Home Blog Page 10

หนังแอนิเมชันแห่งปี ชวนดู The Wild Robot ปรัชญา AI ที่เรียบง่าย แต่ลึกซึ้ง

[เมื่อ AI เป็นจ้าวป่า] The Wild Robot เป็นหนังแอนิเมชันที่ว่าด้วยเรื่องราวหุ่นยนต์ที่ได้หลงมาอยู่ที่ป่า โดยบอกเล่าเรื่องราวที่เต็มไปด้วยความเรียบง่าย หากแต่มีจุดให้ตั้งคำถามมากมาย ซึ่งไม่ใช่คุณภาพของหนังแต่อย่างใด หากแต่เป็น “ปรัชญา” ที่ตั้งคำถามต่อวงการ AI ไว้อย่างลึกซึ้งเกินคาด

เนื้อเรื่องหลัก ๆ ของตัวหนังคือ Rozzum Unit 7134 หรือเรียกสั้น ๆ ว่า Roz เป็นหุ่นยนต์สารพัดประโยชน์ในโลกอนาคต ที่มีหน้าที่รับใช้มนุษย์ได้แบบครอบจักรวาล ตั้งแต่ทำความสะอาด ไปจนถึงการสร้างบ้าน ดูแลพืชพรรณ และการเลี้ยงเด็ก หากแต่หุ่นยนต์ตัวนี้ กลับลอยไปติดในเกาะที่มีแต่สิงสาราสัตว์ ไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่แม้แต่คนเดียว ทำให้ Roz ต้องตามหา “หน้าที่” จากเหล่าสัตว์ป่าในเกาะแห่งนี้อย่างไร้ความหมาย เพราะไม่สามารถสื่อสารอะไรได้เลย

แต่แล้วหนังก็เผยให้เห็นถึงความทรงพลังของ AI นั้นคือตัว Roz ได้พยายาม ‘ปรับตัว’ และ ‘เรียนรู้’ การสื่อสารกับสัตว์ตัวอื่น ๆ จนสามารถพูดคุยกันได้ในที่สุด และได้บังเอิญไปรับเลี้ยงลูกห่านตัวหนึ่ง ตั้งแต่อยู่ในไข่ กลายเป็น ‘แม่บุญธรรม’ เพราะ ‘หน้าที่’ ตามที่ได้รับการตั้งโปรแกรมไว้ แต่หลังจากนั้นจะกลายเป็น ‘ความรู้สึก’ หรือใจจริง ที่ไม่น่าเกิดขึ้นกับระบบ AI ได้ จากนี้เองก็คือเรื่องราวของหุ่นยนต์ Rozzum Unit 7134 ที่กลายเป็น “หุ่นยนต์ป่า” ตามชื่อหนัง

เริ่มแรกหนังจะเกริ่นนำอย่างเรียบง่าย มีหุ่นยนต์ที่สมกับที่เป็นหุ่นยนต์ กับสัตว์ที่สมกับที่เป็นสัตว์ป่าแท้ ๆ ฉากตลกเหมือนกับที่เห็นในหนังแอนิเมชั่นทั่ว ๆ ไป แต่ช่วงกลางเรื่องอาจจะเป็นการตั้งคำถาม มากกว่าการดูเพื่อความสนุกแล้ว เพราะในเรื่องจะเผยให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของ AI ที่อาจเกิดขึ้นได้จริง จากนั้นก็เป็นความ Fantasy ตามสไตล์หนังอนิเมชั่นจากค่าย Dreamwork ที่เด็กดูได้ แต่ผู้ใหญ่คิดตาม แอบแฝงปรัชญาในความเรียบง่ายอย่างไม่คาดคิด

ท้ายนี้ขอทิ้งท้ายคะแนนรีวิวของ The Wild Robot หรือชื่อไทยว่า “หุ่นยนต์ผจญภัยในป่ากว้าง” จากทาง IMDB ที่ได้ไปถึง 8.4/10 และทาง Rottentomatoes ที่ได้คะแนนถึง 98% ทั้งฝั่งนักวิจารณ์และฝั่งคนดูกันเลย

เป็นจริงได้ สร้างดาวเทียมแบบใหม่ ส่งพลังงานแสงอาทิตย์จากอวกาศ

[แนวคิดใหม่] จะเป็นอย่างไร หากมีพลังงานแสงอาทิตย์ที่ส่งตรงจากอวกาศ ซึ่งมีความเข้มข้นมากกว่าชั้นบรรยากาศโลกถึง 10 เท่า ช่วยตอบสนองความต้องการด้านพลังงานได้มหาศาล ล่าสุดแนวคิดดังกล่าว อาจเริ่มพัฒนาได้จริงภายใน 1 ปีข้างหน้านี้แล้ว

เป็นเวลาหลายปีที่ทางสำนักงานอวกาศยุโรป ใช้เวลาในการศึกษาความเป็นไปได้ ในการดึงพลังงานแสงอาทิตย์จากชั้นอวกาศโดยตรง ซึ่งส่งตรงด้วยดาวเทียมชนิดใหม่ ที่อยู่ในตำแหน่งเหนือพื้นโลกถึง 36,000 กม. ช่วยให้เข้าถึงแหล่งพลังงานใหม่อันมหาศาล แต่ด้วยอุปสรรคทางเทคนิคและทางการเงิน ทำให้แนวคิดดังกล่าวยังเป็นไปได้ยาก

ล่าสุดมีผู้ประกอบการรายหนึ่งเชื่อว่า สามารถทำให้แนวคิดดังกล่าวใช้งานได้จริงในอีก 12 ถึง 15 เดือนข้างหน้านี้ โดยผู้ประกอบการคนนั้นก็คือ Baiju Bhatt หนึ่งในผู้ก่อตั้งร่วมของแอปฯ Robinhood โดยหลังลงจากตำแหน่ง CEO ในปี 2020 ก็ได้ก่อตั้งสตาร์ทอัพใหม่ในชื่อว่า Aetherflux เป็นบริษัทมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีส่งพลังงานแสงอาทิตย์จากอวกาศโดยเฉพาะ

Baiju Bhatt เผย Aetherflux มีแผนใช้ดาวเทียมดวงหนึ่งที่โคจรอยู่เหนือพื้นโลกประมาณ 500 กม. ที่มีความพร้อมในการทดสอบแนวคิดดังกล่าว ซึ่งหากทดสอบสำเร็จ ก็จะเป็นการปลดล็อคแผนพัฒนายานอวกาศพลังงานแสงอาทิตย์ระดับกิโลวัตต์ ซึ่งสามารถส่งพลังงานแสงอาทิตย์ ผ่านการยิงเลเซอร์อินฟราเรดไปยังเครื่องรับภาคพื้นดินขนาด 10 เมตรได้ โดยขั้นตอนนี้ก็เพื่อดูประสิทธิภาพ ความเสถียร และความปลอดภัยนั้นเอง

หากทดสอบสำเร็จอีกครั้ง ต่อไปก็ลองทดสอบกับดาวเทียมวงโคจรต่ำที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ โดยสามารถส่งพลังงานอย่างต่อเนื่อง จนส่งพลังงานแสงอาทิตย์ ไปยังพื้นที่ห่างไกลต่าง ๆ ได้ เช่น เขตภัยพิบัติ แหล่งขุดเหมือง และฐานทัพทหาร

แน่นอนว่ายังมีอุปสรรคทางเทคโนโลยีและการเงินอีกมากมาย แม้จะทดสอบสำเร็จก็ตาม ซึ่งทาง Aetherflux ได้เปิดให้มีการระดมทุน จึงมีการเผยความเป็นไปได้นี้เอง อีกปัญหาคือเรื่องของสิ่งแวดล้อม ที่อาจเกิดผลกระทบจากการยิงแสงเลเซอร์กำลังสูงผ่านชั้นบรรยากาศโลกอย่างต่อเนื่องนั้นเอง รวมถึงความเป็นไปได้ที่จะทำให้เกิดปัญหามลภาวะจากแสงด้วย หวังว่าประโยชน์ของพลังงานสะอาดรูปแบบใหม่นี้ จะมีน้ำหนักมากกว่าข้อเสียที่อาจเกิดขึ้น

ทั้งนี้ Aetherflux ไม่ใช่บริษัทแรกที่มีแนวคิดดังกล่าว ที่ผ่านมาก็มี Reflect Orbital ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพอีกแห่ง ที่ได้เสนอแนวทางที่ตรงกว่าเมื่อไม่นานนี้ นั่นคือการสะท้อนแสงอาทิตย์ไปที่ฟาร์มโซลาร์เซลล์โดยใช้กลุ่มดาวเทียมกระจกขนาดเล็กโดยตรงเลย

ที่มา : Techspot

เทคนิคใหม่ คืนชีพ แบตเตอรี่ ให้กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง

แบตเตอรี่

เอาไปแช่ตู้เย็น ใช่ไหม…

ทุกวันนี้ แบตเตอรี่กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา ทั้ง Smartphone อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ หรือแม้แต่รถยนต์ไฟฟ้า แต่ปัญหาใหญ่ของแบตเตอรี่ก็คือ ความจุจะลดลงเมื่อเวลาผ่านไป

แม้ว่าเราจะมีวิธีถนอมแบตเตอรี่ เช่น การรักษาระดับแบตเตอรี่ให้อยู่ระหว่าง 30-70% ซึ่งมือถือรุ่นใหม่ๆ ก็มีฟีเจอร์นี้มาให้แล้ว แต่สุดท้ายแบตเตอรี่ก็ยังเสื่อมสภาพและก็ต้องทิ้งไป ทำให้เกิดขยะจำนวนมาก

Techhub พามาดู นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดค้นพบวิธีที่จะช่วยฟื้นฟูความจุของแบตเตอรี่ซิลิคอนได้บางส่วน โดยตีพิมพ์ผลงานวิจัยลงในวารสาร Science

สาเหตุที่แบตเตอรี่ซิลิคอนเสื่อมลงนั้น เป็นเพราะอนุภาคซิลิคอนภายในแบตเตอรี่แตกตัวและไม่สามารถกักเก็บประจุไฟฟ้าได้อีกต่อไป แต่นักวิจัยพบว่า การปล่อยกระแสไฟฟ้าแบบพัลส์ (pulse) ในระดับที่เหมาะสมเป็นเวลาประมาณ 5 นาที สามารถช่วยเชื่อมอนุภาคซิลิคอนเหล่านี้กลับเข้าด้วยกันได้ จากการทดลองเบื้องต้น วิธีนี้สามารถฟื้นฟูความจุของแบตเตอรี่ได้ถึง 30% เลยทีเดียว

การปล่อยกระแสไฟฟ้าแบบพัลส์ (Pulse) คือ การส่งกระแสไฟฟ้าออกไปเป็นช่วงๆ คล้ายกับจังหวะการเต้นของชีพจร โดยมีลักษณะสำคัญคือ มีช่วงเวลาเปิด-ปิด มีความถี่ที่เหมาะสม มีระยะเวลาที่กระแสไฟฟ้าไหลในแต่ละพัลส์ ขนาดของกระแสไฟฟ้าหรือแรงดันไฟฟ้า ซึ่งสิ่งเหล่านี้ จำเป็นต้องใช้เครื่องมือเฉพาะทาง

นี่เป็นการเริ่มต้นของการฟื้นฟูแบตเตอรี่ และการค้นพบครั้งนี้อาจเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาแบตเตอรี่ที่ทรงพลังยิ่งขึ้นและไม่ต้องเปลี่ยนบ่อยๆ ในอนาคตครับ

ที่มา
pcworld

หัวเว่ย คลาวด์ สแต๊ก (Huawei Cloud Stack) เทคโนโลยีและบริการคลาวด์อัจฉริยะ

บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด นำเสนอเทคโนโลยีหัวเว่ย คลาวด์ สแต๊ก (Huawei Cloud Stack) ที่สุดแห่งบริการคลาวด์อัจฉริยะเพื่อเพิ่มศักยภาพให้แก่ภาครัฐ และขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางคลาวด์ระดับภูมิภาค

อาเซียน เป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีการเติบโตที่รวดเร็วที่สุดในโลก และกำลังอยู่ในช่วงที่เศรษฐกิจดิจิทัลขยายตัวอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยตั้งอยู่ใจกลางภูมิภาคอาเซียน ในฐานะผู้นำเศรษฐกิจดิจิทัลระดับภูมิภาค รัฐบาลไทยได้เสนอ “นโยบายการใช้คลาวด์เป็นหลัก” (Cloud First Policy) เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และยกให้เป็นหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนผ่านดิจิทัลระดับประเทศ นโยบายดังกล่าวส่งเสริมให้ภาครัฐและทุกภาคอุตสาหกรรมเร่งปรับใช้เทคโนโลยีคลาวด์ เพื่อคว้าโอกาสเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล นโยบายนี้ยังสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของประเทศและช่วยให้บรรลุเป้าหมายของเศรษฐกิจดิจิทัล

พันเอก สรรพชัย หุวะนันทน์ กรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) (NT) กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังปรับใช้นโยบายการใช้คลาวด์เป็นหลัก (Cloud First Policy) เพื่อก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางดิจิทัลของอาเซียนโดยเร็วที่สุด เราเลือกหัวเว่ยคลาวด์เป็นพันธมิตรสำคัญ เพื่อสนับสนุนนโยบายนี้ ขณะนี้เราให้บริการคลาวด์แก่หน่วยงานรัฐบาลไทยกว่า 220 หน่วยงาน และคาดว่าจะสามารถลดงบประมาณการลงทุนได้ 30% ถึง 50% ด้วยการยกระดับบริการของภาครัฐ เราคาดว่าประชาชนจะได้รับบริการที่มีคุณภาพที่ดีขึ้น และยังสามารถส่งเสริมธุรกิจได้มากขึ้นอีกด้วย ซึ่งสิ่งนี้จะดึงดูดให้บริษัทต่างๆ ทั่วโลกเข้ามาลงทุนในประเทศไทยอย่างมหาศาล

นายวงกต วิจักขณ์สังสิทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานดิจิทัล และรักษาการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานสื่อสารไร้สาย 1 บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) (NT) กล่าวเสริมว่า “NT มีหน้าที่รับผิดชอบการดำเนินงานและบริหารจัดการโครงการศูนย์ข้อมูลและบริการคลาวด์ภาครัฐ (GDCC) โดยเราได้ทำงานร่วมกับหัวเว่ย คลาวด์ สแต๊ก (Huawei Cloud Stack) ซึ่งตอบโจทย์การให้บริการโซลูชันคลาวด์ที่ปลอดภัยและน่าเชื่อถือ ในการจัดตั้งสภาพแวดล้อมมัลติคลาวด์เพื่อรองรับบริการของภาครัฐ เรามีการจัดการแบบรวมศูนย์ ช่วยให้สามารถนำบริการออกสู่ตลาดได้อย่างรวดเร็ว มีความยืดหยุ่นสูง การสำรองข้อมูลและโครงสร้างสำรองเพื่อรองรับการทำงานต่อเนื่อง พร้อมทั้งปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกำหนดของประเทศ เราได้พัฒนานวัตกรรมการทำงานรูปแบบใหม่ รวมถึงระบบสถานีขนส่งอัจฉริยะ บริการครบวงจรสำหรับโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และแพลตฟอร์มด้านสุขภาพ”

นายยุทธศาสตร์ นิธิไพจิตร ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจคลาวด์และบิ๊กดาต้า บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) (NT) กล่าวว่า “ศูนย์ข้อมูลและบริการคลาวด์ภาครัฐ (GDCC) มอบรากฐานคลาวด์ที่เป็นหนึ่งเดียว และแพลตฟอร์มการแบ่งปันข้อมูลสำหรับกระทรวงและหน่วยงานต่างๆ โดยมีการใช้งานแอปพลิเคชันนับพันรายการ หัวเว่ย คลาวด์ สแต๊ก (Huawei Cloud Stack) มอบบริการคลาวด์ในสถานที่กว่า 80 บริการที่พร้อมใช้งานทันทีแก่ GDCC ซึ่งสามารถทำงานร่วมกับระบบคลาวด์สาธารณะของหัวเว่ยได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากใช้สถาปัตยกรรมเดียวกัน ทำให้สามารถเข้าถึงบริการคลาวด์แบบครบวงจรได้ในคลิกเดียว นอกจากนี้ หัวเว่ย คลาวด์ สแต๊ก (Huawei Cloud Stack) ยังมอบความสามารถด้านนวัตกรรมแบบครบวงจรให้กับเรา ทั้งหมดนี้มีไว้เพื่อสนับสนุนให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางแห่งอนาคตของภูมิภาคเอเชีย”

นายจอห์นนี่ หลู่ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี ธุรกิจต่างประเทศของหัวเว่ย คลาวด์ สแต๊ก กล่าวว่า “เพื่อแก้ไขความท้าทายหลัก 3 ประการในการเปลี่ยนแปลงของภาครัฐ หัวเว่ย คลาวด์ สแต๊ก (Huawei Cloud Stack) ได้นำเสนอสถาปัตยกรรมอ้างอิงแบบสามคลาวด์ ซึ่งประกอบด้วยคลาวด์ด้านความปลอดภัย คลาวด์สำหรับภาครัฐ และคลาวด์สาธารณะ หัวเว่ย คลาวด์ สแต๊ก (Huawei Cloud Stack) ได้ส่งมอบโครงการภาครัฐมากกว่า 800 โครงการทั่วโลก เรามีความมุ่งมั่นอย่างยิ่งและต้องการร่วมมือกับพันธมิตรที่มีความคิดสร้างสรรค์จากทั่วโลกในการขับเคลื่อนการก้าวกระโดดสู่คลาวด์ระดับชาติทั่วโลก โดยร่วมกันสร้างจุดเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลใหม่ๆ ร่วมกัน”

รัฐบาลไทยกำลังขับเคลื่อนวาระการเปลี่ยนผ่านดิจิทัลอย่างครอบคลุม เพื่อผลักดันประเทศสู่การเป็นผู้นำในเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล ผ่านโครงการเชิงกลยุทธ์ในหลากหลายภาคส่วน ประเทศไทยมุ่งหวังที่จะใช้พลังของเทคโนโลยีในการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน กระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ และเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันในระดับสากลในยุคดิจิทัล

GeForce RTX AI PC Tour โดย NVIDIA ในกรุงเทพฯ: เผยประสิทธิภาพพีซีที่ขับเคลื่อนด้วย AI ในการเล่นเกม การสร้างสรรค์ และชีวิตประจำวัน

NVIDIA ได้จัดการทัวร์ GeForce RTX AI PC ในกรุงเทพฯ เพื่อจัดแสดงการสาธิตนวัตกรรมและแชร์ประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นของการใช้ AI ระดับแอดวาซ์ที่อยู่ในการ์ดกราฟิก RTX ในการเล่นเกม การสร้างคอนเทนต์ การพัฒนา ตลอดจนเพื่อการศึกษา

GeForce RTX AI PCs ใช้ขุมพลังจาก Tensor Cores — ที่มีตัวเร่งการทำงาน AI เฉพาะบน GeForce RTX GPUs ทุกๆ ตัว — ในการเล่นเกม การสร้างคอนเทนต์ การพัฒนา และ STEM พลังดิบจาก GPU เพื่อปลดล็อกความสามารถของ AI ระดับแอดวานซ์

GeForce RTX และ NVIDIA RTX GPUs มอบประสิทธิภาพการคำนวณที่สำคัญและเป็นอย่างมากในการรันแอป AI, เกม, และโมเดลล่าสุด มีแอปพลิเคชั่น AI และเกมมากกว่า 600 รายการ ที่ใช้งานโดยผู้ใช้ GeForce RTX และ NVIDIA RTX GPU มากกว่า 100 ล้านเครื่องทั่วโลก

ภายในงานสาธิต GeForce RTX AI PC Tour ครั้งนี้ ทางทีมสื่อมวลชนได้มีส่วนร่วมในการทดสอบประสิทธิภาพของ AI บน RTX  ซึ่งนำโดย Jeff Yen ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์เทคนิค ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (Senior Technical Product Marketing Director, APAC) ของบริษัท NVIDIA โดยเน้นให้เห็นว่า เครื่องพีซีที่มาพร้อม GeForce RTX AI ถูกออกแบบมาเพื่อให้มีความเป็นเลิศในการเล่นเกม ทำงานสร้างสรรค์ และการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน พร้อมทั้งยกระดับการเข้าถึงเทคโนโลยีไปอีกขั้น

การสาธิต RTX AI-powered demo ครั้งนี้ประกอบไปด้วย:

เทคโนโลยี NVIDIA ACE & Digital Human

Mecha BREAK

เทคโนโลยีมนุษย์ดิจิทัลชิ้นของ NVIDIA ที่ใช้โมเดลภาษาขนาดเล็ก (small language model) บนอุปกรณ์เพื่อปรับปรุงความสามารถในการตอบโต้สนทนาของตัวละครในเกม เกมแรกที่ใช้เทคโนโลยีนี้คือ Mecha BREAK ของ Amazing Seasun Games ซึ่งทำให้ตัวละครมีชีวิตชีวา และมอบประสบการณ์การเล่นเกมที่มีความสมจริงและน่าดื่มด่ำมากขึ้นบน  GeForce RTX AI PCs

การสาธิตเทคโนโลยีในเกม Legends จากค่าย Perfect World

ผู้จัดจำหน่อยและพัฒนาเกมระดับโลก Perfect World Games กำลังพัฒนาเทคโนโลยี NVIDIA ACE และมนุษย์ดิจิทัลในเดโม Legends โดยใช้ความสามารถด้านการมองเห็น (vision capabilities) ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ใหม่ ภายในเดโม ตัวละคร Yun Ni สามารถมองเห็นผู้เล่นเกมและระบุถึงบุคคลและวัตถุในโลกจริง ผ่านกล้องของคอมพิวเตอร์ที่ขับเคลื่อนด้วย ChatGPT-4o เสริมความสมจริงให้กับประสบการณ์การเล่นเกม

NVIDIA Audio2Face

NVIDIA Omniverse™ Audio2Face เป็นการผสมผสานของเทคโนโลยีที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งสร้างแอนิเมชันใบหน้าและการลิปซิงค์จากการใช้เสียง การกำหนดเป้าหมายตัวละครช่วยให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อและแอนิเมตตัวละครของตนเองได้

Star Wars™ Outlaws – สัมผัสประสบการณ์สมบูรณ์แบบ พร้อมการปรับด้วย DLSS 3.5, Ray Tracing และ Reflex

Star Wars™ Outlaws ถูกสร้างขึ้นโดยใช้ Snowdrop Engine อันน่าทึ่งของ Massive Entertainment ทำให้นักพัฒนาสามารถสร้างโลกเปิดของ Star Wars™ ที่มีรายละเอียดอย่างครบถ้วน พร้อมด้วยยานอวกาศและสถานที่ไอคอนนิคที่ถูกสร้างขึ้นใหม่อย่างสมบูรณ์แบบให้คุณได้เยี่ยมชมและสัมผัส

เพื่อให้แน่ใจว่า Ray Tracing แสดงผลได้อย่างดีที่สุด และมีประสิทธิภาพความเร็วสูงบนการเล่นบนความละเอียดสูงสุด Star Wars™ Outlaws จึงได้ใส่เทคโนโลยี NVIDIA DLSS 3.5 พร้อม Ray Reconstruction.

นอกจากนี้ เกมเมอร์ที่ใช้ GeForce ยังสามารถเปิดใช้งาน NVIDIA Reflex ในเกม Star Wars™ Outlaws เทคโนโลยีที่ช่วยลดความหน่วงของระบบ ทำให้การตอบสนองในการเล่นและบังคับเกมของคุณเป็นไปได้ตามที่คิดและวางแผนไว้อย่างสมบูรณ์

ComfyUI กับการเจนภาพที่เร็วขึ้นกว่า 10 เท่า

ComfyUI เป็นหนึ่งในแอปพลิเคชัน Stable Diffusion ที่ได้รับความนิยมในการใช้เจนภาพในปัจจุบันโดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้ระดับแอดวานซ์ เนื่องจากความยืดหยุ่นสำหรับการใช้งานเวิร์กโฟลว์ต่างๆ การแสดงการสาธิตแสดงการเปลี่ยนภาพถ่ายเซลฟีธรรมดาๆ ให้กลายเป็นภาพซูเปอร์ฮีโร่หลากหลายแอ็กชั่นในเวลาเพียงไม่กี่วินาที ด้วยการเร่งความเร็วด้วย RTX บน Stable Diffusion ซึ่งสามารถเห็นได้ตลอดเวิร์กโฟลว์ผ่าน TensorRT และการเปิดใช้งานเครื่องมือ AI แบบโอเพ่นซอร์ส

ChatRTX: แชทบอท AI ส่วนบุคคล

ChatRTX เป็นแอปเดโม่ที่ให้คุณปรับแต่งโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ของ GPT ที่เชื่อมต่อกับข้อมูลเนื้อหาต่างๆ บนเครื่องของคุณ เช่น เอกสาร โน้ต รูปภาพ หรือข้อมูลอื่นๆ โดยใช้ retrieval-augmented generation (RAG), TensorRT-LLM, และการเร่งด้วย RTX ทำให้คุณสามารถส่งแชทเพื่อสอบถามแชทบอทส่วนตัว เพื่อให้ได้คำตอบที่คุณต้องการค้นหาได้อย่างรวดเร็ว และเนื่องจากทั้งหมดนี้ทำงานอยู่บนเครื่องบนพีซีหรือเวิร์กสเตชัน Windows RTX ของคุณ จึงทำให้มั่นใจในความปลอดภัยของข้อมูลว่าจะไม่มีการรั่วไหล

NVIDIA Broadcast

แอป NVIDIA Broadcast ที่เปลี่ยนห้องใดๆ ในบ้านให้เป็นโฮมสตูดิโอ ยกระดับการสตรีมสด แชทเสียง และการประชุมทางวิดีโอของคุณ ด้วยการใช้ AI ปรับปรุงเสียงและวิดีโอให้ดียิ่งขึ้น

NVIDIA Canvas

ใช้ AI เพื่อเปลี่ยนการวาดเส้นง่ายๆ ให้เป็นภาพภูมิทัศน์ที่สมจริง สร้างพื้นหลังได้อย่างรวดเร็ว หรือเร่งการสำรวจแนวคิดต่างๆ เพื่อให้เห็นภาพรวมของไอเดียได้รวดเร็วและง่ายยิ่งขึ้น

ในขณะที่ตลาดพีซีของประเทศไทยยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงสนับสนุนจากครีเอเตอร์ เกมเมอร์ และผู้ใช้งานจากหลากหลายอุตสาหกรรม ด้วยข้อเสนอล่าสุดจาก NVIDIA ช่วยให้มั่นใจได้ว่าเครื่องพีซีที่ขับเคลื่อนด้วย AI ขอบคุณจะเป็นเครื่องที่ดีที่สุดและอัปเดทที่สุด

คอร์สสั้นสุดฮิต Google Sheet และ Excel อัปสกิลเทพ ให้ปังขึ้น

เรียนครั้งเดียวทำตามได้เลย คอร์สเรียนสั้นสุดฮิตจาก skooldio จะสอนเทคนิคการใช้งานโปรแกรม Google Sheet และ Excel รู้จักเครื่องมือและฟังก์ชั่นต่าง ๆ ที่ทำให้ตารางของทุกคนดูง่ายขึ้น 

ทุกคนสามารถเรียนได้ด้วยตัวเอง ไม่มีค่าใช้จ่าย แถมมีชีทประกอบการเรียนให้ดูด้วยนะ Techhub มาแนะนำ 2 คอร์สที่มีคนสนใจมากที่สุด

 สร้าง Google Sheets ไว้ Track งานง่ายๆ สไตล์ Designer

สอนใช้ Google Sheet สำหรับการบริหารงาน สร้าง Dropdown และ Checkbox ใน Google Sheet อย่างง่ายๆ โดยใช้เมนู Data Validation โดยอาจเอาไว้สร้างชีทไว้ track งานส่วนตัว หรือใช้ร่วมกันเป็นทีม

ทางไปเรียน >> skooldio 

เจ๋งกว่า Excel ! รู้จัก Airtable ใน 5 นาที แล้วคุณจะทำงานได้ดีกว่าเดิม

มารู้จักเครื่องมือที่มีชื่อว่า Airtable เครื่องมือที่ล้ำกว่า เจ๋งกว่า และทำอะไรได้หลากหลายกว่า Spreadsheet ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น Google Sheets หรือ Excel ผ่านคลิป Tutorial นี้ ที่จะมาแนะนำให้คุณรู้จัก Features พื้นฐานและการทำงานเบื้องต้นของ Airtable

ทางไปเรียน >> skooldio 

นอกจากเนื้อหาที่แนะนำไปแล้ว ยังมีคอร์สเรียนอีกมากมายให้ได้อัปสกิลกันที่ จิ้มลิ้งก์เลย >> https://www.techhub.in.th/category/productivity/ 

 

#GoogleSheet #Excel #TechhubUpdate

หุ่นยนต์พ่อครัว ตู้ทำกับข้าวอัตโนมัติ ทำอาหารได้ร้อยเมนู

โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย Tuebingen ในเยอรมนีต้องการให้พนักงานมีความสุขกับมื้ออาหารที่ทำสดใหม่ตลอดเวลา จึงหันมาใช้ห้องครัวหุ่นยนต์แทนคน

แขนหุ่นยนต์สามารถเตรียมอาหารได้มากถึง 120 เมนู ภายในไม่กี่นาทีโดยใช้ส่วนผสมที่เตรียมไว้แล้ว มาประกอบขึ้นเป็นอาหารที่พร้อมเสิร์ฟตลอด 24 ชั่วโมง 

GoodBytz ได้คิดค้นตู้ทำกับข้าวอัตโนมัติแบบครบวงจร ด้านหลังของตู้ออกแบบเป็นตู้เย็นที่สามารถแยกวัตถุดิบแบบมาเป็นสัดส่วน จากนั้นจะเอามาลงหม้อเพื่อปรุงอาหารให้ลูกค้าที่สั่งเมนูจากหน้าจอสัมผัส

อาหารเหล่านี้มีตั้งแต่อาหารเยอรมันคลาสสิกไปจนถึงอาหารเอเชีย เช่น ราเม็ง ผัดเส้นอุด้ง ข้าวผัดซอสเปรี้ยวหวาน และพาสต้าหลากหลายชนิด

ตู้ทำกับข้าวอัตโนมัติไม่ใช่เอามาแทนพ่อครัว แต่มันจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับคนที่มาใช้บริการ หรือแม้แต่คุณหมอ พยาบาล ที่การทำงานที่ไม่แน่นอนและต้องใช้เวลาพักอย่างคุ้มค่า 

เพราะมันสามารถทำงานได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะเช้าหรือค่ำ แขนหุ่นยนต์จะนำส่วนผสมออกมาทอด ผัดและปรุงรส ที่มีหม้อรองรับถึง 8 ใบ ตู้ทำกับข้าวอัตโนมัติถูกทดสอบการใช้งานาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม เคาะราคาอยู่ที่จานละ 6 – 9 ยูโร หรือประมาณ 218 บาทเท่านั้น

ที่มา : en.armradio

#TechhubUpdate

แผนที่ของจักรวาล ESA เผยโมเสกภาพแรก ถ่ายด้วยกล้องโทรทรรศน์ Euclid

ส่องแผนที่จักรวาล เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2024 กล้องโทรทรรศน์อวกาศ Euclid ของ ESA ได้เปิดเผยส่วนแรกของแผนที่จักรวาลอันยิ่งใหญ่ ซึ่งแสดงดวงดาวและกาแล็กซีหลายล้านดวงได้สมบูรณ์ที่สุด

ส่วนแรกของแผนที่ซึ่งเป็นภาพโมเสกขนาดใหญ่ 208 กิกะพิกเซล ได้รับการเปิดเผยที่การประชุมอวกาศนานาชาติในเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี

กว่าจะได้ภาพโมเสกแบบนี้กล้องโทรทรรศน์ต้องสังเกตการณ์มากถึง 260 ครั้ง ในพื้นที่132 ตารางองศาของท้องฟ้า ซึ่งมากกว่าพื้นที่ของดวงจันทร์เต็มดวงถึง 500 เท่า

ภาพโมเสกนี้คิดเป็น 1% ของการสำรวจอวกาศเท่านั้นและ Euclid จะคอยบันทึกภาพตลอดทั้ง 6 ปี ระหว่างการสำรวจนี้ กล้องโทรทรรศน์จะสังเกตรูปร่าง ระยะทาง และการเคลื่อนที่ของกาแล็กซีหลายพันล้านแห่งที่อยู่ห่างออกไป 10,000 ล้านปีแสง เพื่อสร้างแผนที่จักรวาลสามมิติที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา

วิเคราะห์ได้ว่าแผนที่ส่วนแรกนี้มีแหล่งกำเนิดของดวงดาวประมาณ 100 ล้านแห่ง ได้แก่ ดาวฤกษ์ในทางช้างเผือกและกาแล็กซีอื่นๆ 14 ล้านแห่ง เพื่อนำไปศึกษาพื้นที่อวกาศได้มากขึ้น 

กล้องโทรทรรศน์อวกาศที่ไวต่อแสงสามารถจับภาพวัตถุจำนวนมากได้อย่างแม่นยำ เมื่อซูมเข้าไปในภาพโมเสก เราจะมองเห็นโครงสร้างอันซับซ้อนได้อย่างชัดเจน

และพื้นที่ในภาพดังกล่าวถูกสำรวจเสร็จสิ้นไปแล้ว 12% ซึ่งรวมถึงพื้นที่ Euclid Deep Field ที่มีแผนกำหนดปล่อยภาพในช่วงเดือนมีนาคม 2025 

ที่มา : esa 

#Euclid  #กล้องโทรทรรศน์อวกาศ #แผนที่จักรวาล #TechhubUpdate

เลิกเข้าเว็บ รู้จัก Zero Click Internet อนาคตเว็บไซต์ในยุคของ AI

Zero Click Internet

ปัจจุบัน โลกออนไลน์กำลังก้าวเข้าสู่ยุค “อินเทอร์เน็ตแบบไร้การคลิก” หรือ Zero Click Internet มันจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในการใช้งานอินเทอร์เน็ตของเราไป หมายความว่า เราไม่จำเป็นต้องคลิกลิงก์เพื่อหาข้อมูลที่ต้องการ แต่เวลาค้นหา ข้อมูลเหล่านั้น จะปรากฏให้เราเห็นได้เลย และต้องยอมรับว่า เรื่องนี้ AI ก็มีส่วนร่วมด้วยอย่างมาก

ประโยชน์ของ Zero-click internet

ความสะดวก รวดเร็ว ให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น
ประหยัดเวลา ไม่ต้องเสียเวลาค้นหาข้อมูลจากหลาย ๆ เว็บไซต์
ใช้งานง่ายขึ้น ใคร ๆ ก็ใช้ได้

แต่มีข้อดี ข้อสังเกตก็ต้องมี… จริง ๆ แล้ว Zero Click Internet นั้นมีมาสักระยะนึงแล้ว โดยเราอาจะเริ่มสังเกตเห็นว่า Google เริ่มตอบคำถามง่ายๆ บนหน้าแสดงผลการค้นหา Facebook และ Twitter เลิกโปรโมทโพสต์ที่มีลิงก์ภายนอกมาสักพัก แล้วบังคับให้ผู้ใช้ต้องโพสต์เนื้อหาลงบนแพลตฟอร์มโดยตรง แทนที่จะลิงก์ไปเว็บไซต์อื่น

Google กำลังขูดข้อมูลจากเว็บไซต์ต่างๆ แล้วเอามาแสดงบนหน้าผลการค้นหาโดยตรง ผลการค้นหาที่เป็นลิงก์ กำลังถูกฝังลึกจนแทบไม่มีใครเห็นหรือสามารถคลิกได้ และ Google ก็วางแผนจะฝังมันให้ลึกยิ่งกว่าเดิม นั่นแหละคือ “Zero Click Internet” ซึ่งจะทำให้ผู้คนจะเลิกเข้าเว็บไซต์ต่าง ๆ อีกต่อไป

ในอนาคตอันใกล้นี้ เราจะใช้เวลาทั้งหมดไปกับแพลตฟอร์มไม่กี่แห่ง เช่น Google หรือ TikTok และไม่ต้องออกไปไหนอีกเลย ผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ไม่ใช่แค่กับประสบการณ์การใช้งานของเรา นั้นหมายถึงเว็บต่าง ๆ อาจตายลง โดยเฉพาะกับเว็บที่ให้ข้อมูลต่าง ๆ สิ่งนี้รวมถึงเว็บข่าวสาร หรือเว็บอย่าง Wikipedia

ผลกระทบของ Zero Click Internet

+ เจ้าของเว็บไซต์จะหายไป เริ่มจากรายเล็กๆ ก่อน ส่วนเจ้าใหญ่ๆ ก็จะล้มตาม ๆ กันไป เว็บไซต์ที่อยู่รอด ต้องทำสัญญากับแพลตฟอร์มอย่าง Google หรือ OpenAI (ChatGPT) เพื่อสร้างเนื้อหาให้เฉพาะเจาะจง

+ ชื่อโดเมนจะไม่มีใครเห็น เพราะไม่มีใครเข้าเว็บไซต์แล้ว ธุรกิจขายโดเมนจะย่ำแย่

+ ธุรกิจโฮสติ้งจะหดตัว เว็บไซต์น้อยลง ทรัพยากรที่ใช้ก็ลดลง บริษัทโฮสติ้งรายเล็ก ๆ จะทำธุรกิจยากขึ้น

+ ธุรกิจโฆษณาออนไลน์อิสระ ก็อาจย่ำแย่ โดยแพลตฟอร์มใหญ่ๆ ควบคุมโฆษณาอยู่แล้ว โดยปัจจุบัน Google, Meta/Facebook, Amazon ครองส่วนแบ่งโฆษณาออนไลน์เกิน 60% อยู่แล้ว แน่นอนว่า Google กับ TikTok ไม่ซื้อโฆษณาจากเครือข่ายอิสระ เพราะทำเองได้ พอไม่มีเว็บไซต์ เครือข่ายเหล่านี้ก็อยู่ไม่ได้

+ ธุรกิจ SEO จะน่าเป็นห่วง เมื่อไม่มีใครคลิก SEO ก็ไร้ความหมาย บริษัท SEO อาจจะต้องเน้นไปทำ SEO แบบ Local หรือ Niche Market มากกว่า

นี่เป็นแค่ผลกระทบส่วนหนึ่งเท่านั้น ธุรกิจออกแบบเว็บไซต์ หรือกราฟิกดีไซน์ก็น่าเป็นห่วง ยกเว้นแต่จะทำงานให้ Google นั่นแหละนะ..

ที่มา
https://www.techspot.com/article/2908-the-zero-click-internet/

จริงไหม CEO Baidu มองอนาคต AI ตลาดส่วนใหญ่ โม้เกินจริง

CEO Baidu

ช่วงนี้ใครๆ ก็พูดถึง AI มีบริษัทใหม่ ๆ ผุดขึ้นมากมายและทุกคนก็ต่างก็โม้ว่า AI ของตัวเองนั้นเจ๋งแค่ไหน แต่หลายคนมองว่านี่มันเหมือน “ฟองสบู่” ในตลาดที่รอวันแตก ซึ่ง CEO ของ Baidu ก็เห็นด้วย และเมื่อวันที่ฟองสบู่แตก บริษัท AI ส่วนใหญ่ ก็จะอยู่ไม่รอด

Robin Li CEO ของ Baidu เชื่อว่าหลังจากฟองสบู่ AI แตก จะมีบริษัท AI รอดแค่ 1% เท่านั้น ตลาดจะแข็งแรงขึ้น และมีการใช้ AI ที่เข้าท่าและตอบโจทย์จริงๆ เท่านั้น

AI เป็นเทรนด์ฮิตมาตลอดหลายปี โดยเฉพาะหลังจากที่บริษัทอย่าง OpenAI และ NVIDIA ที่ช่วยดันกระแสของ AI ให้มากขึ้น ในฐานะผู้ผลิตซอฟต์แวร์ และฮาร์ดแวร์

และ NVIDIA ที่ผลิตฮาร์ดแวร์ให้บริษัท AI ทั้งหลาย กำลังจะเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก แม้แต่ยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft, Apple และ Google ก็ได้พยามเอา AI ยัดใส่ในสินค้าแทบทุกอย่าง

แต่ปัญหาคือหลายบริษัทก็ชอบโม้เกินจริง โดย Li ได้กล่าวในงานสัมมนา Future of Business ที่มหาวิทยาลัย Harvard ว่า สินค้า AI หลายตัวมัน “เฟค” หาตลาดจริงจังไม่ได้

เขาเปรียบเทียบสถานการณ์ตอนนี้กับฟองสบู่ของดอทคอม เมื่อ 20 กว่าปีก่อน ที่บริษัทอินเทอร์เน็ตเจ๊งกันระนาว Li มองว่าตลาด AI ปีนี้ดูซาๆ ลง นักลงทุนบางคนยังฝันหวานกับ AI อยู่ แต่หลายคนก็เริ่มระวังตัว

(เหตุการณ์ ฟองสบู่ของดอทคอม คือช่วงนี้อินเทอร์เน็ตกำลังโด่งดังในช่วงปลายยุค 90 ทำให้นักลงทุน แห่กันลงทุนในบริษัทอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีต่างๆ โดยคาดหวังผลกำไรมหาศาล แม้หลายบริษัทจะยังไม่มีผลประกอบการที่ชัดเจน หรือมีโมเดลธุรกิจที่ยั่งยืนก็ตาม และบางบริษัท ก็มีมูลค่าสูงเกินจริง สรุปคือ เจ๊งกันระนาว)

ส่วนผู้บริโภคเองก็ไม่ได้ตื่นเต้นกับ AI เท่าไหร่ ยอดขายคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ ๆ ที่เน้นเรื่อง AI ก็ไม่ได้พุ่งมาก คนซื้อเพราะมันเป็นรุ่นใหม่ล่าสุด ไม่ได้ซื้อเพราะอยากใช้ AI จริง ๆ (โดยก่อนหน้านี้ Techhub ก็เคยนำผลวิจัยมานำเสนอนะ เรื่องนี้เรื่องจริง >> https://www.techhub.in.th/people-buying-ai-pcs-but-not-their-ai/)

ถ้าตลาด AI เกิดวิกฤตจริงๆ Li คาดว่าบริษัท AI ที่รอด 1% จะเป็นบริษัทที่ทำสินค้าและบริการที่มีคุณค่าจริง ๆ นอกจากนี่้ Li ยังพูดถึงเรื่อง AI แย่งงานคนด้วย เขายอมรับว่า AI จะมาแทนที่คนจริงๆ และอาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตลาดแรงงานภายในช่วง 10-30 ปีนี้ครับ

ที่มา
https://www.techspot.com/news/105233-baidu-ceo-99-ai-companies-wont-survive-bubble.html

Hot Issue