เราสังเกตุได้ใช่ไหมว่า ทุกวันนี้ ประเทศไทยมีหน้าร้อนที่ยาวนานกว่าเดิม และอุณภูมิก็ช่วงกลางวันก็สูงมากจนน่าตกใจ ในขณะที่ผมยืนอยู่บนรถไฟฟ้าเพื่อที่จะเดินทางไปทำข่าวห้างดังแห่งหนึ่ง แม้เครื่องปรับอากาศบนรถจะทำงานอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่อาจสู้อากาศภายนอกที่ร้อนและคนบนรถที่อัดกันแน่นยิ่งกว่าขนมปัง
ผมจ้องมองไปที่ผู้คนเหล่านั้น หลายคนกำลังไถ Facebook หลายคนกำลังดูสตรีมมิ่ง และอีกหลายคนกำลังเล่นเกม โดยเมื่อ 4G ก้าวเข้ามา ประตูแห่งยุคใหม่เกิดขึ้น ทำให้เราเข้าถึงสิ่งต่าง ๆ ได้รวดเร็ว
แต่ในขณะที่เรากำลังใช้งานมือถือ เราถือเป็นหนึ่งคนที่กำลังเชื่อมต่อกับเซิฟเวอร์ที่ใดที่หนึ่งของโลกนี้ ลองนึกถึงห้องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่มีคอมเป็นพันเครื่อง มีสายระโยงระยาง มีระบบระบายความร้อนขนาดมหึมา และมีบริษัทที่ต้องผลิตกระแสไฟฟ้าป้อนให้โรงงานข้อมูลเหล่านี้ตลอดแบบ 24/7
สิ่งที่น่าตกใจคือพลังงานนั้นมาจากพลังงานหมุนเวียนและพลังงานทดแทนน้อยมาก เพราะส่วนใหญ่แล้วจะมาจากถ่านหิน ก๊าซ และพลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งไม่เป็นเป็นมิตรต่อโลก และเห็นได้ชัดแล้วว่า การดู Youtube อัพโหลดภาพขึ้น Facebook หรือการทักแชทหาเพื่อนมันมีราคาที่ต้องจ่าย
มีหลายข้อมูลระบุว่า ความต้องการไฟฟ้าสำหรับใช้งานในโรงงาข้อมูลจะเพิ่มมากขึ้นหลายเท่าตัว โดย The Guardian กล่าวถึงหนังสือเล่มหนึ่งที่ชื่อว่า New Dark Age เขียนโดย James Bridle เขาอ้างถึงการศึกษาในประเทศญี่ปุ่นที่แสดงให้เห็นว่าภายในปี 2573 ความต้องการพลังงานของบริการดิจิตอลจะแซงหน้าความสามารถในการผลิตกระแสไฟฟ้าทั้งหมดของประเทศ
ในหนังสือเล่มนี้ยังให้ข้อมูลว่า การดำเนินการของสกุลเงินดิจิทัลอย่าง Bitcoin อาจใช้กระแสไฟฟ้าที่สร้างคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่าเครื่องบินที่บินข้ามมหาสมุทรกว่า 1 ล้านครั้ง ซึ่งเขากำลังกังวลกับสิ่งที่กำลังขึ้นต่อจากนี้ เพราะเราต้องการพลังงานเพื่อตอบสนองต่อการเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลของการจัดเก็บข้อมูลและความสามารถในการคำนวณของคอมพิวเตอร์ ในทศวรรษที่ผ่านมาปริมาณการใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูลเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทุกสี่ปี และคาดว่าจะเพิ่มเป็นสามเท่าใน 10 ปีจากนี้
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ส่วนหนึ่งได้รับการผลักดันมาจากอินเทอร์เน็ต โดยอุปกรณ์ที่เพิ่มขึ้นทุกวันตั้งแต่ โทรศัพท์มือถือ โทรทัศน์ อุปกรณ์ความปลอดภัยภายในบ้านไปจนถึงระบบไฟอัจฉริยะ รวมถึงระบบการขนส่งจำนวนนับไม่ถ้วนที่ปล่อยและรับข้อมูลอย่างต่อเนื่องในแต่ละวัน
หากรถยนต์ไร้คนขับเกิดการใช้งานอย่างแพร่หลาย การไหลเวียนของข้อมูลจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ในเวลาเดียวกันการเปิดตัวอินเทอร์เน็ตโครงข่ายใหม่อย่าง 5G อาจทำให้เกิดเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่สร้างข้อมูลใหม่ ๆ มากขึ้นในแต่ละวัน
จำได้หรือไม่ว่า ครั้งหนึ่งเราเคยถูกขอร้องจากรัฐบาล หรือองค์กรใหญ่ ๆ ของโลกให้ช่วยกันปิดไฟ ปิดทีวี หรือปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ได้ใช้เพื่อช่วยโลกของเรา แต่หลังจากนี้ เราอาจจะต้องเปิดอุปกรณ์บางอย่างอยู่ตลอดเวลาเพื่อเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ เพราะต้องซิ้งค์ข้อมูลและประมวลผลตลอดเวลา
ที่เล่ามาทั้งหมด ผมกำลังบอกว่า เราอาจเป็นแค่ฟันเฟืองเล็ก ๆ อันหนึ่ง แต่ก็มีมีส่วนในการทำให้โลกร้อนแบบไม่รู้ตัว เพราะ Data ที่สร้างขึ้นจำเป็นใช้แหล่งเก็บข้อมูลนะ (ถึงจะเป็นคลาวด์ก็ต้องมีฮาร์ดแวร์ในการเก็บข้อมูลอยู่ดี)
แต่ไม่ได้บอกว่าคุณต้องเลิกอัพภาพลง Facebook หรอกนะ ข่าวดีก็คือ ปัจจุบัน Facebook ได้หันมาใช้พลังงานหมุนเวียนสำหรับเซิฟเวอร์มากกว่า 75 % แล้วและมีแผนจะทำให้ได้ 100% รวมทั้ง Google Apple และ AWS
และในบรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านไอที นอกจากอเมิกาแล้ว บริษัทในจีน Tencent และ Alibaba ก็ได้เริ่มหันมาใช้พลังงานหมุนเวียนบางส่วนบ้างแล้ว ซึ่งดูเหมือนเรายังพอมีความหวังที่จะไม่ทำร้ายโลกไปมากกว่า จากปริมาณข้อมูลที่เพิ่มมากขึ้นในแต่ละวัน
แต่ท้ายที่สุดบริษัทเหล่านี้ก็ต้องการพลังงานที่ให้ความมั่นคงของระบบ โดยต้องมาจากพลังงานฟอสซิลหรือน้ำมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในอนาคตก็ได้แต่หวังว่าจะมีพลังงานที่ทดแทนกันได้อย่าง 100% เพื่อลดปริมาณการปล่อยคาบอร์นให้น้อยลงกว่านี้