซุงเล็งเห็นถึงความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการเครื่องซักผ้าที่มอบทั้งความสะดวก ประสิทธิภาพสูง และประหยัดพลังงาน ซึ่ง Bespoke AI Laundry Combo™ ถือเป็นเครื่องซักและอบผ้า ที่จะมาตอบสนองความต้องการให้กับผู้บริโภคอย่างตรงจุด”

3 ไฮไลท์ของ Bespoke AI Laundry Combo™ ที่จะทำให้การซักและอบผ้าง่ายกว่าที่เคย

Convenience: ความสะดวกสบายที่เหนือระดับ

Bespoke AI Laundry Combo™ มาพร้อมกับการออกแบบที่เน้นความสะดวกสบายสูงสุดให้กับผู้ใช้งาน ไม่ต้องเสียเวลาในการย้ายผ้าระหว่างเครื่องซักและเครื่องอบอีกต่อไป ด้วยการรวมทั้งสองฟังก์ชัน ซัก-อบ ไว้ในเครื่องเดียว มาพร้อมเทคโนโลยี AI Wash & Dry ที่สามารถตั้งค่าการซักและอบอัตโนมัติตามประเภทผ้า น้ำหนัก และระดับความสกปรก นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ Flex Auto Dispense System ที่ช่วยจ่ายผงซักฟอกและน้ำยาปรับผ้านุ่มในปริมาณที่เหมาะสมโดยอัตโนมัติ ช่วยให้การซักผ้าเป็นเรื่องง่ายและสะดวกในทุกวัน

Savings & Performance: ประสิทธิภาพสูงสุดพร้อมการประหยัดพลังงาน

การออกแบบของ Bespoke AI Laundry Combo™ ไม่เพียงแต่เน้นความสะดวกสบาย แต่ยังให้ความสำคัญกับการประหยัดพลังงานและเวลาที่มากขึ้น ด้วยเทคโนโลยี AI Ecobubble™ ช่วยสร้างฟองที่สามารถซึมเข้าสู่เนื้อผ้าได้อย่างรวดเร็ว ลดการใช้พลังงานและน้ำยาซักผ้า พร้อมทั้ง HeatPump Drying ที่ช่วยอบผ้าอย่างนุ่มนวล และประหยัดพลังงานมากขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถซักและอบเสร็จในเวลาเพียง 98 นาที

Connected Living: การเชื่อมต่อทุกพื้นที่ภายในบ้านแบบไม่มีสะดุด

หนึ่งในจุดเด่นที่สร้างความน่าตื่นตาตื่นใจ คือ ความสามารถในการเชื่อมต่ออุปกรณ์ผ่าน SmartThings จากซัมซุง ที่ผู้ใช้สามารถตรวจสอบการใช้พลังงานแบบเรียลไทม์และควบคุมการทำงานของเครื่องซักผ้าผ่านแอปพลิเคชันได้ อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อกับเครื่องไฟฟ้าอื่น ๆ ภายในบ้าน โดยสามารถสั่งการเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ผ่าน Bespoke AI Laundry Combo™  ด้วยเสียงได้อีกด้วย

สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Bespoke AI Laundry Combo™ ได้ที่ https://www.samsung.com/th/washers-and-dryers/washer-dryer-combo/wd8000dk-combo-all-in-one-combo-super-speed-25kg-gray-wd25db8995bzst/ และสัมผัสประสบการณ์การใช้งานของ Bespoke AI Laundry Combo™ ได้แล้วที่ Samsung Experience Store ทุกสาขา

[1] ข้อมูลตัวเลขมูลค่าตลาดเครื่องซักผ้าในประเทศ จาก Source GFK Data, FCST 2024

[2] ข้อมูลตัวเลขค่าเฉลี่ยแนวโน้มการเติบโตของตลาดเครื่องซักผ้า จาก Source GFK Data, CAGR. 2021 – FCST. 2024

จำลองความรุนแรง พายุเฮอริเคนมิลตันด้วย Unreal Engine

[จนเห็นภาพ] เพื่อให้เห็นภาพยิ่งขึ้น ทางสำนักข่าว The Weather Channel ในสหรัฐฯ ในนำ Unreal Engine เครื่องมือสร้างเกม 3D มาสร้างเป็นภาพจำลองความเสียหาย ที่อาจเกิดจากพายุ “มิลตัน” ซึ่งกำลังกลายเป็นพายุเฮอริเคนที่มีความรุนแรงสูง ซึ่งเตรียมเคลื่อนตัวเข้าใกล้รัฐฟลอริดาในเร็ว ๆ นี้

ย้อนกลับไป 5 ปีก่อน ทาง The Weather Channel เคยนำ Unreal Engine มาจำลองภาพเป็น 3D ที่ช่วยให้รายงานข่าวสภาพอากาศได้อย่างสมจริง อันเป็นจุดเด่นของเกมเอนจินตัวนี้เอง ล่าสุดได้จำลองภาพความเสียหาย ที่อาจเกิดจากพายุเฮอริเคนมิลตัน ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมบริเวณชายฝั่งตะวันตกของฟลอริดาถึง 9 ฟุต และเผยให้เห็นสภาพแวดล้อมทั้งบ้านและรถที่เสียหายจากพายุลูกใหญ่นี้

ด้วยความสมจริงของ Unreal Engine ทำให้เกิดเป็นภาพความเสียหายจากพายุลูกดังกล่าวได้ชัดเจนมาก ๆ จนส่งผลให้คลิปรายงานข่าวดัวกล่าว ถูกแชร์เป็นจำนวนมากใน X ทำให้หลายคนตระหนักถึงภัยอันตรายที่กำลังมาได้มากยิ่งขึ้น

Stephanie Abrams นักอุตุนิยมวิทยาที่เป็นผู้รายงานข่าว ได้กล่าวเสริมด้วยว่า ในบางพื้นที่อาจน้ำท่วมขึ้นสูงกว่า 10 ถึง 15 ฟุต พร้อมย้ำเตือนให้ทุกคนในพื้นที่ เตรียมอพยพ โดยคอยฟังคำสั่งจากเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ให้ดี ๆ เลย ก่อนที่จะสายเกินไป

สำหรับเบื้องหลังของภาพพายุเฮอริเคนมิลตันในรูปแบบ 3D นั้น เกิดจากการทำงานร่วมกันทั้ง Reality Engine กับ Reality Keyer ของ Zero Density ช่วยคำนวนการออกอากาศแบบ Realtime จากนั้นก็นำ Niagara VFX ของ Unreal Engine มาช่วยสร้างเอฟเฟกต์ต่าง ๆ เช่น ฝน หิมะ ไฟ และน้ำ จนออกมาสมจริงอย่างที่เห็น

ที่มา : kotaku

อินเทล เผยโฉมโปรเซสเซอร์ Intel Core Ultra ตัวแรก สำหรับ AI PC

โปรเซสเซอร์ Intel Core Ultra 200S series ใหม่ล่าสุด ส่งมอบประสิทธิภาพการเล่นเกมและการประมวลผลอันเหนือชั้นสำหรับเดสก์ท็อปพีซี พร้อมประหยัดพลังงานมากกว่าที่เคย

อินเทล ประกาศเปิดตัวตระกูลโปรเซสเซอร์ Intel® Core™ Ultra 200S series ใหม่ ซึ่งจะขยายขีดความสามารถของ AI บนแพลตฟอร์มเดสก์ท็อป และนำเสนอตัวเลือก AI PC สำหรับผู้ใช้งานที่กำลังมองหาประสิทธิภาพการประมวลผลระดับสูง นำโดยโปรเซสเซอร์ Intel® Core™ Ultra 9 processor 285K เดสก์ท็อปโปรเซสเซอร์เจเนอเรชั่นล่าสุดนี้ประกอบด้วย 5 เดสก์ท็อปโปรเซสเซอร์ใหม่ที่มาพร้อมสถาปัตยกรรม Performance-core (P-core) ล้ำสมัยสูงสุดถึง 8 คอร์ ซึ่งมีความเร็วสูงสุดเท่าที่เคยมีในเดสก์ท็อปพีซี1 รวมถึงสถาปัตยกรรม Efficient-core (E-core) สูงสุดถึง 16 คอร์ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสูงกว่าเจเนอเรชั่นก่อนหน้าถึง 14 เปอร์เซ็นต์ในเวิร์กโหลดแบบมัลติเธรด2 โปรเซสเซอร์ตระกูลใหม่นี้ถือเป็นโปรเซสเซอร์เดสก์ท็อปรุ่นแรกที่รองรับหน่วยประมวลผลข่ายประสาท (Neural Processing Unit: NPU) ที่มาพร้อมกับหน่วยประมวลผลกราฟิก Xe GPU ภายใน และเทคโนโลยีด้านมีเดียล้ำสมัย

“โปรเซสเซอร์ Intel® Core™ Ultra 200S series ใหม่ ถูกออกแบบขึ้นเพื่อให้สอดรับกับเป้าหมายของเราในการลดการใช้พลังงานลงอย่างมีนัยสำคัญโดยที่ยังคงรักษาประสิทธิภาพการเล่นเกมได้อย่างยอดเยี่ยม พร้อมส่งมอบการประมวลผลที่ทรงพลัง ผลลัพธ์ที่ได้คือประสบการณ์การใช้งานที่ตัวเครื่องส่งความร้อนน้อยลงและมีความเงียบมากขึ้น ซึ่งถูกยกระดับด้วยศักยภาพ AI gaming และการออกแบบสร้างสรรค์ด้วยพลังของ NPU ผสานกับความสามารถด้านเทคโนโลยีมีเดียที่เหนือชั้นซึ่งช่วยเสริมพอร์ตโฟลิโอเครื่องมือด้านกราฟิกของเราที่กำลังเติบโตให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น” นายโรเบิร์ต ฮัลล็อค (Robert Hallock) รองประธานและผู้จัดการทั่วไปประจำแผนก AI และการตลาดทางเทคนิค ฝ่าย Client Computing Group อินเทล กล่าว

ทำไมถึงสำคัญ: ด้วยประสิทธิภาพของนวัตกรรม Intel core ล่าสุด โปรเซสเซอร์ Intel® Core™ Ultra 200S series ช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้าลงสูงสุดถึง 58 เปอร์เซ็นต์ในการใช้งานในชีวิตประจำวัน4 ลดการใช้พลังงานในระบบลงสูงสุดถึง 165 วัตต์5 ขณะเล่นเกม โปรเซสเซอร์ตระกูลใหม่ได้ผสานศักยภาพและประสิทธิภาพที่เหนือชั้นขึ้นเข้าด้วยกัน พร้อมส่งมอบประสิทธิภาพเวิร์กโหลดแบบซิงเกิ้ลเธรดเร็วขึ้นสูงสุดถึง 6 เปอร์เซ็นต์6 และแบบมัลติเธรดเร็วขึ้นสูงสุดถึง 14 เปอร์เซ็นต์2 เมื่อเทียบกับเจเนอเรชั่นก่อนหน้า 

ด้วยความสามารถด้าน AI แบบครบวงจรที่ขับเคลื่อนด้วย CPU, GPU และ NPU ผู้ใช้งานจะได้สัมผัสความอัจฉริยะและขุมพลังประสิทธิภาพที่พวกเขาต้องการสำหรับการสร้างสรรค์คอนเทนต์และเล่นเกมที่ช่วยลดปริมาณคาร์บอนฟุตพรินต์   

ด้วยการนำ AI PC มาสู่ผู้ใช้งานเป็นครั้งแรก โปรเซสเซอร์ Intel® Core™ Ultra 200S series ส่งมอบประสิทธิภาพการใช้งานด้านการสร้างสรรค์ด้วย AI ที่รวดเร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิมสูงสุดถึง 50 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับโปรเซสเซอร์รุ่นเรือธงของคู่แข่ง7 ขณะที่ NPU ใหม่ช่วยเอื้อต่อการออฟโหลดฟังก์ชั่นต่างๆ ของ AI อาทิ การเพิ่มความจุของ GPU เพื่อเพิ่มเฟรมเรตเกมมิ่ง  อัตราเฟรมเรตในการเล่นเกม ลดการใช้พลังงานของเวิร์กโหลด AI ส่งเสริมการเข้าถึงกรณีการใช้งาน (Use case) ได้แก่ การวิเคราะห์ติดตามใบหน้าและท่าทางในเกมพร้อมลดผลกระทบที่จะส่งผลต่อประสิทธิภาพ

เกี่ยวกับ AI PC แรกของอินเทล: ด้วยค่า TOPS (tera operations per second หรือหน่วยวัดประสิทธิภาพขีดความสามารถของอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ในการประมวลผล AI) ของทั้งแพลตฟอร์มสูงสุดถึง 36 โปรเซสเซอร์ Intel® Core™ Ultra 200S series ถือเป็นเดสก์ท็อปโปรเซสเซอร์แรกและดีที่สุดของอินเทลสำหรับ AI PC

  • โซลูชันสำหรับผู้ใช้งานแบบครบวงจร: โปรเซสเซอร์ Intel Core Ultra 200S series มอบประสิทธิภาพอันยอดเยี่ยมด้าน AI ไปจนถึงการสร้างสรรค์คอนเทนต์ อีกทั้งขับเคลื่อนประสบการณ์ในการเล่นเกมอย่างแท้จริง ด้วยการยกระดับประสิทธิภาพด้านเกมมิ่งสูงสุดถึง 28 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับโปรเซสเซอร์รุ่นเรือธงของคู่แข่งในตลาด8
    • ชิปเซ็ต Intel® 800 Series ใหม่: ชิปเซ็ตล่าสุดในโปรเซสเซอร์ Intel Core Ultra 200S series นี้ ได้ขยายการสอดประสานเข้ากันของแพลตฟอร์มสูงสุดถึง 24 PCIe 4.0 lanes พอร์ต SATA 3.0 สูงสุดถึง 8 พอร์ต และพอร์ต USB 3.2 สูงสุดถึง 10 พอร์ต เสริมประสบการณ์การใช้งานของการเชื่อมต่อ การจัดเก็บ และเทคโนโลยีอื่นๆ ได้อย่างครอบคลุม
    • โอเวอร์คล็อกปรับปรุงใหม่: โปรเซสเซอร์ Intel CoreUltra 200S series นำเสนอฟังก์ชั่นการโอเวอร์คล็อกแบบใหม่ด้วยระบบควบคุมที่มีประสิทธิภาพสูง มาพร้อมความถี่ในระดับเทอร์โบขนาด 16.6 MHz สำหรับ P-cores และ E-cores ส่วนควบคุมความจำใหม่รองรับหน่วยความจำ XMP และ CUDIMM DDR5 ที่ใหม่และทำงานรวดเร็วกับความจุสูงสุดถึง 48GB ต่อ DIMM สำหรับความจุรวม 192GB  นอกจากนี้ Intel Extreme Tuning Utility ยังรวมส่วนเสริมของการโอเวอร์คล็อกไว้ภายในคลิกเดียว  
  • การเชื่อมต่อที่เหนือชั้น: โปรเซสเซอร์ Intel Core Ultra 200S series มาพร้อม 20 CPU PCIe 5.0 lanes, 4 CPU PCIe 4.0 lanes, รองรับพอร์ต integrated Thunderbolt™ 4 ports จำนวน 2 พอร์ต, Wi-Fi 6E และ Bluetooth 5.3. ขณะที่ Intel® Killer™ Wi-Fi มอบประสิทธิภาพการเชื่อมต่อแบบไร้สายแบบซูเปอร์ชาร์จ ช่วยให้การเล่นเกมออนไลน์เป็นไปอย่างราบรื่นไร้รอยต่อผ่านการใช้งาน priority auto-detection การวิเคราะห์และจัดการแบนด์วิธ รวมถึงการเลือกและสวิตช์ AP แบบอัจฉริยะ
  • ความปลอดภัยแบบมัลติเอ็นจิ้น: Intel® Silicon Security Engine ช่วยเก็บรักษาความลับของข้อมูลและการใช้โค้ดโดยรักษาประสิทธิภาพการทำงานสูงสุดสำหรับเวิร์กโหลด AI ที่จำเป็น  

การจัดจำหน่าย: โปรเซสเซอร์ Intel® Core™ Ultra 200S series มีกำหนดวางจำหน่ายในร้านค้าออนไลน์ ร้านค้า และพันธมิตรผู้แทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของอินเทลตั้งแต่วันที่ 24 ตุลาคม 2567 เป็นต้นไปโซ

รายละเอียดเพิ่มเติม:  Intel Core Ultra Processors (Series 2) (Press Kit) | Intel Core Ultra Desktop Processors Launch Briefing (Press Deck) | Intel Core Ultra 200S series processors (Product Brief) | Intel Core Ultra 200S Video Presentation

หมายเหตุ

1ในบรรดาโปรเซสเซอร์เดสก์ท็อป x86 ที่กำหนดเป้าหมายที่ประมาณ 125W TDP โดยอิงจากการทดสอบประสิทธิภาพแบบ single thread/core เมื่อเปรียบเทียบกับโปรเซสเซอร์รุ่นก่อนหน้าและคู่แข่ง ณ เดือนตุลาคม 2024 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ intel.com/PerformanceIndex ผลลัพธ์ที่ได้อาจแตกต่างกันออกไป

2วัดผลโดย SPECrate®2017_int_base (n-copies) ประเมินประสิทธิภาพระหว่าง Intel® Core™ Ultra 9 285K กับ Intel® Core™ i9 14900K SPEC®, SPECrate® และ SPEC CPU® เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ Standard Performance Evaluation Corporation ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.spec.org/spec/trademarks.html

3ในบรรดาโปรเซสเซอร์เดสก์ท็อปที่กำหนดเป้าหมายที่ประมาณ 125W TDP ณ เดือนตุลาคม 2024 ฟีเจอร์ AI ต่าง ๆ อาจต้องซื้อเพิ่มเติมหรือมีข้อกำหนดด้านความเข้ากันได้เฉพาะ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ intel.com/performanceindex

4วัดการใช้พลังงานของโปรเซสเซอร์ระหว่างการโทร Zoom แบบ 1×1 โดยเปิดพื้นหลังเบลอบน NPU ระหว่าง Intel® Core™ Ultra 9 285K กับ Intel® Core™ i9 14900K ผลลัพธ์ของแต่ละระบบอาจแตกต่างกันไปเนื่องจากการใช้งาน การกำหนดค่า และปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อพลังงานและประสิทธิภาพ

5วัดการใช้พลังงานของระบบเฉลี่ยระหว่างเล่น Warhammer: Space Marines 2 โดยระหว่าง Intel® Core™ Ultra 9 285K กับ Intel® Core™ i9 14900K ผลลัพธ์ของแต่ละระบบอาจแตกต่างกันไปเนื่องจากการใช้งาน การกำหนดค่า และปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อพลังงานและประสิทธิภาพ

6วัดผลโดย SPECrate®2017_int_base (1-copy) ประเมินประสิทธิภาพระหว่าง Intel® Core™ Ultra 9 285K กับ Intel® Core™ i9 14900K SPEC®, SPECrate® และ SPEC CPU® เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ Standard Performance Evaluation Corporation ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.spec.org/spec/trademarks.html

7วัดผลโดยฟีเจอร์ AI Scene Edit Detection ใน Adobe After Effects ระหว่าง Intel® Core™ Ultra 9 285K กับ AMD Ryzen™ 9 9950X

8วัดผลโดย Total War: Warhammer III – Mirrors of Madness Benchmark ระหว่าง Intel® Core™ Ultra 9 285K กับ AMD Ryzen™ 9 9950X

  • สำหรับฟีเจอร์ AI อาจมีการซื้อซอฟต์แวร์ การสมัครสมาชิก หรือการเปิดใช้งานโดยผู้ให้บริการซอฟต์แวร์หรือแพลตฟอร์ม หรืออาจมีข้อกำหนดเฉพาะด้านการกำหนดค่าหรือความเข้ากันได้ รายละเอียดเพิ่มเติมที่ intel.com/AIPC ผลลัพธ์ที่ได้อาจแตกต่างกันออกไป
  • การปรับเปลี่ยนความถี่สัญญาณนาฬิกาหรือแรงดันไฟฟ้าอาจทำให้การรับประกันผลิตภัณฑ์เป็นโมฆะ และอาจลดความเสถียร ความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และอายุการใช้งานของโปรเซสเซอร์และชิ้นส่วนอื่นๆ โปรดตรวจสอบรายละเอียดกับผู้ผลิตระบบและส่วนประกอบ
  • ประสิทธิภาพที่ได้จะแตกต่างไปตามการใช้งาน การกำหนดค่า และปัจจัยอื่นๆ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ intel.com/PerformanceIndex
  • ผลลัพธ์ประสิทธิภาพอ้างอิงจากการทดสอบ ณ วันที่แสดงในรายละเอียดการกำหนดค่า  และอาจไม่สะท้อนการอัปเดตที่มีอยู่ทั้งหมด โปรดดูข้อมูลสำรองสำหรับรายละเอียดการกำหนดค่าเพิ่มเติม ทั้งนี้ไม่มีผลิตภัณฑ์หรือส่วนประกอบใดที่สามารถรับประกันความปลอดภัยได้อย่างสมบูรณ์
  • ค่าใช้จ่ายและผลลัพธ์ของคุณอาจแตกต่างกันไป
  • เทคโนโลยีของอินเทลอาจต้องมีการเปิดใช้งานฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ หรือบริการ

Hot Issue