ผ่านพ้นงาน WWDC 2017 กันไปแล้ว บทสรุปของงานนี้มีมาเกือบครบทั้ง iOS 11, macOS High Sierra, WatchOS 4, tvOS, iPad Pro, MacBook / MacBook Pro, iMac 4k / 5K / iMac Pro และล่าสุดกับ HomePod ขาดไปเพียง iPhone และ Apple Watch ที่คงต้องรอเดือนกันยายนโน้นเลย แต่สิ่งที่ผมเองเคลือบแคลงสงสัยสำหรับงานนี้ เหตุใด MacBook Air ที่หลายคนเฝ้าถวิลหารุ่นใหม่กลับถูกมองข้าม หรือ Apple วางแผนเท ! MacBook Air เอาไว้แล้วกันแน่ ?
จากภาพนี้ที่กลายเป็นประเด็นชวนสงสัยสำหรับผมว่า ทำไม Apple ถึงเลือกที่จะไม่โชว์ภาพ MacBook Air ร่วมกับ MacBook และ MacBook Pro แถมยังประกาศแบบชัดถ้อยชัดคำว่าอัพเดทซีพียูใหม่เป็น Intel Kaby Lake แล้วน้าา (ใครซื้อไปก่อนหน้านี้ เงิบซิจ๊ะ !) มีเพียงประโยคสั้นบอกให้คนทั้งโลกรับรู้ว่า MacBook Air อัพเกรดให้แล้วนะ เร็วขึ้นนิดหน่อย จบ !
แม้ MacBook Air จะเป็นรุ่นยอดนิยมสำหรับผู้ใช้จำนวนมาก จะพกพาไปทำงานตามร้านกาแฟหรือพกไปไหนก็ทำได้สะดวกและไม่หนักกระเป๋า แถมราคาเริ่มต้นก็เป็นที่รับได้ โดยเฉพาะคนเริ่มหัดใช้ MacBook แรกๆ แต่หลังจาก Apple เปิดตัว MacBook เมื่อปี 2015 ขนาดหน้าจอ 12 นิ้ว ภายใต้ดีไซน์บางเฉียบ บางยิ่งกว่า MacBook Air ส่งผลกระทบถึง MacBook Air อย่างเลี่ยงไม่ได้ และเห็นได้ชัดว่านับตั้งแต่นั้นมาบทบาทของ MacBook Air ในสายตา Apple เริ่มลดน้อยลงเรื่อยๆ
เปรียบเทียบความบางระหว่าง MacBook Air กับ MacBook
ตลอดเกือบ 2 ปีนับตั้งแต่ MacBook (2015) มาถึง MacBook (2016) Apple มักประกาศอยู่เสมอว่า MacBook Air ได้รับการอัพเกรดสเปกให้ดีขึ้นด้วย แต่หากสังเกตดีๆ จะพบว่าเป็นเพียงการอัพเกรดเล็กๆ เช่น แรม หรือล่าสุดใน WWDC 2017 เป็นการอัพเกรดซีพียูให้เร็วขึ้นจาก 1.6GHz ไปเป็น 1.8GHz แถมไม่บอกอีกว่าซีพียูอัพเกรดมาเป็น Intel Sky Lake หรือ Kaby Lake หรือไม่ซึ่งปรากฏว่าซีพียูที่ใช้ยังเป็น Intel Broadwell ที่ใช้มานานกว่า 4 ปีแล้ว
แถมหากย้อนไปเมื่อช่วงปลายปี 2016 Apple เพิ่งประกาศยุติการวางจำหน่าย MacBook Air ขนาด 11 นิ้ว เหลือเพียงรุ่น 13 นิ้ว เท่านั้น ซึ่งหากนำเหตุการณ์ตั้งแต่ MacBook 2015 เรื่อยมาจนถึงงาน WWDC 2017 มาประกอบเข้าด้วยกัน เสมือนเป็นการบอกใบ้เป็นนัยๆ แล้วว่าอนาคตอาจไม่มี MacBook Air อีกต่อไป แล้วเพราะอะไร Apple ถึงเลือกเดินทางนี้ ?
เหตุผลแรก “ความแตกต่าง” ใน MacBook มาพร้อมขนาด 12 นิ้ว เป็นรุ่นที่มาคั่นกลางระหว่าง MacBook Air 11 กับ 13 นิ้ว แถมบางกว่า มีดีไซน์ที่เปี่ยมไปด้วยความหรูหรา สวยงาม พร้อมประสิทธิภาพที่ทันสมัยและดีขึ้น เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปที่ไม่เน้นงานด้านกราฟิกมากนัก เรียกได้ว่าครบเครื่อง แผ่รัศมีมาบดบัง MacBook Air ได้อย่างง่ายดาย
เหตุผลที่สอง “การทับซ้อนในไลน์ผลิตภัณฑ์” เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะ Apple เริ่มลดไลน์ผลิตภัณฑ์ประเภทเดียวกันไปบ้างแล้ว อาทิ การยุติขาย iPad Air พร้อมดัน iPad Pro และ New iPad 9.7 (2017) ขึ้นมาแทนที่ และข่าวลือแว่วๆ มาว่า iPad mini เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่จะถูกเนรเทศออกจากสารระบบ เนื่องจาก iPhone รุ่นใหม่ๆ มีการพัฒนาหน้าจอให้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ iPad mini เริ่มไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป เช่นเดียวกับ MacBook Air ที่เหลือขนาด 13 นิ้ว เพียงรุ่นเดียวในขณะนี้ ก็ดันไปทับกับ MacBook Pro ขนาด 13 นิ้ว ที่มีสเปกแรงกว่าด้วย
เมื่อพิจารณาทิศทางการเลือกซื้อ MacBook ที่ Apple ขีดเส้นให้ผู้ซื้อ แบ่งออกง่ายๆ หากต้องการใช้งานทั่วไปที่ไม่เน้นงานด้านกราฟิกมากนัก เน้นความบางเบาพกพาออกนอกสถานที่ได้สะดวก MacBook คือทางเลือก ส่วน MacBook Pro สำหรับคนเน้นสเปกแรง เผื่อใช้งานกราฟิกหรือออกแบบด้วย เท่านี้ MacBook Air แทบต้องบอกลาไปโดยปริยาย