Google Cloud พบว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกกำลังพลิกโฉมด้วยการ Generative AI (Gen AI) เพื่อรับมือการแข่งขันที่รุนแรง ความต้องการลูกค้าที่เปลี่ยนเร็ว ต้นทุนสูง และห่วงโซ่อุปทานซับซ้อน โดยในปี 2024-2025 ผู้ผลิตเริ่มใช้ Gen AI แบบเต็มตัว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน สร้างประสบการณ์ลูกค้า และยกระดับความปลอดภัย
1. เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตด้วย Gen AI
บริษัทเช่น Toyota ใช้ Google Cloud AI Hypercomputer ควบคุมกระบวนการผลิต เช่น ตรวจสอบการใช้กาวติดกระจกรถ หรือตรวจจับความผิดปกติในเครื่องฉีดพลาสติก ช่วยลดงานซ้ำซ้อนกว่า 10,000 ชั่วโมง/ปี และพัฒนาการออกแบบรถผ่านการจำลองภาพด้วย Gen AI เพื่อลดต้นทุนและเวลา
2. ปรับประสบการณ์ซื้อรถให้ไร้รอยต่อ
Ford และ ALVA (ผู้ผลิต EV) ใช้ Gen AI ปรับแต่งบริการตามความชอบผู้ซื้อ เช่น วิเคราะห์พฤติกรรมการขับขี่ (ความเร็ว ระดับแบตเตอรี่) เพื่อคาดการณ์ปัญหาและให้บริการทันใจ ส่วน Volkswagen ผสานผู้ช่วย AI ในแอป myVW ช่วยตอบคำถามเกี่ยวกับรถผ่านเสียงหรือภาพ
3. Multimodal AI ตัวช่วยขับขี่อัจฉริยะ
ปี 2025 จะเห็น Multimodal AI Agents ที่ประมวลผลข้อมูลหลายรูปแบบ (เสียง ภาพ ข้อความ) พร้อมกัน เช่น ตรวจสอบอาการง่วงนอนผ่านกล้องรถ หรือให้คำแนะนำนำทางแบบเรียลไทม์ Mercedes-Benz ติดตั้งระบบ MBUX Virtual Assistant จาก Google Cloud ในรถ CLA รุ่นใหม่ ช่วยค้นหาสถานที่หรือเมนูอาหารผ่านการสนทนาธรรมชาติ
4. Gen AI ต้านภัยไซเบอร์
เมื่อรถยนต์ถูกกำหนดโดยซอฟต์แวร์มากขึ้น Waymo และ Formula E ใช้ Gen AI จาก Google Cloud ตรวจจับและป้องกันภัยคุกคามแบบเรียลไทม์ ในปี 2025 เทคโนโลยีนี้จะกลายเป็นเกราะสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภค
5. ห่วงโซ่อุปทานชาญฉลาด
BMW และ Renault ใช้แพลตฟอร์ม AI บนคลาวด์ วิเคราะห์ข้อมูลห่วงโซ่อุปทานแบบเรียลไทม์ เช่น ติดตามชิ้นส่วน ตรวจสอบสต็อก และปรับตารางการผลิตล่วงหน้า โดย Gen AI ช่วยคาดการณ์ความเสี่ยงจากสภาพอากาศหรือตลาด เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ
อนาคตอุตสาหกรรมยานยนต์กับ Gen AI
Gen AI และคลาวด์กำลังเปลี่ยนโฉมทุกขั้นตอน ตั้งแต่การออกแบบ ผลิต ขาย ไปจนถึงบริการหลังการขาย ผู้ผลิตที่ผสานเทคโนโลยีนี้ได้เร็วจะก้าวนำคู่แข่ง สร้างประสบการณ์ที่เหนือกว่า และรับมือกับความท้าทายในโลกดิจิทัลได้อย่างมั่นคงในปี 2025 และต่อไป
ที่มา
Google Cloud