คนไทยได้อะไร? ..จากปรากฎการณ์ “เหนียวไก่”

2 วันที่ผ่านมานี้ คิดว่าคนไทยเกือบค่อนประเทศน่าจะได้รู้จักน้องล่า “เหนียวไก่” กันไปแล้ว  สำหรับใครที่ยังงงๆว่า “เหนียวไก่” คืออะไร  แนะนำให้ search ใน Google กันได้ตามสะดวก  เพราะวันนี้เราคงไม่ได้จะมาเขียนข่าวรายงานความคืบหน้าของ “เหนียวไก่” ที่หายไป  แต่จะขอเขียนถึงปรากฎการณ์นี้ว่าสะท้อนให้เห็นอะไรในสังคมไทยเราบ้าง

niew-gai

 

ส่วนตัวสมิตเองก็ได้ติดตามข่าวคราวเหนียวไก่หายอยู่ห่างๆ  ไม่ได้ลงลึกอะไรมาก  เพราะคิดว่าข่าวการลักขโมยข้าวเหนียวไก่ไม่น่าจะต้องมีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์หรือทฤษฎีอันซับซ้อนใดๆให้ต้องตามอ่านเรื่องราวแบบเจาะลึก  และก็ไม่คิดว่าข่าวการลักขโมยข้าวเหนียวไก่จะมีนัยสำคัญอันใดแก่ชีวิต!!  แค่ติดตามบ้างผ่านๆตาพอให้เราไม่ตกกระแสก็น่าจะเพียงพอ … แต่พอสื่อหลายสำนักทั้งในอินเตอร์เน็ทและสื่อวิทยุ-โทรทัศน์พากันโหมกระหน่ำทำข่าวคราวน้องล่า-เหนียวไก่  ราวกับเป็นวาระแห่งชาติที่ต้องเร่งรีบแก้ไขแล้ว  ..สมิตเลยอดไม่ได้ที่จะต้องหยุดมาย้อนคิดพิจารณาถึงปรากฎการณ์ครั้งนี้กันสักหน่อย

ในขณะที่มีคนไทยจำนวนมากที่กำลังสนุกสนานกับการติดตามข่าวเหนียวไก่นี้  มันก็มีคนอีกไม่น้อยทีเดียวที่เริ่มออกมาวิพากษ์วิจารณ์สื่อไทยว่าเพราะเหตุใดถึงได้แห่กันนำเสนอข่าวที่ไม่ค่อยมีสาระ (พูดให้ตรงกว่านี้ก็คือเป็นข่าว “ไร้สาระ” นั่นเอง) แทนที่จะไปนำเสนอข่าวสำคัญอื่นๆแทน  … ในฐานะของตัวสมิตเองก็จัดว่าคลุกคลีอยู่ในวงการสื่อมาบ้างพอสมควร  อยากจะบอกว่าการที่สื่อต่างๆนำเสนอข่าวเหนียวไก่ราวกับเป็นข่าวด่วนข่าวใหญ่ที่ทุกคนต้องทราบซึ้งให้ถึงแก่นแท้ว่า “ปรากฎการณ์นี้มันไม่ใช่ความผิดของสื่อเพียงฝ่ายเดียว และไม่ใช่เรื่องแปลกน่าตกใจอะไรในสังคมไทยเลยค่ะ” (แม้จะเป็นเรื่องน่าเป็นห่วงอยู่นิดๆก็เถอะ)

หากอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ สื่อไทยเพียงแค่ผลิตข่าวที่มีคนอ่านมากๆ  ตอบสนองความต้องการของคนไทยส่วนใหญ่เท่านั้นเอง  …คงปฏิเสธไม่ได้ว่าท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงของวงการสื่อในประเทศไทยเรานี้  ทำให้สื่อทุกสำนักต้องปรับตัวกันขนานใหญ่  พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อแย่งเอา “เรตติ้ง” มาจากคนดูให้ได้มากที่สุดเพื่อความอยู่รอด  ดังนั้นอะไรที่มันอยู่ในกระแส  “มันขายได้”  มันมี Demand สื่อทั้งหลายก็ต้องพยายามจะแย่งกันผลิตข่าวป้อนให้ผู้บริโภคอย่างเราๆ  หากข่าวมันไม่มีคนสนใจเลย  นักข่าวก็คงไม่ไปทำข่าวให้เหนื่อย  เพราะไม่มีความต้องการ  ก็ไม่รู้จะผลิตไปให้ใคร

หากมองในแง่ธุรกิจแล้ว ..ไม่แปลกอะไรเลยที่สื่อไทยจะพากันเสนอข่าวนี้  เพราะทำไปตามหลัก Demand-Supply  เมื่อมีความต้องการ มีความสนใจในเรื่องนี้กันมาก สื่อก็ต้องผลิตข่าวเพื่อป้อนให้กับตลาด ดังนั้นก่อนที่จะโทษสื่อว่าทำข่าวงี่เง่าไร้สาระ  เราอาจต้องพยายามยอมรับให้ได้ก่อนว่า “นี่คือความต้องการของคนไทยส่วนใหญ่”  (สำหรับคนที่ยังทำใจรับไม่ได้  ให้ยอมรับจุดนี้ให้ได้ก่อนค่ะว่าคุณเป็น “เสียงส่วนน้อย” หรือ “เสียงที่ไม่ได้ยิน” ในสังคมไทยวันนี้) ..แน่นอนว่าสื่อก็ไม่ควรคิดแต่จะทำข่าวที่ “ขายได้” อย่างเดียวโดยไม่สนใจว่าเนื้อหาข่าวจะเป็นเช่นไร แต่การด่าสื่ออย่างเดียวโดยไม่มีคำแนะนำหรือพยายามช่วยกันแก้ไขแต่อย่างใด  กลับอาจจะยิ่งกลายเป็นการสนับสนุนให้สื่อหันมาทำข่าวประเภทนี้กันมากขึ้น  เพราะในฐานะของคนทำสื่อ  สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่การที่โดนคนด่าแรงๆ  แต่คือการที่ไม่มีใครพูดถึงต่างหาก บางครั้งยิ่งโดนคนด่าเท่าไหร่ สำนักข่าวกลับยิ้มอยู่ในใจ เพราะนั่นแสดงให้เห็นแล้วว่าอย่างน้อยที่สุดคุณก็ให้ความสนใจข่าวนั้นๆ

การที่คุณแชร์คลิปข่าวนี้  หรือแชร์เนื้อหาข่าว  พร้อมกับการด่าสื่อแรงๆเพื่อความสะใจส่วนตัวนั้น  แท้จริงแล้วไม่ได้ช่วยให้สังคมไทยเปลี่ยนไปได้เลย  กลับเป็นการช่วยส่งเสริมการเผยแพร่ข่าวเหล่านั้นเสียด้วยซ้ำ  สิ่งที่เราควรจะสนใจมากกว่าไม่ใช่การด่าอย่างเดียว  แต่น่าจะกลับมาย้อนคิดว่า “วันนี้เราควรทำอะไรเพื่อให้สื่อเปลี่ยนแปลง  เพื่อให้คนไทยส่วนใหญ่หันมาเสพสิ่งที่มีสาระกันมากขึ้น” เสียมากกว่า  …ปรากฎการณ์นี้อาจไม่มีใครผิดใครถูกแน่ชัด  แท้จริงแล้ว  พวกเราทุกคนอาจจะผิดเหมือนๆกัน  เราต่างตกเป็นทาสการตลาดของสื่อเหมือนๆกัน  สื่อต่างหลงอยู่กับการทำตัวเป็นองค์กรธุรกิจที่มุ่งหากำไรสูงสุดเหมือนๆกัน  จนลืมไปแล้วว่าหน้าที่ของสื่อคืออะไร?

 

… วันนี้คุณได้อะไรจากปรากฎการณ์เหนียวไก่?

 

 

 

 

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here