Home Blog Page 1583

เตรียมเว็บให้รองรับภาษา AEC เรื่องที่หลายคนมองข้าม

ปลายปีที่ผ่านมามีรายงานวิจัยเล็กๆ ฉบับหนึ่งจาก Daiwa Institute of Research ซึ่งสำรวจตลาดอีคอมเมิร์ซหลักใน 5 ประเทศ คือ ไทย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ มาเลเซีย และเวียดนาม

 

 

ctmCover492-1

งานวิจัยที่ว่านี้เน้นในเรื่องการเปิดโอกาสให้แก่บริษัทญี่ปุ่นในตลาดอีคอมเมิร์ซภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งทางผู้วิจัยได้ให้สัมภาษณ์ในหลายประเด็นแก่สำนักข่าวนิเคอิเอาไว้อย่างน่าสนใจ
มีการประเมินว่ามูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซในกลุ่มนี้เมื่อปี 2013 อยู่ที่ราว 83,000 ล้านบาท และจะเติบโตอีกกว่า 3 เท่าในอีก 4 ปีข้างหน้า อันเป็นผลมาจากจำนวนผู้คนที่เข้าถึงเครือข่ายอินเทอร์เน็ตและสมาร์ทโฟนที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
ปัจจุบันตลาดอีคอมเมิร์ซในไทยนั้นถือว่ามีมูลค่ามากที่สุด ตามมาด้วยสิงคโปร์เป็นอันดับสอง ส่วนอินโดนีเซียและเวียดนามนั้นก็มีตลาดที่เติบโตเร็วอย่างน่าจับตา ทั้งนี้ในภาพรวมของทั้งภูมิภาค สินค้าที่ขายดีจะอยู่ในกลุ่มเสื้อผ้า ของตกแต่ง และเครื่องใช้ภายในบ้าน แต่หากมองเจาะเข้าไปจะพบว่า แต่ละประเทศนั้นก็มีความแตกต่างกันพอสมควร เช่น สินค้าประเภทยาและเครื่องสำอางนั้นขายดีมากในไทย ในขณะที่เพลงและเกมจะขายดีในเวียดนาม (เสริม: คนเวียดนามและคนไทยติดเกมมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลกพอๆ กัน)
ที่น่าสนใจก็คือ จำนวนคนที่สั่งซื้อสินค้าจากเว็บไซต์นอกประเทศนั้นมีสูงถึงราว 14% และจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยส่วนใหญ่แล้วเป็นการสั่งซื้อจากเว็บไซต์ในอเมริกา ญี่ปุ่น และจีน ด้วยเหตุผลที่ว่าสินค้ามีราคาถูกกว่าซื้อหาในประเทศ มีแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ และมีคุณภาพมากกว่า โดยจุดนี้ถือว่าแตกต่างจากอีคอมเมิร์ซในญี่ปุ่นซึ่งมียอดสั่งซื้อจากต่างประเทศคิดเป็นเพียงราว 1% เท่านั้น

 
เว็บไซต์หลักๆ ที่คนในประเทศเหล่านี้ใช้เพื่อสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศเป็นอันดับต้นๆ ประกอบไปด้วย Amazon.com จากอเมริกา, Tmall/AliExpress จากจีน และ Rakuten จากญี่ปุ่น โดยที่ผ่านมามีตัวเลขยืนยันค่อนข้างชัดเจนว่า ผู้คนที่เดินทางกลับจากญี่ปุ่นนั้น มีความต้องการในการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์จากญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้น ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจ หากดูจากกระแสเจแปนฟีเวอร์ที่ช่วงนี้คนไทยเองได้เดินทางไปญี่ปุ่นกันเป็นว่าเล่นหลังจากที่ไม่ต้องขอวีซ่าแบบเดิม
และเมื่อถามกลุ่มลูกค้าในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถึงประเด็นที่ส่งผลต่อการสั่งซื้อสินค้าจากญี่ปุ่น อันดับหนึ่งเป็นเรื่องของภาษา
สำหรับภาษาอังกฤษนั้น แม้จะเป็นภาษาสากล แต่ก็ยังมีคนอีกจำนวนมากที่ไม่ชำนาญการอ่านหรือทำความเข้าใจกับเนื้อหาบนเว็บที่เป็นภาษาอังกฤษ และสถานการณ์ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่เมื่อเป็นภาษาญี่ปุ่น ดังนั้นอุปสรรคเรื่องภาษาจึงเป็นสิ่งที่ทางทีมวิจัยมองว่าเป็นปราการสำคัญในการเจาะเข้าสู่ตลาดเออีซี
ผมมองว่ารายงานสั้นๆ ฉบับนี้เป็นรายงานที่กระชับและตรงประเด็น —
สำหรับบางคนการขายในประเทศไทยเพียงอย่างเดียวอาจพอเพียง แต่หากขยายไปยังประเทศรอบข้างได้ น่าจะดีกว่ามั้ย?
เสียดายที่ประเด็นเรื่อง “ภาษา” นั้น เป็นสิ่งที่หลายบริษัท “ไม่อยากและไม่กล้าลงทุน” ดังนั้นเว็บไซต์หลายแห่งที่มีโอกาสในการขยายตลาด จึงเลือกที่จะใช้แค่ภาษาเดียว หรือบางแห่งที่มีก็ทำเว็บที่รองรับหลายภาษาขึ้นมาอย่างลวกๆ และไร้คุณภาพ เรียกว่าจับเอาเด็กประถมมาแปลเว็บที่อาจสร้างเงินล้านให้กับคุณ ด้วยเพราะอยากประหยัดค่าแปล — ถามว่ามันคุ้มแล้วหรือครับ ??
อย่าลืมว่าแค่แถมอาเซียนอย่างเดียว เราก็มีทั้งภาษาไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย พม่า ลาว เขมร มาเลย์ อังกฤษ จีน บรูไน — และประเทศที่พูดอ่านเขียนภาษาอังกฤษได้อย่างดีที่สุดก็มีเพียงประเทศเดียว คือ สิงคโปร์
ดังนั้นหากต้องการขยายตลาดอีคอมเมิร์ซออกไปในละแวกรอบด้าน ซึ่งสะดวกในเรื่องการขนส่งสินค้า รวมถึงการที่ผู้คนนั้นมีพื้นเพทางวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกัน — ภาษา ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญ จึงต้องถูกจัดการในลำดับแรกๆ เพราะไม่เช่นนั้นต่อให้สินค้าจะมีราคาถูกแค่ไหน จะมีคุณภาพดีเท่าไร จะมีระบบชำระเงินและจัดส่งสินค้าที่น่าเชื่อถือระดับไหน แต่ลูกค้าอ่านไม่ออกและไม่เข้าใจ ก็คงต้องจมปลักขายอยู่ในประเทศไทยไปเรื่อยๆ และปล่อยให้อีคอมเมิร์ซจากญี่ปุ่น อเมริกา และจีน เข้ามากวาดยอดขายไปในแบบที่เราได้แต่นั่งตาละห้อยมองด้วยความอิจฉา พร้อมกับปลอบใจตัวเองว่า  “ไม่เป็นไร เราไม่สนใจตลาดรอบๆ ประเทศไทย”
ที่จริงแล้วสำหรับการพัฒนาเว็บไซต์ใหม่ การเพิ่มระบบเปลี่ยนภาษาเข้าไปนั้น ไม่ได้เป็นต้นทุนค่าใช้จ่ายที่มากเกินรับได้ ประมาณว่าอยู่ที่ราว 10-30% ของค่าพัฒนาเว็บไซต์เท่านั้น ซึ่งตัวเลขดังกล่าวรวมค่าแปลภาษาในระดับที่มีคุณภาพยอมรับได้เป็นที่เรียบร้อย ส่วนเว็บอีคอมเมิร์ซใดที่มีระบบอยู่เดิม ก็สามารถรื้อระบบใหม่เพื่อแยกส่วนภาษาออกมาให้เป็นระบบอิสระ ก็จะทำให้เว็บไซต์ของตนเองรองรับภาษาต่างๆ ได้ไม่จำกัด
ที่ยากกว่าการพัฒนาระบบภาษา น่าจะเป็นการเฟ้นหานักแปลที่ดีและมีคุณภาพ — พูดแบบนี้หลายคนนึกถึงสถาบันหรือบริษัทรับแปลภาษาที่ธุรกิจหลักมักเคยแต่แปลเอกสารอย่างทะเบียนบ้าน ทะเบียนสมรส วุฒิการศึกษา และเอกสารพื้นๆ ทั่วไป แถมเท่าที่ทราบยังส่งงานต่อให้นักศึกษารับงานไปแปลด้วยราคาหน้าละ 80-150 บาท แล้วจะได้งานแปลที่มีคุณภาพได้อย่างไร?
ใครที่จริงจัง หากไม่หานักแปลโดยตรงที่เชี่ยวชาญภาษานั้นๆ โดยเฉพาะ ก็ลองค้นหาเอเจนซี่ที่รับทำ Localization สำหรับเว็บไซต์โดยเฉพาะ ซึ่งพวกนี้จะมีความสามารถมากกว่า มีฐานคำศัพท์มาตรฐานอยู่แล้ว ทำงานได้เร็ว ค่าใช้จ่ายไม่แพงมาก มีนักแปลในสังกัดหลายภาษา และเข้าใจหลักการทำงานของเว็บไซต์พอประมาณ เสียดายอย่างเดียวตรงที่ว่า เอเจนซี่เหล่านี้มักไม่ได้อยู่ในไทย แต่มีสำนักงานอยู่ในสิงคโปร์ ประเทศเล็กๆ ที่เข้าใจถึงความสำคัญของธุรกิจการแปลมากที่สุดในอาเซียน !!

 

aec11

“ไป่ตู้ รีเสิร์ช” พลิกโฉมระบบการสั่งงานด้วยเสียงด้วยระบบ “Deep Speech”

“ไป่ตู้ รีเสิร์ช” พลิกโฉมระบบการสั่งงานด้วยเสียงด้วยระบบ “Deep Speech”

 

“ไป่ตู้ รีเสิร์ช” แผนกวิจัยและพัฒนาของไป่ตู้ เปิดเผยผลเบื้องต้นของการวิจัยและพัฒนา “ดีพ สปีช” (Deep Speech) ระบบสั่งงานด้วยเสียงใหม่ล่าสุด

“ดีพ สปีช” เป็นระบบการสั่งงานด้วยเสียงแบบใหม่ที่พัฒนาขึ้นโดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความแม่นยำในการสั่งงานภายใต้สภาพแวดล้อมที่มีเสียงดังรบกวนอยู่มาก (เช่น ในร้านอาหาร, บนรถ และรถโดยสารสาธารณะ) และสภาพแวดล้อมที่มีเสียงสะท้อนสูงหรือผู้ใช้งานอยู่ในระยะไกล

 

“ไป่ตู้ รีเสิร์ช” แผนกวิจัยและพัฒนาของไป่ตู้ เปิดเผยผลการพัฒนาเบื้องต้นของระบบการสั่งการด้วยเสียงแบบใหม่ เรียกว่า “ดีพ สปีช” (Deep Speech) ที่พัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มความแม่นยำให้การสั่งการด้วยเสียงกับอุปกรณ์อัจฉริยะต่างๆ ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดังรบกวน เช่น ในร้านอาหาร ในรถยนต์ บนรถโดยสารสาธารณะ รวมถึงสภาพแวดล้อมที่อื่นๆ เช่น มีการสะท้อนของเสียงสูง หรือ ผู้ใช้งานอยู่ไกลจากไมโครโฟน เป็นต้น

 

กุญแจสำคัญของการทำงานของ “ดีพ สปีช” คือระบบการฝึกฝนแบบ Recurrent Neural Net (RNN) ที่ได้รับการปรับแต่งมาอย่างดี โดยใช้หน่วยประมวลผลกราฟฟิก (Graphic Processing Unit หรือ จีพียู) หลายๆ ตัว มาช่วยประมวลผล รวมทั้งเทคนิคในการสังเคราะห์ข้อมูลแบบใหม่ๆ ที่ช่วยให้นักวิจัยของไป่ตู้สามารถรวบรวมข้อมูลจำนวนมหาศาลมาใช้ในการฝึกฝนระบบให้พัฒนาขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Pic_deep speech

ในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา การทดสอบได้แสดงให้เห็นผลดังต่อไปนี้

ระบบ “ดีพ สปีช” ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าผลการทดสอบเปรียบเทียบ Switchboard Hub5’00 ที่ได้มีการเผยแพร่ไปก่อนหน้า โดยมีอัตราความผิดพลาดของคำ (Word Error Rate) เพียง 16.5%

ระบบ “ดีพ สปีช” ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเว็บ API ของบริการสาธารณะอื่นๆ (Google Web Speech, wit.ai) รวมถึงบริการเชิงพาณิชย์ต่างๆ (Bing Speech Services, Apple Dictation) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงรบกวนมาก โดย “ดีพ สปีช” สามารถให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าระบบอื่นๆ มากกว่า 10% (Word Error Rate) ภายใต้สภาพแวดล้อมที่มีเสียงรบกวนมาก ดร.แอนดรูว์ อึง หัวหน้าคณะนักวิทยาศาสตร์ของไป่ตู้ให้ความเห็นว่า “การเรียนรู้เชิงลึก ฝึกฝนระบบกับชุดข้อมูลขนาดใหญ่ (ข้อมูลสังเคราะห์มากกว่า 100,000 ชั่วโมง) ทำให้เราสามารถบรรลุถึงการพัฒนาระบบสั่งงานด้วยเสียงได้อย่างมีนัยสำคัญ ผมรู้สึกตื่นเต้นกับความก้าวหน้านี้ เพราะผมเชื่อว่าระบบการสั่งงานด้วยเสียงจะพลิกโฉมอุปกรณ์พกพา ตลอดไปจนถึง Internet of Things (IoT) ด้วย และนี่ก็เป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น” ดร.แดน จูราฟสกี้ ศาสตราจารย์ภาควิชาภาษาศาสตร์และวิทยาการคอมพิวเตอร์แห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดกล่าวว่า “ผมรู้สึกสนใจเกี่ยวกับวิธีการใหม่ของไป่ตู้ในระบบการสั่งงานด้วยเสียงอย่างมาก โดยเฉพาะการใช้โมเดลที่ยอดเยี่ยมในการทำให้ปัญหาดูเรียบง่าย เข้าใจง่ายขึ้นสำหรับวิศวกร เมื่อรวมเข้ากับการประมวลผลด้วยชุดของหน่วยประมวลผลกราฟฟิก (GPUs) เพื่อให้ทำงานได้อย่างรวดเร็ว และสามารถขยับขยายขีดความสามารถได้ง่าย ผลลัพธ์ที่ได้ก็ชี้ให้เห็นถึงทิศทางอันน่าตื่นเต้นในอนาคตอันใกล้ของระบบสั่งงานด้วยเสียง โดยเฉพาะการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงรบกวนและอุปสรรคที่ท้าทายอื่นๆ”

 

“การสั่งงานด้วยเสียงภายใต้สภาพแวดล้อมที่มีเสียงรบกวนและเสียงสะท้อนมากยังคงเป็นความท้าทายแม้กับระบบสั่งงานด้วยเสียงที่ดีที่สุดก็ตาม แต่ผลลัพธ์จากงานวิจัยล่าสุดของ ไป่ตู้ รีเสิร์ช นี้ มีศักยภาพในการพลิกโฉมการทำงานของระบบสั่งงานด้วยเสียงในอนาคต” ดร.เอียน เลน ศาสตราจารย์กิตติเมธีภาควิชาวิศวกรรมศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยคาร์เนกีเมลลอน กล่าวเสริมว่า “นวัตกรรมของไป่ตู้ที่ใช้หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) เพื่อช่วยในการขยายขีดความสามารถและชุดของมูลขนาดใหญ่ ทำให้เราเข้าใกล้วิสัยทัศน์ของการที่จะสามารถพูดคุยกับอุปกรณ์อัจฉริยะ เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์สวมใส่ และหุ่นยนต์ต่างๆ แม้ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงรบกวนมาก เข้าไปอีกขั้น”

 

ผลลัพธ์ของระบบ “ดีพ สปีช” ได้ถูกเผยแพร่ในงานวิจัยชื่อ Deep Speech: Scaling Up End-to-End Speech Recognition

Toshiba เผยเทคโนโลยี SSD รุ่นใหม่ในแบบ PCIe Single package

Toshiba PCIe Single package

Toshiba ได้นำอุปกรณ์ในระบบ Storage ที่เป็น SSD รุ่นใหม่มานำเสนอ ในรูปแบบของ PCI-Express (PCIe) ที่นับว่าเป็น SSD ตัวแรกของโลก ที่สามารถขยายความจุได้มากถึง 256GB ที่เรียกว่าเป็นโมดุลแบบ Removeable ขนาดเล็กที่สุดในโลก ภายใต้รูปแบบของ BGA Single Package ที่จัดว่าเป็น SSD ที่เป็น Single-sided form factor

Toshiba PCIe Single package-spec

ซึ่งทาง Toshiba ได้พัฒนาเทคโนโลยีของแพ็คเกจนี้ ในแบบที่คล้ายคลึงกับ eMMC ด้วยขนาด 16 x 20 x 1.65mm หรือขนาดเพียง 1/4 ของแพ็คเกจ M.2 ที่เรารู้จักกันดีในเวลานี้ โดยที่ SSD รุ่นใหม่มีน้ำหนักอยู่ราวๆ 1 กรัมเท่านั้นเอง ความน่าสนใจคือ SSD ลักษณะนี้จะถูกนำไปใช้ในอุปกรณ์รูปแบบใด เพราะเมื่อดูจากขนาดและคุณภาพดูแล้วน่าใช้งานมากทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นพีซีหรือโน๊ตบุ๊คก็ตาม

ที่มา : eteknix

ไปชมกัน โครงการ Smart Learning & Smart Classroom การเรียนในมหาวิทยาลัยรูปแบบใหม่ โดยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ร่วมกับสถาบันสอนภาษา Enconcept E-Academy

ใกล้เข้ามาแล้ว เวลาที่ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ยิ่งทำให้ทุกๆ ภาคส่วนในประเทศเริ่มมีการปรับตัวกันมากขึ้นไปอีก โดยในส่วนของการศึกษาก็เป็นส่วนที่สำคัญที่ต้องเตรียมตัวอย่างมากขึ้น

ด้วยเหตุนี้ มหาวิทยาลัยลัยเชียงใหม่จึงทำการพัฒนาเพื่อมุ่งสู่การเป็นมหาวิทยาลัยดิจิตัล หรือ Digital University โดยเริ่มต้นที่การเปิดตัวโครงการ Smart Learning, Smart Classroom ขึ้น พร้อมทั้งได้รับการสนับสนุนจากสถาบันสอนภาษา Enconcept E-Academy มาช่วยพัฒนาสื่อและเนื้อหาที่ช่วยเสริมทักษะภาษาอังกฤษให้กับนักศึกษา เพื่อนำไปใช้ในวิชาชีพ และจะได้มีความพร้อม ความมั่นใจในภาษาอังกฤษดียิ่งขึ้นนั้นเอง

Smithsonian แอพฯ คืนชีวิตให้ซากดึกดำบรรพ์ได้เคลื่อนไหว

เป็นแอพใหม่ล่าสุดที่จะคืนชีวิตให้ซากหรือโครงกระดูกในพิพิธภัณฑ์ Smithsonian ให้เคลื่อนไหวได้ โดยแอพนี้ชื่อว่า Skin and Bones สามารถดาวน์โหลดได้ฟรี เพื่อใช้สำหรับคนที่ต้องการเรียนรู้ข้อมูลในเรื่องของซากดึกดำบรรพ์ต่างๆ ที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ซึ่งมีจัดแสดงมากกว่า 300 ตัวอย่าง ที่มีการจัดแสดงมาตั้งแต่ปี 1881 โดยโครงกระดูกที่เป็นไฮไลต์สำคัญ 13 โครง หนึ่งในนั้นเป็นโครงของปลา Swordfish ที่สามารถแหวกว่ายในแบบอนิเมชั่น 3 มิติ ด้วยการแสดงให้เห็นการเคลื่อนไหวในท่วงท่าต่างๆ รวมถึงกล้ามเนื้อและผิวหนังที่ชัดเจนอีกด้วย

Skin and Bones App

โดยแอพนี้จะเป็นการแบ่งปันเรื่องราวบอกเล่าความเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีคอลเลคชั่นโดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่ง โดยผู้จัดการพิพิธภัณฑ์ ได้กล่าวถึงการประชาสัมพันธ์ในเนื้อหาต่างๆ ไม่ว่าจะเรื่องประวัติศาสตร์แห่งชาติ ค้างคาวแวมไพร์ขนาดใหญ่ ปลาในแม่น้ำมิซซิสซิปปี้ โดยแสดงให้เห็นการเคลื่อนไหวทั้งในแบบกระดูกไปจนถึงผิวหนังและกล้ามเนื้อ โดยผู้ที่ดาวน์โหลดแอพ Skin and Bones จะได้รับทราบข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญในระหว่างการชมผ่านทางสมาร์ทโฟนหรือแท็ปเล็ตในแบบวีดีโอเคลื่อนไหวได้อย่างชัดเจน การใช้งานแค่เพียงดาวน์โหลดแอพนี่้ลงมาติดตั้ง จากนั้นหันกล้องมือถือไปทางชิ้นงานที่จัดแสดง ก็จะมีวีดีโอการเคลื่อนไหวที่มีชีวิต ด้วยการแสดงกล้ามเนื้อปรากฏขึ้นมาทับอยู่บนกระดูกเหล่านั้น

วีดีโอของสัตว์ต่างๆ ที่มีการบันทึกและให้ผู้เชี่ยวชาญมาวิเคราะห์และส่งให้กับนักพัฒนา สำหรับนำมาจัดแสดง แล้วเสร็จสมบูรณ์ภายในเวลา 2 ปี จึงถูกนำออกมาให้จัดแสดง โดยเวลานี้แอพฯ Skin and Bones นี้ รองรับการทำงานร่วมกับ iOS 7 เป็นต้นไป ไม่ว่าจะเป็น iPhone, iPad และ iPod Touch เท่านั้น ส่วนของทาง Android ยังไม่มีกำหนดแน่ชัด คงต้องรอกันไปก่อน

ที่มา : livescience

แย่แล้วหุ่นยนต์จะมาแย่งอาชีพมนุษย์เราในปี 2015

แย่แล้วหุ่นยนต์จะมาแย่งอาชีพมนุษย์เราในปี 2015
ลำพังแค่เปิดตลาด AEC ก็รู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ไปแล้วสำหรับคนทำงาน นี่ยังมีหุ่นยนต์ที่จะมาแย่งอาชีพเราอีก อยากรู้ไหมว่ามีอาชีพอะไรบ้าง ตามมาฟังพี่มิ้งค์เล่าในรายการ COMTODAY ทาง FM 89.5 Mhz. กันเลยครับ

1. พนักงานทำความสะอาด / ฆ่าเชื้อ
ที่ผ่านมาเริ่มมีหุ่นยนต์กวาดบ้าน, ดูดฝุ่น, ถูบ้านออกมาให้ใช้กันตามครัวเรือนกันบ้างแล้ว แต่ตอนนี้เมื่อมีวิกฤติการระบาดของเชื้อไวรัสอีโบล่า เริ่มมีการใช้หุ่นยนต์มาใช้งานในการฆ่าเชื้อโรคภายในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น อย่างในภาพเป็นหุ่น Xenex Disinfection Services ที่ฉายแสง UV เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียในโรงพยาบาลทางตอนเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนีย
2. คุณครู
จริงๆ เทคโนโลยีต่างๆ ก็เริ่มมาแย่งงานการเรียนการสอนของครูมากยิ่งขึ้น อย่างเช่นแอพต่างๆ ในแท็บเล็ต ตอนนี้ในโรงเรียนบางแห่งในต่างประเทศก็เริ่มนำเอาหุ่นยนต์มาใช้สอนเด็ก อย่างเจ้า NAO หุ่นจากบริษัท Aldebaran ในฝรั่งเศสที่ถูกออกแบบมาใช้งานเพื่อเป็นผู้ช่วยสอนของครูภายในโรงเรียน
3. นักกีฬา
หุ่นยนต์ในปัจจุบันมีการพัฒนาไปถึงขั้นที่สามารถเคลื่อนไหวในระดับที่วิ่งหรือโยนสิ่งของต่างๆ ได้แล้ว และนักวิทยาศาสตร์เองก็เริ่มสร้างหุ่นยนต์ที่เล่นกีฬาได้อย่างเช่น หุ่นยนต์ตีปิงปอง ล่าสุดทีมนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นได้พัฒนาหุ่นยนต์ให้สามารถเล่นกีฬาเบสบอลได้แล้ว อีกหน่อยเราอาจจะได้เห็นการแข่ง Major League ของหุ่นยนก็เป็นได้
4. นางพยาบาลและบุรุษพยาบาล
งานในโรงพยาบาลนั้นมีมากและจุกจิก อีกทั้งยังต้องดูแลผู้ป่วยสารพัดแบบ บางครั้งการย้ายผู้ป่วยจากห้องหนึ่งไปยังอีกห้องหนึ่งก็เป็นเรื่องที่วุ่นวายเอาการ หุ่นยนต์เตียงอัตโนมัติจึงถูกนำมาใช้ในโรงพยาบาล Khoo Teck Puat ที่สิงคโปร์ ที่มันจะเคลื่อนย้ายผู้ป่วยให้อย่างปลอดภัย ทั้งการควบคุมความเร็วและปรับระดับการวิ่ง

arrobot
5. พนักงานขาย
หุ่นยนต์ถูกนำมาใช้งานในบางห้างร้าน ที่มันสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าที่ลูกค้า บอกได้ว่าของที่ต้องการวางอยู่ชั้นไหนมีของหรือไม่ หรืออย่างที่ญี่ปุ่นมีการเอาหุ่นยนต์ Pepper มาช่วยขายและให้ข้อมูลเกี่ยวกับเนสกาแฟ
6. พนักงานต้อนรับในโรงแรม

โรงแรม Aloft ในเมืองคูเปอร์ติโน รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา มีการนำเอาหุ่นยนต์มาทำงานเป็นพนักงานต้อนรับและพานักท่องเที่ยวที่มาพักไปยังห้องพัก พร้อมทั้งให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรงแรม
7. นักแสดง
ในฮังการีมีหุ่นยนต์มารับบทแสดงเป็นตัวแสดงนำ ในเรื่อง Metamorphosis เป็นเรื่องราวของ Gregor ที่อยู่มาวันหนึ่งเขาตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองกลายเป็นหุ่นยนต์ไปแล้ว (อืม…บทอย่างนี้ต้องให้หุ่นยนต์เล่นก็ถูกต้องแล้วล่ะ)
8. นักบิน
ถึงแม้ปัจจุบันจะมีเทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับหรือระบบการบินแบบอัตโนมัติ แต่ในเกาหลีใต้ก็มีการพัฒนาหุ่นยนต์เพื่อใช้ขับเครื่องบิ

 

น่ารักอ่ะ…Disney สร้าง Adorable Robot สร้างศิลปะบนผืนทราย

เรามักจะเคยเห็นอุปกรณ์ที่ช่วยสร้างชิ้นงาน 3 มิติ ให้เราได้เห็นสิ่งของ 3 มิติ ได้ชัดกว่า นอกเหนือจากภาพทั่วๆ ไป รวมถึงการถ่ายภาพเคลื่อนไหวนอกสถานที่กับกิจกรรม Outdoor ที่เราคุ้นเคยกันดี แต่เวลานี้มีกลุ่มคนที่กำลังสร้างหุ่นยนต์ที่สามารถวาดภาพสวยๆ บนหาดทรายได้ ด้วยสิ่งที่เรียกว่า “Beachbot” โดยใช้การติดตั้งตัวลากหรือคราดผืนทรายไปตามรูปแบบที่กำหนด โดยมีการลงน้ำหนักลากเส้นหนักเบา หรือเพิ่มจำนวนพินให้มีลายมากยิ่งขึ้นหรือเพิ่มความหนาให้กับเส้น

Disney Robot-2

การทำงานของ Beachbot นี้จะเริ่มต้นโดยศิลปินที่อยู่เบื้องหลังหุ่นยนต์ ปักเสาลงโดยรอบ เพื่อใช้เป็นตัวกำหนดตำแหน่งให้กับหุ่นยนต์ได้เคลื่อนไหว ซึ่งการคำนวณนั้นจะทำให้หุ่นยนต์เคลื่อนที่ผ่านไปยังจุดต่างๆ เพื่อวาดภาพโดยอัตโนมัติ โดยที่นักวาดภาพยังสามารถบังคับให้หุ่นยนต์เคลื่อนไหวได้ด้วยมืออีกด้วย การขับเคลื่อนไปบนผืนทรายนั้น ใช้ชุดล้อที่เรียกว่า Balloon wheel ที่ทำให้การเคลื่อนที่ไปมาทำได้สะดวก รวดเร็ว ไม่ติดขัด เพื่อให้การวาดภาพเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งประโยชน์ของหุ่นยนต์ตัวนี้ น่าจะเข้ากับการใช้งานในรีสอร์ทริมชายหาดของทางดิสนีย์ที่มีอยู่มากมาย ด้วยการวาดรูปน่ารักๆ สำหรับคนที่มาเดินชายหาดตอนเช้าๆ แล้วได้เห็นตัวละครดิสนีย์ที่ชื่นชอบหรือจะมองจากบนห้องพักก็น่ารักไปอีกแบบ ในบ้านเราจะเอามาเล่นกันบนชายหาดก็เข้าทีดีนะครับ

ที่มา : techcrunch

Google Play เพิ่มปริมาณแอพฯ ไล่ทัน App Store ในปีที่ผ่านมา

ผู้คนส่วนใหญ่มักเปรียบเทียบด้านการให้บริการแอพสำหรับบนมือถือ Android และ iOS เนื่องจากเป็นแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้จำนวนมากในท้องตลาด โดยล่าสุด Google Play Store สามารถมีปริมาณของแอพแซงหน้า App Store ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ครั้งแรกของ Google เลยทีเดียว

Google Play App

ซึ่งตามรายงานของ appFigures ที่มีการรวบรวมข้อมูลนับพันจากผู้พัฒนาแอพทั้งทาง Android และ iOS รายต่างๆ Google นั้นมีจำนวนแอพฯ ที่ผ่านการอนุมัติทั้งหมดมากกว่า 1.43 ล้าน ซึ่งมากว่าปริมาณ 1.21 ล้านแอพฯ ที่ถูกสำรวจใน App Store หลายคนยอมรับว่าแม้ Google Play Store จะมีปริมาณของแอพที่มากขึ้นในแง่ของปริมาณ แต่การที่ยังต้องระมัดระวังในเรื่องของมัลแวร์ที่อาจแฝงตัวอยู่ในบรรดาแอพที่มีอยู่มากมายนั่นเอง นโยบายที่เข้มแข็งของ Google เท่านั้นที่จะสามารถควบคุมและคัดกรองแอพที่มีคุณภาพได้ดีที่สุด ในทางตรงกันข้ามแนวทางการอนุมัติที่เข้มงวดของ App Store จึงทำให้เกิดการออกแบบแอพที่มีคุณภาพสำหรับ iPhone, iPad และ iPod เท่านั้น ในส่วนนี้ถือเป็นจุดแข็งของการให้บริการในด้านแอพสำหรับค่าย iOS อย่างไรก็ดี จากข้อมูลของ appFigures แสดงให้เห็นว่าในปี 2014 Amazon’s Appstore ชี้ให้เห็นถึงการเติบโตมากกว่า 90% และมีแอพที่เพิ่มขึ้นถึง 293,000 แอพ จึงถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับผู้ที่ใช้อุปกรณ์จากทาง Amazon และผู้ที่ใช้อุปกรณ์ BlckBerry รุ่นล่าสุดอย่าง BB10 ที่สามารถใช้เลือกใช้แอพจาก Amazon Appstore เป็นอีกหนึ่งแหล่งทางเลือกได้อีกด้วย

ที่มา : ubergizmo

L.Y.N.X. 9 จอยเกมมือถือแปลงร่างได้ พร้อมรูปโฉมสุดล้ำ!

จอยเกมมือถือเดี๋ยวนี้ก็มีออกมาวางขายกันอยู่หลายรุ่นแล้ว  แต่ละรุ่นหน้าตาก็อาจจะไม่แตกต่างกันมากนัก  แต่สำหรับเจ้า L.Y.N.X 9 นี้บอกเลยว่าแค่หน้าตาก็กินขาดแล้ว  เพราะมาพร้อมกับดีไซน์สุดล้ำเหมือนหุ่นยนต์จากโลกอนาคต แถมยังแปลงร่างได้อีกด้วย  ….นี่ Transformer หรือจอยเกมนี่!

Sengled เมื่อหลอดไฟเป็นได้ทั้งเพิ่มสปีด WiFi และลำโพงไร้สาย

คุณเชื่อหรือไม่ว่าความเชื่อมโยงของอุปกรณ์ในชีวิตประจำวันนั้นมีความใกล้ชิดเรามากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงในโลกเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตที่สามารถพลิกโฉมโลกทั้งใบไปอย่างไม่น่าเชื่อ จากวันที่เรามีแสงสว่างจากหลอดไฟ แต่วันนี้ไม่ใช่แค่นั้น คุณสามารถฟังเสียงและเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้จากหลอดไฟอีกด้วย เช่นเดียวกับอุปกรณ์ Sengled นี้ ที่เรียกว่าเป็นหลอดไฟสารพัดประโยชน์ที่นับว่าเป็นไอเดียสุดเก๋หรืออาจเรียกว่า Smart feature และ Smart function ด้วยการออกแบบให้มีคุณลักษณะพิเศษในตัว เพื่อให้ทุกบ้านใช้งานได้สะดวกยิ่งขึ้น

Sengled-Pulse

โดยที่ Shanghai-base company ได้พัฒนา Sengled ที่ใช้สำหรับควบคุมการทำงานของหลอด LED ที่นำมาเปิดโชว์ในงาน CES โดยสามารถตั้งให้เปิดเพลงและกลายเป็นตัว Boost สัญญาณ WiFi ภานในบ้านให้คุณ โดยจะทำการจดจำใบหน้าในการเริ่มการทำงาน พร้อมกันนี้ในหลอดไฟยังกลายเป็นตัว Snap หรือจับภาพด้วยฟีเจอร์ของกล้องวงจรปิดที่เสริมตัวกล้อง ไมโครโฟนและลำโพงมาในตัว เพื่อใช้ในการตรวจจับความเคลื่อนไหวในรูปแบบวีดีโอ แต่สนนราคาก็อาจทำให้คุณตกใจได้ เพราะต้องควักจ่ายถึง 199.99 USD ต่อหนึ่งหลอด สมกับเป็นสินค้าพรีเมียม

Sengled-Boost

Sengled มีตัวเลือกด้วยกัน 3 รุ่นคือ รุ่นที่มีฟีเจอร์ Boost WiFi ในตัว ในขณะที่อีกรุ่นจะมาพร้อมลำโพงบลูทูธ ซึ่งคุณสามารถควบคุมการทำงานของหลอดไฟผ่านทางแอพบนมือถือในระบบ Android และ iOS ส่วนอายุการใช้งานของหลอดไฟอยู่ที่ประมาณ 25000 ชั่วโมง ตามที่บริษัทระบุไว้ ใครสนใจแวะไปดูได้ที่ sengled.com

ที่มา : legitreviews

Hot Issue