Home Blog Page 12

แพลทฟอร์ม NVIDIA Studio ใช้พลัง GPU และ AI สร้างคอนเทนต์

ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีพัฒนาแบบก้าวกระโดด ความต้องการคอนเทนต์คุณภาพสูง ไม่ว่าจะเป็นภาพ วิดีโอ หรือโมเดล 3 มิติ ก็เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย สำหรับคนที่เป็นนักออกแบบ หรือครีเอเตอร์ ก็จำเป็นต้องการเครื่องมือทรงพลัง ช่วยให้งานง่ายและเสร็จไวขึ้น 

Techhub พาทุกคนมารู้จักกับแพลทฟอร์มตัวนึงที่ชื่อว่า NVIDIA Studio เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับเหล่าครีเอเตอร์ ออกแบบมาเพื่อใช้สร้างสรรค์คอนเทนต์โดยเฉพาะ ช่วยให้ศิลปิน นักออกแบบ นักตัดต่อวิดีโอ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านงานครีเอทีฟต่าง ๆ ทำงานได้ไวมากขึ้น มีหัวใจสำคัญคือ GPU หรือหน่วยประมวลผลกราฟิก ที่ช่วยเร่งความเร็วในการทำงานของแอปพลิเคชั่น รวมทั้งยังมีชุดเครื่องมือที่สนับสนุนในหลาย ๆ งาน

จริง ๆ แพลทฟอร์มตัวนี้เปิดตัวครั้งแรกในงาน CES 2019 และด้วยการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง บวกกับฮาร์ดแวร์ที่ทันสมัยมากขึ้น ทำให้วันนี้ NVIDIA Studio กลายเป็นแพลทฟอร์มสำคัญที่ถูกใจเหล่าครีเอทีฟอย่างมาก

ฟีเจอร์เด่นของ NVIDIA Studio

  • RTX Technology GPU ของ RTX สามารถช่วยเพิ่มความเร็วในการทำงานต่าง ๆ เช่น งาน 3D, วิดีโอ, และการบรอดแคสต์ บวกกับเทคโนโลยี Ray Tracing และ AI  ที่จะช่วยยกระดับงานสร้างสรรค์ ไปอีกขั้น เช่น การสร้างแสงเงาที่สมจริง การลด Noise ในภาพ การ Upscale ภาพ การทำ Motion Tracking และอื่น 
  • NVIDIA Studio Driver  ไดรเวอร์ที่ได้รับการปรับแต่งมาเป็นพิเศษ ให้มีความเสถียรสูงสุด สำหรับแอปพลิเคชันของเหล่าครีเอเตอร์ (Adobe , Blender , OBS Autodesk,  Maya , Unreal Engine และแอปอื่น ๆ )  และได้ผ่านการทดสอบ และรับรอง จากนักพัฒนาแอปพลิเคชันชั้นนำแล้ว
  • GPU Acceleration  การเร่งความเร็วด้วย GPU สามารถช่วยลดเวลาในการทำงาน เช่น การเรนเดอร์ การประมวลผลภาพ การจำลองแบบและอื่น ๆ

การออกแบบแพลทฟอร์ม ควบคู่กับนักพัฒนาซอฟต์แวร์

NVIDIA ทำงานร่วมกับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ชั้นนำ เช่น Adobe, Autodesk, Blender และแอปอื่น ๆ เพื่อ optimize ให้แอปเหล่านี้  ทำงานร่วมกับ GPU ของ NVIDIA ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้นักสร้างสรรค์ สามารถใช้งานแอปพลิเคชันที่คุ้นเคย ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพบนแพลตฟอร์ม NVIDIA Studio

NVIDIA Studio  เร่งความเร็วมากขึ้นแค่ไหน ?

ในความเป็นจริง คงตอบเป็นตัวเลขเป๊ะ ๆ ไม่ได้ครับ เพราะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น รุ่นของ GPU, แอปพลิเคชันที่ใช้งาน, ความซับซ้อนของงาน  อย่างไรก็ตาม จากการทดสอบ พบว่า NVIDIA Studio สามารถเร่งความเร็วในการทำงานได้หลายเท่าตัว เมื่อเทียบกับการใช้ CPU เพียงอย่างเดียว ซึ่ง NVIDIA ได้ทดสอบกับแอปยอดนิยมไว้ให้แล้ว

NVIDIA Studio

NVIDIA Studio

NVIDIA Studio

NVIDIA Studio

ความเร็ว สิ่งสำคัญในยุคดิจิทัล 

จากผลทดสอบด้านบน จะเห็นว่า คนที่ใช้ GPU รุ่นแรง ๆ ก็มีส่วนช่วยด้วยพลังการประมวลผล GPU ไม่ว่าจะเรนเดอร์ภาพ ตัดต่อวิดีโอ หรือสร้างโมเดล 3 มิติ ก็เสร็จไวทันใจ ประหยัดเวลา เพิ่มโอกาสในการรับงาน และสร้างรายได้มากขึ้น รวมทั้งเทคโนโลยี RTX และ AI ยังช่วยยกระดับคุณภาพผลงาน ให้ภาพสวยสมจริง รายละเอียดคมชัด สร้างความประทับใจให้ลูกค้า และเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขันได้อย่างมาก

ชุดเครื่องมือสุดล้ำ ที่มีให้ใช้บน  NVIDIA Studio

  1. NVIDIA Omniverse™ Omniverse แพลตฟอร์มที่เชื่อมต่อแอปพลิเคชัน 3D ต่างๆ เข้าด้วยกัน  ให้เหล่าครีเอเตอร์ทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์  แชร์ไฟล์หรือแก้ไขงานได้อย่างราบรื่น  เหมือนนั่งทำงานอยู่ด้วยกัน  แม้จะอยู่คนละที่ก็ตาม
  1. NVIDIA Broadcast  เปลี่ยนห้องธรรมดา  ให้กลายเป็นสตูดิโอระดับมืออาชีพ  ด้วย  AI  ที่ช่วยยกระดับ  การไลฟ์สตรีม  วิดีโอคอล  และการประชุมออนไลน์ ใช้ AI  ตัดเสียงรบกวน เบลอพื้นหลัง  ปรับแต่งเสียง ปรับใช้  Eye Contact  ให้ AI ช่วยทำให้สายตา มองตรงไปที่กล้อง เสมอ แม้จะกำลังอ่านสคริปต์ อยู่ก็ตาม
  1. NVIDIA Canvas เปลี่ยนลายเส้นง่าย ๆ ให้กลายเป็นภาพทิวทัศน์ที่สมจริงได้ในพริบตา
  1. NVIDIA RTX Remix RTX Remix  ช่วยปรับโฉมเกมเก่า  ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ด้วย  AI  และ  Ray Tracing ทั้งเรื่องของความละเอียด แสงเงา และเอฟเฟกต์ ต่างๆ

GeForce RTX 40 Series การ์ดที่ใช้ในงานออกแบบได้

หลายคนเข้าใจว่า GEFORCE RTX 40 Series ออกแบบมาให้ใช้สำหรับเล่นเกมเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้ว ด้วยเทคโนโลยีที่อัดแน่นเข้ามา ก็ช่วยให้ทำงานออกแบบได้ง่ายเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น 

  • สถาปัตยกรรม Ada Lovelace ที่เร็วกว่า GPU รุ่นก่อนถึง 2 เท่า
  • Dual Encoders ที่รองรับ AV1 ช่วยให้การส่งออกวิดีโอเร็วขึ้นถึง 2 เท่า
  • Ray Tracing Cores และ Tensor Cores เจเนอเรชั่นล่าสุดที่เพิ่มประสิทธิภาพในการสร้าง 3D และ AI ได้ถึง 4 เท่า
  • การทำงานร่วมกับฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่อยู่บน NVIDIA Studio

สำหรับใครที่ไม่ได้ใช้ GeForce RTX 40 Series  ก็อย่าเพิ่งน้อยใจไป เพราะ NVIDIA Studio นั้นรองรับการ์ดหลายรุ่นมาก ตั้งแต่รุ่น Titan ยุคก่อนนู้น รวมถึง Quadro ไล่มาจนถึงรุ่นปัจจุบัน   ซึ่งหากใครที่มีการ์ดจอของ NVIDIA อยู่แล้ว อยากทดลองใช้แพลทฟอร์มฟรี ลองมาดูรุ่นที่รองรับ และโหลดใช้งานได้ที่ NVIDIA Studio Driver ครับ  แต่ก็ต้องยอมรับนะว่า การ์ดรุ่นเก่า อาจจมีฟีเจอร์น้อยกว่าการ์ดรุ่นใหม่ครับ

และใครที่เน้นใช้งานแบบพกพา ตอนนี้มี Notebook หลายรุ่นที่รองรับการ NVIDIA Studio  ซึ่งจะมีสติกเกอร์ “GeForce RTX Studio PC” ติดอยู่ที่ตัวเครื่อง  เป็นตัวการันตีว่าเครื่องนั้น ผ่านการรับรองโดย NVIDIA Studio ช่วยให้เรามั่นใจได้ถึงประสิทธิภาพในการทำงานครีเอทีฟทุกขั้นตอน ทั้ง

NVIDIA Studio

MSI Prestige 16 AI Studio  โน้ตบุ๊กดีไซน์หรู พร้อมจอขนาดใหญ่ 16 นิ้ว และพลังจาก GeForce RTX™ 4060

HP OMEN Transcend 14  โน้ตบุ๊กขนาดพกพา พร้อม GeForce RTX™ 4070 และจอ OLED 2.8K

ASUS ProArt PX13  โน้ตบุ๊ก 2-in-1 ขนาด 13″ พกพาง่ายเพียง 1.38 กิโลกรัม พร้อมจอ OLED 3K และ GeForce RTX™ 4060

ข้อมูลเพิ่มเติม NVIDIA Studio 

ติดตามข่าวสาร Blog ของ NVIDIA Studio 

 

ปรับ ราคารถ EV คาดการณ์ปี 2026 แบตเตอรี่อาจถูกลง 50%

Goldman Sachs Research บริษัทวิจัยของสหรัฐอเมริกา คาดการณ์ว่าในปี 2026 ราคาของแบตเตอรี่ในรถยนต์ไฟฟ้าจะมีราคาถูกลงมากถึง 50 % ซึ่งจะมีส่วนทำให้รถไฟฟ้ามีราคาถูกลง

ปัจจุบัน ราคาแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกกำลังลดลง โดยจาก 153 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง (kWh) ในปี 2020 เหลือ 149 ดอลลาร์ในปี 2023 คาดว่าในปี 2024 นี้จะลดลงอีกเหลือ 111 ดอลลาร์ต่อ kWh

และภายในปี 2026 จะเหลือเพียง 80 ดอลลาร์ นั่นหมายความว่าในอีก 2 ปี ราคาแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าจะลดลงเกือบ 50% จากปี 2023 ทำให้ราคาครอบครองรถยนต์ไฟฟ้าใกล้เคียงกับรถยนต์ใช้น้ำมันในสหรัฐ ฯ และนี่ ยังไม่รวมเงินอุดหนุนต่าง ๆ อีกด้วยนะ

ปัจจัยที่ทำให้ราคาแบตเตอรี่ลดลง
– เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้น ทำให้แบตเตอรี่มีความหนาแน่นพลังงานเพิ่มขึ้นมากถึง 30% ในราคาที่ถูกลง และนวัตกรรมเหล่านี้หลายอย่างก็มีวางขายในท้องตลาดแล้ว

– ราคาของแร่ที่ใช้ทำแบตเตอรี่ลดลง ธาตุสำคัญอย่างลิเธียมและโคบอลต์ ซึ่งคิดเป็นประมาณ 60% ของต้นทุนแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า มีราคาลดลง หลังจากที่ระหว่างปี 2020 ถึง 2023 อุตสาหกรรมนี้เผชิญกับ “ภาวะเงินเฟ้อสีเขียว” ที่ราคาของวัสดุหลายชนิดพุ่งสูงขึ้น

(ภาวะเงินเฟ้อสีเขียว (Greenflation) คือ ภาวะที่ราคาสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจสีเขียว หรือเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมนั้นสูงขึ้น)

แต่งานวิจัย ยังไม่ได้พูดถึงประเด็นเรื่องพูดถึงปัญหาเรื่องอุปทานล้นตลาด ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และข้อจำกัดการส่งออกแร่หายากจากจีน (ที่เป็นแหล่งผลิตแร่สำคัญใหญ่ที่สุดในโลก) หากวันใดวันหนึ่ง จีนหยุดขายแร่เมื่อไหร่ ก็มีส่วนทำให้ราคาแบตเตอรี่พุ่งสูงขึ้นได้เช่นกัน

ส่วนไทยเรา ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับจีนเหมือนกับสหรัฐ ไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องนี้ ซึ่งก็มีลุ้นว่า รถไฟฟ้าในบ้านเรา จะมีราคาถูกลงอย่างที่งานวิจัยระบุไว้ครับ เก็บเงินกัน…

ที่มา
https://www.techspot.com/news/105141-electric-car-battery-prices-coming-down-faster-than.html

เบื้องหลัง Call center ยุคใหม่ ใช้ AI ทำงานแทนคน เกือบ 100% 

Agentforce

ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่เข้ามาพลิกโฉมธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรม โดย AI ไม่ใช่แค่เทรนด์เทคโนโลยีที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่กำลังกลายเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจต่าง ๆ ให้เติบโตมากยิ่งขึ้น

จากข้อมูลงานวิจัยของ Salesforce พบว่า ผู้บริหารกว่า 84% เห็นความสำคัญของ Generative AI และหลายองค์กรเริ่มวางกลยุทธ์เพื่อนำ AI มาใช้ แต่ยังมีอุปสรรคเรื่องข้อมูล เช่น ความถูกต้อง ความครอบคลุม และความเป็นส่วนตัว

Salesforce มองว่า AI กำลังก้าวข้ามบทบาทจากผู้ช่วยไปสู่การเป็น “เพื่อนร่วมงาน” ที่สามารถทำงานอัตโนมัติได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้กับลูกค้ามากกว่า โดยเฉพาะอย่างการธุรกิจที่ต้องมีตอบคำถามลูกค้าอย่าว E-Commerce หรือTelecom

อ่านข้อมูลงานวิจัยทั้งหมดได้ที่ >> https://www.techhub.in.th/salesforce-generative-ai/

AI ทำหน้าที่ Call center เกือบ 100%

Salesforce  ได้มีการเปิดเผยวีดีโอตัวอย่างของ AI ที่สามารถทำหน้า Call Center ที่สามารถคุยกับลูกค้าได้ เปรียบเทียบสินค้าได้ เปลี่ยนไซส์เสื้อให้ลูกค้าได้ และหากเจอปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ก็จะส่งเรื่องให้กับเจ้าหน้าที่หลังบ้านอีกที (แต่นั่นต้องเป็นปัญหาที่ลึกมาก ๆ ) นะ

AI ดังกล่าวชื่อว่า Sophie ครับ พัฒนาขึ้นจาก Agentforce  ชุดเครื่องมือ Autonomous AI Agent ใหม่ล่าสุดจาก Salesforce ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถนำศักยภาพของ AI มาใช้ได้อย่างเต็มที่ เปรียบเสมือนมี “เพื่อนร่วมงานดิจิทัล” ที่ชาญฉลาด คอยช่วยเหลือธุรกิจในด้านต่างๆ โดยทำงานแบบอัตโนมัติ เรียนรู้ได้เอง และปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว

Agentforce ทำงานยังไง

  • เชื่อมต่อกับข้อมูล โดย Agentforce ทำงานบนแพลตฟอร์ม Salesforce ผ่าน Cloud  เป็นศูนย์กลาง ทำให้ Agentforce สามารถเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ได้ดีทั้ง ข้อมูลธุรกิจ และข้อมูลอื่นๆ แบบเรียลไทม์
  • วิเคราะห์และตัดสินใจ โดยสามารถวิเคราะห์ข้อมูล เข้าใจสถานการณ์ และตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด เช่น การตอบคำถามลูกค้า การจัดการคำสั่งซื้อ หรือการเสนอโปรโมชั่นที่เหมาะสม
  • ดำเนินการแบบเบ็ดเสร็จ  Agentforce ไม่เพียงแค่ “คิด” แต่ยังสามารถ “ลงมือทำ” ได้เองโดยอัตโนมัติ เช่น การส่งอีเมล การสร้างรายงาน หรือการอัปเดตข้อมูลในระบบ

ตัวอย่างการใช้งาน Agentforce กับธุรกิจ E-Commerce กับ AI ที่ชื่อว่า Sophine

อย่างในวีดีโอตัวอย่าง AI ที่ชื่อว่า Sophie สามารถตรวจสอบข้อมูลสินค้า และคุยกับลูกค้าได้ทันที และเมื่อลูกค้าขอแจ้งเปลี่ยนไซส์เสื้อที่ซื้อผิด AI ก็สามารถบอกข้อมูลสินค้านั้น ๆ ได้อย่างละเอียด เช่น เป็นเสื้อ Sweater  ที่เป็นผ้าชนิดอะไร พร้อมกับบอกว่าจะจัดส่งให้ใหม่ พร้อมเสนอตัวเลือกว่า จะจัดส่งให้ในอีก 3 วันทำการ

แต่หากลูกค้า จำเป็นต้องการเสื้อตัวนี้ด่วน เพราะมีงานใหญ่ต้องใช้ในอีก 2 วัน Sophie ก็ตอบว่า นี่เป็นตัวเลือกการจัดส่งที่เร็วที่สุดแล้ว และตอนนี้ เรารู้แล้วว่า Sophine ทำให้สุดความสามารถ ณะ ตอนนั้นแล้ว จึงจะโอนสายไปให้ยังเจ้าหน้าที่เป็นมนุษย์ในการให้ความช่วยเหลือแทน แต่ Patrick (ลูกค้า) บอกว่า ไม่เป็นไร

นอกจากนี้ Patrick ยังได้โชว์อีกความสามารถหนึ่งของ Sophie คือ ถ้าเราบอกให้ Sophie ติดต่อกลับมาหาเรา หลังจากวางสาย จะเป็นยังไง (โดยระหว่างที่วางสายไป AI จะเกิดการเรียนรู้และพยายามจะแก้ปัญหาให้เรา) ซึ่ง Patrick ได้ติดตามออเดอร์ล่าสุดที่สั่งไป พร้อมอัปเดตข้อมูลให้เขาหน่อย  Sophie ก็สามารถยืนยันข้อมูลได้อย่างถูกต้อง พร้อมเสนอตัวเลือกว่า  สามารถจัดส่งให้เร็วสุด 3 วันทำการเหมือนเดิม แต่ถ้าต้องการเร็วกว่านั้น ลูกค้าสามารถมารับด้วยตัวเองได้ที่หน้าร้าน
จะเห็นได้ว่า Sophie สามารถเข้าถึงข้อมูลและรายเอียดของสินค้า พร้อมเสนอตัวเลือกให้ลูกค้าให้ได้รับบริการที่ตรงใจมากที่สุด ที่สำคัญคือเร็ว ไม่ต้องคุยกับ Call Center แบบเดิม ๆ เช่น กด 1 ติดตามสินค้า กด 2 เช็คสินค้า บลา บลา บลา

Sophie  สามารถช่วยรับมือความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบวงจร  และสามารถให้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจยุคใหม่ที่ต้องการจะสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า

ทั้งนี้ จุดเด่นของ Agentforce ไม่ได้แค่นี้ ธุรกิจสามารถสร้าง ปรับแต่ง และติดตั้ง Agentforce ได้ง่ายดาย ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้าน AI มาก่อน สามารถรองรับการใช้งานได้ทุกระดับ ตั้งแต่ธุรกิจขนาดเล็ก ไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ ทำงานร่วมกับแอปพลิเคชันต่างๆ ของ Salesforce และระบบอื่นๆ ได้อย่างราบรื่น เช่น Slack และมาพร้อมกับ Einstein Trust Layer ที่ช่วยปกป้องข้อมูล และรักษาความเป็นส่วนตัวของลูกค้า

อย่างไรก็ตาม การจะใช้ AI ให้ประสบความสำเร็จ องค์กรต้องเริ่มจากการจัดการข้อมูลให้เป็นหนึ่งเดียวก่อน  เพราะ AI ต้องอาศัยข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน ไม่เช่นนั้น การนำประมวลผล จะทำให้เกิดปัญหาตามมา

ระบบดังกล่าว ยังรองรับการอัปโหลดข้อมูลทั้ง Structure และ Unstructured Data  แต่จะมีการตรวจข้อมูลหลายขั้น ก่อนจะนำไปให้ AI ประมวลผล รวมทั้งมีระบบเกณฑ์การให้คะแนนข้อมูลที่อัปโหลดขึ้นไป จึงมั่นได้ว่า ข้อมูลที่ AI นำไปใช้ จะมีความถูกต้องและใช้ประโยชน์ได้จริง หากใครสนใจ จะใช้ AI ในธุรกิจของตัวเอง ไปลองใช้กันครับ

YouTube ทดสอบ Premium Lite จ่ายรายเดือนถูกลง แต่ยังมีโฆษณา

[โฆษณาแบบ Limited] หลังมีข่าวร้ายสำหรับผู้ใช้ YouTube Premium ที่ประกาศขึ้นราคา (อีกแล้ว) ล่าสุดมีผู้ใช้บางรายพบ Premium Lite แผนบริการรายเดือนใหม่ ถูกลง แต่แลกกับมีโฆษณานิด ๆ โดยที่ไม่รบกวนผู้ใช้มาก….หรือ

เผย YouTube ทดสอบบริการรายเดือนใหม่อย่าง Premium Lite ตามชื่อเลยคือ เป็นบริการทางเลือก ซึ่งจะลดจำนวนโฆษณาลง (ใช้คำว่า “Limited ads”) โดยจะไม่พบในคลิปวิดีโอส่วนใหญ่ แต่อาจพบได้ในคลิปสั้นหรือ Short และ YouTube Music แทน ซึ่งมีคำอธิบายเลยว่า “โฆษณาอาจแสดงในคอนเทนต์เพลงที่ได้รับอนุญาตและเมื่อคุณค้นหาหรือเลื่อนดู”

ทั้งนี้ตัว Premium Lite จะไม่สามารถโหลดคลิปไว้ดูตอน Offline กับไม่มี Background Play หรือดูคลิปแบบปิดหน้าจอกับสลับใช้งานแอปฯ อื่นในอุปกรณ์พกกา

ย้อนไปก่อนหน้านี้ Premium Lite เคยเปิดตัวและทดสอบในแถบยุโรปมาตั้งแต่ปี 2021 แล้ว โดยตอนนั้นไม่มี Limited ads แต่เป็น Ads Free หรือปลอดโฆษณา 100% โดยแลกกับโหมดกับ Offline และ Background Play แต่ทดสอบได้ไม่กี่ปี ตัวแผนก็ถูกยกเลิก กลับมาใหม่กลายเป็นมีโฆษณาแบบจำกัดแทน

ปัจจุบัน YouTube Premium มีค่าบริการอยู่ที่ 179 บาท/เดือน ส่วน Premium Lite อยู่ที่ 89 บาท/เดือน จากเกือบ 200 บาท เป็นเกือบ 100 บาทแทน โดยในไทยก็มีหน้ารายละเอียดแพ็กเกจให้เห็นแล้ว ใครอยากลองใช้งานก็ไปดูกันได้ที่ https://www.youtube.com/premium

ที่มา : Engadget

ยิบอินซอย ตอกย้ำความสำเร็จพาร์ทเนอร์ VMware by Broadcom จัดสัมมนา ‘The Future of the Enterprise is Private’ ให้ลูกค้าองค์กร

ยิบอินซอย ตอกย้ำความเป็น “Premier Partner”  กับ VMware  by Broadcom จัดสัมมนาหัวข้อ  ‘The Future of the Enterprise is Private’  เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแบ่งปันประสบการณ์เกี่ยวกับ  VMware Solutions ให้ลูกค้า

นายสุภัค ลายเลิศ กรรมการอำนวยการ และประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท ยิบอินซอย จำกัด เปิดเผยว่า  ยิบอินซอยร่วมมือกับ VMware by Broadcom จัดงานสัมมนา ‘The Future of the Enterprise is Private’  ให้กับลูกค้าองค์กร เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดและแบ่งปันเกี่ยวกับทิศทางโซลูชั่นของ VMware by Broadcom ตอบสนองความต้องการของเอ็นเตอร์ไพรส์ที่มีแนวโน้มการเพิ่มประสิทธิภาพและการปรับนโยบายการใช้คลาวด์แนวใหม่  ซึ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จะเห็นการย้าย workload ขึ้นไปบน public cloud กันเยอะมาก หลังจากที่ใช้ไประยะหนึ่ง ก็มีหลายองค์กร หันกลับมาใช้งานบน  private cloud เหมือนเดิม เนื่องจากมีเหตุผลหลายอย่าง แต่ที่เห็นได้ชัดก็คือเรื่องค่าใช้จ่าย และเรื่องดาต้าบางประเภทที่มีความอ่อนไหวสูงและต้องการความเร็วสูงในการเข้าถึงโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการนำเอา Generative  AI เข้ามาใช้งานกันมากขึ้น  ดังนั้นการเตรียมหา private cloud solutions สำหรับองค์กรก็เป็นเรื่องสำคัญ และที่ผ่านมาโซลูชั่นของ VMware ก็เป็นโซลูชั่นที่ได้รับการพิสูจน์แล้วมาอย่างยาวนาน

นายสุภัค กล่าวเพิ่มเติมว่า  “เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ผมได้ไปร่วมงาน VMware Explore ที่ลาสเวกัส  ประเทศสหรัฐอเมริกา และมีโอกาสเข้าร่วมประชุมกับทางผู้บริหารรวมถึงทางคุณ Hock Tan ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (President, Chief Executive Officer) ของ Broadcom Inc. โดยในตอนแรกการประชุมของเหล่าพาร์ทเนอร์ต่างก็มีประเด็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งอันนี้ยอมรับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีผลกระทบในวงกว้าง พาร์ทเนอร์จากทั่วโลกก็มีความเห็นตรงกัน แต่ช่วงการเปลี่ยนแปลงใหญ่ได้ผ่านพ้นไปแล้ว  ตอนนี้ VMware ได้มีการปรับผลิตภัณฑ์แนวใหม่เพื่อเน้นไปทาง Private cloud solutions อย่างชัดเจน พร้อมทั้งทางซีอีโอได้มีการยืนยันเรื่องการลงทุนด้านนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องให้เป็น Private cloud solutions ที่ดี”

บริษัท ยิบอินซอย พร้อมลุยตลาดกับ VMware by Broadcom  บริษัทผู้ให้บริการเทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐานชั้นนำของโลกอย่างเต็มตัว ทั้งนี้ โดยปัจจุบันบริษัท ยิบอินซอย เป็น “Premier Partner level” บริษัท VMware by Broadcom  เจาะกลุ่มลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชนทุกภาคอุตสาหกรรม
เพื่อช่วยสนับสนุน และเสริมแกร่งสำหรับการพัฒนาระบบอีโคซิสเต็มส์ที่มีประสิทธิภาพให้กับทุกองค์กรทุกภาคส่วน ยิบอินซอยมีทีมงานที่มีประสบการณ์มายาวนานกับผลิตภัณฑ์ของ VMware  ในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ เรามีความเชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาเรื่องการ optimize การใช้งาน ให้สามารถทำ renewal และใช้ประโยชน์สูงสุด product bundles ของ VMware  สนใจข้อมูลเกี่ยวกับ VMware  by Broadcom   เพื่อประกอบการพิจารณาข้อมูลด้านต่างๆ ทั้งทางเทคนิค, ค่าใช้จ่ายและความเสี่ยง ให้ครบถ้วนก่อนตัดสินใจ

โดยปัจจุบันบริษัท ยิบอินซอย เป็น “Premier Partner level” บริษัท VMware by Broadcom

 

 

 

ควอลคอมม์เปิดตัว Snapdragon 8 Elite สุดล้ำ มาพร้อมกับ CPU มือถือที่เร็วที่สุดในโลก

Photo taken in Bangkok, Thailand

ไฮไลท์

  • Snapdragon 8 Elite แพลตฟอร์มมือถือรุ่นแรกของ Snapdragon มาพร้อมกับ Qualcomm Oryon™ CPU รุ่นใหม่ที่พัฒนาโดย Qualcomm
  • แพลตฟอร์มนี้ขับเคลื่อนยุคใหม่ของ generative AI มาในอุปกรณ์โดยตรง ออกแบบมาเพื่อจัดการกับความซับซ้อนของ AI มัลติโมเดลได้ราบรื่นพร้อมทั้งให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัว
  • ผู้ผลิตสินค้า OEM และแบรนด์สมาร์ทโฟนชั้นนำ อาทิ ASUS, Honor, iQOO, OnePlus, OPPO, RealMe, Samsung, Vivo, Xiaomi และอื่นๆ อีกมากมาย พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่ขับเคลื่อนด้วย Snapdragon 8 Elite ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้

ในงาน Snapdragon Summit บริษัท ควอลคอมม์ เทคโนโลยีส์ อินคอร์ปอเรชั่น (Qualcomm Technologies, Inc.) เปิดตัวแพลตฟอร์มมือถือ Snapdragon® 8 Elite ชิปมือถือที่มาพร้อมกับระบบชิป (SoC) ที่ทรงพลังและเร็วที่สุดในโลก2 แพลตฟอร์มือถือรุ่นเรือธงนี้ใช้ชื่อ Elite ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าอันโดดเด่นในอุตสาหกรรม แพลตฟอร์มนี้เปิดตัวเทคโนโลยีชั้นนำในอุตสาหกรรม เช่น Qualcomm Oryon CPU รุ่นสองที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ รวมถึง Qualcomm® Adreno™ GPU และ Qualcomm® Hexagon™ NPU ที่ได้พัฒนาเพิ่มขึ้น เทคโนโลยีทั้งหมดนี้ยกระดับประสิทธิภาพอย่างก้าวกระโดด3 นอกจากนี้ นวัตกรรมเหล่านี้ช่วยให้ Snapdragon 8 Elite พลิกโฉมประสบการณ์การใช้งานอุปกรณ์ของผู้ใช้   ไม่ว่าจะเป็น การใช้งานแอปพลิเคชัน generative AI  หลายโมเดลบนสมาร์ทโฟนที่ขับเคลื่อนด้วย Snapdragon อีกทั้ง เทคโนโลยีเหล่านี้ยังเพิ่มประสิทธิภาพในด้านอื่นๆ เช่น เพิ่มสมรรถนะของกล้องด้วย AI-ISP ที่ทรงพลังที่สุด รวมถึง มอบประสบการณ์การเล่นเกมที่ดีขึ้น ท่องเว็บเร็วขึ้น และอื่นๆ อีกมากมาย

คริส แพทริค (Chris Patrick) รองประธานอาวุโสและผู้จัดการทั่วไปฝ่ายโทรศัพท์มือถือของ Qualcomm Technologies, Inc. กล่าวว่า “เรารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่ได้นำขุมพลังของ Qualcomm Oryon มาสู่แพลตฟอร์มมือถือ Snapdragon เป็นครั้งแรก เมื่อต้นปีที่ผ่านมา เราได้เปิดตัวเทคโนโลยีนี้ในพีซี ซึ่งมอบประสบการณ์ที่น่าประทับใจและอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่เหนือชั้นให้กับผู้ใช้พีซี สร้างความฮือฮาให้กับวงการอุตสาหกรรมและได้รับความสนใจจากผู้บริโภคเป็นอย่างมาก วันนี้ Qualcomm Oryon CPU รุ่นที่สองของเราได้เปิดตัวในแพลตฟอร์มมือถือรุ่นเรือธง ซึ่งถือเป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญ และเรามั่นใจว่าผู้บริโภคจะต้องตื่นเต้นกับประสบการณ์ใหม่ๆ ที่เทคโนโลยี CPU ของเราสามารถมอบให้ ด้วยศักยภาพที่ล้ำหน้าของ CPU GPU และ NPU ทำให้ Snapdragon 8 Elite สามารถมอบประสิทธิภาพที่เหนือชั้นและการใช้พลังงานที่มีประสิทธิภาพสูง3 นอกจากนี้ Snapdragon 8 Elite ยังยกระดับประสบการณ์การใช้งานมือถือด้วยการนำ Gen AI มัลติโมเดลสามารถปรับแต่งได้มาทำให้สามารถเข้าใจคำพูด บริบท และภาพ เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและการสร้างสรรค์โดยยังคงให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานเป็นหลัก”

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเยี่ยมชมหน้าเว็บของ Snapdragon 8 Elite และอ่านได้ที่รายละเอียดผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ ยังสามารถดูความคิดเห็นจากผู้นำในอุตสาหกรรมได้ที่ Snapdragon Summit Partner Quotes รวมถึงข้อมูลเพิ่มเติม การรับชมย้อนหลัง และเนื้อหาจากงาน ได้ที่ Snapdragon Summit Event Hub

  1. อ้างอิงจากการทดสอบ Fmax, Geekbench 6.2 ST, SpecINT 2K17, Speedometer, Antutu CPU และ GeekBench 6.3 MT
  2. อ้างอิงจากการทดสอบ SpecINT, Speedometer, AnTutu CPU และ Geekbench 6.2 ST
  3. เมื่อเทียบกับ Snapdragon 8 Gen 3

Speed To Victory! เปิดตัว “realme 13 Series” ที่ทุกคนรอคอย อัพเกรดชิปเซ็ตตัวแรง ขึ้นแท่น Gaming Dominator แห่งปี! ในราคาเริ่มต้นเพียง 8,999 บาท

สัมผัสสมาร์ตโฟนที่ทรงพลังสุดขีด เร็วแรงเต็มสปีด เครื่องเย็นสุดขั้ว พร้อมคอลแลบ “PUBG MOBILE ” ฉลองเปิดตัวสุดยิ่งใหญ่กับทัวร์นาเมนต์เกมออนไลน์ระดับประเทศ

เกมมิ่งสมาร์ตโฟนตัวแรงแห่งปี! วันนี้ realme (เรียลมี) แบรนด์สมาร์ตโฟนเพื่อคนรุ่นใหม่ที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก เปิดตัว “realme 13 Series 5G” สมาร์ตโฟนรุ่นล่าสุดจากตระกูล Number Series ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ พร้อมขึ้นแท่น ผู้นำด้านเกมมิ่งสมาร์ตโฟน (Gaming Dominator)” ด้วยการอัปเกรดประสิทธิภาพขั้นสุดระดับ อัลตร้าทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ ULTRA POWER ด้วยซีพียูตัวท็อปของเซกเมนต์ ULTRA FAST ระบบชาร์จเร็วทันใจ ULTRA COOL ระบบระบายความร้อนใหม่ล่าสุด เมื่อผสานการทำงานจะมอบประสบการณ์สมาร์ตโฟนอันยอดเยี่ยม ทั้งการใช้งานแนวไลฟ์สไตล์ในชีวิตประจำวัน และการเล่นเกมออนไลน์อันหนักหน่วง ด้วยประสิทธิภาพการทำงานที่เร็วแรง ลื่นไหลขั้นสุด และปราศจากปัญหาความร้อนกวนใจ การันตีด้วยสโลแกน Speed to Victory ที่พร้อมให้คุณเป็นผู้ชนะในทุกเกมการแข่งขันโดย “realme 13 Series 5G” นำเสนอ 2 รุ่น ทั้ง “realme 13+ 5G” และ “realme 13 5G”

realme 13 Series 5G ถือเป็นการพัฒนาครั้งสำคัญในการกำหนดนิยามกลุ่มผลิตภัณฑ์ Number Series ใหม่ภายใต้สโลแกน “Next-gen Power” โดยพัฒนาให้ realme 13 Series 5G เป็นสมาร์ตโฟนที่ทรงพลังพร้อมคุณสมบัติขั้นสูงและประสิทธิภาพที่เหนือกว่าคู่แข่งทุกรายในเซกเมนต์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเรียลมีในการนำเสนอประสบการณ์การใช้งานอันยอดเยี่ยมและเหนือล้ำเกินความคาดหวังของผู้ใช้งานรุ่นใหม่ทั่วโลก

realme 13+ 5G แชมป์เกมมิ่งโฟนคนใหม่แห่งวงการ

Dimensity 7300 Energy  ชิปเซ็ตตัวแรงสุดแห่งเซกเมนต์

realme 13+ 5G เป็นสมาร์ตโฟนกลุ่มแรก ๆ ที่ใช้หน่วยประมวลผล MediaTek Dimensity 7300 Energy 5G ซึ่งมอบประสิทธิภาพเหนือชั้นด้วยคะแนน AnTuTu อันน่าประทับใจกว่า 750,000 ผลิตบนสถาปัตยกรรมระดับ 4 นาโนเมตร ซึ่งเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงานได้ถึง 30% เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นก่อน จึงใช้พลังงานต่ำแต่ยังสามารถมอบประสบการณ์การเล่นเกมในอัตราเฟรมสูงได้อย่างเสถียรและราบรื่น มาพร้อมเทคโนโลยี DRE (Dynamic RAM Expansion) ของเรียลมีที่ทันสมัยที่สุดในอุตสาหกรรม ทำให้เพิ่ม RAM สูงสุด 12GB + 14GB ที่ 26GB มอบความเร็วในการเปิดและเรียกการทำงานของแอปพลิเคชันได้อย่างรวดเร็ว

ยกระดับการเล่นเกมด้วยโหมด GT Mode มอบเฟรมเรทเสถียร 90fps นาน 7 ชั่วโมง

GT Mode ช่วยให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์เกมมิ่งที่ราบรื่น ตอบโจทย์การแข่งขัน eSports ได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยในปัจจุบัน GT Mode ใน realme 13+ 5G รองรับ 6 เกมหลัก ได้แก่ PUBG MOBILE, BGMI, Free Fire, MLBB, HOK(120FPS) และ COD ถือเป็นมือถือเครื่องแรกในเซกเมนต์ที่มีความสามารถนี้ โดย GT Mode สามารถคงอัตราเฟรมที่ 90fps ได้นานสูงสุด 7 ชั่วโมง (สำหรับเกม MLBB และ FreeFire) นอกจากนี้ ยังทำงานร่วมกับฟีเจอร์ GT Gaming ให้คุณสามารถปรับความถี่ CPU และ GPU ที่เหมาะสมได้ตลอดเวลา และยังมี Game Filters ที่ช่วยเพิ่มคอนทราสต์ ความอิ่มตัวของสี ความคมชัด และมอบเอฟเฟ็กต์ภาพที่สวยงาม ทำให้ง่ายต่อการมองเห็นศัตรูในระหว่างการเล่นเกม และยังมีโหมดอื่น ๆ ให้เลือกใช้งานตามลักษณะเกมได้อย่างไร้ขีดจำกัด

การระบายความร้อนแบบใหม่ด้วย Stainless Steel Vapor Cooling System และระบบชาร์จ 80W ที่เร็วที่สุดในเซกเมนต์

realme 13+ 5G มาพร้อมกับ Stainless Steel Vapor Cooling System มีพื้นที่ระบายความร้อนมากถึง 6,050 ตารางมิลลิเมตร ซึ่งใหญ่ที่สุดในเซกเมนต์และใหญ่กว่ารุ่นก่อนถึง 37% โดยใช้เทคโนโลยีและวัสดุระบายความร้อนแบบเดียวกับรุ่นแฟล็กชิปอย่าง GT6 เพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขัน eSports อย่างมาก นอกจากนี้ ยังมาพร้อมคุณสมบัติการชาร์จไว 80W Ultra Charge อันน่าประทับใจ เมื่อชาร์จ 5 นาทีจะทำให้คุณเล่นเกมได้เต็มชั่วโมง มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5000mAh ตอบโจทย์เกมเมอร์ตัวจริงที่ไม่ต้องการชาร์จมือถือบ่อย

จอแสดงผล OLED 120Hz พร้อมการออกแบบ Victory Speed Design

realme 13+5G มาพร้อมจอแสดงผล OLED E-sport 120Hz ที่ไม่เพียงมอบคุณภาพการแสดงผลที่สดใส แต่ยังไวต่อการทัชสกรีนด้วย Touch Sampling Rate แบบเทอร์โบชาร์จ 1200Hz มอบมุมมองกว้างด้วยพาแนลแบบ Pro-XDR และลำโพงคู่สเตอริโอ เพิ่มประสบการณ์การรับชมของคุณให้ดื่มด่ำล้ำลึกยิ่งขึ้น

ตัวเครื่องใช้การออกแบบ Victory Speed Design โดยได้รับแรงบันดาลใจจากคีย์เวิร์ด “Victory” และ “Speed” จากเกมแข่งรถ โดยนำแนวคิดนี้มาเชื่อมโยงกับประสิทธิภาพเร็วแรงเข้าด้วยกัน และยังคงรักษางานออกแบบตัวเครื่องที่บางเฉียบด้วยความหนาเพียง 7.69 มม. น้ำหนักเพียง 185 กรัม นอกจากนี้ ยังมีความทนทานเป็นพิเศษ ด้วยระดับการป้องกันน้ำและฝุ่นที่ IP65 พร้อมการเสริมโครงสร้างทั้ง 4 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ กรอบอะลูมิเนียมหล่อขึ้นรูป โครงโลหะแบบชิ้นเดียว กระจกนิรภัย และการเคลือบผิวให้ทนทานต่อการสึกหรอและการกัดกร่อนสูง

เซนเซอร์กล้องตัวท็อป Sony LYT-600 OIS ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล

ด้วยเซนเซอร์กล้อง Sony LYT-600 OIS ความละเอียด 50MP พร้อมเซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ 1/1.95” พร้อมรูรับแสงกว้าง f/1.8 มีระบบป้องกันภาพสั่นไหว OIS และรองรับวิดีโอ 4K ทำให้มั่นใจได้ว่าทุกช็อตที่ถ่ายด้วย realme 13+5G จะสวยงาม สดใส สมจริง และด้วยคุณสมบัติ Light Fusion Engine ยังช่วยคุณภาพของไฟล์ภาพ ไม่ว่าจะเป็นฉากกลางคืนหรือภาพถ่าย HDR ก็ให้คุณภาพไฟล์ดีเยี่ยมอย่างน่าประทับใจ

ฟีเจอร์ AI สุดล้ำ

realme 13+5G นำเสนอฟีเจอร์ AI มากมายที่ออกแบบมาเพื่อยกระดับการใช้งานให้ดียิ่งขึ้น อาทิ ฟีเจอร์ AI Clear Voice ซึ่งใช้เทคโนโลยีการจดจำเสียงด้วย AI ขั้นสูง ช่วยแยกแยะและขยายเสียงของมนุษย์ในระหว่างการคุยสาย จึงมั่นใจได้ว่าคุณจะได้ยินเสียงของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนแม้ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดัง และยับมีคุณสมบัติ AI ต่าง ๆ อีกมากมายที่จะทำให้ realme 13+5G ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ได้อย่างยอดเยี่ยม

realme 13 5G ที่สุดของสเปกมือถือระดับ Upper Mid-range

สร้างมาตรฐานใหม่ด้านประสิทธิภาพด้วยชิปเซ็ต Dimensity 6300 5G

realme 13 5G ใช้ชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 6300 5G ซึ่งมีคะแนนมาตรฐาน AnTuTu สูงถึง 460,000 ซึ่งสูงกว่าคู่แข่งในระดับเดียวกัน ขับเคลื่อนด้วยแกนประมวลผล A76 อันทรงพลังซึ่งมีค่าโอเวอร์คล็อกสูงสุด 2.4GHz ซึ่งสูงกว่ามือถือคู่แข่งถึง 10% จึงมั่นใจได้ถึงการตอบสนองที่ฉับไวและการทำงานแบบมัลติทัสก์ได้อย่างง่ายดายราบรื่น

พร้อมชนทุกเกมด้วยฟีเจอร์เกมมิ่งขั้นสูงเหมือนรุ่นพี่

เช่นเดียวกับรุ่น realme 13+5G โดย realme 13 5G ยังมาพร้อม GT Mode เพื่อมอบประสบการณ์การเล่นเกมที่เหนือกว่าด้วยการรักษาเฟรมเรตแบบนิ่ง ๆ ที่ 60fps ซึ่งรวมถึงฟีเจอร์ต่าง ๆ เช่น การปรับแต่งพลังงาน การเปิดเกมได้อย่างรวดเร็ว ตัวแทร็กสัญญาณ Wi-Fi และฟิลเตอร์ต่าง ๆ พร้อมจอแสดงผลแบบ Eye Comfort 120Hz ความละเอียด FHD+ ที่ให้ภาพที่ราบรื่น ลดการเกิดภาพเบลอจากการเคลื่อนไหว และคุณภาพทัชสกรีนที่ตอบสนองไวเป็นพิเศษ มาพร้อมลำโพงสเตอริโอคู่ที่มีเวทีเสียงกว้าง ช่วยให้เกมเมอร์สามารถระบุตำแหน่งศัตรูในเกมอย่าง PUBG และ Call of Duty ได้อย่างแม่นยำ

ในส่วนของระบบระบายความร้อนยังใช้ Stainless Steel Vapor Cooling System เช่นเดียวกับ realme 13+5G โดยมีพื้นที่ระบายความร้อนที่ใหญ่ที่สุดในระดับราคาเดียวกันที่ 2,249 ตารางมิลลิเมตร จับคู่กับเทคโนโลยีการกระจายความร้อนแบบหมุนเวียนสองทิศทาง จึงถ่ายเทความร้อนออกจากซีพียูและส่วนประกอบสำคัญอื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วกว่า

ชาร์จเร็ว SUPERVOOC 45W พร้อมแบตเตอรี่ 5000mAh

realme 13 5G มีแบตเตอรี่สุดอึดขนาด 5,000mAh และระบบการชาร์จเร็ว 45W จึงใช้งานได้นานขึ้น ชาร์จได้เร็วขึ้น พร้อมตอบโจทย์การเล่นเกมที่เข้มข้นได้ตลอดวัน โดยเมื่อชาร์จไฟเต็มจะสามารถเล่นเกม Free Fire ต่อเนื่องได้นานถึง 7 ชั่วโมง มอบพลังงานที่เหนือขีดจำกัดอย่างแท้จริง

นอกจากนี้  realme 13 5G ยังมีคุณสมบัติกันน้ำกันฝุ่นที่ IP64 สามารถใช้งานได้ในทุกสภาวะ ภายใต้การออกแบบตัวเครื่องที่สวยงาม Victory Speed Design มอบภาพลักษณ์แห่งชัยชนะในทุกมุมมอง

ถูกใจสายถ่ายภาพด้วยกล้อง 50MP OIS

ด้วยความละเอียดกล้อง 50MP OIS ทำให้ผู้ใช้งานสามารถจับภาพช่วงเวลาประทับใจต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยำ ด้วยคุณภาพระดับภาพยนตร์ โดยเป็นมือถือรุ่นแรก ๆ ในกลุ่มที่สามารถบันทึกวิดีโอระดับ 2K พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคอล (OIS) จับภาพวิดีโอคมชัดอย่างน่าทึ่งเทียบชั้นได้กับกล้องมืออาชีพในส่วนของการถ่ายภาพนิ่งยังเหมาะกับการถ่ายภาพทุกแนวเพราะมาพร้อมกับ OIS ระดับเรือธง ช่วยลดความเบลอจากการถือกล้อง ชดเชยความคมชัดเมื่อมือสั่นและให้ภาพที่มีความเสถียรอย่างน่าทึ่ง ไม่ว่าใช้ในการบันทึกช็อตเด็ดหรือการทำ vlog ก็ตาม

ราคาและการจำหน่าย

  • realme 13+ 5G นำเสนอสเปกความจุ 512/12GB ในราคา 13,999 บาท และ 256/12GB ในราคา 11,999 บาท มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ Victory Gold และ Dark Purple สามารถเป็นเจ้าของได้ผ่านช่องทาง
    • ช่องทางโอเปอเรเตอร์ True และ Dtac ในรุ่นความจุ 256/12GB ราคาเริ่มต้นเพียง 6,699 บาท และรุ่นความจุ 512/12GB ราคาเริ่มต้นเพียง 8,499 บาท และช่องทาง AIS รุ่นความจุ 256/12GB ราคาเริ่มต้นเพียง 7,799 บาท และรุ่นความจุ 512/12GB ราคาเริ่มต้นเพียง 8,499 บาท รับฟรี realme Buds T01, realme Giftbox และประกันจอแตก 1 ปี รวมมูลค่า 10,497 บาท
    • ช่องทางตัวแทนจำหน่าย Banana, BKK, Kingkong, IT City, CSC, TG, Jaymart, Maxlink, Stamp และ Advice รับฟรี realme Buds T01, realme Giftbox และประกันจอแตก 1 ปี รวมมูลค่า 10,497 บาท
    • ช่องทางอีคอมเมิร์ซ Shopee, Lazada และ Tiktok Shop รับฟรีคูปองส่วนลด 1,000 บาท, realme Buds T01, realme Gift Box พร้อมประกันจอแตก 1 ปี และ PUBG VIP Item Code Card (พิเศษ! ในช่วงพรีออเดอร์สำหรับความจุ 12+512GB Exclusive เฉพาะ Shopee เท่านั้น)

โดยสามารถพรีออเดอร์ได้ทุกช่องทางตั้งเเต่วันที่ 17 – 24 ตุลาคมและจำหน่ายวันแรกวันที่ 25 ตุลาคมเป็นต้นไป

  • realme 13 5G นำเสนอสเปกความจุ 256/12GB ในราคา 8,999 บาท มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ Speed Green และ Dark Purple สามารถเป็นเจ้าของได้ผ่านช่องทาง
    • ช่องทางโอเปอเรเตอร์ True และ Dtac ในราคาเริ่มต้นเพียง 5,499 บาท และ AIS ในราคาเริ่มต้นเพียง 6,049 บาท พร้อมรับฟรี realme Giftbox และประกันจอแตก 1 ปี รวมมูลค่า 7,898 บาทในทุกช่องทาง
    • ช่องทางตัวแทนจำหน่าย Banana, BKK, Kingkong, IT City, CSC, TG, Jaymart, Maxlink, Stamp และ Advice พร้อมรับฟรี realme Giftbox และประกันจอแตก 1 ปี รวมมูลค่า 7,898 บาทในทุกช่องทาง
    • ช่องทางอีคอมเมิร์ซ Shopee, Lazada และ Tiktok Shop รับฟรีคูปองส่วนลด 1,000 บาท, realme Buds T01, realme Gift Box พร้อมประกันจอแตก 1 ปี และ PUBG VIP Item Code Card

โดยสามารถพรีออเดอร์ได้ทุกช่องทางตั้งเเต่วันที่ 17 – 24 ตุลาคมและจำหน่ายวันแรกวันที่ 25 ตุลาคมเป็นต้นไป

realme 13 Series X PUBG MOBILE

ฉลองเปิดตัวด้วย “Esports Championship Tournament”

เรียลมีผนึกกำลังกับ “PUBG MOBILE” เกมแบตเทิลรอยัลยอดฮิต จัดการแข่งขันเกมออนไลน์แห่งปี “Esports Championship Tournament” โดยกำหนดเดินสายเปิดสังเวียนพร้อมจัดกิจกรรมสุดยิ่งใหญ่ตามมหาวิทยาลัยดัง 4 แห่งทั่วประเทศ ได้แก่ ได้แก่ มหาวิทยาลัยศรีปทุม (17 ตุลาคม) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (21 ตุลาคม) มหาวิทยาลัยบูรพา (29 ตุลาคม) และ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (5 พฤศจิกายน) เพื่อคัดเลือก 16 ทีมจากกลุ่มผู้เข้าแข่งขันเพื่อเฟ้นหา TOP 4 เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศออฟไลน์ สู่ผู้ชนะสุดท้ายเพื่อร่วมศึก “PMCC Thailand 2024” ชิงเงินรางวัลรวมกว่า 500,000 บาท ผู้สนใจเข้าร่วมแข่งขันสามารถดูรายละเอียดการสมัครได้ที่โซเชียลมีเดีย realme Thailand ทุกช่องทาง (รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.facebook.com/realmeTH/posts/pfbid0SQgqoM9v9rV6JtKyj95cHR7TKKgJsvLEEuFTzWVDaZKRd5XvjxcU1r9FXvY4nuYnl)

สามารถสั่งจองสมาร์ตโฟนที่ทรงพลังสุดขีด เร็วแรงเต็มสปีด เครื่องเย็นสุดขั้ว ใน“realme 13 Series” ได้แล้ววันนี้ เพื่อเปิดประสบการณ์เกมมิ่งสุดล้ำที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่าที่เคย!

ติดตามรายละเอียดรวมถึงข่าวสารกิจกรรมต่าง ๆ จาก realme Thailand ผ่านช่องทาง
Facebook: (https://www.facebook.com/realmeTH)
Instagram: (https://www.instagram.com/realme_thailand)
Tiktok: (https://www.tiktok.com/@realme_thailand)
Twitter: (https://twitter.com/realmeTH)
Youtube: (https://www.youtube.com/@realmeThailandTH)

จับตา! realme GT 7 Pro มาพร้อมขุมพลัง Snapdragon 8 Elite เปิดมาตรฐานใหม่ในตลาดสมาร์ตโฟนไฮเอนด์

เตรียมพบปรากฏการณ์ความแรงแห่งปี! เมื่อ realme แบรนด์สมาร์ตโฟนเพื่อคนรุ่นใหม่ที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก เผยข้อมูลล่าสุดของสมาร์ตโฟนแฟล็กชิปรุ่นใหม่ “realme GT 7 Pro” ซึ่งเตรียมเปิดตัวในเดือนพฤศจิกายนนี้ จะเป็นแฟล็กชิปรุ่นแรกในประเทศไทย ที่ได้ใช้หน่วยประมวลผลประสิทธิภาพสูงรุ่นใหม่จากค่าย Qualcomm อย่าง “Snapdragon 8 Elite” พร้อมสร้างมาตรฐานใหม่ของประสิทธิภาพซีพียูที่แรงล้ำเกินใคร ส่ง realme ยืนหนึ่งแบรนด์สมาร์ตโฟนระดับไฮเอนด์ที่แท้จริง

สัมผัสประสิทธิภาพไร้คู่แข่งของ Snapdragon 8 Elite

Snapdragon 8 Elite คือชิปเซ็ตเรือธงรุ่นปฏิวัติวงการโดยเป็นสถาปัตยกรรมซีพียูมือถือที่ทรงพลังขั้นสุด พัฒนาขึ้นบนเทคโนโลยีการผลิตระดับ 3 นาโนเมตร จึงมั่นใจได้ถึงประสิทธิภาพด้านการใช้พลังงานที่ยอดเยี่ยม มาพร้อมสถาปัตยกรรม 2+6 แกนประมวลผลแบบใหม่ซึ่งให้ความเร็ว Clock speed สูงที่สุดในอุตสาหกรรมมากกว่า 4GHz เมื่อผสานทั้งสถาปัตยกรรมขั้นสูงและการปรับแต่งที่ดีเยี่ยม ทำให้ Snapdragon 8 Elite มอบพลังที่ไร้คู่แข่ง พร้อมสร้างมาตรฐานใหม่ของสมาร์ตโฟนที่ขับเคลื่อนด้วย AI ในยุคดิจิทัล

ในฐานะสมาร์ตโฟนเรือธงที่ใช้ซีพียู Snapdragon 8 Elite เป็นรุ่นแรกในไทย ทำให้ realme GT 7 Pro มีประสิทธิภาพสูงสุดในกลุ่มเรือธงของแอนดรอยด์ ด้วยคะแนน Antutu สูงทะลุ 3 ล้าน ซึ่งไม่เพียงแต่พลังการประมวลผลอันดุดันเท่านั้น แต่ยังผสานทั้งความเร็ว ประสิทธิภาพ และบูรณาการปัญญาประดิษฐ์เข้าด้วยกันอย่างลงตัว การตัดสินใจติดตั้ง Snapdragon 8 Elite จึงสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ realme ในการมอบประสบการณ์ผู้ใช้งานที่ดีที่สุดอยู่เสมอ

แฟล็กชิปที่จะสร้างปรากฏการณ์ในตลาดมือถือไฮเอนด์

กลุ่มผลิตภัณฑ์ GT series ของ realme ถือเป็นสัญลักษณ์ของประสิทธิภาพที่เหนือกว่ามาโดยตลอด ซึ่งเกิดจากการพัฒนาบนพื้นฐานแนวคิด เทคโนโลยีและ ประสิทธิภาพที่ดุดันจนทำให้ realme GT series ทุกรุ่นที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ ได้กระแสตอบรับจากคนรักเทคโนโลยีอย่างคับคั่ง

realme ถือเป็นแบรนด์น้องใหม่แบรนด์แรก ๆ ที่นำเสนอสมาร์ตโฟนเรือธงที่ขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ต Snapdragon ในไทย สิ่งนี้ถือเป็นหลักชัยสำคัญไม่เพียงสำหรับ realme แต่ยังรวมถึงตลาดสมาร์ตโฟนเรือธงของภูมิภาคนี้อีกด้วย ในการเปลี่ยนผ่านสู่มาตรฐานใหม่ของสมาร์ตโฟนระดับไฮเอนด์ หลังจากก่อตั้งแบรนด์มาเพียง 6 ปี วันนี้ realme ได้เสียงตอบรับอย่างล้นหลามในตลาดกระแสหลัก โดยรุ่น GT6 ซึ่งเปิดตัวเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็น นักฆ่าเรือธงตัวจริง และในปัจจุบัน แม้จะมีแรงกดดันจากห่วงโซ่อุปทานที่มีต้นทุนและการแข่งขันในตลาดที่สูงขึ้น หาก realme ยังคงมุ่งมั่นอย่างเต็มกำลังในการนำเสนอ realme GT 7 Pro ให้เป็นสมาร์ตโฟนเรือธงที่แท้จริง และการเปิดตัวเรือธงรุ่นนี้จะยกระดับ realme ให้เติบโตในตลาดมือถือไฮเอนด์ได้อย่างมั่นคง

ติดตามรายละเอียดรวมถึงข่าวสารกิจกรรมต่าง ๆ จาก realme Thailand ผ่านช่องทาง
Facebook: (https://www.facebook.com/realmeTH)
Instagram: (https://www.instagram.com/realme_thailand)
Tiktok: (https://www.tiktok.com/@realme_thailand)
Twitter: (https://twitter.com/realmeTH)
Youtube: (https://www.youtube.com/@realmeThailandTH)

ปรับกฎ ลดเกรดนักเรียนหัวใส ใช้ AI ช่วยทำการบ้าน

พ่อแม่ของเด็กชาวแมสซาชูเซตส์กำลังฟ้องโรงเรียนหลังจากนักเรียนถูกลงโทษด้วยการลดเกรด จากการใช้ AI ช่วยทำการบ้าน

เด็กนักเรียนนามสมมุติ RNH ยอมรับกับครูว่าพวกเขาใช้ AI ในการเขียนโครงการสังคมศึกษาช่วงในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา แต่อ้างว่าใช้เพียงเพื่อการวิจัยเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อเขียนรายงานทั้งฉบับ

นักเรียนคนดังกล่าวถูกกักบริเวณในวันเสาร์และถูกหักคะแนนในโครงการดังกล่าว เมื่อพ่อแม่ของเด็กรู้เรื่องจึงเตรียมยื่นฟ้องร้องเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น

เพราะลูกของตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรม เนื่องจากการหักคะแนนอาจทำให้เกรดของเด็กลดลง ส่งผลต่อการสมัครเข้าเรียนในวิทยาลัยในอนาคต

อย่างไรก็ตาม ทางโรงเรียนได้ต่อสู้กลับด้วยการยื่นคำร้องเพื่อยกฟ้องคดีนี้ ทางโรงเรียนโต้แย้งว่าเด็กและเพื่อนร่วมชั้นได้รับคู่มือสำหรับนักเรียนซึ่งระบุอย่างชัดเจนถึงการใช้ AI

เผยว่านักเรียนไม่ควรใช้เครื่องมือ AI ระหว่างการสอบในชั้นเรียน การบ้าน โครงการต่าง ๆ เว้นแต่จะได้รับอนุญาต แถมเพื่อนร่วมชั้นของ RNH ก็ไม่มีใครใช้ AI ในการส่งการบ้าน

โรงเรียนจึงชี้แจ้งต่อศาล ประเมินว่าการกระทำของนักเรียนคนดังกล่าวไม่ยุติธรรมกับเพื่อนร่วมชั้นจึงทำให้เกิดการหักคะแนนเกิดขึ้น

 

ที่มา : theregister

#AI #TechhubUpdate

ผลสำรวจพบธุรกิจส่วนใหญ่ มีการตั้งเป้าหมายด้านความยั่งยืน แต่มากกว่าครึ่งยังใช้เครื่องมือวัดประสิทธิภาพแบบแมนนวล

ผลสำรวจ “แนวโน้มและดัชนีความยั่งยืนที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี 2024” (Tech-Driven Sustainability Trends and Index 2024) จัดทำโดยอาลีบาบา คลาวด์ ธุรกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และหน่วยงานหลักด้านอินเทลลิเจนซ์ของอาลีบาบา กรุ๊ป พบว่า 80% ของธุรกิจที่ตอบแบบสำรวจจากเอเชีย ยุโรป และตะวันออกกลาง ระบุว่าได้มีการตั้งเป้าหมายด้านความยั่งยืนแล้ว แต่ในจำนวนนี้มากกว่าครึ่ง (53%) ยังคงใช้วิธีการวัดประสิทธิภาพความก้าวหน้าของเป้าหมายดังกล่าวแบบแมนนวล ธุรกิจไทยก็มีแนวโน้มคล้ายกัน โดยมีธุรกิจถึง 82% ที่มีการตั้งเป้าหมายด้านความยั่งยืน แต่ 50% ยังคงใช้วิธีวัดประสิทธิภาพแบบแมนนวล

ข้อมูลจากรายงานเผยให้เห็นว่า 92% ของบรรดาธุรกิจที่มีเป้าหมายด้านความยั่งยืน ได้ตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไว้แล้ว อย่างไรก็ตาม มีเพียงหนึ่งในสามขององค์กรเหล่านี้ ที่ให้คำมั่นด้าน net-zero ด้วยการกำหนดเป้าหมายที่อิงตามหลักวิทยาศาสตร์ (science-based targets: SBTs) ทั้งนี้ตลาดเกิดใหม่ในเอเชียมีการกำหนดเป้าหมายอิงตามหลักวิทยาศาสตร์ (SBTs) มากที่สุด อยู่ที่ 39% ตามด้วยยุโรป 35% ตลาดพัฒนาแล้วในเอเชีย 30% และตะวันออกกลาง 22%

ธุรกิจที่มีเป้าหมายด้านความยั่งยืนประมาณครึ่งหนึ่งระบุว่า แรงจูงใจสำคัญในการตั้งเป้าหมายต่าง ๆ มาจาก การขับเคลื่อนการเติบโต (56%) การปฏิบัติตามกฎระเบียบ (54%) และเพื่อความแข็งแกร่งขององค์กร (49%) ในบรรดาตลาดที่ทำการสำรวจทั้งหมด องค์กรธุรกิจในอินโดนีเซียให้ความสำคัญกับการเติบโตของธุรกิจมากที่สุด (70%) ในขณะที่ซาอุดีอาระเบียเน้นการปฏิบัติตามกฎระเบียบ (73%) และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เน้นเรื่องความแข็งแกร่งขององค์กร (61%) สำหรับตลาดไทย ธุรกิจให้ความสำคัญกับความต้องการของลูกค้า (45%) การขับเคลื่อนการเติบโต (44%) และการปฏิบัติตามกฎระเบียบ (43%)

ธุรกิจ 78% เห็นด้วยว่าเทคโนโลยีมีความสำคัญมากต่อการบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนของโลก โดยตลาดที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ลำดับต้น ๆ คือ มาเลเซีย (89%) ซาอุดีอาระเบีย (87%) สิงคโปร์ (86%) และฝรั่งเศส (86%) หากพิจารณาในระดับภูมิภาค ตะวันออกกลางเป็นภูมิภาคที่มีความเชื่อว่า เทคโนโลยีมีความสำคัญต่อการบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนมากที่สุด (86%) โดยมีตลาดเกิดใหม่ในเอเชียตามติดมาเป็นอันดับสอง (83%) ในขณะที่ 78% ของผู้ตอบแบบสอบถามเชื่อว่าการนำเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น คลาวด์คอมพิวติ้ง และ AI มาใช้ จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนได้เร็วขึ้น ตลาดที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากที่สุดคือซาอุดีอาระเบีย (90%) ตามด้วยสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (84%) และสิงคโปร์ (81%)

ระดับและความท้าทายที่มีต่อความมุ่งมั่นของแต่ละตลาด

เมื่อประเมินระดับความมุ่งมั่นของแต่ละตลาดแล้ว สิงคโปร์อยู่ในระดับสูงสุดจากดัชนีความยั่งยืนที่ 91% ตามติดด้วยเยอรมนีที่ 89% และอินโดนีเซียที่ 86% ทั้งนี้ ดัชนีความยั่งยืนหมายถึงเปอร์เซ็นต์ของธุรกิจต่าง ๆ ที่มีการตั้งเป้าหมายด้านความยั่งยืนจากตลาด 13 แห่งที่ทำการสำรวจ

ธุรกิจต่างต้องเผชิญกับอุปสรรคหลากหลายบนเส้นทางสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายด้านความยั่งยืน องค์กรที่ตอบแบบสำรวจ 29% ระบุว่า ข้อจำกัดด้านงบประมาณเป็นอุปสรรคสำคัญที่สุด ที่ส่งผลกระทบต่อองค์กร โดยเฉพาะองค์กรในตะวันออกกลาง (41%) และยุโรป (31%) ซัพพลายเชนที่ซับซ้อนยิ่งทำให้ความพยายามต่าง ๆ ยุ่งยากมากขึ้น โดย 28% ขององค์กรที่ตอบแบบสำรวจ ได้รับผลกระทบด้านนี้ หากดูเฉพาะองค์กรในไทยผลสำรวจเผยว่าได้รับผลกระทบในสัดส่วนที่สูงกว่า (32%) นอกจากนี้ 23% ของบริษัทต่าง ๆ พบกับอุปสรรคที่เป็นข้อจำกัดทางเทคโนโลยี โดยตะวันออกกลางพบในอัตราสูงขึ้นเล็กน้อยที่ 26% ข้อจำกัดด้านเวลาเป็นความท้าทายที่สำคัญมากในทุกภูมิภาค และส่งผลกระทบต่อ 23% ขององค์กรที่ตอบแบบสำรวจ โดยไทยมีสัดส่วนสูงสุดที่ 34% ส่วนอุปสรรคสำคัญต่อการบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนขององค์กรที่ยังไม่ได้ตั้งเป้าหมายด้านความยั่งยืน ได้แก่ ข้อจำกัดด้านงบประมาณ (32%) และข้อจำกัดทางเทคโนโลยี (29%)

การพึ่งพาการวัดผลแบบแมนนวล

เครื่องมือดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพเป็นสิ่งจำเป็นต่อความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืนของธุรกิจอย่างเห็นได้ชัด การสำรวจครั้งนี้เน้นให้เห็นความจำเป็นที่ธุรกิจต่างต้องทำความเข้าใจเครื่องมือดิจิทัลต่าง ๆ ให้มากขึ้น เนื่องจากผู้ตอบแบบสำรวจ 59% ยอมรับว่า ยังมีช่องว่างทางความรู้ว่าเทคโนโลยีสามารถช่วยให้บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนได้อย่างไร ความรู้สึกเช่นนี้เห็นได้ชัดเจนในสิงคโปร์ (83%) ฮ่องกง (75%) และไทย (70%)

รายงานยังแสดงให้เห็นว่า โดยทั่วไปธุรกิจพึ่งพาแนวปฏิบัติแบบดั้งเดิม ซึ่งอาจทำให้เกิดความท้าทายต่อความสำเร็จของเป้าหมายด้านความยั่งยืน ผลสำรวจบ่งชี้ว่า มากกว่า 50% ขององค์กรธุรกิจใช้กระบวนการวัดประสิทธิภาพด้านความยั่งยืนแบบแมนนวล เช่น การใช้สเปรดชีต อีเมล และวิธีการที่คล้ายคลึงกัน ตลาดที่ทำการสำรวจทุกตลาด ยกเว้น ฮ่องกง (29%) เกาหลีใต้ (43%) และฝรั่งเศส (49%) อยู่ในเกณฑ์ที่เกิน 50% โดยสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มีเปอร์เซ็นต์สูงสุด (68%) ตามด้วยซาอุดีอาระเบีย (61%) และสหราชอาณาจักร (60%) ในขณะเดียวกัน มีเพียงประมาณหนึ่งในสามขององค์กรที่ใช้เครื่องมือที่เป็นซอฟต์แวร์ดิจิทัล ซึ่งรวมถึงคลาวด์แพลตฟอร์มต่าง ๆ สำหรับติดตามความคืบหน้าและวัดประสิทธิภาพด้านความยั่งยืน ตลาดที่แสดงให้เห็นว่ามีการนำโซลูชันที่ทำงานบนคลาวด์ไปใช้มากขึ้น คือ อินโดนีเซีย (59%) สิงคโปร์ (48%) และญี่ปุ่น (43%) ในขณะที่ค่าเฉลี่ยการใช้งานอยู่ที่ 38%

คุณเซลิน่า หยวน ประธานด้านธุรกิจระหว่างประเทศของอาลีบาบา คลาวด์ อินเทลลิเจนซ์ กล่าวว่า “ผลสำรวจเน้นให้เห็นความจำเป็นเร่งด่วนที่องค์กรต่าง ๆ ต้องประเมินวิธีการวัดประสิทธิภาพด้านความยั่งยืนของตนใหม่ และเปิดรับเทคโนโลยีโซลูชันที่ล้ำหน้า เช่น แพลตฟอร์มที่ทำงานบนคลาวด์ และบริการด้าน AI ต่าง ๆ เครื่องมือดิจิทัลเหล่านี้ไม่เพียงเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการวัดผลเท่านั้น แต่ยังมอบข้อมูลเชิงลึกที่นำไปใช้ได้จริง ซึ่งสามารถขับเคลื่อนความก้าวหน้าด้านความยั่งยืนได้อย่างมีนัยสำคัญ”

เซลิน่า กล่าวเสริมว่า “ในฐานะผู้ให้บริการคลาวด์ชั้นนำ เรามุ่งมั่นมอบนวัตกรรมและโซลูชันที่ ขับเคลื่อนการทำงานด้วย AI เช่น Energy Expert เพื่อช่วยให้องค์กรต่าง ๆ วัดและวิเคราะห์ การปล่อยก๊าซคาร์บอนและการใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อก้าวสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืนขององค์กร การจัดการอุปสรรคที่มีอยู่ และการลงทุนในเครื่องมือที่ล้ำหน้าดังกล่าว จะช่วยให้องค์กรสามารถปรับแนวความคิดริเริ่ม ด้านความยั่งยืนให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่กำหนดไว้ได้ดีขึ้น”

รายงาน “Tech-Driven Sustainability Trends and Index 2024” ของอาลีบาบา คลาวด์ มีจุดประสงค์เพื่อมอบข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณค่าให้กับการพัฒนาภูมิทัศน์ด้านความยั่งยืนขององค์กร และเน้นให้เห็นวิธีการที่เทคโนโลยีสามารถใช้เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่มีประสิทธิภาพได้อย่างไร

 

Hot Issue