เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัท OnePlus ของประเทศจีน ประกาศเปิดตัวสมาร์ทโฟน Flagship รุ่นล่าสุด ในนาม “OnePlus 3” ซึ่งไม่เพียงแต่ดีไซน์ที่หรูหราและสเปคที่อัพเกรดขึ้น OnePlus 3 ยังมาพร้อมเทคโนโลยีหน้าจอ Optic AMOLED แล้วมันคืออะไรล่ะ ???
OnePlus 3 ถือเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่จากประเทศจีน ที่พยายามเพิ่มจุดขายให้กับตัวเองมากขึ้น เห็นได้จากเทคโนโลยีหน้าจอแบบใหม่ Optic AMOLED ซึ่งโดยปกติแล้วเรามักคุ้นหูกับ Super AMOLED เทคโนโลยีหน้าจอของ Samsung แต่ใน OnePlus 3 ถือเป็นการอัพเกรดขึ้นมาอีกขั้นเพื่อประสบการณ์การใช้งานที่ยอดเยี่ยมของผู้ใช้
Optic AMOLED เป็นเทคโนโลยีการแสดงผลที่นำพื้นฐานของ Super AMOLED ของ Samsung มาเป็นต้นแบบ โดยทาง OnePlus ทำการปรับแต่งเทคโนโลยีบางส่วนเพื่อให้เกิดการแสดงผลที่เป็นธรรมชาติมากขึ้นจากต้นแบบ ให้ความมั่นใจได้ว่าการใช้งานนอกสถานที่ที่มีแสงแดดจ้าจะสามารถมอบความชัดเจนได้อย่างเหมาะสม ขณะเดียวกันเรื่องของสีสันเป็นสิ่งที่ละเลยไม่ได้เช่นกัน Optic AMOLED ยังได้รับการเพิ่มคุณสมบัติของการแสดงสีที่มีสำเนาถูกต้องใกล้เคียงกับภาพจริงมากที่สุด มีชั้นเลเยอร์ที่เรียกว่า “dual-polarizing” ที่ให้สีดำที่ดำสนิท แสงสีขาวที่สว่างมากขึ้น ส่งผลให้การแสดงสีสันในภาพรวมสดใสและสมจริงมากยิ่งขึ้น และที่สำคัญ Optic AMOLED ยังลดการใช้พลังงานอีกด้วย
สำหรับ OnePlus 3 มีสเปคดังต่อไปนี้
– หน้าจอ 5.5 นิ้ว ใช้เทคโนโลยี Optic AMOLED ความละเอียด Full HD (1920 x 1080 พิกเซล) 401ppi หน้าจอครอบด้วยกระจก Gorilla Glass 4
– ขนาดตัวเครื่อง 152.7 x 74.7 x 7.35mm ใช้อะลูมิเนียมเป็นวัสดุหลัก
– ซีพียู Qualcomm Snapdragon 820 Quad-Core
– หน่วยประมวลกราฟิก Adreno 530
– แรม 6GB LPDDR4, พื้นที่เก็บข้อมูลภายใน 64GB ไม่รองรับ microSD card
– กล้องหลังความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ใช้เซนเซอร์ Sony IMX 298 มีระบบโฟกัสแบบ PDAF, ค่ารูรับแสง f/2.0 และระบบกันสั่น OIS
– กล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ใช้เซนเซอร์ Sony IMX 179, ค่ารูรับแสง f/2.0
– รัน Android 6.0.1 Marshmallow ครอบด้วยอินเทอร์เฟซ OxygenOS
– มีฟีเจอร์ Fingerprint หรือสแกนลายนิ้วมือ, รองรับ NFC
– พอร์ตเชื่อมต่อ USB 2.0, audio jack ขนาด 3.5 mm
– ใช้งานได้ 2 ซิม ประเภท NANO SIM
– แบเตเตอรี่ความจุ 3000mAh ถอดแบตไม่ได้
– ตัวเครื่องมีสี Graphite และ Soft Gold
OnePlus 3 เปิดวางขายแล้วในสหรัฐ โดยไม่ต้องรอการเชิญเหมือนรุ่นที่แล้วมา โดยราคาอยู่ที่ 399 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 14,000 บาท รอดูว่ารุ่นนี้จะมีเครื่องหิ้วเข้ามาเมืองไทยอีกรึเปล่านะครับ