หากพูดถึง Motorola คุณจะนึกถึงอะไร ? หลายคนที่เคยผ่านหูผ่านตาหรือเคยใช้แบรนด์นี้คงมีคำตอบอยู่ในใจ สำหรับแอดมินแล้วชวนให้นึกถึงโทรศัพท์มือถือฝาพับ Motorola RAZR V3 ที่ยุคหนึ่งเคยโด่งดังเป็นพลุแตก และเชื่อว่ามีหลายคนที่ยังเก็บซากแห่งความทรงจำไว้อยู่ แม้จะเงียบหายไปจากวงการโทรศัพท์มือถือในประเทศไทยนานร่วมหลายปี แต่ปี 2559 นับเป็นก้าวใหม่ที่ Motorola พร้อมกลับเข้ามาดึงความสนใจจากผู้ใช้โทรศัพท์มือถือแบรนด์อื่นๆ ซึ่งการกลับมารอบนี้ อย่างที่เราทราบดีว่า Motorola ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของ Lenovo และหันมาใช้ชื่อสั้นๆ ว่า “Moto” ในการทำตลาดแทน ซึ่ง Moto X Style จัดว่าเป็นตัวท็อปสุดที่วางขายในไทย ณ เวลานี้ และ arip มีรีวิวมาบอกต่อกันครับ
สเปค Moto X Style
– หน้าจอ 5.7 นิ้ว ความละเอียด QHD (2560 x 1440 พิกเซล) 520 PPI
– ตัวเครื่องหนา 11.1 มิลลิเมตร น้ำหนัก 179 กรัม
– ใช้ได้ซิมเดียว ประเภท NANO SIM
– รันระบบปฏิบัติการ Android 6.0 Marshmallow
– ใช้ชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 808 MSM8992 64-bit
– หน่วยประมวลผลกราฟิก Adreno 418
– แรม 3GB, พื้นที่เก็บข้อมูลภายในเครื่อง 32GB รองรับ microSD card ความจุสูงสุด 128GB
– กล้องหลังความละเอียด 21 ล้านพิกเซล, ค่ารูรับแสง f/2.0 พร้อมเซนเซอร์โฟกัสแบบ PDAF และแฟลชคู่ True Tone
– กล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล, ค่ารูรับแสง f/2.0 และแฟลช LED
– รองรับการเชื่อมต่อ Cat. 6 LTE, 802.11a/g/b/n/ac + MIMO, Bluetooth 4.1 LE, NFC, GPS
– แบตเตอรี่ความจุ 3000 mAh ถอดแบตไม่ได้ มาพร้อมเทคโนโลยี TurboPower quick charging ช่วยชาร์จแบตเร็วขึ้น
– ป้องกันละอองน้ำได้ ภายใต้มาตรฐาน IP52
– เปิดตัวในไทยด้วยราคา 19,900 บาท
การออกแบบ
อยากให้คุณลืมภาพเก่าๆ ของ Moto ออกไปให้หมด เพราะ Moto X Style เป็นการผสมผสานระหว่างกระจก Corning Gorilla Glass 3 ที่ใช้ครอบหน้าจอเพื่อป้องกันรอยขีดข่วนจากของมีคม ใช้อะลูมิเนียมที่ขอบสี่ด้าน และฝาหลังในรุ่นที่ได้มารีวิวเป็นวัสดุประเภทยางกึ่งไฟเบอร์ ซึ่งรุ่นขายจริงจะมีอีกหลายแบบให้เลือก
ตัวเครื่องมีการออกแบบให้มีความโค้งเว้าเล็กน้อย เมื่อคว่ำหน้าจอและมองด้านข้างจะเห็นชัดเจน แม้ความบางจะไม่ใช้จุดเด่น แต่ในความหนา 11.1 มิลลิเมตร มีความดีความชอบในเรื่องการหยิบจับ วางกับโต๊ะก็สามารถหยิบขึ้นมาได้แสนง่าย แถมรุ่นที่แอดมินได้มารีวิวมีฝาหลังแบบยางทำให้ยึดติดกับมือได้เป็นอย่างดี ทว่าในฝาหลังแบบยางจะมีลวดลายแฝงมาด้วย มีโอกาสที่ฝุ่นจะเข้าไปเกาะตามร่องได้ง่าย แต่ก็ทำความสะอาดได้เช่นกัน
สำหรับอุปกรณ์ภายในกล่องจะมีทั้งคู่มือ หูฟัง เคส แท่งเหล็กสำหรับถาดซิม และอะแดปเตอร์ชาร์จไฟขนาดใหญ่ ที่จะพัฒนามาเพื่อการชาร์จแบตที่เร็วขึ้น
แผงควบคุม พอร์ตเชื่อมต่อ
ปุุ่มย้อนกลับ ปุ่มโฮม และปุ่มปิดแอพที่ไม่ได้ใช้งาน อยู่ในรูปแบบ On-Screen หรืออยู่ส่วนท้ายหน้าจอ ด้านขวาตัวเครื่องมีปุ่มพาวเวอร์ ใช้เพื่อเปิด-ปิดหน้าจอ และเปิด-ปิดเครื่อง ถัดลงจะเป็นปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง แถมเป็นปุ่มชัตเตอร์ถ่ายภาพได้ด้วย ส่วนขอบบนตัวเครื่องเป็นช่องต่อหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร กับถาดใส่ NANO SIM พร้อม microSD card และท้ายสุดของตัวเครื่องเป็นพอร์ต USB
การแสดงผล
ขนาดหน้าจอ 5.7 นิ้ว แสดงผลในความละเอียด 2560 x 1440 พิกเซล หรือ QHD ชัดเจนในทุกมุมมอง ทั้งแอพ ตัวอักษร สามารถปรับโหมดสีเพื่อเพิ่มความสดใสของการแสดงผล รวมถึงมีเซนเซอร์ที่คอยปรับความสว่างอัตโนมัติให้เหมาะสมกับสภาพแสงที่แตกต่างตามช่วงเวลาที่แตกต่างกัน
อินเทอร์เฟซ และฟีเจอร์ใช้งาน
Moto X Style รันด้วยระบบปฏิบัติการ Android 6.0 Marshmallow อินเทอร์เฟซที่ใช้อาจจะดูคล้ายกับว่าเป็น Pure Android แต่แท้จริงไม่ใช่นะครับโดย Pure Android จริงๆ นั้น ยังไม่มีนำเข้ามาขายในประเทศไทย ภาพรวมของยูสเซอร์อินเทอร์เฟซไม่ได้แสดงเอกลักษณ์ที่โดดเด่นเท่าใดนัก ซึ่งก็หวังว่าในอนาคต Moto น่าจะพัฒนายูสเซอร์อินเทอร์เฟซครอบทับ Android ไว้ เพื่อความสวยงามมากกว่าที่เป็นอยู่ครับ
ส่วนฟีเจอร์เด่นๆ เริ่มที่ Moto Display คอยบอกเวลาในขณะปิดหน้าจอ เราสามารถโบกมือผ่านหน้าจอเพื่อให้นาฬิกาแสดงขึ้นมาได้
การสร้างแอคเคาท์ Motorola ID เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถตามหา ล็อค หรือล้างข้อมูลในโทรศัพท์ได้จากระยะไกล
แอพ Moto ฟีเจอร์ฉลาดๆ รองรับการสั่งงานด้วยเสียง (Moto Voice) สามารถพูดภาษาไทยเพื่อเสิร์ชหาข้อมูลที่ต้องการได้ โดยระบบจะเชื่อมกับ Google Now นอกจากนี้ตัวแอพยังมีฟีเจอร์ใช้ท่าทางเพื่อเรียกใช้แอพอื่นๆ หรือสั่งงานให้เปิดระบบแฮนด์ฟรีในขณะขับรถได้
ใช้งาน Google Now
เพื่อความล้ำสมัย ในเมนู Google เราสามารถเข้าไปตั้งค่า Google Now ให้จดจำเสียงของเราเพื่อใช้รับคำสั่งด้วยเสียงได้ ซึ่งระบบจะให้เราพูด “OK Google” 3 ครั้ง สำหรับจดจำเสียงก่อนใช้งาน
ยกตัวอย่าง
การใช้ท่าทางเพื่อเปิดกล้อง ในขณะถือ Moto X Style อยู่ ให้หมุนข้อมือ 2 ครั้ง จากนั้นเครื่องจะสั่นเพื่อส่งสัญญาณให้รู้ว่ากล้องกำลังจะเปิดทำงานแล้ว
ผลทดสอบคะแนน Benchmark
ตามสเปคที่บอกไปเมื่อตอนต้น Moto X Style ใช้ชิปประมวล Qualcomm Snapdragon 808 MSM8992 64-bitหน่วยประมวลผลกราฟิก Adreno 418 รันระบบปฏิบัติการ Android 6.0 Marshmallow เมื่อนำมาทดสอบ Benchmark กับแอพ Antutu และ PC Mark for Android ผลคะแนนจึงออกมาเป็นดังนี้ครับ
แอพ Antutu V.6.0.1
ผลคะแนนทดสอบประสิทธิภาพอยู่ที่ 68,912 ซึ่งจะค่อนข้างน้อยกว่าสมาร์ทโฟนที่เปิดตัวในปี 2015 พอสมควร
แอพ PC Mark for Android
คะแนนทดสอบการแสดงผลภาพ และประสิทธิภาพโดยรวมอยู่ที่ 4943
กล้องถ่ายภาพ
เป็นไฮไลท์ของ Moto X Style สำหรับคนใช้สมาร์ทโฟนเน้นถ่ายภาพไม่ควรพลาด ด้วยความละเอียดของกล้องหลังที่อัดมาถึง 21 ล้านพิกเซล ค่ารูรับแสง f/2.0 พร้อมเซนเซอร์โฟกัสแบบ PDAFและแฟลชคู่ True Tone ถือว่าความละเอียดอัดแน่นมาไม่เบาเลยทีเดียว ส่วนกล้องหน้ามากับความละเอียด 5 ล้านพิกเซล เป็นไปตามพื้นฐานของกล้องหน้าในสมาร์ทโฟนหลายรุ่นในปัจจุบัน
โหมดการใช้งานเพิ่มเติมสำหรับกล้องหลังนอกจากโหมดอัตโนมัติ ประกอบไปด้วย HDR, เปิด-ปิดแฟลช, บันทึกวีดีโอ, เลือกความละเอียดระหว่าง 16.1 ล้านพิกเซล แบบ Widescreen อัตรส่วนภาพ 16:9 และแบบ Standard 21 ล้านพิกเซล อัตราส่วนภาพ 4:3 และการตั้งเวลา ซึ่งการเข้าถึงโหมดเหล่านี้สามารถทำได้เมื่อเปิดกล้อง และปัดหน้าจอจากซ้ายมาขวา ส่วนการปัดหน้าจอจากขวามาซ้ายจะเป็นการเลื่อนดูรูปที่ถ่ายไว้ก่อนหน้านี้ครับ
ขณะที่การใช้งานนั้น หากต้องเน้นโฟกัสที่จุดใดสามารถแตะที่หน้าจอเพื่อไอคอนโฟกัสปรากฏขึ้นมา โดยเราสามารถปรับความสว่างได้จากไอคอนโฟกัสได้ด้วย และการกดชัตเตอร์สามารถทำได้รวดเร็วเพียงแตะเบาๆ ที่หน้าจอ ก็จะเป็นการถ่ายภาพแล้ว หรือจะกดที่ปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงก็ทำได้เช่นกันครับ
ซึ่งข้อดีของกล้องหลังจาก Moto X Style เมื่อใช้ความละเอียดสูงสุดที่ 21 ล้านพิกเซล ทำให้เราได้ภาพที่คมชัด สามารถซูมภาพได้ลึก แม้ถ่ายในที่แสงน้อย จุดบนภาพหรือ Noise ยังแสดงให้เห็นน้อยมาก ไปดูตัวอย่างภาพกันครับ
ภาพถ่ายที่นำมาแสดง ถ่ายโดยกล้องหลังของ Moto X Style ความละเอียดสูงสุด 21 ล้านพิกเซล อัตราส่วน 4 : 3 แต่จะลดไซส์ของภาพลงจากเดิม 5344 x 4008 พิกเซล เหลือเพียง 1280 x 960 พิกเซล ครับ
สรุปความดีงามของ Moto X Style
ในความเห็นส่วนตัวต้องยกให้เรื่องดีไซน์และกล้องหลังที่พัฒนาออกมาได้ค่อนข้างดี พอสู้ได้กับตลาดสมาร์ทโฟนระดับไฮเอนด์ด้วยกัน ฝาหลังและแบตที่ถอดไม่ได้คงไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะสมาร์ทโฟนยุคใหม่ส่วนใหญ่ก็เดินตามแนวทางนี้ ฟีเจอร์ที่มากับเครื่องไม่มีอะไรที่หวือหวา ให้ประโยชน์กับการใช้งานในชีวิตประจำวันได้ไม่ทั้งหมด และในความเป็น Moto แบรนด์ที่แสดงถึงความเป็นไฮเอนด์มาตั้งแต่อดีต ทำให้ราคาที่ออกมาจึงอยู่ที่ 19,900 บาท ซึ่งจะว่าไปก็ไม่เบาเหมือนกันครับ
