หนึ่งถึงสองวันที่ผ่านมา Google และ Apple ต่างเปิดตัวแท็บเล็ตรุ่นใหม่ ชนิดที่เรียกว่ายอมกันไม่ได้ Google เปิดตัว Nexus 9 ที่ได้รับความร่วมมือในการออกแบบและผลิตส่วนของฮาร์ดแวร์จาก HTC ขณะที่ Apple ต่อยอด iPad Air ด้วย iPad Air 2 ที่มาพร้อมความบางเฉียบที่สุดในโลก
เปรียบเทียบ iPad Air 2 กับ Nexus 9
การออกแบบ
iPad Air 2 : พัฒนาขึ้นด้วยวัสดุประเภทอลูมิเนียม เน้นความบางที่เรียกว่าเป็นแท็บเล็ตที่บางที่สุดในโลกเวลานี้ ด้วยความบางเพียง 6.1 มิลลิเมตร หากเทียบกับ iPad รุ่นแรกแล้ว ต้องใช้ iPad Air 2 ถึงสองเครื่องในการวางซ้อนกันเพื่อให้ได้ความหนาที่เท่ากัน ซึ่งหากการออกแบบภายนอก ถ้าไม่นับรวม Touch ID หรือสแกนลายนิ้วมือแล้ว iPad Air 2 แทบไม่มีอะไรที่ต่างจาก iPad Air
Nexus 9 : การที่ Google มอบหมายให้ HTC ออกแบบและผลิตฮาร์ดแวร์ ทำให้เราได้เห็นการนำ Unibody ที่ใช้กับ HTC One และ HTC One M8 มาใช้กับแท็บเล็ตรุ่นล่าสุด แม้จะดูหรูหราขึ้น แต่นั่นทำให้น้ำหนักของ Nexus 9 เพิ่มขึ้นตามมา ขณะที่ความบางอยู่ที่ 7.9 มิลลิเมตร
การแสดงผล
iPad Air 2 : ขนาดเท่าเดิมทั้ง 9.7 นิ้ว และความละเอียด 2048 x 1536 พิกเซล (264 ppi) แต่มีการเพิ่มเทคโนโลยีลดการสะท้อนแสงได้ดีขึ้นถึง 56%
Nexus 9 : มีขนาด 8.9 นิ้ว หน้าจอประเภท Gorilla Glass 3 ป้องกันรอยที่อาจเกิดจากการขีดข่วน ความละเอียด QXGA 2048 x 1536 พิกเซล สัดส่วหน้าจอปรับมาใช้ 4:3 แทน 16:9
การประมวลผลและหน่วยความจำ
iPad Air 2 : ใช้ชิปประมวลผลรุ่นใหม่ A8X แบบ 64 บิต ประเภท dual-core ที่ปรับปรุงมาจากชิปเซ็ตที่ใช้ใน iPhone 6 ประมวลผลเร็วขึ้น 40% และด้านกราฟฟิกเร็วขึ้น 2.5% รวมไปถึงเร็วกว่า iPad รุ่นแรกถึง 12 เท่า มีหน่วยความจำ 1GB ไม่เปลี่ยนแปลง
Nexus 9 : ใช้ชิปประมวลผลแบบ 64 บิต NVIDIA Tegra K1 Denver CPU ประเภท dual-core ความเร็ว 2.3GHz เร็วกว่ามากกว่าซีพียูแบบเดิมที่เป็น dual-cre หรือ 8 core ถึง 2 เท่า มีหน่วยความจำ 2GB
ระบบปฏิบัติการ
เป็นอีกครั้งที่ Apple และ Google ท้าชนด้วยระบบปฏิบัติที่ใหม่ทั้งคู่ Apple มี iOS 8.1 ซึ่งน่าจะถูกใช้ใน iPad Air 2 ในทันที ขณะที่ Nexus 9 มาพร้อม Android 5.0 Lollipop ที่เปิดตัวสำหรับภาคประชาชนไปเมื่อเร็วๆนี้
ซึ่ง iOS 8.1 เป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดแบบเร่งด่วนที่เกิดขึ้นหลังจากปล่อย iOS 8 ให้กับผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ iDevice พร้อมการกลับมาของ Cameral Roll (ม้วนฟิลม์) ในแอพ Photos มีฟังก์ชันเพิ่มขึ้นอย่าง ระบบชำระเงิน Apple Pay (แต่จะจำกัดให้ใช้ได้เฉพาะสหรัฐอเมริการในตอนนี้) รวมถึง iCloud Photo Library เวอร์ชัน Beta ด้วย
ส่วน Android 5.0 Lollipop เป็นการปรับเปลี่ยนอินเตอร์เฟซครั้งสำคัญของ Google ที่ใช้ชื่อการออกแบบที่เรียกว่า Material Design สำหรับสร้างส่วนติดต่อกับผู้ใช้ให้มีความเรียบง่าย สดใส ชัดเจน เข้าถึงง่ายมากกว่ารูปแบบเดิมๆที่ผ่านมา รวมไปถึงการจัดสรรการใช้พลังงานที่ดีขึ้นทำให้ผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ Android ที่อัพเดตมาเป็น Android 5.0 Lollipop แล้ว ช่วยขยายชั่วโมงการใช้งานให้ยาวนานขึ้นถึง 90 นาที
กล้อง
iPad Air 2 : กล้องหลังยังใช้เซนเซอร์ iSight ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล f/2.4 ไม่มีแฟลช รองรับการบันทึกวีดีโอแบบ Slo-mo 120fps, กล้องหน้า ความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล FaceTime HD รูรับแสง f/2.2 ให้ภาพที่ดีขึ้นแม้ในสภาพแสงน้อย
Nexus 9 : กล้องหลัง 8 ล้านพิกเซล f/2.4 ออโต้โฟกัส LEDแฟลช, กล้องหน้า 1.6 ล้านพิกเซล f/2.4
ราคา
iPad Air 2 : เวอร์ชัน Wi-Fi 16GB เริ่มต้นที่ 499 ดอลลาร์สหรัฐ, 64GB ราคา 599 ดอลลาร์สหรัฐ, 128GB ราคา 699 ดอลลาร์สหรัฐ ในส่วนของเวอร์ชัน Wi-Fi + Cellular 16GB เริ่มต้นที่ 629 ดอลลาร์สหรัฐ, 64GB ราคา 729 ดอลลาร์สหรัฐ และ 128GB ราคา 829 ดอลลาร์สหรัฐ โดยจากการประเมินแล้วราคา iPad Air 2 เท่ากับ iPad Air ตัวแรก เมื่อตอนเปิดตัวปีที่แล้ว
Nexus 9 : เวอร์ชัน Wi-Fi 16GB เริ่มต้นที่ 399 ดอลลาร์สหรัฐ, 32GB ราคา 479 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนในรุ่น LTE 32GB อยู่ที่ 599 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเทียบแล้ว Nexus 9 ยังถูกว่า iPad Air 2
ในภาพรวมทั้งหมดระหว่าง iPad Air 2 กับ Nexus 9 ค่อนข้างสูสีกันมาก ความต่างที่เห็นจากภายนอกคงจะเป็นเรื่องของดีไซน์ ที่ Apple เน้นความบาง (ไม่รู้ว่าจะงอได้อีกหรือเปล่า) ส่วน Google และ HTC ยอมให้น้ำหนักของตัวเครื่องมากขึ้น แต่แลกมาด้วยดีไซน์ที่ดูหรูหราขึ้น ขณะที่ราคาแน่นอนว่า Nexus 9 ยังเดินรอยคอนเซปต์ของความเป็นแท็บเล็ตราคาประหยัด ส่วน iPad Air 2 ก็ยังไม่ทิ้งความเป็นไฮเอนด์ เพื่อแสดงความเป็นผู้นำในตลาดแท็บเล็ตต่อไป