เอ็นทีที (NTT Ltd.) บริษัทผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานและบริการไอทีชั้นนำระดับโลก ประกาศเปิดตัวสถาปัตยกรรมการทำงานใหม่ Net-Zero Action แบบฟูลสแตกครบวงจรที่งาน Mobile World Congress 2022 (MWC) ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองลาสเวกัส รัฐเนวาดา ประเทศสหรัฐอเมริกา สถาปัตยกรรมดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งของโซลูชันที่ให้ความสำคัญกับปัญหาสภาพภูมิอากาศด้วยการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานและบริการที่หลากหลายของ NTT เพื่อให้ลูกค้าองค์กรสามารถลดผลกระทบจากกิจกรรมทางธุรกิจที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยที่ผ่านมา โครงการรณรงค์ด้านสภาพภูมิอากาศจำนวนมากถูกยกเป็นพันธกิจที่มีความสำคัญเป็นอันดับต้น เนื่องจากหลายองค์กรตื่นตัวและเพิ่มแนวทางดำเนินงานกับโครงการรณรงค์ด้านความยั่งยืนอื่น เพื่อให้องค์กรบรรลุเป้าหมายการลดปริมาณการปล่อยคอร์บอนสุทธิจนเป็นศูนย์ได้ รวมถึงทำให้เกิดการตัดสินใจจากการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น การนำเสนอนวัตกรรมโซลูชันใหม่ของ NTT ครั้งนี้จะช่วยให้ทุกองค์กรบรรลุผลการปฏิบัติงานได้ทั้งในแง่ทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ผ่านการดำเนินงานด้านสภาพภูมิอากาศที่ได้รับการปรับปรุงให้มีผลเชิงบวกต่อโลกมากกว่าเดิม ทั้งในส่วนการตรวจวัด การเฝ้าติดตามและการรายงานผลกระทบ การทำงานในเชิงรุกเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงต่อสภาพภูมิอากาศ และการลดเวลาตอบสนอง ให้สามารถแก้ไขปัญหาได้ทันทีเมื่อตรวจพบ
นายเดวิน หยาง (Devin Yaung) รองประธานอาวุโส กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์และบริการ IoT สำหรับลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ บริษัท NTT จำกัด กล่าวว่า “เรารู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้เปิดตัวบริการด้านความยั่งยืนหรือ Sustainability-as-a-Service แบบฟูลสแตกเป็นครั้งแรกของอุตสาหกรรม ในเวลาที่หลายธุรกิจกำลังมองหาวิธีที่มีประสิทธิภาพเพื่อให้คำมั่นสัญญาเรื่องเป้าหมาย net-zero สามารถบรรลุผลสำเร็จ ดังนั้น การประกาศในวันนี้จึงตอกย้ำความมุ่งมั่นของ NTT ในการช่วยให้องค์กรสามารถลดปัจจัยเสี่ยงต่อสภาพภูมิอากาศในเชิงรุก พร้อมกับมอบการตอบสนองแบบเรียลไทม์ด้วยระบบแก้ปัญหาอัตโนมัติ รวมถึงการวัดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างถูกต้องแม่นยำ เพื่อเอื้อให้เกิดการสื่อสารเชิงบวกกับหน่วยงานกำกับดูแล พนักงาน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่น”
ปัจจุบัน องค์กรมากมายออกมาแสดงความรับผิดชอบมากขึ้นต่อการวางแผนให้องค์กรบรรลุเป้าหมายปลดปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ เพื่อให้สอดรับกับความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ซึ่งได้แก่ ลูกค้า ผู้ถือหุ้น กลุ่มสถาบันนักลงทุน พนักงาน คู่ค้าทางธุรกิจ และชุมชน จุดนี้การสำรวจล่าสุดพบว่า บริษัท 58% ในกลุ่ม Fortune 500 ล้วนตั้งเป้าที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และวางแผนให้บรรลุเป้าหมายปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 หรือ พ.ศ. 2593 หรือเร็วกว่านั้น ทั้งนี้ บริษัทที่มุ่งมั่นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเหล่านี้มักต้องเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน จากการขาดแคลนทรัพยากรและเงินทุน หรืออาจไม่สามารถบันทึกข้อมูลที่ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ได้อย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ข้อมูลจากบริษัทวิจัย McKinsey ยังประเมินว่าองค์กรธุรกิจอาจจะต้องใช้เงินลงทุนรวมรายปีจำนวนมากถึง 9.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย Net-Zero ทันปี 2050
เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายนี้ NTT ได้ประกาศเปิดตัวสถาปัตยกรรม Sustainability-as-a-Service แบบฟูลสแตกแห่งแรกของอุตสาหกรรม ที่ได้รวมเทคโนโลยีสุดยืดหยุ่นซึ่งจะรวมประโยชน์จากหลายส่วนงานของระบบ NTT ทั้งระบบ IoT, Private 5G, Edge Compute, NTT Smart Solutions Platform, Digital Twins และระบบอื่นๆที่มีเทคโนโลยีการเรียนรู้ด้วยเครื่อง (Machine Learning) ระบบฟูลสแตกที่ครบทั้งหน้าบ้านและหลังบ้านนี้จะมาพร้อมกับบริการให้คำปรึกษา ที่ได้รับการออกแบบให้สามารถปรับแต่งเข้ากับทั้งเป้าหมาย Net-Zero ของแต่ละองค์กร รวมถึงตัวองค์กรเอง และปริมาณการปล่อยคาร์บอนของบริษัทอื่นในห่วงโซ่อุปทาน ในภาพรวม ระบบนี้จะช่วยให้องค์กรเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างครอบคลุม โดยเฉพาะสถานะของเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ ผ่านการปรับปรุงการตรวจสอบ การวัดผลและการรายงานการปล่อยมลพิษ รวมถึงการเร่งเวลาในการตอบสนองต่อเหตุการณ์เพื่อระบุสาเหตุของปัญหาได้เร็วกว่าเดิม ทั้งหมดนี้สามารถรองรับหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งการผลิต การขนส่งและโลจิสติกส์ และผู้ให้บริการด้านสุขภาพ
สำหรับข้อเสนอความยั่งยืนแบบฟูลสแตกจาก NTT ประกอบด้วย:
- ระบบตรวจสอบด้านสิ่งแวดล้อมจากระยะไกล (Remote Environmental Monitoring): เป็นการใช้เทคโนโลยี IoT ของ NTT เพื่อการแก้ปัญหาความยั่งยืน เทคโนโลยีนี้จะใช้เซ็นเซอร์เพื่อระบุการมีอยู่ของมลพิษในอากาศและน้ำ รวมถึงในโรงงานทั่วโลกแบบเรียลไทม์ สำหรับภาคการผลิต ระบบนี้สามารถช่วยในกระบวนการตรวจวัดและประเมินผลิตภัณฑ์ที่ใช้พลังงาน ขณะที่ ระบบนี้จะสามารถตรวจสอบการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นสำหรับการจัดการกองฟลีท (fleet) หรือกลุ่มยานพาหนะในภาคการขนส่ง
- ดิจิทัลทวินและสมาร์ทโซลูชัน (Digital Twin and Smart Solution): โซลูชั่นนี้เป็นการประยุกต์ใช้ NTT Smart Solutions และความสามารถของ Digital Twin เพื่อทำหน้าที่เป็น “สมอง” ของระบบ ซึ่งจะช่วยให้องค์กรคาดการณ์ปัญหาด้วยระบบ Machine Learning ที่ถูกฝังไว้ภายใน ทำให้สามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้เร็วขึ้นด้วยบริบทจาก Digital Twin นอกจากนี้ การตรวจวัดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ยังทำได้ละเอียด ในระดับที่สามารถดำเนินการได้แบบเรียลไทม์
- ระบบอัตโนมัติและการจัดการ (Automation and Orchestration): ระบบนี้จะยกระดับระบบปฏิบัติการ A&O ที่องค์กรมีอยู่เดิมด้วยระบบ Digital Twin ที่จะแก้ไขปัญหาแบบอัตโนมัติเมื่อทำได้ หรือด้วยการสร้างศักยภาพให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายสนับสนุนสามารถตรวจสอบและแก้ไขปัญหา รวมถึงจำกัดผลกระทบต่อภาวะเรือนกระจกได้สะดวกยิ่งขึ้น
นิซาร์ ตริกุย (Nizar Trigui) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีและประธานกลุ่มบริษัท Bridgestone America กล่าวว่า “ในฐานะผู้นำระดับโลกด้านการผลิตล้อและยางรถยนต์ เราเชื่อว่าการเติบโต นวัตกรรม และความยั่งยืนจะต้องไปพร้อมกัน ดังนั้น การมองเห็นคาร์บอนฟุตพริ้นท์แบบเรียลไทม์และความคืบหน้าเพื่อให้บรรลุเป้าหมายปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ ล้วนถือเป็นรากฐานที่สำคัญของการเติบโตและการสร้างสรรค์นวัตกรรมของเรา”
ในฐานะ ผู้สนับสนุนหลักของ Industry City 5G Showcase ในเวทีงาน MWC บริษัท NTT ได้ร่วมนำเสนอเทคโนโลยีล้ำสมัยที่พลิกโฉมแนวโน้มโลกอนาคตที่ทุกอย่างเชื่อมโยงถึงกัน หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับความสามารถของบริษัทในด้าน Edge Compute, Private 5G และ IoT ขอเชิญร่วมรับฟังการกล่าวสุนทรพจน์ที่ Green Networks: Countdown to Zero โดยคุณ Devin Yaung ที่จะมาถกประเด็นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงกระบวนการต่างๆขององค์กรต่างๆโดยการใช้ ดาต้าเซนเตอร์ที่ยั่งยืน (sustainable data centers), การจำลองทรัพยากรจริงในระบบ (virtualization), AI, intelligent optimization และคลาวด์ เพื่อเปิดช่องทางให้กับการใช้งานเครือข่ายรักษ์โลก หรือ green networks
เกี่ยวกับ NTT Ltd.
บริษัท เอ็นทีที จำกัด (NTT Ltd.) เป็นบริษัทชั้นนำด้านโครงสร้างพื้นฐานและบริการด้านไอที ดำเนินการในกว่า 200 ประเทศและภูมิภาค ให้บริการลูกค้าองค์กรรวม 5,000 รายในหลายอุตสาหกรรม มีรายได้กว่า 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมทำให้ NTT ส่งมอบอนาคตที่ปลอดภัยและเชื่อมโยงถึงกัน ซึ่งถือเป็นการมอบอำนาจให้ผู้คน ลูกค้าองค์กร และชุมชนหลากหลาย ที่ผ่านมา บริษัทได้วางรากฐานสำหรับระบบนิเวศเครือข่ายแบบ edge-to-cloud ทำให้องค์กรสามารถลดความซับซ้อนของการจัดการปริมาณงานผ่านสภาพแวดล้อมแบบมัลติคลาวด์ และยังสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ขอบ (edge) ของสภาพแวดล้อมไอที ซึ่งเป็นจุดที่เครือข่าย คลาวด์ และแอปพลิเคชันมาบรรจบกัน
บนเส้นทางสู่อนาคตที่กำหนดโดยพลังของซอฟต์แวร์ บริษัทได้สนับสนุนองค์กรมากมายด้วยบริการโครงสร้างพื้นฐานเพื่อนำส่งแพลตฟอร์ม และในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มบริษัทระดับโลก NTT Corporation บริษัทได้ให้บริการแก่หน่วยงานกว่า 65% ที่อยู่ในตาราง Fortune Global 500 รวมถึงอีก 80% ของตาราง Fortune Global 100 เพื่อปูทางสู่โลกอนาคตที่ทุกสิ่งเชื่อมต่อกัน