Home Blog Page 11

ทดสอบแล้ว โปรเจคโซล่าเซลล์​ระดับองค์กร จ่ายไฟเลี้ยงอาคารได้ทั้งหลัง

[Top Stories] แม้แสงอาทิตย์จะเป็นผลดีต่อโซลาร์เซลล์ แต่แสงอาทิตย์ก็มาพร้อมความร้อน ที่กลายเป็นผลเสียได้เช่นกัน จึงเป็นที่มาของการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์แบบ “Solar Floating” หรือระบบโซลาร์ฟาร์มลอยน้ำ ที่ช่วยให้การระบายอากาศและอุณหภูมิที่เย็นกว่าการติดตั้งโซลาร์เซลล์แบบอื่น ๆ ทำให้ประสิทธิภาพในการสร้างพลังงานของแผงโซลาร์เพิ่มขึ้น แต่ก็แลกกับต้นทุนที่มากกว่า

สำหรับ Solar Floating ก็นับเป็นหนึ่งในธุรกิจ “ระบบโซลาร์” ที่เปลี่ยนพื้นที่ดินหรือแม่น้ำข้างบริษัท ไม่ก็หลังคาโรงงานกับลานจอดรถขนาดใหญ่ ให้กลายเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์เต็มระบบ สามารถจ่ายไฟเลี้ยงแก่อาคารหรือตึกสำนักงานได้ทั้งตึก จนช่วยประหยัดค่าไฟได้มหาศาล คิดเป็นปีละหลายล้านบาทกันเลย สำหรับระบบโซลาร์มีกี่ประเภท มีรูปแบบการติดตั้งอย่างไร รวมถึงช่วยผลิตไฟฟ้าและช่วยประหยัดค่าไฟบริษัทได้มากน้อยแค่ไหน ลองมาดูบทความนี้กันครับ

ONNEX by SCG Smart Living

เมื่อช่วงเดือนต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ทาง Techhub ได้รับเชิญจากทาง SCG หรือ ONNEX by SCG Smart Living พาไปชม Solar Farm ขนาด 47.5 ไร่ ที่จังหวัดสระบุรี โดยถือเป็นต้นแบบที่นำเสนอแพลตฟอร์มการบริหารจัดการพลังงานโรงไฟฟ้าเสมือนจริง (Virtual Power Plant) ภายใต้แนวคิด Smart Utilization – Smart Investment – Smart Flexibility และ Smart Monitoring ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถรับรู้ปริมาณการผลิตโซลาร์และการนำพลังงานสะอาดไปใช้อย่างเหมาะสม (เอาให้เห็นภาพก่อนสั่งซื้อ) ผ่านกลยุทธ์ EPC+ Business Model ที่ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจโซลาร์ให้สามารถตอบโจทย์ได้หลากหลายกลุ่ม ครอบคลุมตั้งแต่การออกแบบทางวิศวกรรม การขออนุญาตโครงการ รวมถึงการติดตั้งโครงสร้างระบบแบบครบวงจรกันเลย คือเรียกได้ว่าเป็นที่ปรึกษาด้านระบบโซลาร์เต็มรูปแบบจากทาง SCG นั้นเอง

ครั้งนี้ทาง ONNEX ได้พาไปดูการติดตั้งโซลาร์เซลล์ระดับองค์กร ที่มีรูปแบบการติดตั้งทั้ง 4 แบบด้วย อาทิ Solar Roof , Solar Floating , Solar Farm และ Solar Carport โดยแต่ละแบบก็มีข้อแตกต่างกันไปตามนี้

Solar Carport แผงโซลาร์เซลล์ในลานจอดรถ

เริ่มกันที่ Solar Carport หรือการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ในที่จอดรถ โดยบางบริษัทอาจมีการติดตั้งหลังคาช่วยกันความร้อน หรือมีพื้นที่จอดรถขนาดใหญ่ 3 ไร่ กว้างขวางพอที่จะจอดรถได้หลายร้อยคันก็มี จุดนี้เองหากเปลี่ยนจากหลังคาบังแดดให้กลายเป็นแผงโซลาร์เซลล์แทน ก็จะได้ทั้งที่จอดรถและระบบโซลาร์ที่ช่วยผลิตไฟฟ้าต่อปีได้ถึง 993,000 kWh ช่วยประหยัดค่าไฟได้สูงถึง 3,525,150 บาทต่อปี

ตัวเลขดังกล่าวนี้มาจากพื้นที่ลานจอดรถขนาด 3 ไร่ของออฟฟิศ SCG สำนักงานใหญ่ เป็นหนึ่งในโครงการตัวอย่างของ ONNEX ที่แสดงให้เห็นถึงรายละเอียดด้านการออกแบบและคุณภาพของแผงโซลาร์ขนาด 735 kWp โดยทาง ONNEX กล่าวเลยว่า จุดสำคัญในการติดตั้ง Solar Carport ก็คือการ “คืนพื้นที่” ให้กับทางออฟฟิศ SCG สำนักงานใหญ่โดยเร็วที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการก่อสร้างในพื้นที่จอดรถที่นานเกินไป เป็นการโชว์ให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการวางแผนการติดตั้งระบบโซลาร์ ซึ่งมีการก่อสร้างแผงโซลาร์เซลล์พร้อมโครงสร้างสำหรับติดตั้งจากโรงงานมาเลย ช่วยลดเวลาในการสร้างหรือติดตั้งได้อย่างมาก

Solar Roof แผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาโรงงาน

นับเป็นวิธีติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ที่หลายคนคุ้นเคยกันดี โดยเปลี่ยนพื้นที่หลังคาให้เป็นพื้นที่สร้างพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ โดย Solar Roof ก็นับเป็นระบบโซลาร์ที่ใช้งบลงทุนประหยัดที่สุดแล้วในบรรดาการติดตั้ง Solar Farm ทั้งหมด สืบเนื่องจากเป็นการติดตั้งกับหลังคาที่ส่วนใหญ่จะมีโครงสร้างมาตรฐานอยู่แล้ว จึงลดงบประมาณลงทุนในส่วนโครงสร้าง ลดอุปกรณ์ต่าง ๆ และการติดตั้งระบบโซลาร์บนหลังคาก็ทำได้ง่ายกว่าการติดตั้งในระบบอื่น ๆ

อนึ่งทาง ONNEX แอบกระซิบว่า ตัวโครงสร้างสำหรับติดตั้ง Solar Carport นั้น แพงกว่าแผงโซลาร์เซลล์ซะอีก

สำหรับตัว Solar Roof ทาง ONNEX ก็มีตัวอย่างจากหลังคาบนโรงงานหินกองและหนองแค (ที่ผลิตกระเบื้อง SCG Ceramics) ซึ่งมีขนาดใหญ่ถึง 13 ไร่ เผยสามารถติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ขนาดใหญ่ได้ถึง 2,000 kWp ช่วยผลิตไฟฟ้าต่อปีได้กว่า 2,700,000 kWh และช่วยประหยัดค่าไฟได้สูงถึง 9,585,000 บาทต่อปี

Solar Floating แผงโซลาร์เซลล์แช่น้ำ

ตามที่เกริ่นไป แสงอาทิตย์ก็เป็นผลเสียต่อแผงโซลาร์เซลล์ได้เช่นกัน จึงเป็นที่มาของ Solar Floating ระบบโซลาร์ฟาร์มลอยน้ำ เป็นระบบแผงโซลาร์เซลล์ที่สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้มากกว่าระบบโซลาร์อื่น ๆ ถึงประมาณ 5-20% เนื่องจากมีข้อได้เปรียบเรื่องการระบายอากาศและอุณหภูมิที่เย็นกว่า ทำให้ประสิทธิภาพในการสร้างพลังงานของแผงโซลาร์เพิ่มขึ้น ทว่าก็แลกมากับต้นทุนที่มากกว่าการติดตั้งระบบโซลาร์แอบอื่น ๆ พอควร เพราะต้องสร้างทั้งทุ่นลอยน้ำ และระบบยึดโยงทุ่นที่ต้องคำนวณเผื่อระดับการขึ้น-ลงของน้ำ ตามหน้างานที่เหมาะสมเพิ่มเติมด้วย

ทาง ONNEX ก็ได้พาไปชม Solar Floating ขนาด 999 kWp ที่โรงงานผลิตสุขภัณฑ์สยามซานิทารีแวร์ (COTTO) เผยสามารถผลิตไฟฟ้าต่อปีได้ที่ 1,350,000 kWh ช่วยประหยัดค่าไฟได้สูงถึง 4,792,500 บาทต่อปี

Solar Farm ทุ่งโซลาร์เซลล์

ปิดท้ายด้วย Solar Farm ซึ่งถือเป็นการติดตั้งระบบโซลาร์ในอุดมคติเลย เนื่องจาการติดตั้งรูปแบบนี้ มักทำในพื้นที่ดินที่มีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ ทำให้ได้การติดตั้งระบบโซลาร์ที่ครบวงจรมากที่สุด ทั้ง Inverter ที่ทำหน้าที่แปลงไฟฟ้ากระแสตรงเป็นกระเเสสลับ กับ Energy Storage จุดทำหน้าที่สำรองไฟฟ้าจากระบบโซลาร์ รวมถึงเทคโนโลยีด้านต่าง ๆ ที่ใช้ในระบบโซลาร์ในที่เดียว

โดยทาง ONNEX ก็พาไปชม Solar Farm ขนาด 7.2 MWp ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาดใหญ่ถึง 47.5 ไร่ จ่ายไฟฟ้าให้โรงงานได้ถึง 2 แห่ง อาทิ โรงงานหนองแค 1 SCG Ceramics และโรงงานหนองแค 2 Sosuco Ceramics โดยพื้นที่ Solar Farm จากทาง ONNEX นี้ ก็โชว์การติดตั้งแผงโซลาร์ในจุดที่เหมาะสม ทั้งยังติดตั้ง Energy Storage ขนาด 200 kWh ด้วย ซึ่งช่วยเก็บไฟฟ้าในช่วงค่าไฟ Off Peak มาใช้ในช่วงค่าไฟ On Peak (Energy Arbitrage) และยังมีฟังก์ชันอื่น ๆ อาทิ Peak Shaving ที่จะจ่ายพลังงานออกมาจากแบตเตอรี่ ในช่วงเวลาที่มีการใช้โหลดไฟฟ้าสูงสุด เพื่อลดภาระค่า Peak Demand จากการไฟฟ้า

สำหรับ Solar Farm ขนาด 7.2 MWp นี้ ก็สามารถผลิตไฟฟ้าต่อปีได้มากถึง 9,723,600 kWh ช่วยประหยัดค่าไฟได้สูงถึง 34,518,780 บาทต่อปี

ท้ายนี้ขอทิ้งท้ายเป้าหมายใหญ่ของทาง ONNEX by SCG Smart Living โดย คุณดุสิต ชัยรัตน์ Smart Home Living Solution Director ธุรกิจเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิ่ง ได้กล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า

“ด้วยแนวโน้มตลาดที่เปลี่ยนไป ทั้งด้วยนโยบายจากภาครัฐและจากความต้องการของลูกค้าในการใช้พลังงานสะอาด อีกทั้งในระยะหลังมีนักลงทุนที่สนใจลงทุนในธุรกิจพลังงานสะอาดมากขึ้นจากผลตอบแทนการลงทุนที่ดีและมีความผันผวนต่ำในระยะยาว ทาง ONNEX by SCG Smart Living ได้จัดให้มีบริการ EPC (Engineering Procurement and Construction) ทั้งด้านการออกแบบทางวิศวกรรม การขออนุญาตโครงการ รวมถึงการติดตั้งโครงสร้างระบบแบบครบวงจรอยู่แล้ว เพื่อขยายตลาดให้เติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง จึงได้เตรียมกลยุทธ์ EPC+ Business Model ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับผู้เกี่ยวข้องแต่ละกลุ่มในระบบโซลาร์ ที่จะช่วยสร้าง ecosystem ให้แข็งแกร่งเพื่อสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจโซลาร์ให้สามารถตอบโจทย์ได้ทั้งกลุ่มธุรกิจ ผู้ประกอบการ และนักลงทุน ส่งผลดีให้กับกลุ่มผู้บริโภค เพื่อลดภาวะโลกร้อนและสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ โดยคาดว่า EPC+ Business Model จะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตติดตั้งในระบบพลังงานโซลาร์รวมแล้วไม่น้อยกว่า 1,000 เมกะวัตต์ ภายใน 5 ปี”

จีนสร้าง แม่เหล็กเข้มข้นสูง ทรงพลังมากกว่าสนามแม่เหล็กโลก

แม่เหล็กเข้มข้นสูง

นักวิทยาศาสตร์จีนสร้าง แม่เหล็กเข้มข้นสูง ทรงพลังชนิดต้านทานที่สามารถทำลายสถิติโลกได้ ด้วยความเข้มสูงถึง 42.02 เทสลา ซึ่งแรงกว่าสนามแม่เหล็กโลกถึง 800,000 เท่า! โดยแม่เหล็กโลก มีความเข้มแค่ประมาณ 50 ไมโครเทสลาครับ

(หน่วย เทสลา (Tesla) คือหน่วยวัดความเข้มของสนามแม่เหล็ก ที่เป็นหน่วยอนุพัทธ์ในระบบ SI ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่นักวิทยาศาสตร์ชื่อดัง นิโคลา เทสลา)

สถิตินี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 กันยายนที่ผ่านมา ณ ห้องปฏิบัติการสนามแม่เหล็กความเข้มสูง (SHMFF) ในเมืองเหอเฟย์ ทำลายสถิติเดิมที่ 41.4 เทสลา ซึ่งสร้างโดยแม่เหล็กชนิดเดียวกันที่ห้องปฏิบัติการแห่งชาติในฟลอริดา สหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี 2017

มีประโยชน์ยังไง ?
Joachim Wosnitza นักฟิสิกส์จากเยอรมนี อธิบายว่า สนามแม่เหล็กยิ่งเข้ม ยิ่งเปิดโอกาสให้เราสำรวจโลกฟิสิกส์ได้แปลกใหม่มากขึ้น ช่วยให้ค้นพบสถานะใหม่ ๆ ของสสารได้มากกว่าเดิม นอกจากนี้ สนามแม่เหล็กความเข้มสูง ยังช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สร้างและควบคุมสสารในสถานะที่ไม่เคยมีมาก่อนในธรรมชาติ แถมทุก ๆ เทสลาที่เพิ่มขึ้น ยังทำให้เครื่องมือ สามารถตรวจจับปรากฏการณ์ต่างๆ ได้ละเอียดขึ้นแบบทวีคูณ

แต่แม่เหล็กชนิดต้านทานนี้ก็มีข้อเสียคือ กินไฟมหาศาล แม่เหล็กที่ SHMFF ใช้พลังงานมากถึง 32.3 เมกะวัตต์เพื่อสร้างสถิติโลก โดย 32.3 เมกะวัตต์ อาจเปรียบเทียบกับบ้านเรือนจำนวนมากถึง 6,460 หลัง (เฉลี่ยบ้านละ 5,000 วัตต์ ต่อชั่วโมง)

ที่มา
https://www.techspot.com/news/105226-china-new-resistive-magnet-800000-times-stronger-than.html

Fastwork เผยยอด Conversion Rate เพิ่มขึ้นสองเท่า ด้วยระบบการสื่อสารเรียลไทม์จาก Agora

ตลาดฟรีแลนซ์ในไทยมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว อันเป็นผลมาจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ความต้องการจ้างงานอิสระที่มีมากขึ้นทั่วโลก และรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน โดยตั้งแต่ปี พ.ศ.2565 – 2566 แพลตฟอร์มจ้างงาน ประเภทฟรีแลนซ์ในไทยมีจำนวนผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นถึง 50% โดยมีฟรีแลนซ์หน้าใหม่มากกว่า 23,700 คนเข้าร่วมแพลตฟอร์ม อาทิ Fastwork ซึ่งเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มฟรีแลนซ์ที่ใหญ่ที่สุด ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยประเภทงานยอดนิยมที่เป็นที่ต้องการ ได้แก่ แปลภาษา ออกแบบเว็บไซต์ และการป้อนข้อมูล เป็นต้น และมีผู้ที่ต้องการจ้างงานจากหลากหลายประเทศอย่าง อินเดีย สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย

ยิ่งไปกว่านั้นมีการรายงานว่าฟรีแลนซ์ชาวไทยเป็นที่ต้องการอย่างมากบนแพลตฟอร์มจ้างงาน อย่าง Freelancer.com โดยเฉพาะในงานแปลภาษา ออกแบบเว็บไซต์ ที่ปรึกษาทางธุรกิจ และการป้อนข้อมูล ในประเทศต่าง ๆ นอกจากประเทศไทย อาทิ อินเดีย สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย ซึ่งถือเป็นนายจ้างหลักของฟรีแลนซ์ชาวไทย

ปัจจุบันฟรีแลนซ์หันมาพึ่งพาแพลตฟอร์มดิจิทัลมากขึ้นในการหางาน โดย 73% ระบุว่าเทคโนโลยีทำให้กระบวนการนี้เป็นไปอย่างง่ายดายมากยิ่งขึ้น ซึ่ง Fastwork ได้มุ่งพัฒนาการใช้งานของแพลตฟอร์มอย่างมีนัยสำคัญด้วยการบูรณาการการสื่อสารแบบเรียลไทม์ของ Agora จากการเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้มีผู้ใช้งานมากกว่า 3 ล้านคน และมีฟรีแลนซ์หน้าใหม่ลงทะเบียนมากกว่า 230,000 คน อีกทั้งยังช่วยเพิ่มอัตราการจ้างงาน (Conversion Rate) เป็นสองเท่า ทำให้การเชื่อมต่อระหว่าง ธุรกิจกับฟรีแลนซ์เป็นไปอย่างราบรื่นมากยิ่งขึ้น

ก่อนหน้านี้ Fastwork เผชิญกับความท้าทายในด้านอัตราการจ้างงานจากลูกค้าที่ต้องการใช้บริการ ผ่านฟังก์ชันแชทและด้วยการเติบโตของตลาดฟรีแลนซ์ในประเทศไทยที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น Fastwork ได้นำโซลูชันการสื่อสารเรียลไทม์จาก Agora เข้ามาใช่ เพื่อเชื่อมต่อฟรีแลนซ์กับธุรกิจผู้จ้างงาน และแก้ปัญหาที่เคยมีมาก่อนหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ด้วยการบูรณาการบริการโทรแบบเรียลไทม์ของ Agora ฟรีแลนซ์และลูกค้าสามารถพูดคุยเจรจาข้อตกลงและทำงานร่วมกันได้แบบเรียลไทม์ ฟีเจอร์นี้มีบทบาทสำคัญในการปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้แพลตฟอร์ม และเสริมสร้างความเชื่อมั่นระหว่างลูกค้ากับฟรีแลนซ์

“Fastwork มีอัตราการแปลงจากการแชทไปสู่การชำระเงินเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า หลังจากที่ได้ผสานการโทรแบบเรียลไทม์ของ Agora เข้าไปในแพลตฟอร์มทำให้ผู้จ้างงานและฟรีแลนซ์เชื่อมต่อและทำงานร่วมกัน ได้ง่ายขึ้นไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน” คุณชนะสิทธิ์ ธนเสถียรวิชญ์ Product Manager ของ Fastwork กล่าว

Fastwork เลือกใช้ Agora เพราะความสามารถในการเชื่อมต่อระบบได้อย่างราบรื่น และบริการการสื่อสารแบบเรียลไทม์ที่มีคุณภาพสูงและเชื่อถือได้ เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้แพลตฟอร์มยกระดับการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ เพิ่มอัตราการจ้างงาน และในที่สุดทำให้ Fastwork ก้าวขึ้นเป็นผู้นำในตลาดฟรีแลนซ์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีโซลูชันของ Agora ที่เชื่อมต่อง่าย เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยให้ทีมพัฒนาของ Fastwork ปรับปรุงฟังก์ชันแพลตฟอร์มได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อประสบการณ์ของผู้ใช้

 

มาเป็นแอป ChatGPT เวอร์ชั่นใหม่ เปิดให้ใช้งานบน Desktop

[For PC] สิ้นสุดการรอคอย OpenAI เปิดให้ดาวน์โหลด ChatGPT เวอร์ชั่นแอปฯ สำหรับ Windows แล้ว ต่อจากเวอร์ชั่น Mac OS ที่เปิดตัวในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา แต่เปิดให้ใช้งานสำหรับผู้ใช้รายเดือนหรือ ChatGPT Plus , Team , Enterprise และ Edu เท่านั้น

เป็นเรื่องปกติไปแล้วสำหรับบริการ AI ออนไลน์หลาย ๆ ตัว ที่หากต้องการใช้งานแบบ 100% เต็มประสิทธิภาพ ก็ต้องสมัครใช้บริการแบบรายเดือน ซึ่งมีค่าบริการที่แตกต่างกันไป เช่นเดียวกับ ChatGPT ของ OpenAI ก็มีเวอร์ชั่น Plus ในราคา 20 ดอลลาร์ฯ หรือประมาณ 670 บาทต่อเดือน ซึ่งปลดล็อคการใช้งานแบบไม่จำกัด และการเข้าถึงฟีเจอร์ระดับสูงได้มากกว่าเวอร์ชั่น Free

ข่าวดีสำหรับผู้ใช้ ChatGPT Plus หรือเวอร์ชั่น Team , Enterprise และ Edu ล่าสุดทาง OpenAI เปิดให้ใช้งานในฝั่ง Desktop PC แล้ว โดยสามารถโหลดตัวแอปฯ ได้ผ่าน Microsoft Store ซึ่งการใช้งานแทบไม่ต่างจากเว็บเบราว์เซอร์ ใช้การประมวลผลผ่านเซิร์ฟเวอร์ของ OpenAI เหมือนเคย

แต่ได้ความสะดวกในการเรียกใช้ที่มากขึ้น สามารถตั้งค่าปุ่มลัดเรียกใช้โดยตรงก็ได้ เช่น Alt + Space (อนึ่ง Windows 10 ไม่รองรับปุ่มลัดดังกล่าว) ช่วยให้เข้าถึง ChatGPT ได้มากกว่าเดิม

สำหรับตัว ChatGPT เวอร์ชั่นแอปฯ Windows สามารถเข้าถึงโมเดลต่าง ๆ ของทาง OpenAI ได้ทั้ง GPT-4o, GPT-4o with Canvas , 01-preview , 01-mini , GPT-4o mini และ GPT-4 รวมถึงการสร้างรูปภาพผ่าน Text หรือ DALL-E 3 ก็ได้เช่นกัน

โหลดตัว ChatGPT เวอร์ชั่น PC ได้ที่ Microsoft Store

ที่มา : Arstechnica

ปิดวงจร How to ปิดใช้งาน Grok ห้ามนำข้อมูลบน X ไปฝึก AI

[ไม่อนุญาต] จากกรณี Elon Musk อัปเดตข้อกำหนดการให้บริการใหม่ เปิดโอกาสให้บุคคลที่ 3 สามารถนำข้อมูลจากโพสต์หรือทวีตผู้ใช้ไปฝึก AI ได้ โดยมีผลบังคับใช้ 15 พฤศจิกายน 2024 นี้ แน่นอนว่าข่าวดังกล่าวไปสร้างความไม่พอใจให้กับผู้ใช้หลายราย โดยเฉพาะเหล่า Creator ที่ทวีตผลงานลง X บ่อย ๆ (หรือตั้งแต่สมัย Twitter) ที่ไม่อยากให้ผลงานตัวเองถูกนำไปเทรน AI แน่

วันนี้ขอเสนอ How to ปิดวงจร Grok ห้ามนำข้อมูลทวีตไปเทรน Grok หรือ AI ของ Elon Musk ด้วยตัวผู้ใช้เอง โดยวิธีก็มีขั้นตอนง่าย ๆ ตามนี้

ไปที่หน้าโปรไฟล์ X แล้วคลิกที่หัวข้อ “การตั้งค่าและความเป็นส่วนตัว”

จากนั้นก็ไปที่หัวข้อ “ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย”

เมื่อเข้าสู่หน้าความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยแล้ว ก็เลื่อนหาตัวเลือก “Grok” ในหน้านี้

หากเจอแล้ว ก็จัดการคลิกที่ตัวเลือก Grok

ในนี้เองก็จะพบกับคำอธิบายการ “อนุญาต” ให้นำข้อมูลโพสต์หรือทวีตของผู้ใช้ X ไปเทรนหรือฝึกตัว Grok ของ xAI ได้

หากใครไม่ต้องการและไม่อนุญาตให้นำข้อมูลไปฝึกตัว Grok AI ของ Elon Musk ก็จัดการกด ‘ติ๊กถูก’ ในตัวเลือกนี้ออกเป็นอันเสร็จ อย่างไรก็ตาม ไม่แน่ชัดว่าหลังวันที่ 15 พฤศจิกายน 2024 นี้ ตัวเลือกจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรเพิ่มเติมไหม ? ฉะนั้นควรกลับมาเช็คที่ตัวเลือกนี้อีกครั้ง เผื่อมีความเปลี่ยนแแปลงที่คาดไม่ถึง (อีก)

ระบาดหนัก บอทเปลือยกาย บน Telegram ใช้ AI สร้างภาพอนาจาร

บอทเปลือยกาย

บน Telegram ตอนนี้ กำลังเผชิญปัญหาบอท AI ที่สามารถเป็น ” บอทเปลือยกาย ” คนในภาพถ่ายได้ ซึ่งถูกนำไปใช้สร้างภาพ deepfake อนาจารโดยไม่ได้รับความยินยอม และบางภาพ ก็ยังเป็นภาพนาจารของเด็ก เรื่องนี้ ยังแก้ได้ไม่จบ แม้จะมีความพยายามจากฝ่ายนิติบัญญัติและบริษัทเทคโนโลยีในการปราบปรามก็ตาม

ตั้งแต่ปี 2020 มีการค้นพบบอท Telegram ที่ใช้ AI สร้างภาพโป๊เปลือย ซึ่งในขณะนั้นมีการสร้างภาพอนาจารกว่า 100,000 ภาพ รวมถึงภาพของเด็ก นับเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหา deepfake ปัจจุบัน

เว็๋บไซจ์ WIRED ตรวจสอบพบว่ามีบอทใน Telegram อย่างน้อย 50 ตัว ที่อ้างว่าสามารถสร้างภาพหรือวิดีโออนาจาร โดยมีผู้ใช้รวมกันกว่า 4 ล้านคน บอทบางตัวมีผู้ใช้มากกว่า 400,000 คนต่อเดือน สะท้อนให้เห็นถึงการแพร่กระจายของเครื่องมือสร้าง deepfake และ Telegram กลายเป็นแหล่งรวมบอทเหล่านี้ ซึ่งตัวเลขนี้เป็นเพียงส่วนเล็กๆ เท่านั้น

Deepfake อนาจาร ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต ทำให้เกิดความบอบช้ำทางจิตใจ รู้สึกอับอาย หวาดกลัว และอับอายต่อเหยื่ออย่างมาก ปัญหา deepfake นั้นเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นและแพร่หลายไปทั่วอินเทอร์เน็ต มีทั้งเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน และบอท Telegram ที่ถูกนำไปใช้โจมตีผู้หญิงและเด็กผู้หญิงทั่วโลก

แม้จะมีกฎหมายและนโยบายของบริษัทเทคโนโลยี แต่ deepfake อนาจาร ยังคงแพร่ระบาด ทั้งในแอปสโตร์ และโซเชียลมีเดีย สะท้อนให้เห็นถึงความล่าช้าในการแก้ปัญหา และ Telegram เองก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงนโยบายที่ไม่ชัดเจน ที่ไม่สามารถจัดการกับเนื้อหาเหล่านี้ได้

ปัญหานี้สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการรับมือกับ deepfake อนาจาร ทั้งการพัฒนากฎหมาย เทคโนโลยี และความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อปกป้องผู้ใช้งาน โดยเฉพาะผู้หญิงและเด็ก จากภัยคุกคามทางออนไลน์รูปแบบใหม่นี้

ที่มา
https://www.wired.com/story/ai-deepfake-nudify-bots-telegram/

ทนกว่าเดิม NASA จับมือแบรนด์ดัง เปิดตัวชุดอวกาศสุดล้ำ

Axiom Space โชว์ชุดอวกาศที่กำลังพัฒนาร่วมกับ NASA และ Prada

นับว่าเป็นก้าวสำคัญบนเส้นทางไปดวงจันทร์ชุดอวกาศ “Artemis” ที่จะถูกเอาไปใช้งานจริงในภารกิจลงจอดบนดวงจันทร์

ชุดอวกาศตัวนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากชุดนักบินในภารกิจยานอพอลโล แต่มีความคล่องตัวกว่ามาก ทำงานได้ละเอียดและมีระบบตรวจสอบสุขภาพในตัว แถมยังต้องใช้ความเชี่ยวชาญด้านวัสดุและการออกแบบเพื่อรองรับกับสภาพอากาศที่ไม่คาดคิดจึงได้ Prada มาช่วยให้ชุดสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น

ด้านนอกของชุดจะมีลักษณะสะท้อนแสงแดดและป้องกันไม่ให้ฝุ่นเข้าไปในชั้นในด้วยการตัดเย็บแบบละเอียด เสริมกับเทคโนโลยีต่าง ๆ และทำให้เนื้อผ้าใส่สบายที่สุด

แม้ว่าชุดอวกาศจะเน้นไปที่การเดินบนดวงจันทร์เป็นหลัก แต่ผู้คิดค้นบอกว่าสามารถปรับชุดอวกาศให้เหมาะกับการใช้งานในวงโคจรต่ำของโลกได้ เช่น การเดินในอวกาศจากสถานีอวกาศนานาชาติหรือสถานีอวกาศเชิงพาณิชย์

ในอนาคต NASA จะส่งชุดอวกาศพร้อมสำหรับภารกิจลงจอดบนดวงจันทร์ของยาน Artemis 3 ที่มีแผนกำหนดไม่เกินสิ้นปี 2026

ที่มา : spacenews 

#ชุดอวกาศ  #NASA #TechhubUpdate

ท้าชนค่ายดัง เปิดตัว Snapdragon 8 Elite ชิปมือถือเร็วที่สุดในโลก

[ท้าชนค่ายดัง] เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วกับ Qualcomm Snapdragon 8 Elite ชิปประมวลผลตัว Top สุด สำหรับอุปกรณ์พกพาหรือสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ โดยมาแทนที่ชื่อ Snapdragon 8 Gen หรือจะเรียกว่าเป็น Snap 8 Gen 4 ก็ได้ (แต่ชื่อทางการคือ 8 Elite) ชูมาพร้อมประสิทธิภาพเร็วที่สุดในโลก ในหมู่ชิปประมวลผลสมาร์ทโฟน พร้อมรองรับการประมวลผล Generative AI เต็มรูปแบบ

Snapdragon 8 Elite เป็นชิป SoC ตัว Top รุ่นใหม่จากทาง Qualcomm ซึ่งรอบนี้ได้นำ Oryon ชิป CPU รุ่นที่ 2 ที่มาพร้อมแกนประมวลผล 8 Core ประกอบด้วยแกนหลัก 2 Core ที่มาพร้อมความเร็วมากถึง 4.32 GHz และอีก 6 Core ที่มาพร้อมความเร็ว 3.53 GHz บนแคช (Cache) แรม L2 ขนาด 24MB และรองรับแรม LPDDR5X 5300MHz

ตัวชิปใช้กระบวนการผลิตชิป 3 นาโนเมตร จากทาง TSMC พร้อมเผยตัวชิปมีความเร็ว CPU มากกว่าเดิมถึง 45% และประหยัดพลังงานมากกว่าเดิมถึง 44% ส่วนชิปกราฟฟิก Adreno ก็ได้รับการปรับปรุงใหม่ให้เร็วขึ้น และประหยัดพลังงานมากกว่าเดิมถึง 40% ด้วย ทั้งรองรับ Unreal Engine 5.3

จุดเด่นของ Snapdragon 8 Elite คือส่วนประมวลผล AI หรือ AI Engine ที่รองรับ Generative AI และผสานเข้ากับ Hexagon NPU เพื่อรองรับฟีเจอร์การถ่ายภาพใหม่ ๆ ในอนาคต

ด้านการเชื่อมต่อก็มาพร้อมโมเด็ม Snapdragon X80 5G ซึ่งเป็นชิป 5G ตัวใหม่ล่าสุด กับมี FastConnect 7900 ที่รองรับ Wi-Fi 7 กับ Bluetooth 5.4 แล้ว

อาจเรียกได้ว่าทาง Qualcomm พัฒนาตัวชิป Snapdragon 8 Elite เพื่อชนกับชิป M Series ของ Apple โดยเฉพาะ ดูได้จากประสิทธิภาพที่เน้นเรื่อง AI และการประหยัดพลังงานเป็นพิเศษ

ท้ายนี้ตัวชิจะถูกนำไปใช้ในสมาร์ทโฟน Android ระดับเรือธงรุ่นใหม่ ๆ ในปี 2025 โดยมีทั้ง Asus , Honor , iQOO , OnePlus , Oppo , Realme , Samsung , vivo , Xiaomi และอีกหลายแบรนด์เตรียมนำไปใช้งานในปีหน้า

ที่มา : GSMarena

สุดเจ๋ง รางรถไฟแบบใหม่ ติดโซลาร์เซลล์ผลิตไฟฟ้า

สตาร์ทอัปสัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ เปิดโปรเจคพลังงานแสงอาทิตย์ ด้วยการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ใต้รางรถไฟ ให้สามารถผลิตไฟฟ้าได้ทั้งวัน

โดยใช้ช่องว่างระหว่างรางรถไฟให้เกิดประโยชน์ เมื่อเวลารถไฟแล่นผ่านหรือช่วงหยุดพักโซลาร์เซลล์ที่อยู่ใต้รางรถไฟจะเก็บพลังงานไฟฟ้าได้ทันที

แผงโซลาร์เซลล์ได้รับการออกแบบร่วมกับวิศวกรรถไฟและโรงไฟฟ้า ทดสอบความเสถียรสำหรับรถไฟที่วิ่งผ่านด้วยความเร็วสูงสุด 150 กม./ชม. สามารถทนต่อลมและหิมะได้ดีเพราะมีฟังก์ชันกำจัดสิ่งสกปรก

ไฟฟ้าที่ผลิตได้จากระบบจะนำไปจ่ายไฟให้กับโครงสร้างพื้นฐานใกล้เคียง เช่น สถานีต่าง ๆ ป้อนไฟฟ้าเข้าสู่ระบบหรือส่งพลังงานเพื่อลากจูงหัวรถจักร โดยไม่จำเป็นต้องใช้อินเวอร์เตอร์บนพื้นดิน

โครงการนี้ได้อนุมัติจากสำนักงานคมนาคมกลางแห่งสหพันธรัฐ (FOT) เป็นที่เรียบร้อยและ ในปี 2025 จะเริ่มติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์จำนวน 48 แผงระหว่างราง โดยมีกำลังการผลิต 18 kWp ในอนาคตจะเลือกใช้รางรถไฟที่มีเส้นทางที่ยาวขึ้นเพื่อผลิตไฟฟ้าได้มากกว่าเดิม และจะขยายโครงการไปอีกหลายประเทศ

 

ที่มา : newatlas

#โซลาร์เซลล์ #รางรถไฟ #พลังงานไฟฟ้า

แพลทฟอร์ม NVIDIA Studio ใช้พลัง GPU และ AI สร้างคอนเทนต์

ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีพัฒนาแบบก้าวกระโดด ความต้องการคอนเทนต์คุณภาพสูง ไม่ว่าจะเป็นภาพ วิดีโอ หรือโมเดล 3 มิติ ก็เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย สำหรับคนที่เป็นนักออกแบบ หรือครีเอเตอร์ ก็จำเป็นต้องการเครื่องมือทรงพลัง ช่วยให้งานง่ายและเสร็จไวขึ้น 

Techhub พาทุกคนมารู้จักกับแพลทฟอร์มตัวนึงที่ชื่อว่า NVIDIA Studio เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับเหล่าครีเอเตอร์ ออกแบบมาเพื่อใช้สร้างสรรค์คอนเทนต์โดยเฉพาะ ช่วยให้ศิลปิน นักออกแบบ นักตัดต่อวิดีโอ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านงานครีเอทีฟต่าง ๆ ทำงานได้ไวมากขึ้น มีหัวใจสำคัญคือ GPU หรือหน่วยประมวลผลกราฟิก ที่ช่วยเร่งความเร็วในการทำงานของแอปพลิเคชั่น รวมทั้งยังมีชุดเครื่องมือที่สนับสนุนในหลาย ๆ งาน

จริง ๆ แพลทฟอร์มตัวนี้เปิดตัวครั้งแรกในงาน CES 2019 และด้วยการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง บวกกับฮาร์ดแวร์ที่ทันสมัยมากขึ้น ทำให้วันนี้ NVIDIA Studio กลายเป็นแพลทฟอร์มสำคัญที่ถูกใจเหล่าครีเอทีฟอย่างมาก

ฟีเจอร์เด่นของ NVIDIA Studio

  • RTX Technology GPU ของ RTX สามารถช่วยเพิ่มความเร็วในการทำงานต่าง ๆ เช่น งาน 3D, วิดีโอ, และการบรอดแคสต์ บวกกับเทคโนโลยี Ray Tracing และ AI  ที่จะช่วยยกระดับงานสร้างสรรค์ ไปอีกขั้น เช่น การสร้างแสงเงาที่สมจริง การลด Noise ในภาพ การ Upscale ภาพ การทำ Motion Tracking และอื่น 
  • NVIDIA Studio Driver  ไดรเวอร์ที่ได้รับการปรับแต่งมาเป็นพิเศษ ให้มีความเสถียรสูงสุด สำหรับแอปพลิเคชันของเหล่าครีเอเตอร์ (Adobe , Blender , OBS Autodesk,  Maya , Unreal Engine และแอปอื่น ๆ )  และได้ผ่านการทดสอบ และรับรอง จากนักพัฒนาแอปพลิเคชันชั้นนำแล้ว
  • GPU Acceleration  การเร่งความเร็วด้วย GPU สามารถช่วยลดเวลาในการทำงาน เช่น การเรนเดอร์ การประมวลผลภาพ การจำลองแบบและอื่น ๆ

การออกแบบแพลทฟอร์ม ควบคู่กับนักพัฒนาซอฟต์แวร์

NVIDIA ทำงานร่วมกับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ชั้นนำ เช่น Adobe, Autodesk, Blender และแอปอื่น ๆ เพื่อ optimize ให้แอปเหล่านี้  ทำงานร่วมกับ GPU ของ NVIDIA ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้นักสร้างสรรค์ สามารถใช้งานแอปพลิเคชันที่คุ้นเคย ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพบนแพลตฟอร์ม NVIDIA Studio

NVIDIA Studio  เร่งความเร็วมากขึ้นแค่ไหน ?

ในความเป็นจริง คงตอบเป็นตัวเลขเป๊ะ ๆ ไม่ได้ครับ เพราะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น รุ่นของ GPU, แอปพลิเคชันที่ใช้งาน, ความซับซ้อนของงาน  อย่างไรก็ตาม จากการทดสอบ พบว่า NVIDIA Studio สามารถเร่งความเร็วในการทำงานได้หลายเท่าตัว เมื่อเทียบกับการใช้ CPU เพียงอย่างเดียว ซึ่ง NVIDIA ได้ทดสอบกับแอปยอดนิยมไว้ให้แล้ว

NVIDIA Studio

NVIDIA Studio

NVIDIA Studio

NVIDIA Studio

ความเร็ว สิ่งสำคัญในยุคดิจิทัล 

จากผลทดสอบด้านบน จะเห็นว่า คนที่ใช้ GPU รุ่นแรง ๆ ก็มีส่วนช่วยด้วยพลังการประมวลผล GPU ไม่ว่าจะเรนเดอร์ภาพ ตัดต่อวิดีโอ หรือสร้างโมเดล 3 มิติ ก็เสร็จไวทันใจ ประหยัดเวลา เพิ่มโอกาสในการรับงาน และสร้างรายได้มากขึ้น รวมทั้งเทคโนโลยี RTX และ AI ยังช่วยยกระดับคุณภาพผลงาน ให้ภาพสวยสมจริง รายละเอียดคมชัด สร้างความประทับใจให้ลูกค้า และเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขันได้อย่างมาก

ชุดเครื่องมือสุดล้ำ ที่มีให้ใช้บน  NVIDIA Studio

  1. NVIDIA Omniverse™ Omniverse แพลตฟอร์มที่เชื่อมต่อแอปพลิเคชัน 3D ต่างๆ เข้าด้วยกัน  ให้เหล่าครีเอเตอร์ทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์  แชร์ไฟล์หรือแก้ไขงานได้อย่างราบรื่น  เหมือนนั่งทำงานอยู่ด้วยกัน  แม้จะอยู่คนละที่ก็ตาม
  1. NVIDIA Broadcast  เปลี่ยนห้องธรรมดา  ให้กลายเป็นสตูดิโอระดับมืออาชีพ  ด้วย  AI  ที่ช่วยยกระดับ  การไลฟ์สตรีม  วิดีโอคอล  และการประชุมออนไลน์ ใช้ AI  ตัดเสียงรบกวน เบลอพื้นหลัง  ปรับแต่งเสียง ปรับใช้  Eye Contact  ให้ AI ช่วยทำให้สายตา มองตรงไปที่กล้อง เสมอ แม้จะกำลังอ่านสคริปต์ อยู่ก็ตาม
  1. NVIDIA Canvas เปลี่ยนลายเส้นง่าย ๆ ให้กลายเป็นภาพทิวทัศน์ที่สมจริงได้ในพริบตา
  1. NVIDIA RTX Remix RTX Remix  ช่วยปรับโฉมเกมเก่า  ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ด้วย  AI  และ  Ray Tracing ทั้งเรื่องของความละเอียด แสงเงา และเอฟเฟกต์ ต่างๆ

GeForce RTX 40 Series การ์ดที่ใช้ในงานออกแบบได้

หลายคนเข้าใจว่า GEFORCE RTX 40 Series ออกแบบมาให้ใช้สำหรับเล่นเกมเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้ว ด้วยเทคโนโลยีที่อัดแน่นเข้ามา ก็ช่วยให้ทำงานออกแบบได้ง่ายเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น 

  • สถาปัตยกรรม Ada Lovelace ที่เร็วกว่า GPU รุ่นก่อนถึง 2 เท่า
  • Dual Encoders ที่รองรับ AV1 ช่วยให้การส่งออกวิดีโอเร็วขึ้นถึง 2 เท่า
  • Ray Tracing Cores และ Tensor Cores เจเนอเรชั่นล่าสุดที่เพิ่มประสิทธิภาพในการสร้าง 3D และ AI ได้ถึง 4 เท่า
  • การทำงานร่วมกับฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่อยู่บน NVIDIA Studio

สำหรับใครที่ไม่ได้ใช้ GeForce RTX 40 Series  ก็อย่าเพิ่งน้อยใจไป เพราะ NVIDIA Studio นั้นรองรับการ์ดหลายรุ่นมาก ตั้งแต่รุ่น Titan ยุคก่อนนู้น รวมถึง Quadro ไล่มาจนถึงรุ่นปัจจุบัน   ซึ่งหากใครที่มีการ์ดจอของ NVIDIA อยู่แล้ว อยากทดลองใช้แพลทฟอร์มฟรี ลองมาดูรุ่นที่รองรับ และโหลดใช้งานได้ที่ NVIDIA Studio Driver ครับ  แต่ก็ต้องยอมรับนะว่า การ์ดรุ่นเก่า อาจจมีฟีเจอร์น้อยกว่าการ์ดรุ่นใหม่ครับ

และใครที่เน้นใช้งานแบบพกพา ตอนนี้มี Notebook หลายรุ่นที่รองรับการ NVIDIA Studio  ซึ่งจะมีสติกเกอร์ “GeForce RTX Studio PC” ติดอยู่ที่ตัวเครื่อง  เป็นตัวการันตีว่าเครื่องนั้น ผ่านการรับรองโดย NVIDIA Studio ช่วยให้เรามั่นใจได้ถึงประสิทธิภาพในการทำงานครีเอทีฟทุกขั้นตอน ทั้ง

NVIDIA Studio

MSI Prestige 16 AI Studio  โน้ตบุ๊กดีไซน์หรู พร้อมจอขนาดใหญ่ 16 นิ้ว และพลังจาก GeForce RTX™ 4060

HP OMEN Transcend 14  โน้ตบุ๊กขนาดพกพา พร้อม GeForce RTX™ 4070 และจอ OLED 2.8K

ASUS ProArt PX13  โน้ตบุ๊ก 2-in-1 ขนาด 13″ พกพาง่ายเพียง 1.38 กิโลกรัม พร้อมจอ OLED 3K และ GeForce RTX™ 4060

ข้อมูลเพิ่มเติม NVIDIA Studio 

ติดตามข่าวสาร Blog ของ NVIDIA Studio 

 

Hot Issue