บริษัท ออร์กานอน (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมกับมูลนิธิคีนันแห่งเอเซีย กระทรวงสาธารณสุขแห่งประเทศไทย และกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (United Nations Population Fund – UNFPA) จัดการประชุมโต๊ะกลมภายใต้หัวข้อ “นวัตกรรมเพื่อสุขภาพสตรี” เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2568 ณ ห้องสมุด เนียลสัน เฮส์ (Neilson Hays) กรุงเทพฯ เพื่อเน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของสุขภาพสตรีในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน
การประชุมนี้จัดขึ้นเนื่องในโอกาสวันสตรีสากล (International Women’s Day – IWD) เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นร่วมกันของทุกภาคส่วนในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals – SDGs) โดยเฉพาะเป้าหมายที่ 3 การมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี และเป้าหมายที่ 5 ความเท่าเทียมทางเพศ พร้อมทั้งส่งเสริมโครงการครอบครัวคุณภาพของเอเปค (APEC Smart Families)
บทสนทนาจากการประชุมมุ่งตอบโจทย์ประเด็นความต้องการด้านสุขภาพสตรีที่เร่งด่วน ที่พบเห็นทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนในวงกว้าง อาทิ อัตราการผ่าคลอดที่น่ากังวลของประเทศไทย (34.8% ของการคลอดทั้งหมด) อัตราการเสียชีวิตของมารดาที่สูงในประเทศกัมพูชา (218 รายต่อการเกิดมีชีพ 100,000 ราย) และอัตราการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นที่สูงในประเทศลาว (82 รายต่อเด็กหญิงอายุ 15-19 ปี 1,000 คน) เป็นต้น โดยคำนึงถึงความเชื่อมโยงระหว่างการลงทุนในสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้หญิง กับการเติบโตทางเศรษฐกิจ และการพัฒนาสังคม
ข้อมูลเชิงประจักษ์จากสถาบันชั้นนำระดับโลก อาทิ World Economic Forum, McKinsey Health Institute[1] และ World Bank[2] ชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product – GDP) ของโลกได้ถึงหลายล้านล้านดอลลาร์ต่อปี และเพิ่มอัตราการมีส่วนร่วมในตลาดแรงงานของผู้หญิงได้ถึงร้อยละ 20 หากผู้หญิงสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพมากขึ้น บริษัท อินซูลาร์ ไลฟ์ (Insular Life Assurance Company, Ltd. – inLife) ในประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งได้ขยายสวัสดิการสุขภาพให้ครอบคลุมการตั้งครรภ์และคลอดบุตรอย่างครบวงจร ส่งผลให้มีพนักงานหญิงสูงถึง 64% และอัตราการลาออกลดลง เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่เป็นรูปธรรมจากการลงทุนในสุขภาพสตรีได้อย่างชัดเจน
นายคุง คาเรล เคราท์บ๊อช (Koen C. Kruijtbosch) กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออร์กานอน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดการเสวนา โดยเน้นย้ำถึงผลกระทบในวงกว้างของสุขภาพสตรีต่อการพัฒนาประเทศ พร้อมชี้ให้เห็นว่าความท้าทายด้านสุขภาพสตรีที่เร่งด่วนของประเทศไทย อาทิ อัตราการเกิดที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง อัตราการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นที่สูงขึ้น และอัตราการผ่าคลอดที่สูง ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งต่อสุขภาพสตรี ตลาดแรงงาน ระบบสาธารณสุข และการพัฒนาประเทศในระยะยาว “ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่แค่เรื่องสุขภาพส่วนบุคคล แต่ยังส่งผลกระทบต่อครอบครัว ชุมชน และอนาคตของประเทศ หากเราต้องการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ เราต้องนำนวัตกรรมในด้านต่าง ๆ มาปรับใช้ ทั้งด้านการแพทย์ เทคโนโลยี นโยบาย การให้บริการ และการศึกษา เพื่อให้ทุกคน โดยเฉพาะเด็กและสตรี สามารถเข้าถึงข้อมูลและบริการที่จำเป็นในการตัดสินใจด้านสุขภาพได้อย่างรอบคอบ”
ดร.ณหทัย ทิวไผ่งาม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เน้นย้ำว่า “สุขภาพสตรีเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญสำหรับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เสริมสร้างความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ ความเสมอภาคทางสังคม และความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน การรับรองการเข้าถึงบริการอนามัยการเจริญพันธุ์ ไม่ได้เป็นแค่เรื่องสุขภาพส่วนบุคคล แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการสร้างชุมชนที่เข้มแข็ง ส่งเสริมตลาดแรงงานแบบยืดหยุ่นและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน” ดร. ณหทัย ยังเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในด้านความร่วมมือระดับภูมิภาค โดยเฉพาะโครงการครอบครัวคุณภาพของเอเปค ซึ่งนำเสนอนวัตกรรมในการจัดการกับความท้าทายด้านประชากรศาสตร์ พร้อมทั้งส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศและความเป็นอยู่ที่ดีของครอบครัว “การลงทุนในสุขภาพสตรีคือการลงทุนในอนาคตของครอบครัว ชุมชน และประเทศของเราอย่างแท้จริง” ดร. ณหทัย กล่าว
การประชุมโต๊ะกลม ซึ่งดำเนินการอภิปรายโดย คุณสิริลักษณ์ เชียงว่อง หัวหน้าสำนักงานกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) มุ่งเน้นไปที่แนวทางแก้ไขและการดำเนินงานที่นำไปปฏิบัติได้จริง โดยในระหว่างการเสวนาโต๊ะกลม ผศ.ดร.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้กล่าวถึงการขยายเวลาให้บริการของศูนย์บริการสาธารณสุขของกรุงเทพมหานคร รวมถึงคลินิกวางแผนครอบครัว โดยในวันจันทร์-ศุกร์ ขยายเวลาให้บริการจนถึง 20.00 น. และเพิ่มเวลาให้บริการในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ เพื่อให้ประชาชนทุกช่วงวัยสามารถเข้าถึงบริการด้านสุขภาพและอนามัยการเจริญพันธุ์ได้มากขึ้น ลดอุปสรรคในการเข้ารับบริการ ทั้งนี้ การขยายเวลาให้บริการดังกล่าวถือเป็นก้าวสำคัญของยุทธศาสตร์ชาติในการลดการตั้งครรภ์ไม่พร้อม ผ่านการเพิ่มความตระหนักรู้และขยายการเข้าถึงทางเลือกในการวางแผนครอบครัว
จากการเสวนา สามารถระบุข้อสรุปสำคัญได้ 4 ประการ หนึ่ง ผู้ร่วมประชุมเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการส่งเสริมความครอบคลุมของการวางแผนครอบครัว การเรียนการสอนเรื่องเพศวิถีศึกษา และบริการด้านสุขภาพทางเพศและอนามัยการเจริญพันธุ์ สอง การอภิปรายชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของการใช้ดิจิทัลโซลูชัน (digital solutions) เช่น แพลตฟอร์มออนไลน์ แอปพลิเคชันมือถือ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการแพทย์ทางไกล (telemedicine) เพื่อการรายงาน การร้องทุกข์ การให้คำปรึกษา รวมถึงการขยายการเข้าถึงของบริการ สาม นโยบายที่เป็นมิตรต่อครอบครัวในสถานที่ทำงาน ไม่ว่าจะเป็น สิทธิวันลาสำหรับมารดาและบิดา สิทธิวันลาสำหรับการดูแลสมาชิกครอบครัว และการสนับสนุนด้านการดูแลบุตร เป็นปัจจัยสำคัญในการรับมือกับความท้าทายด้านประชากรของไทย ประการสุดท้าย ผู้เข้าร่วมประชุมแสดงให้เห็นถึงความต้องการและความเต็มใจในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคส่วน เพื่อปิดช่องโหว่ ลดความกระจัดกระจายของการดำเนินงาน และผลักดันความร่วมมือที่เป็นเอกภาพในการเสริมสร้างระบบสุขภาพและความเป็นอยู่ของผู้หญิงในะระยะยาว
คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา กรรมการและกรรมการบริหาร มูลนิธิคีนันแห่งเอเชีย กล่าวปิดงาน โดยสนับสนุนให้เกิดความร่วมมืออย่างต่อเนื่องภายหลังการประชุม “วันนี้ เราได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ แนวทางการแก้ไขปัญหาแบบใหม่ และได้พบเพื่อนใหม่ ซึ่งทำให้เรารู้ว่ายังมีพื้นที่สำหรับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อีกมากมาย งานวันนี้มิใช่จุดสิ้นสุด แต่เป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือที่จะเกิดขึ้นต่อไป”
ข้อมูลที่ได้จากการประชุมโต๊ะกลมนี้จะถูกนำไปใช้เพื่อพัฒนาข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ที่จะจัดทำขึ้นภายใต้โครงการ “Her Promise Grant” ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจาก บริษัท ออร์กานอน และดำเนินการโดยมูลนิธิคีนันแห่งเอเชีย อันจะเป็นแนวทางสำคัญในการขยายความร่วมมือและเสริมสร้างการลงทุนในนวัตกรรมด้านสุขภาพที่ยั่งยืนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อไป
[1] https://www.mckinsey.com/mhi/our-insights/closing-the-womens-health-gap-a-1-trillion-dollar-opportunity-to-improve-lives-and-economies#/
[2] https://www.worldbank.org/en/topic/gender/brief/gender-strategy-update-2024-30-accelerating-equality-and-empowerment-for-all