ย้อนกลับไปเมื่อประมาณปีที่แล้ว เราได้พูดถึงเรื่องของการนำเอาแท็บเล็ตมาใช้งานแทนคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก เพื่อความสะดวกในการพกพามากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าอุปกรณ์เสริมที่ใช้งานร่วมกับแท็บเล็ต เช่นคีย์บอร์ด ก็ออกมารองรับกันมากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่ยังถือว่าเป็นปัญหาหลักเลยก็คือแอพฯ ที่จะรองรับการทำงาน โดยเฉพาะแอพฯ ในโหมดของออฟฟิศหรืองานเอกสาร
สำหรับ iPad ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นแท็บเล็ตที่ทำงานได้ค่อนข้างดี และมีอุปกรณ์เสริมที่มีคุณภาพดี … แบบไม่มองเรื่องราคานะ ก็มีความสามารถในการทำงานเอกสารไม่น้อยหน้าเช่นกัน ด้วยชุด iWork ของทาง Apple เอง แต่นั่นอาจจะไม่ใช่คำตอบของใครหลายๆ คน และการทำงานอาจจะไม่ได้สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่ดี
สิ่งที่ Microsoft ตอบสนองให้กับคนทำงานเอกสารบนไอแพด นั่นคือ Microsoft Office for iPad ดังนั้นเราจะมาดูกันซิว่าการใช้งาน Microsoft Office บน iPad นั้นจะดีขนาดไหน
สงคราม Office for iPad
ตัวเลือกในการทำงานเอกสารของผู้ใช้ iPad นั้นมีค่อนข้างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น iWork ชุดโปรแกรมเอกสารเช่นเดียวกับที่อยู่บน MacOS ซึ่งประกอบไปด้วย Pages, Numbers และ Keynote ซึ่งคนใช้ Mac เองจะคุ้นเคยอยู่แล้ว และสามารถทำงานร่วมกับ Microsoft Office ในระดับหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่ก็พอที่จะถูไถไปได้ ที่สำคัญคือมันเป็นแอพฯ ฟรีที่ Apple แถมให้ผู้ซื้อ iPhone, iPad ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาและในอนาคต
ทางเลือกอื่นที่มีอยู่ก็คงจะเป็น Docs จาก Google ที่มีให้ใช้งานบน iPad ได้เช่นเดียวกัน แต่ความสามารถในการใช้งานก็คงเป็นไปตาม Google Docs ที่บางคนก็ชอบ บางคนก็ไม่ชอบ ซึ่งอยู่กับรูปแบบเอกสารที่เราใช้งานประจำอยู่ของแต่ละคนมากกว่า และอีกส่วนหนึ่งคือ Office จากผู้พัฒนาอื่นๆ ซึ่งเรามักจะเห็นกลุ่มนี้ค่อนข้างได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้ Android อย่างเช่น Polaris Office ซึ่งเป็นแอพฯ ที่ให้ดาวน์โหลดฟรี และมีให้ใช้งานบน iOS เช่นเดียวกัน
ท้ายสุดคือ Microsoft Office หัวข้อหลักในครั้งนี้ …
สำหรับ Office for iPad นั้น จะเริ่มต้นจาก OneNote (สีม่วง) ที่หลายคนอาจจะเคยได้สัมผัสกันมาบ้างแล้ว เพราะเปิดให้ดาวน์โหลดนานแล้ว รวมถึงคนไทยด้วย ซึ่งมันเอาไว้จดบันทึกและซิงค์ข้อมูลร่วมกัน คล้ายๆ กับ Evernote แต่ดูเหมือนจะไม่ได้รับความนิยมมากนัก ทั้งในแง่ของแอพฯ บนโมบาย และบนคอมพิวเตอร์ด้วย
ของเด็ดอยู่ที่ Word, Excel และ PowerPoint ซึ่งใช้สำหรับทำงานเอกสารจริงๆ ครบชุด ทั้งเอกสารทั่วไป งานตารางคำนวณ โดยเปิดให้ดาวน์โหลดได้ฟรีเช่นเดียวกัน แต่จะมีเงื่อนไขคือมี In-App Purchased อยู่ด้วย ซึ่งตามเงื่อนไขได้มีการระบุไว้ว่า การแก้ไขเอกสาร จะต้องมีการสมัครสมาชิกกับ Office 365 ด้วย หรือพูดง่ายๆ ก็คือต้องใช้ Office 365 บนเครื่องพีซีแบบของแท้อยู่ด้วยนั่นเอง
สิ่งหนึ่งที่ผู้ใช้งานจะได้จาก Microsoft Office for iPad คือความสามารถในการทำงานที่ยอดเยี่ยมเช่นเดียวกับที่เราได้ใช้งานบนเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะใน Word ที่เน้นเรื่องการจัดรูปแบบและการแก้ไขมากที่สุด อีกทั้งอินเทอร์เฟซและฟังก์ชันการทำงานต่างๆ ก็อยู่ในตำแหน่งที่ผู้ใช้คุ้นเคย ดังนั้นถ้าพูดถึงเรื่องความถนัดสำหรับคนที่ใช้งาน Office บนคอมพิวเตอร์มาก่อน อันนี้ต้องยกให้เต็มๆ ครับ
สำหรับ Word เอง จะพบกว่าระบบการตัดคำภาษาไทยสมบูรณ์มากขึ้น มีฟอนต์มาตรฐานเตรียมมาให้พร้อมแล้วด้วย ทำให้การเปิดเอกสารจากคอมพิวเตอร์นั้นมีความสมบูรณ์ดีมาก ซึ่งต่างจากช่วงที่เปิดให้ใช้งานในโซนอเมริกาที่มีปัญหากับภาษาไทยมากอยู่ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดีที่รอให้พัฒนาระบบภาษาไทยให้พร้อมก่อนแล้วค่อยมาเปิดตัวใน App Store ของไทย
ส่วน Excel นั้นเป็นเรื่องของตารางที่เน้นการคำนวณและสูตร ซึ่งจะบอกว่ามีปัญหาการใช้งานน้อยกว่า Word ในแง่ของรูปแบบ แต่จะไปมีปัญหากับสูตรที่ถูกใส่ไว้มากกว่า โดย Excel for iPad นั้นจะมาพร้อมกับสูตรพื้นฐานเช่นเดียวกัน แต่ด้วยประสิทธิภาพของแท็บเล็ต ที่แม้ว่าจะเป็น iPad ก็ไม่ได้แปลว่ามันจะรองรับการคำนวณข้อมูลเป็นหมื่นๆ แถวได้เหมือนบนเครื่องคอมพิวเตอร์นะครับ มันน่าจะออกแบบมาให้เปิดไฟล์ Excel ที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก เช่น ใบเสร็จ ตารางรับจ่าย หรือข้อมูลบัญชีเบื้องต้นเท่านั้น แต่ถ้าถึงขนาดฐานข้อมูลขนาดใหญ่ๆ นี่อาจจะมีตายได้เหมือนกัน
PowerPoint อาจจะดูเป็นแอพฯ ที่มีปัญหาน้อยที่สุด เพราะเมื่อเราใช้งานในระดับมืออาชีพมากขึ้น เราก็ลดเอฟเฟ็กต์ต่างๆ ที่ใส่เข้าไปให้น้อยลงอยู่แล้ว ซึ่งทำให้หลายคนที่ต้องการย้ายไฟล์ข้ามแพลตฟอร์มบ่อยๆ มักจะเลือกใช้รูปแบบไฟล์ PDF มากกว่า เพราะไปเปิดได้บนเครื่องทุกเครื่องโดยไม่ผิดเพี้ยน และใช้พรีเซนต์ได้ด้วย แต่เมื่อมีเครื่องมือที่ดีกว่า ตรงกว่า ทำงานเข้ากันได้สมบูรณ์กว่า ก็ย่อมดีกว่า เพราะสามารถแก้ไขได้ เปิดเพื่อพรีเซนต์ได้โดยไม่ผิดเพี้ยน และยังมีเครื่องมือช่วยในการพรีเซนต์อย่าง Laser Pointer ในตัว เพียงแค่เอานิ้วจิ้มค้างไว้ที่จอเท่านั้นเอง
โดยรวมแล้วมันคือชุดทำงานเอกสาร Word, Excel และ PowerPoint ที่ถูกย่อส่วน ลดฟังก์ชันการทำงานเอาให้พอเหมาะสำหรับการใช้งานบนแท็บเล็ตมากขึ้น ไม่ได้ออกแบบมาทดแทนออฟฟิศบนคอมพ์ทั้งหมด แต่ให้คนที่ต้องการความคล่องตัวไว้ใช้งานสะดวกมากขึ้น โดยเฉพาะคนที่ใช้งาน Microsoft Office รวมกับคนอื่น หรือใช้งานเป็นหลักอยู่แล้วได้ใช้งานสมบูรณ์มากขึ้นนั่นเอง
ข้ามแพลตฟอร์ม เพี้ยน ไม่เพี้ยน
เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่ทุกคนพยายามจะข้ามขีดจำกัดให้งานเอกสารสามารถเปิดและใช้งานได้กับแอพฯ หรือโปรแกรมออฟฟิศค่ายไหนก็ได้ แต่ความเป็นจริงที่ต้องยอมคือ แต่ละค่ายก็ยังมีการกั๊กฟังก์ชันบางอย่างไว้ แม้จะบอกว่าพยายามพัฒนารูปแบบเอกสารให้สามารถทำงานร่วมกับโปรแกรมอื่นได้ แต่ก็เป็นเพียงแค่การได้ในระดับหนึ่งเท่านั้นเอง … ขอบคุณเอกสารตระกูลลงท้ายด้วย x (เช่น .docx) ทั้งหลายที่เป็นหนึ่งในความพยายาม
ด้วยความที่แอพฯ แต่ละตัวมีการออกแบบให้มีฟังก์ชันในการทำงานไม่เท่ากัน การเน้นฟังก์ชันให้เหมาะสมกับงานที่ต่างกัน อย่าง Pages กับ Word นี้ไปคนละทิศคนละทางกัน ดังนั้นความผิดเพี้ยนจึงมากขึ้น การทำงานร่วมกันจึงขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของการจัดรูปแบบเอกสาร ยิ่งซับซ้อนเยอะ ยิ่งเพี้ยนเยอะ ดังนั้นการเปิดเอกสารให้ตรงกับแอพฯ หรือโปรแกรมที่สร้างและแก้ไขเอกสารนั้นๆ มาให้ตรงที่สุดก็จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
ณ จุดนี้จึงทำให้ iPad แทบจะเป็นแท็บเล็ตตัวเดียวในท้องตลาดที่มีแอพฯ เอกสารครบทุกค่ายมากที่สุด ซึ่งอีกสักพัก Android ก็คงจะตามมาเช่นกัน
Cloud เท่านั้นที่สะดวกที่สุด
ข้อจำกัดของ iPad อย่างที่เราเข้าใจคือไม่มีระบบ File Management และไม่สามารถถ่ายโอนไฟล์กับคอมพิวเตอร์ได้โดยตรง ทุกอย่างถูกเก็บลงในแอพฯ แต่ละตัว และถ่ายโอนผ่านอินเทอร์เน็ตเท่านั้น จะเป็นทางอีเมล หรือ Cloud Storage ก็แล้วแต่ความสะดวกของแต่ละคน
ชุด Office แต่ละตัวก็จะมีการออกแบบมาให้เชื่อมต่อกับ Cloud ที่เป็นของตัวเอง เช่น iWork ของ Apple ก็จะออกแบบให้ทำงานร่วมกับ iCloud ได้ดีที่สุด Google Docs ก็ไปเชื่อมกับ Google Drive ส่วน Microsoft Office จะเชื่อมกับ One Drive เป็นหลัก ซึ่งทำให้สามารถเรียกเปิดเอกสารและเซฟกลับได้โดยตรงกับ Cloud ทันที และสมบูรณ์กว่า ดังนั้นการเลือกใช้ Office for iPad อาจจะต้องคำนึงถึง Cloud Storage ที่คุณใช้งานเป็นหลักด้วยเช่นเดียวกัน เพื่อให้การทำงานเอกสารสามารถถ่ายโอนข้อมูลได้สะดวกมากขึ้น
ตรงจุดนี้ชุด Office จากค่ายอื่นๆ ที่ไม่ใช่ค่ายหลัก เช่น Polaris Office จะเข้ามามีบทบาทมาก เนื่องจากแอพฯ พวกนี้มักจะออกแบบมาให้มีระบบเชื่อมต่อไปยัง Cloud Storage อื่นๆ ได้ด้วย ซึ่งตรงจุดนี้ Microsoft Office เองก็ยังสามารถรองรับได้ทั้ง Dropbox และ iCloud ได้ในตัวเช่นเดียวกัน แต่อาจจะไม่เป๊ะเท่าเจ้าของค่ายเท่านั้นเอง
ฟันธงเลย! ตัวไหนน่าใช้สุด
คำถามนี้อาจจะไม่มีคำตอบตายตัว อย่างที่บอกไปแล้วว่าแต่ละตัวก็มีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน มีการเชื่อมต่อหรือเชื่อมโยงกับแอพฯ หรือระบบ Cloud ที่ต่างกัน ดังนั้นมันจึงขึ้นอยู่กับตัวผู้ใช้งานมากกว่า
ถ้าคุณเป็นสาวก Apple ใช้งานสิ่งพิมพ์เป็นหลัก และไม่เคยจับงานเอกสารเลย หรือจะบอกว่าชอบงานเอกสารในสไตล์ Pages ซึ่งคล้ายกับการจัดหน้าสิ่งพิมพ์มากกว่าพิมพ์งาน แบบนี้ใช้ iWork บน iPad ตามเดิมต่อไป พร้อมกับ iCloud นั่นแหละดีแล้ว เพราะกลุ่มคนเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็จะใช้เครื่อง Mac ร่วมด้วยอยู่แล้ว
แต่ถ้าคุณเป็นพนักงานบัญชี เสมียน หรืองานที่คุ้นเคยกับ Microsoft Office อยู่แล้ว เพราะบริษัทคงไม่ซื้อ Mac มาให้ใช้ หรือมีเครื่อง Mac ให้ดูหรูๆ แต่เอามาลงวินโดวส์ กับ Microsoft Office เหมือนผู้บริหารหลายคนๆ อย่างนี้ การต้องย้ายมาทำ iWork บน iPad ไม่เวิร์กแน่นอน การมี Office for iPad ก็จะช่วยตอบโจทย์และเหมาะมากที่สุด
ส่วนกลุ่มที่ใช้ Google Docs ก็เช่นเดียวกัน ถ้าใช้มันเป็นหลัก ก็จงใช้มันเป็นหลักต่อไป แต่สิ่งที่จะเห็นได้ชัดคือกลุ่มแอพฯ ออฟฟิศจากค่ายอื่นๆ อาจจะถึงขั้นอวสานได้เมื่อทุกค่ายมีแอพฯ เป็นของตัวเองเรียบร้อยแล้ว และแน่นอนมันทำงานได้ดีกว่า ซึ่งที่ยืนของแอพฯ เหล่านี้คงจะเหลือแต่บน Android ที่รอวัน Microsoft เปิดตัว Office for Android ก็คงจะจบเช่นเดียวกัน