เมื่อพูดถึงสมาร์ทโฟนแบรนด์ “OPPO” บางคนอาจเข้าใจว่ามาจากประเทศเกาหลี แต่แท้จริงแล้วเป็นแบรนด์จากประเทศจีน เนื้อๆ เน้นๆ ครับ ทุกวันนี้สมาร์ทโฟน OPPO มีออกมาวางขายในประเทศไทยหลายต่อหลายรุ่น ซึ่งต้องบอกเลยปัจจุบันสามารถหาซื้อได้ง่ายมาก แถมรุ่นใหม่ล่าสุดที่เปิดตัวไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อนอย่าง “OPPO F1 Plus” ก็มีราคาเพียง 15,990 บาท (ราคาล่าสุดเมื่อ 15 ก.ค. 2559) ที่เมื่อดูจากดีไซน์และประสิทธิภาพที่ OPPO งัดขึ้นมาโปรโมตต้องถือว่าเป็นราคาที่ไม่แพงนัก
ความน่าสนใจของ OPPO F1 Plus ที่มาพร้อมสโลแกน “Selfie Expert” สามารถดึงดูดให้ผู้ใช้ทั่วไปอย่างเราๆ อยากจะรู้จริงๆ ว่ามันเซลฟี่ได้แจ่มขนาดไหน แอดมินจึงไม่พลาดขอหยิบยืมมารีวิวซะหน่อย จะมีดีแค่ไหนต้องมาติดตามกันครับ
OPPO F1 Plus มีสเปคดังนี้
– ตัวเครื่องบาง 6.6 มิลลิเมตร น้ำหนัก 145 กรัม
– หน้าจอแสดงผลแบบ AMOLED ขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียด Full HD (1980 x 1080 พิกเซล) ครอบด้วยกระจกหน้าจอ Corning Gorilla Glass 4
– รัน Android 5.1 Lollipop ครอบด้วยอินเทอร์เฟซ Color OS 3.0
– แรม 4GB, พื้นที่เก็บข้อมูลภายใน 64GB สามารถเพิ่มความจุได้ด้วย microSD card
– ชิปเซ็ต Mediatek MT6755 Helio P10 แบบ Octa-core, หน่วยประมวลผลกราฟิก Mali-T860 MP2
– กล้องหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล, รูรับแสง f/2.0
– กล้องหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล, รูรับแสง f/2.2 และแฟลช LED
– ใช้งานได้ 2 ซิมการ์ด
– รองรับ Wi-Fi a/b/g/n, Bluetooth 4.0, 3G และ 4G LTE ได้
– แบตเตอรี่ความจุ 2850 mAh ถอดเปลี่ยนเองไม่ได้ มาพร้อมเทคโนโลยี VOOC Flash Charge ช่วยชาร์จแบตเตอรี่ได้เร็วขึ้น
– ใช้เทคโนโลยี Touch Access หรือเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ปุ่ม home
การออกแบบ
สัมผัสแรกทันทีที่แกะกล่องออกมายอมรับในความสวยงามของการออกแบบ ตัวเครื่องเป็นแบบ Metal Unibody ใช้อะลูมิเนียมเป็นวัสดุหลักที่ก่อให้เกิดความคงทน แข็งแรง แถมมีน้ำหนักเบา ตัวเครื่องสีทองยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกอยากจับมันมากขึ้น หากสังเกตดีๆ จะพบว่าหน้าจอเกือบจะชิดขอบตัวเครื่อง ด้วยการออกแบบในลักษณะนี้ช่วยให้มีการแสดงผลในมุมมองที่กว้างมากขึ้น
ด้านหน้า OPPO F1 Plus ที่ขนาด 5.5 นิ้ว มาพร้อมกับกระจก Corning Gorilla Glass 4 เสริมความแข็งแกร่ง กันรอยขีดข่วน แต่ปัญหาของทุกสมาร์ทโฟนที่มีหน้าจอเป็นกระจกนั่นคือ การเกิดรอยนิ้วมือได้ง่าย ส่วนบนประกอบไปด้วยกล้องหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล อันเป็นจุดเด่นที่สุด แนบเคียงด้วยลำโพงเพื่อการสนทนา และเซนเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวต่างๆ ปิดท้ายด้วยด้านล่างเป็นปุ่ม home ที่แฝงด้วยเทคโนโลยี Touch Access หรือเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือ ขยับมาทางซ้ายจะเป็นปุ่ม recent app และทางขวาเป็นปุ่มย้อนกลับ ซึ่งจะมีไฟแสดงผลปรากฏขึ้นมาในขณะใช้งาน แต่จะไม่สว่างเท่าที่ควร
ขยับมาด้านล่างสุดบริเวณขอบตัวเครื่องจะเป็นช่องลำโพง, พอร์ต microUSB, ช่องไมโครโฟนขนาดจิ๋ว และช่องต่อหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร ขณะที่ถัดขึ้นไปด้านบนจะมีเพียงโครโฟนสำหรับตัดเสียงรบกวนขณะบันทึกเสียงหรือถ่ายวิดีโอ
ขอบด้านซ้ายเป็นปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง แถมเป็นปุ่มชัตเตอร์ถ่ายภาพได้ ส่วนขอบด้านขวาเป็นปุ่มพาวเวอร์ ใช้เปิด-ปิดหน้าจอ และเปิด-ปิดเครื่อง และช่องสำหรับใส่ซิมการ์ด สามารถเลือกได้ว่าจะเป็นงานแบบ 2 ซิม หรือเลือกใช้ซิมเดียวและเพิ่ม microSD card เข้าไป สำหรับพื้นที่การเก็บข้อมูลที่มากขึ้น
ส่วนสุดท้ายตัวเครื่องด้านหลังประกอบไปด้วยกล้องหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล ซึ่งเลนส์จะยื่นออกมาเล็กน้อย มาพร้อมแฟลช LED
Android 5.1 Lollipop และ Color OS 3.0
ระบบปฏิบัติการประจำเครื่อง OPPO F1 Plus ยังเป็น Android 5.1 Lollipop ที่ส่วนตัวแอดมินมองว่าน่าจะเปลี่ยนไปใช้ Android 6.0 Marshmallow ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าในรุ่นนี้ OPPO จะใจดีอัพให้เป็นเวอร์ชัน 6.0 ด้วยหรือเปล่า อย่างไรก็ตามการครอบทับด้วยอินเทอร์เฟซ Color OS 3.0 ทำให้ OPPO F1 Plus มีความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น ภาพหน้าแอพพลิเคชันพื้นฐานเป็นไปตามสไตล์ OPPO สามารถเข้าถึงแอพฯ ที่ติดตั้งมากับเครื่องหรือโหลดเพิ่มเติมได้จากการทัชจากหน้าหนึ่งไปอีกหน้าหนึ่งได้ในทันที โดยไม่มีหน้ารวมแอพฯ เข้ามาเพิ่มความซ้ำซ้อน
อีกลูกเล่นที่แอดมินได้ทดลองใช้และรู้สึกว่าค่อนข้างสะดวก เป็นฟีเจอร์ “การใช้ท่าทางและการเคลื่อนไหว” ยกตัวอย่าง การใช้ 3 นิ้ว เลื่อนขึ้นเพื่อจับภาพหน้าจอ หรือหากต้องการให้ง่ายขึ้นในเวลาต้องใช้งานด้วยมือเดียว ก็สามารถใช้นิ้วลากจากมุมด้านล่างของหน้าจอ เพื่อให้หน้าจอมีขนาดเล็กลงพอให้เราใช้งานมือเดียวได้ เป็นต้น นอกจากนี้ใน OPPO F1 Plus ยังมาพร้อมกับการวาดเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษบนหน้าจอ สำหรับเรียกใช้แอพที่กำหนดไว้ได้อีกด้วย
สำหรับชิปเซ็ต Mediatek MT6755 Helio P10 แบบ Octa-core กับหน่วยประมวลผลกราฟิก Mali-T860 MP2 ที่ใช้ใน OPPO F1 Plus เท่าที่ทดสอบเล่น HIT : Heroes of Incredible Tales เกมแนว Action RPG ถือว่าไม่มีอาการกระตุก และเล่นได้ลื่นดีทีเดียว
Touch Access
เป็นชื่อฟีเจอร์การสแกนลายนิ้วมือที่ปุ่ม home ที่แทบจะกลายเป็นฟีเจอร์พื้นฐานของสมาร์ทโฟนยุคนี้ไปแล้ว ความน่าสนใจของ Touch Access นอกจากช่วยปลดล็อคหน้าจอ, ใช้เป็นรหัสสำหรับเข้าถึงแอพและล็อคไฟล์ที่เป็นความลับ ยังมีความเร็วในการปลดล็อครหัสได้เพียง 0.2 วินาที เท่านั้น ซึ่งจากที่ทดสอบปลดล็อคหน้าจอ ต้องบอกเลยว่าเร็วจริง แค่แตะก็ปลดล็อคให้แล้ว
ศูนย์ความปลอดภัย
เป็นแอพที่มีความหมายตรงตัวตามชื่อไทยๆ หน้าที่ของมันจะช่วยลบข้อมูลขยะ หรือหมายถึงไฟล์ที่เราไม่ใช้งานแล้ว ส่วนต่อมาเป็นเรื่องการอนุญาต จุดนี้จะทำหน้าที่เข้ารหัสแอพ โดยจะมีแอพที่เข้ารหัสอยู่เดิมแล้วบางแอพ และเราสามารถกำหนดแอพเพื่อการเข้ารหัสเพิ่มขึ้นได้ สามารถจัดการไม่อนุญาตให้บางแอพเริ่มทำงาน เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีส่วนสแกนไวรัสที่ร่วมมือกับ Avast คอยจัดการซอฟต์แวร์ที่มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย โดยแอพนี้จะคอยแจ้งเตือนเราอัตโนมัติเพื่อบริหารจัดการไฟล์ข้อมูล ทำให้การใช้งานมีความพร้อมมากที่สุดอย่างต่อเนื่อง
กล้องถ่ายภาพ
มาถึงจุดเด่นสำคัญอย่างกล้องถ่ายภาพ ด้วยสโลแกน “Selfie Expert” เป็นการนำความละเอียดระดับ 16 ล้านพิกเซล มาประดับไว้ที่กล้องหน้า พร้อมค่ารูรับแสงที่ f/2.0 มีโหมด Beautify 4.0 สามารถปรับความเนียนให้กับใบหน้าได้ถึง 7 ระดับ แถมมีฟิลเตอร์ที่ช่วยปรับสภาพแสงและสีในสไตล์ที่แตกต่างเพื่อให้เหมาะกับความชอบของแต่ละคนได้ ขณะเดียวกันในเมนูกล้องหน้ายังมี “แฟลช” แต่ไม่ใช่ไฟแฟลชอย่างที่เราคุ้นเคย จะเป็นในรูปแบบของแฟลชบนหน้าจอแสดงผลสำหรับช่วยเซลฟี่ในที่แสงน้อยเพื่อให้ภาพมีความสว่างมากขึ้น โดยเราสามารถตั้งค่าให้เปิดใช้เมนูนี้ตลอด หรือสั่งให้เปิด-ปิดอัตโนมัติตามการตรวจจับสภาพแสงของเซนเซอร์
เมนูในกล้องหน้ายังไม่หมดเท่านี้ ยังมีโหมด GIF ให้อารมณ์คล้ายกับที่บางคนใช้แอพ boomerang ที่ช่วยบันทึกภาพให้ขยับได้ พร้อมสามารแชร์ต่อไปยัง Facebook หรือ LINE ได้ด้วย
4 โหมดหลักสำหรับใช้งานกล้องหน้า
ภายในโหมดตัวกรองสียังมีตัวเลือกภาพลายน้ำ ลูกเล่นเล็กๆ ให้ภาพถ่าย
ในกล้องหน้ามีทั้งโหมดกรองสีหรือฟิลเตอร์ และโหมด “สดชื่น” ไว้ปรับความเนียนใสของใบหน้า สามารถปรับได้ถึง 7 ระดับ
ตัวอย่างภาพเซลฟี่
(ซ้าย) เป็นภาพจากโหมดปกติ ยังไม่มีการปรับแต่งใดๆ (ขวา) ใช้โหมด “สดชื่น” ช่วยปรับให้หน้าเนียนขึ้น
ใช้ฟิลเตอร์ในแบบ “โมโน”
เซลฟี่โหมดปกติเวลากลางคืน ภายในร้านอาหารและนอกร้าน
เซลฟี่นอกสถานที่ กับโหมด “สดชื่น” ปรับหน้าให้เนียนกันทุกคน
กล้องหลังใน OPPO F1 Plus มากับความละเอียด 13 ล้านพิกเซล ค่ารูรับแสง f/2.2 มีลูกเล่นให้ใช้มากกว่ากล้องหน้า ยกตัวอย่าง โหมดผู้เชี่ยวชาญ หรือการปรับแต่งค่าต่างๆ ก่อนถ่ายภาพ สำหรับผูู้ที่มีความชำนาญในเรื่องถ่ายภาพพอสมควร โหมด Ultra HD การถ่ายภาพความละเอียดสูงที่ให้ไฟล์ภาพขนาดใหญ่สูงสุดถึง 8320 x 6240 พิกเซล เหมาะสำหรับการนำภาพไปใช้ประโยชน์ในงานด้านต่างๆ ที่ต้องการไฟล์ภาพความละเอียดสูง นอกจากนี้ยังมีฟิลเตอร์สำหรับปรับแสงและสีด้วย
ตัวอย่างภาพจากกล้องหลัง
สรุปภาพรวม รีวิว OPPO F1 Plus
จากที่แอดมินได้ทดลองใช้ OPPO F1 Plus สิ่งที่สะดุดตาตั้งแต่แรกคงต้องยกให้เรื่องของดีไซน์ที่ทำออกมาได้สวยงาม ให้ความรู้สึกเบาในขณะหยิบถือ จุดแข็งคงต้องยกให้กล้องหน้าที่มากับความละเอียด 16 ล้านพิกเซล พร้อมโหมดต่างๆ ทั้งในเรื่องการปรับความเนียนใสของใบหน้าที่มีให้เลือกถึง 7 ระดับ มีฟิลเตอร์ปรับสภาพแสงและสีตามสไตล์ความชอบ หรือจะเป็นแฟลชบนหน้าจอ อีกหนึ่งเทคนิคเพิ่มความสว่างในระหว่างเซลฟี่ในที่แสงน้อย ด้วยโหมดเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ช่วยสำคัญที่สนับสนุนให้การเซลฟี่ไม่ว่าจะเป็นภาพเดี่ยวหรือภาพหมู่สามารถสร้างความประทับใจให้กับผู้ใช้ได้อย่างดีเยี่ยม เรียกได้ว่า OPPO F1 Plus เป็นหนึ่งในสมาร์ทโฟนเน้นกล้อง ที่กล้าท้าชนเซลฟี่กับสมาร์ทโฟนแบรนด์อื่นได้แบบไม่ต้องกลัว
ขอขอบคุณ บริษัท ไทย ออปโป้ จำกัด สำหรับ OPPO F1 Plus ในการรีวิวครั้งนี้ครับ