อิงค์เจ็ทพรินเตอร์ (Inkjet printers) ตัวแปรสำคัญ ที่สามารถกำหนดความสำเร็จ และส่งผลต่อการปฏิบัติงานของบริษัท แต่ยังไม่มีใครไปถึงจุดนั้นเลย…
highlight
- แม้ว่าจะมีกระแสพูดถึงสำนักงานไร้กระดาษกันมากแค่ไหนก็ตาม แต่ความจริงแล้วก็ยังไม่มีใครไปถึงจุดนั้นเลย จากการศึกษาในประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า พนักงานออฟฟิศจะพิมพ์เอกสารมากถึง 10,000 แผ่น ต่อปี และมีกระดาษที่ถูกใช้ในองค์กรธุรกิจทั่วๆ ไปเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 22% ในแต่ละปี โดยข้อเท็จจริงเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงสู่สำนักงานไร้กระดาษนั้นจะยังไม่เกิดขึ้นในเร็ววันนี้อย่างแน่นอน
Inkjet printers ตัวแปรสำคัญธุรกิจปัจจุบัน
พรินเตอร์สำนักงานที่มักจะถูกมองข้ามว่าเป็นแค่อุปกรณ์สำนักงานพื้นฐาน ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว พรินเตอร์ถือว่าเป็นตัวแปรสำคัญ ที่สามารถกำหนดความสำเร็จ และส่งผลต่อการปฏิบัติงานของบริษัทได้ และถึงแม้ว่าจะมีกระแสพูดถึงสำนักงานไร้กระดาษกันมากแค่ไหนก็ตาม แต่ความจริงแล้วก็ยังไม่มีใครไปถึงจุดนั้นเลย
จากการศึกษาในประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่าโดยเฉลี่ยแล้ว พนักงานออฟฟิศจะพิมพ์เอกสารมากถึง 10,000 แผ่นต่อปี และมีกระดาษที่ถูกใช้ในองค์กรธุรกิจทั่ว ๆ ไปเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 22% ในแต่ละปี โดยข้อเท็จจริงเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงสู่สำนักงานไร้กระดาษนั้นจะยังไม่เกิดขึ้นในเร็ววันนี้อย่างแน่นอน
และกว่า 40% ของคนทั่วไปนิยามตัวเองว่าเป็นมนุษย์กระดาษด้วยซ้ำ เพราะพวกเขาชอบที่จะอ่านข้อมูลบนกระดาษมากกว่าดูข้อมูลจากจอสกรีน แต่ความจริงอีกประการที่ทุกออฟฟิศต้องเผชิญนั่นก็คือ พนักงานแต่ละคนจะสั่งพิมพ์ ก๊อปปี้ หรือแฟกซ์เอกสารกัน
เป็นเรื่องธรรมดา โดยไม่คำนึงถึงค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น แต่เมื่อรวม ๆ แล้ว ในแต่ละปีปริมาณค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นกลับไม่ใช่เรื่องเล่นๆ และกลายเป็นเรื่องที่ผู้บริหารไม่สามารถมองข้ามไปได้ นานมาแล้วเลเซอร์พรินเตอร์ดูเหมือนจะเป็นที่นิยม เพราะด้วยคุณภาพการพิมพ์ที่คมชัด ความเร็วในการพิมพ์
และประหยัดกว่าอิงค์เจ็ท พรินเตอร์ แต่วันนี้ มันไม่ใช่อีกต่อไป เมื่ออิงค์เจ็ทพรินเตอร์เจเนอเรชั่นใหม่ได้เปิดตัวออกสู่ตลาด โดยสิ่งที่ทุกออฟฟิศต้องการ คือ “อิงค์เจ็ทพรินเตอร์” ต้องสามารถตอบโจทย์ได้ทั้งหมด ตั้งแต่ประสิทธิภาพในการพิมพ์งานที่น่าเชื่อถือ รองรับการพิมพ์จำนวนมาก
สามารถเป็นได้ทั้งเครื่องพิมพ์ เครื่องถ่ายเอกสาร และแฟกซ์ ซึ่งพิมพ์ด้วยความเร็วสูงทั้งเอกสารด้านเดียวและสองด้าน โดยที่บริษัทไม่ต้องลงทุนสูง แถมยังบำรุงรักษาง่าย เสียเวลาดาวน์ไทม์น้อยมาก นอกจากนี้ยังดีต่อสภาพแวดล้อมในที่ทำงาน เพราะอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ประหยัดไฟ
แถมยังขึ้นชื่อในเรื่องโครงสร้างที่ไม่ซับซ้อน ซึ่งนั่นหมายถึงการมีชิ้นส่วนที่ต้องเปลี่ยนน้อยหรือโอกาสที่จะเกิดความเสียหายน้อย จึงไม่ต้องห่วงเรื่องการซ่อมบำรุงมากนัก ทุกวันนี้เทคโนโลยีของ “Inkjet printers” ก้าวหน้าไปมาก จนสามารถแซงหน้าความต้องการของผู้ใช้ส่วนใหญ่ไปแล้ว
ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากพรินเตอร์ของเอปสัน ที่เป็นผู้นำการปฏิวัติวงการอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ของโลก เพราะความเร็วคือสิ่งที่ทุกออฟฟิศต้องการมากที่สุด หัวพิมพ์ PrecisionCore แบบไลน์เฮดของเอปสันในเครื่องมัลติฟังก์ชั่นพรินเตอร์รุ่น WorkForce Enterprise WF-C20590
จึงถูกพัฒนาขึ้น เพื่อให้สามารถพิมพ์ด้วยความเร็ว สูงถึง 100 แผ่นต่อนาที ทั้งพิมพ์แบบหน้าเดียวและสองหน้า ซึ่งความเร็วเทียบเท่าหรือเร็วกว่าเลเซอร์พรินเตอร์เสียอีก ทำให้ได้งานที่มากกว่าในเวลาเท่ากัน รวดเร็วกว่าทำให้มีเวลาไปทำงานสำคัญอื่น ๆ มากขึ้น จุดที่เยี่ยมไปกว่านั้น ก็คือการไม่ต้องเสียเวลาวอร์มเครื่องเหมือนเลเซอร์พรินเตอร์
จึงสามารถสั่งพิมพ์หน้าแรกได้ทันทีหลังจากเปิดเครื่อง นอกจากนี้ตลับหมึกความจุสูงที่หมึกดำรองรับการพิมพ์ได้มากถึง 1 แสนหน้า และหมึกสีที่แต่ละสีพิมพ์ได้ 5 หมื่นหน้า สามารถใช้งานได้นานจนพนักงานจะลืมเรื่องการเปลี่ยนตลับหมึกไปเลย
แต่ถ้าหากจะมองในด้านคุณภาพ หัวพิมพ์ PrecisionCore แบบไลน์เฮดของเอปสัน สามารถรับประกันคุณภาพ งานพิมพ์ที่ไม่แพ้เลเซอร์พรินเตอร์ แต่ได้งานในเวลาที่สั้นกว่า บวกกับสายพานไฟฟ้าในพรินเตอร์รุ่น WorkForce Enterprise ยังช่วยทำให้แน่ใจได้ว่ากระดาษแต่ละแผ่นจะอยู่ในสภาพที่เรียบสนิท
จนพิมพ์งานได้คมชัดทุกแผ่น นอกจากนี้หัวพิมพ์นี้ยังมีระบบมอนิเตอร์ช่องการปล่อยน้ำหมึกแบบโดยอัตโนมัติ และมีระบบทำความสะอาดภายในตัว ทำให้ผู้ใช้งานไม่ต้องกังวลในเรื่องคุณภาพงานพิมพ์ หรือปัญหาเรื่องหมึกอุดตันอีกต่อไป
หรือหากมองจากมุมค่าใช้จ่าย ในการใช้งาน WorkForce Enterprise ของเอปสันก็ยิ่งเหนือกว่าเลเซอร์พรินเตอร์มาก เพราะเครื่องจะไม่สร้างความร้อนในขณะพิมพ์ ใช้พลังงานไฟฟ้าน้อยกว่าเลเซอร์พรินเตอร์ทั่วไปถึง 75% และมีอุปกรณ์ที่ต้องดูแลน้อยกว่ามาก
จึงช่วยลดค่าใช้จ่ายในด้านการบริการ การบำรุงรักษาเครื่อง และช่วยลดเวลาการหยุดใช้งานเครื่องหรือดาวน์ไทม์ไปได้มาก WorkForce Enterprise ยังทำให้เรื่องการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการพิมพ์ ก๊อปปี้ สแกนไปยังอีเมล และอื่นๆ ของ พนักงานจำนวนมากเป็นเรื่องง่ายดาย
ด้วยเครื่องมือจัดการและฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยที่จะกำหนดสิทธิ์ใน การใช้งาน และการจัดการเครื่อง รวมถึงถาดใส่กระดาษที่จุได้มากถึง 5,350 แผ่น และพิมพ์แบบต่อเนื่องได้นาน 4,000 แผ่น และเมื่อต้องเปลี่ยนหมึกก็ทำได้ในทันที โดยไม่ต้องห่วงว่าหมึกจะหกเลอะเทอะ หรือต้องรอให้เครื่อง เย็นลงก่อนถึงจะเปลี่ยนหมึกได้
ความพิเศษเพิ่มเติมอีกประการหนึ่งของ WorkForce Enterprise ก็คือ สามารถใช้กับกระดาษได้หลากหลายชนิด ซึ่งรวมถึงกระดาษที่มีความหนาถึง 350 แกรม และสุดท้าย หากพิจารณาในเรื่องความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อิงค์เจ็ทพรินเตอร์ของเอปสันก็สามารถทำได้ดีกว่าเลเซอร์พรินเตอร์
ไม่ใช่แค่เฉพาะเครื่องรุ่น WorkForce Enterprise เท่านั้น แต่ยังมีเครื่องรุ่น WorkForce Pro WF-C869R ที่ใช้ไฟน้อยกว่าเลเซอร์พรินเตอร์ทั่วไปถึง 80% โดยจากการทดสอบของ Buyers Laboratory LLC อิงค์เจ็ทพรินเตอร์ของเอปสันใช้ไฟเพียง 18.7 kwh ขณะที่เลเซอร์พรินเตอร์ใช้มากถึง 98.8 kwh
แต่อย่าลืมว่าในแต่ละออฟฟิศไม่ได้ใช้แค่เพียงเครื่องเดียว หากคูณค่าความแตกต่างนี้ตามจำนวนพรินเตอร์ที่ใช้งานในแต่ละแผนก จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า Inkjet printers ช่วยประหยัดพลังงานได้มากขนาดไหน หรือหากคำนวณทั้งวงจรการผลิต และการขนส่งของตัวพรินเตอร์
ไปจนถึงการทำลาย และรีไซเคิลจะเห็นว่าค่า CO2 ที่ถูกปล่อยออกมา สำหรับอิงค์เจ็ทพรินเตอร์จะน้อยกว่าเลเซอร์พรินเตอร์ถึงประมาณ 93% อาจจะถึงเวลาแล้วสำหรับสำนักงานที่กำลังจะเลือกใช้เลเซอร์พรินเตอร์จะต้องทบทวนอย่างจริงจังอีกครั้ง เพราะไม่ว่าจะด้วยปัจจัยหรือตัวแปรในด้านไหนก็ตาม
อิงค์เจ็ทพรินเตอรของเอปสันสามารถนำเสนอสิ่งที่ดี และคุ้มค่ากว่าเลเซอร์พรินเตอร์ รวมถึงยังสามารถสยบทุกข้อกังขาเกี่ยวกับอิงค์เจ็ทพรินเตอร์และทุกปัญหาของการพิมพ์ใน สำนักงานอีกด้วย
ส่วนขยาย
* บทความนี้เรียบเรียงขึ้นเพื่อการวิเคราะห์ในแง่มุมที่น่าสนใจ
** เขียน: ชลัมพ์ ศุภวาที (บรรณาธิการและผู้สื่อข่าว)
*** ขอขอบคุณภาพบางส่วนจาก www.pexels.com