iPhone X หนึ่งในสมาร์ทโฟนที่ผมเชื่อว่ามีหลายคนอยากครอบครองเป็นอย่างมาก ด้วยดีไซน์ที่แปลกตาไปจาก iPhone ทุกรุ่นที่ผ่านมา แต่อุปสรรคใหญ่คงเป็นเรื่องราคาที่ต้องพูดกันตามตรงว่า แพ๊ง แพง !! ซึ่งช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่ถึงหนึ่งวันที่ผมได้สัมผัส iPhone X ตัวเป็น ๆ จึงใช้โอกาสที่มีให้คุ้มค่าที่สุด ทดลองใช้ฟีเจอร์สำคัญ ๆ พร้อมนำประสบการณ์มาบอกเล่ากับผู้อ่านทุกท่านได้รับรู้ผ่าน รีวิว iPhone X ในวันนี้ครับ
หน้าตาที่เปลี่ยนไป สวยและแตกต่าง
iPhone X (ไอโฟนเท็น) พัฒนาขึ้นจาก iPhone ทุกรุ่นที่ผ่านมา ด้านหน้าและด้านหลังเป็นกระจกทั้งหมด พื้นที่ด้านหน้ากว่า 80 % ถูกใช้เป็นหน้าจอแสดงผลขนาด 5.8 นิ้ว กลืนตำแหน่งปุ่มโฮมที่เราคุ้นเคยกันหมดสิ้น ตัวเครื่องเล็กกว่า iPhone 7 Plus และ iPhone 8 Plus สมควร ช่วยให้การหยิบจับถนัดมืิอมากขึ้น แต่ด้วยการเปลี่ยนวัสดุที่ใช้กลับทำให้ตัวเครื่องมีน้ำหนักมากขึ้นครับ
“รอยแหว่ง” ด้านหน้าถือเป็นความแตกต่างที่ชัดเจนมาก เมื่อครั้งงานเปิดตัวที่ต่างประเทศผมเองยังรู้สึกว่าทำไม Apple ต้องดีไซน์ออกมาเป็นแบบนี้ มันดูขัด ๆ จากลักษณะสมาร์ทโฟนที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้ แถมคิดเยอะว่าเมื่อเปิดแอปฯ ต่าง ๆ ขึ้นมาการแสดงผลจะดูน่าเกลียดหรือเปล่า แต่ก่อนผมจะไปเล่าถึงจุดนั้นขอเล่าสิ่งที่แนบมาในรอยแหว่งนี้ มีทั้งกล้องหน้า TrueDepth, ลำโพงสนทนา รวมไปถึงเซนเซอร์ Face ID และเซนเซอร์ต่าง ๆ
อุปกรณ์ทั้งหมดภายในกล่อง iPhone X
จอ OLED และการแสดงผล
iPhone X มีการเปลี่ยนมาใช้หน้าจอประเภท OLED ความละเอียด Super Retina HD ให้การแสดงผลที่คมชัด สีสันสดใส ส่วนเรื่องจอเบิร์นที่เคยเป็นข่าวคราว ผมยังไม่พบนะครับและคิดว่าไม่น่ากังวลเท่าไหร่ ขณะที่สิ่งที่หลายคนสนใจเกี่ยวกับการเปิดแอปฯ ก็ต้องขอบอกว่าในตอนนี้ถ้าเป็นแอปฯ ที่ติดมากับตัวเครื่องเลยนั้นถูกออกแบบมาเพื่อให้รองรับกับรอยแหว่ง แอปฯ อื่น ๆ อย่าง Facebook และ YouTube ก็รองรับแล้วเช่นกัน ส่วนแอปฯ เกมที่ผมลองโหลดมาเล่นอย่าง ROV ยังเป็นการแสดงผลแบบ 16:9 ปกติ แสดงผลไม่เต็มพื้นที่ด้วยซ้ำ ซึ่งผมเชื่อว่าในไม่ช้าแอปฯ ส่วนใหญ่จะพัฒนาเพื่อรองรับกับรอยแหว่งของ iPhone X ครับ
แอปฯ Facebook บน iPhone X
เปิดดูตัวอย่างหนังผ่านแอปฯ YouTube แบบเต็มหน้าจอบน iPhone X
เปิดหน้าเว็บไซต์ aripfan.com ผ่าน Safari บน iPhone X
เล่นเกม ROV บน iPhone X
ตำแหน่งปุ่ม
นอกจากปุ่มโฮมที่ถูกโละทิ้ง เช่นเดียวกับช่องต่อหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร ที่เหลือก็มีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างน้อย ปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง, ปุ่มเปิด-ปิดระบบสั่นยังอยู่ฝั่งซ้ายของตัวเครื่อง, ฝั่งขวาจะเป็นถาดใส่ซิม กับปุ่มพาวเวอร์ที่ถูกขยายให้มีขนาดใหญ่ขึ้น และสุดท้ายพอร์ต Lightning ก็ยังมีมาให้เหมือนเช่นเคย
ปุ่มโฮมถูกโละ ต้อนรับการควบคุมแบบใหม่
ผมยอมรับครับว่าการไม่มีปุ่มโฮมอย่างที่คุ้นเคยทำให้เกิดความกังวลอยู่เหมือนกัน กังวลว่าการเข้าถึงในรูปแบบใหม่ ๆ ที่ Apple ยัดเยียดให้ผู้ใช้มา มันจะสะดวกอย่างที่คุยโวไว้ขนาดไหน ซึ่งรูปแบบการควบคุมแบบใหม่ผมจะแบ่งเป็นข้อ ๆ ดังนี้
1.ปุ่มโฮมไม่มีแล้ว เมื่ออยู่ในหน้าแอปฯ จะกลับไปหน้าโฮมอย่างไร ? : เมื่ออยู่ในหน้าแอปฯ ให้สังเกตด้านล่างของจนครับว่า จะมีเส้นทึบปรากฏอยู่ ให้ใช้นิ้วแตะและเลื่อนขึ้นไปครับ เท่านี้ก็เป็นการกลับสู่หน้าโฮมแล้ว
2.เรียกใช้ Control Center และเช็คการแจ้งเตือนอย่างไร ? : แถบซ้ายและขวาที่อยู่ขนาบข้างกับรอยแหว่างแนบมาด้วยการเข้าถึงฟังก์ชันที่ไม่เหมือนใครครับ เริ่มจากตำแหน่งขวาเมื่อเลื่อนลงมาจะเป็นการเรียกหา “Control Center” ส่วนในตำแหน่งซ้ายเมื่อเลื่อนลงมาจะเป็นการเช็คข้อความ การแจ้งเตือนต่าง ๆ ที่เข้ามา
3.ปิดแอปฯ ที่ค้างไว้ทั้งหมดทำอย่างไร ? : สำหรับคนใช้ iPhone ปกติเวลาจะปิดแอปฯ ที่เปิดค้างไว้ จะใช้การกดปุ่มโฮมสองครั้งติดกัน แต่ในเมื่อปุ่มโฮมไม่มีแล้ว iPhone X จึงใช้การแตะและเลื่อนจากท้ายหน้าจอขึ้นไปกลางหน้าจอ
4.เรียกใช้ Siri อย่างไร ? : นอกจากการเรียก Siri ด้วยการพูด “Hey Siri” อีกวิธีในการเรียกใช้เป็นการ “กดปุ่มพาวเวอร์ค้างไว้” เปลี่ยนไปจากเดิมที่ต้องกดปุ่มโฮมค้างไว้
5.แคปเจอร์หน้าจอ ทำอย่างไร ? : จากเดิมการแคปเจอร์หน้าจอของ iPhone จะใช้การกดปุ่มโฮมพร้อมปุ่มพาวเวอร์ แต่สำหรับ iPhone X จะใช้การกดปุ่มพาวเวอร์พร้อมกับปุ่มเพิ่มเสียงครับ
ชมตัวอย่างจากคลิป
ภาพรวมของการเข้าถึงการควบคุมแบบใหม่ ช่วงแรกไม่ชินเท่าไหร่ครับ แต่ใช้ไปสักพักก็จะคุ้นเคยครับ ส่วนที่ผมรู้สึกว่าเรียกใช้ไม่ค่อยง่ายจะเป็นฟังก์ชันการปิดแอปฯ ที่ค้างไว้ครับ แถมรู้สึกได้ว่าทำได้ช้ากว่าวิธีแบบเดิมครับ
Face ID ล้ำสมัย แต่ยังไม่สุด…
Face ID หรือสแกนใบหน้า เป็นจุดขายของ iPhone X ที่เข้ามาทดแทน Touch ID (สแกนลายนิ้วมือ) เป็นสิ่งที่ Apple ให้คำมั่นว่าให้ความปลอดภัยขั้นสูง จากที่ผมได้ลองใช้นับว่าค่อนข้างง่ายและแม่นยำ ไม่ว่าจะเอียงหน้าก็ปลดล็อคได้, วางเครื่องไว้กับโต๊ะแล้วมองก็สามารถปลดล็อคได้, สแกนใบหน้าในที่แสงน้อยหรือสลัว ๆ ก็สามารถปลดล็อคได้, การทดลองใช้รูปภาพตัวเองเพื่อหลอก Face ID ให้ปลดล็อค ปรากฏว่าเซนเซอร์มีความฉลาดพอที่จะแยกแยะภาพกับใบหน้าจริงได้ ทำให้ไม่สามารถปลดล็อคได้ครับ
แต่ Face ID ก็ยังมีจุดบกพร่องและไม่สะดวกอยู่บ้าง เช่น เมื่อสแกนใบหน้าแล้ว ต้องปัดหน้าจอขึ้นอีกเพื่อเข้าถึงหน้าโฮม, บางครั้งมีสแกนไม่ติดบ้าง, จากที่สังเกตพบว่าการปลดล็อคยังทำได้ไม่เร็วเท่าไหร่ เมื่อเปรียบเทียบกับ Touch ID ในปัจจุบันครับ
ภาพรวมของ Face ID ใน iPhone X ในความรู้สึกผมมองว่าเป็นเพียง Ver.1 เท่านั้น ให้ความรู้สึกล้ำสมัย แต่ก็ยังมีข้อบกพร่อง ซึ่งก็รอวันที่ Apple จะพัฒนาและต่อยอดให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นต่อไป
Animoji ความน่ารัก ความสนุก ที่ส่งต่อถึงกันได้
อีกหนึ่งลูกเล่นที่จัดว่ามุ้งมิ้งมาก แม้แต่ผมเองยังรู้สึกว่าน่ารัก น่าใช้มาก โดย Animoji เป็นฟังก์ชันใน iMessage ซึ่งตัวการ์ตูนที่ Apple คัดสรรมาให้เราเลือกใช้จะเลียนแบบการขยับใบหน้า, ปาก, บันทึกคำพูดของเราได้ เป็นความฉลาดของเซนเซอร์ที่สามารถตรวจจับใบหน้าได้อย่างแม่นยำ เสมือนเป็นตัวแทนตัวเราเองและเพิ่มสีสันให้กับการส่งข้อความ แต่นอกจากจะส่งผ่าน iMessage สำหรับคนใช้ iPhone ด้วยกันได้แล้ว ยังสามารถเก็บบันทึก Animoji ที่เราใช้ และส่งต่อไปยัง Facebook หรือ LINE ก็ได้ครับ และตัวการ์ตูนที่มีในตอนนี้ผมมองว่ายังเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น หลังจากนี้ผมเชื่อว่าจะมีตัวการ์ตูนอื่น ๆ ตามมาให้เราเลือกใช้กันอีกเพียบครับ
ชมตัวอย่างจากคลิป
ประสิทธิภาพของกล้องถ่ายภาพ
ตามสเปคกล้องถ่ายภาพแนวตั้งของ iPhone X ยังคงความละเอียดของกล้องหลังคู่ไว้ที่ 12 ล้านพิกเซล เพิ่มระบบกันสั่นเข้ามาไว้ทั้งสองเลนส์ (dual OIS) กล้องหลังตัวแรกใช้รูรับแสง f/1.8, กล้องหลังเลนส์ Telephoto ใช้รูรับแสง f/2.4, ลักษณะกล้องเป็นแนวตั้ง มีแฟลชแบบ Quad-LED True Tone ขณะที่กล้องหน้ามาพร้อมเทคโนโลยี TrueDepth ความละเอียด 7 ล้านพิกเซล, รูรับแสง f/2.2 พร้อม Retina Flash โดยทั้งกล้องหลังและกล้องหน้ามีโหมด “Portrait Lighting” มาให้ใช้
จากการทดลองถ่ายภาพในระยะเวลาสั้น ๆ รู้สึกว่าการถ่ายภาพในโหมดปกติสามารถจับภาพทำได้รวดเร็วครับ สีของภาพที่ออกมาให้ความเป็นธรรมชาติมาก อาจเรียกได้ว่าเป็นโทนเดียวกับที่สายตาเรามองเห็นก็ว่าได้ครับ ส่วนการใช้โหมด Portrait Lighting ทำได้เนียนครับ แต่ผมมองว่าไม่ว่าจะใช้โหมด Portrait Lighting ด้วยกล้องหลังหรือกล้องหน้าควรอยู่ในสภาพแสงที่เหมาะสม เพื่อให้ภาพออกมาสวยงามและชัดเจนครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแต่ละคนครับ เพราะหากเป็นคนที่ใช้ Android รุ่นท็อปบางรุ่น อาจรู้สึกว่าสมาร์ทโฟน Android ให้สีของภาพถ่ายที่ดีกว่า
ตัวอย่างภาพถ่าย
โหมดปกติ
โหมด Portrait Lighting แบบแสงธรรมชาติ
รีวิว iPhone X กับบทสรุป
จากความเห็นของผม iPhone X เป็นไอโฟนที่มีความสวยงามมากกว่าไอโฟนทุกรุ่นที่เคยมีมาครับ การแสดงผลผ่านจอประเภท OLED ให้สีสันที่คมชัด การโละปุ่มโฮมทิ้ง ทดแทนด้วยการควบคุมในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ การเรียกดูการแจ้งเตือน หรือจะเป็นการเข้าถึง Control Center ซึ่งผมมองว่าเป็นความฉลาดของ Apple ที่ใช้พื้นที่ด้านข้างระหว่างรอยแหว่งให้เกิดประโยชน์เท่าที่จะสามารถทำได้ แม้จะอาจมีปัญหาเรื่องความสะดวกในการใช้งานในช่วงแรก ๆ แต่พอใช้ไปสักพักก็จะปรับตัวได้และค่อย ๆ ชินไปเองครับ
รอยแหว่งที่อาจสร้างความรู้สึกประหลาดใจแก่ผู้พบเห็น รวมไปถึงสร้างความกังวลว่าเวลาเปิดแอปฯ จะเป็นอย่างไร ต้องบอกเลยครับว่ารอยแหว่างไม่เป็นอุปสรรค อาจจะดูขัดตาในช่วงแรก พอใช้ไปสักพักจะค่อย ๆ คุ้นเคยจนเฉยไปเองครับ ส่วนแอปฯ ที่รองรับกับรอยแหว่ง จากที่ผมทดสอบนอกจากจะมีแอปฯ ที่มากับเครื่อง จะมี Facebook กับ YouTube และในไม่ช้าก็จะมีแอปฯ อื่น ๆ ที่พัฒนาเพื่อรองรับ iPhone X เพิ่มมากขึ้นครับ
Face ID เป็นเทคโนโลยีที่โชว์ความล้ำสมัยที่ Apple ต้องการเปลี่ยนความเชื่อให้ผู้คนรู้สึกว่ามันเหนือกว่า ปลอดภัยกว่า Touch ID หรือสแกนลายนิ้วมือ แต่ในการนำร่องกับ iPhone X ก็ยังมีทั้งดีและข้อบกพร่อง ยังต้องการพัฒนาต่อยอดให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปครับ
เรื่องการถ่ายภาพด้วยกล้องหลังสามารถโฟกัสและจับภาพได้เร็ว สีที่ออกมาให้ความเป็นธรรมชาติมาก อาจจะเทียบเท่ากับสีที่สายตามนุษย์ปกติมองเห็น ขณะที่โหมด Portrait Lighting ทำได้เนียนครับ ความเบลอของพื้นหลังไม่กินเข้ามาในบริเวณของตัวบุคคล แต่แนะนำว่าการใช้โหมด Portrait Lighting ไม่ว่าจะเป็นกล้องหลังหรือกล้องหน้าควรใช้ในสภาพแสงที่มากพอและเหมาะสมจึงจะให้ภาพที่สวยงามครับ
อีกหนึ่งความรู้สึกที่อยากจะบอกเล่าในการหยิบจับ iPhone X บอกตามตรงครับว่า “กลัว” เพราะนอกจากจะไม่ใช่เครื่องของผมเองแล้ว การจับวางบนโต๊ะแต่ละครั้งก็กลัวว่าโมดูลของกล้องหลังที่ยื่นออกมาจะเป็นรอย, กลัวว่าเวลาใส่กระเป๋ากางเกงแล้วไปเจอเหรียญ เจอกุญแจรถเข้าก็อาจโดนขูด โดนขีดจนทำให้เป็นรอย, จะหยิบออกมาถือ มาใช้ทีก็ต้องทำอย่างระมัดระวังมากขึ้นกว่าปกติ ดังนั้นหากใครรู้ตัวว่าเป็นคนไม่ค่อยรักษาของ ทำอะไรไม่ค่อยระมัดระวังก็ต้องคิดทบทวนกันนิดนึดครับ
สุดท้ายนี้ สิ่งที่ผมนำมาบอกเหล่าเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งและเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ผมได้สัมผัส iPhone X และเครื่องที่ผมได้มาเป็นเครื่องหิ้วจากสิงคโปร์ที่มีผู้ใจดีให้ยืมมารีวิว โดยในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2560 เป็นต้นไป ที่ iPhone X จะเริ่มวางขายในประเทศไทยเป็นครั้งแรก จะเป็นโอกาสที่ทำให้คนที่สั่งจองหรือตั้งใจจะเป็นซื้อทันทีจะได้พบว่า iPhone X ให้ประสบการณ์อะไรที่แตกต่างจากสมาร์ทโฟนที่คุณเคยใช้มาบ้าง คุ้มค่าหรือเปล่ากับเงินกว่าสี่หมื่นที่ลงทุนไป