หัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป เผยผลประกอบการครึ่งแรกปี 2558 โต 69% ด้วยกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จส่งผลให้ผลประกอบการธุรกิจแฮนด์เซ็ทเพิ่มขึ้น 87% จากช่วงเดียวกันในปีที่แล้ว
หัวเว่ย ผู้นำด้านการสื่อสารและผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีการสื่อสารสารสนเทศระดับโลกเผยผลประกอบการของกลุ่มธุรกิจ คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป (BG) ในครึ่งแรกของปี 2558 มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดด้วยรายได้รวมที่สูงถึง 9.09 พันล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นการเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 69% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา รายได้รวมของกลุ่มธุรกิจคิดเป็น 32% จากผลประกอบการรวมของหัวเว่ย เทคโนโลยี่ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ที่ทำรายได้เพิ่มขึ้น 24% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ผลประกอบการของธุรกิจแฮนด์เซ็ทคือ 7.23 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือเพิ่มขึ้นถึง 87% เนื่องมาจากการวางกลยุทธ์ของหัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป ที่มุ่งเน้นในการเจาะตลาดโทรศัพท์มือถือตั้งแต่กลุ่มกลางไปจนถึงกลุ่มบนส่งผลให้ยอดจัดส่งผลิตภัณฑ์และราคาเฉลี่ยของผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้น
“การเติบโตอย่างก้าวกระโดดนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่ากลยุทธ์ของเราที่มุ่งเน้นในการจัดส่งผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพเข้าสู่ตลาดนั้นส่งผลให้ยอดขายในปี 2558 ของเราเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ 16 พันล้าน มาเป็น 20 พันล้านเหรียญสหรัฐ การเติบโตอย่างรวดเร็วนี้มาจากความมุ่งมั่นของ หัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป ที่ดำเนินงานตาม กลยุทธ์หลักที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคด้วยการพัฒนา ฮาร์ดแวร์ และสร้างประสบการณ์ในการใช้งานซอร์ฟแวร์ให้แก่ผู้บริโภคด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ ผ่านการลงทุนในด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องซึ่งจะทำให้หัวเว่ย กลายมาเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจนี้ในระยะยาว” ริชาร์ด หยู ซีอีโอ หัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ปกล่าว
การจัดส่งสมาร์ทโฟนของหัวเว่ยในตลาดทำได้ดีสวนทางกับสภาวะตลาด
ในครึ่งแรกของปี 2558 หัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป ได้จัดส่งสมาร์ทโฟนให้แก่ลูกค้าเป็นจำนวนทั้งสิ้น 48.2 ล้านเครื่องซึ่งคิดเป็นการเติบโตเพิ่มขึ้น 39% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ในขณะที่ความต้องการสมาร์ทโฟนในตลาดโลกนั้นเติบโตขึ้นเพียง 7% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การจัดส่งผลิตภัณฑ์รุ่นกลางไปจนถึงรุ่นบนเพิ่มขึ้นถึง 70% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งคิดเป็น 31% ของการจัดส่งผลิตภัณฑ์แฮนด์เซ็ท และ 42.9% ของรายได้รวมทั้งหมด รายได้รวมของผลิตภัณฑ์รุ่นกลางถึงรุ่นบนเพิ่มขึ้นถึง 388% ในขณะที่รายได้ของผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้คิดเป็น 44% ของรายได้ทั้งหมด
ผลประกอบการเติบโตอย่างรวดเร็วในทุกภูมิภาคทั่วโลก
แผนกลยุทธ์การแข่งขันในตลาดโลกของหัวเว่ย ผลักดันให้การเจริญเติบโตทางธุรกิจเป็นไปอย่างมั่นคงทั้งในประเทศจีนและตลาดต่างประเทศ โดยผลประกอบการในประเทศจีนเพิ่มขึ้น 124% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ในขณะที่ภูมิภาคอื่นมีผลประกอบการเพิ่มขึ้นกว่า 40% ทั้งในฝั่งยุโรปตะวันตก ยุโรปตะวันออกเฉียงเหนือ แปซิฟิกใต้ แอฟริกาเหนือ และตะวันออกกลาง มีรายงานตัวเลขที่เพิ่มขึ้นกว่า 45% 54% 41% 164% และ 48% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่การจัดส่งสมาร์ทโฟนรุ่นไฮเอนด์ในอิตาลีและสเปนประสบความสำเร็จด้วยการเติบโตถึง 293% และ 448% ตามลำดับเมื่อเทียบกับปีก่อน ตามรายงานของ GFK ส่วนแบ่งทางการตลาดสมาร์ทโฟนทั่วโลกของหัวเว่ยยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไตรมาสแรกของปี 2558 โดยมีตัวเลขที่ 6.7% ในเดือนมกราคม 7.1% ในเดือนกุมภาพันธ์ 7.8% ในเดือนมีนาคม 8.1% ในเดือนเมษายนและ 8.8% ในเดือนพฤษภาคม
จากรายงานของ GFK หัวเว่ยประสบความสำเร็จในการแซงซัมซุงและแอปเปิ้ล และกลายมาเป็นบริษัทที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ใหญ่ที่สุดในตลาดประเทศจีน โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาด 12.9% 13.6 14.1% และ 15.2% ในเดือนมีนาคม เมษายน พฤษภาคมและมิถุนายนตามลำดับ และในตลาดโลกหัวเว่ยครองส่วนแบ่งการตลาดในประเทศสเปน 24% และอิตาลี 20% ตามลำดับ
การจัดส่งผลิตภัณฑ์รุ่นเรือธงของ หัวเว่ย แตะยอด ‘ห้าล้าน’
ในครึ่งปีแรกของปี 2558 ผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟนรุ่นเรือธงของหัวเว่ย อาทิหัวเว่ย เมทเจ็ด มียอดจัดส่งทั่วโลกทั้งหมด 5 ล้านเครื่อง โดยมียอดขายที่น่าประทับใจในกว่า 100 ประเทศรวมทั้งจีน ยุโรปตะวันตก ตะวันออกกลาง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิกใต้ และอื่น ๆ หัวเว่ย พีเจ็ด มียอดขายสะสมกว่า 7 ล้านเครื่อง โดยถูกจำหน่ายไปกว่า 100 ประเทศ หัวเว่ย พีแปด มากกว่าหนึ่งล้านเครื่องได้ถูกจำหน่ายไปในระยะเวลาเพียงสองเดือนแรกตั้งแต่การเปิดตัว ซึ่งได้ถูกจัดจำหน่ายในกว่า 52 ประเทศรวมทั้งจีน ฝรั่งเศส สเปนและอิตาลี
มุ่งมั่นในการก้าวสู่แบรนด์อันเป็นที่ยอมรับมากที่สุดสำหรับผู้บริโภคทั่วโลก
ในเดือนพฤษภาคมปี 2558 หัวเว่ยได้มีชื่ออยู่ใน ‘สุดยอด 100 แบรนด์ระดับโลก’ ของ BrandZ ประจำปี 2558 เป็นครั้งแรก โดยอยู่ในตำแหน่งที่ 16 ในหมวดด้านเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ โดยมีมูลค่าแบรนด์ถึง 15.335 พันล้านเหรียญสหรัฐ นับเป็นหนึ่งในความสำเร็จของหัวเว่ยในการเป็นแบรนด์แรกของประเทศจีนที่ได้เป็นสุดยอด 100 Interbrand ระดับโลกที่ดีที่สุดในปี 2557
ในเดือนมิถุนายน ชุมชนสื่อสังคมออนไลน์ทั่วโลกของหัวเว่ยมีแฟนมากกว่า 6.8 ล้านคน ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นกว่า 40% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีจำนวนรวมของบทสนทนาออนไลน์ที่พูดถึงหัวเว่ยเพิ่มขึ้น 60% โดยเฉพาะคำที่ระบุว่า “โทรศัพท์มือถือหัวเว่ย’’ ในสเปนและอิตาลีปรับตัวสูงขึ้น 118% และ 132% ตามลำดับ เปรียบเทียบระหว่างเดือนเมษายนปี 2557 และเมษายน 2558
มุ่งลงสนามสู่ความเป็น “ผู้แข่งขัน” ระยะยาว ประกาศความเป็นตัวจริงสู่ยุค Internet of Things
ในครึ่งปีหลังของปี 2558 หัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป จะนำความเป็นผู้เชี่ยวชาญและความรู้ด้านฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์สำหรับการสื่อสารและโทรคมนาคมมาใช้เพื่อตอบสนองยุคที่ทุกอย่างเชื่อมโยงต่อกัน ดังนั้น หัวเว่ยจึงมุ่งพัฒนาและให้ความสำคัญกลยุทธ์อุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ หรือ Wearable โดยจะเห็นได้จากการเปิดตัว Huawei Watch W1, TalkBand N1 และ B2 ที่งานโมบาย เวิลด์ คองเกรส เมืองบาเซโลน่า ประเทศสเปนเมื่อเร็วๆนี้
หัวเว่ยมีศูนย์วิจัยและพัฒนาทั้งหมด 16 ศูนย์ทั่วโลก รวมไปถึงศูนย์วิจัยด้านสุนทรียศาสตร์ที่ฝรั่งเศส ศูนย์วิจัยด้านคณิตศาสตร์ที่รัสเซีย ศูนย์วิจัยและควบคุมคุณภาพและการออกแบบที่ญี่ปุ่น และศูนย์วิจัยด้านซอฟต์แวร์ที่อินเดีย ในวันที่ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา หัวเว่ยได้จดทะเบียนสิทธิบัตรครบทั้งหมด 76,687 ฉบับ โดยจำนวน 18,000 ฉบับเป็นสิทธิบัตรเกี่ยวกับอุปกรณ์ดีไวซ์ และจำนวน 41,903 ฉบับนั้นเป็นสิทธิบัตรที่ได้รับการอนุมัติในระดับโลก
สำหรับการพัฒนายานยนต์อัจฉริยะ หรือ Interconnected Cars หัวเว่ยได้ร่วมมือกับพันธมิตรผู้ทรงประสิทธิภาพด้านยานยนต์ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2558 อาทิ โฟล์คสวาเกน เมอร์เซเดส-เบนซ์ และ ออดี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมอร์เซเดส-เบนซ์ และ ออดี้ ที่ได้ให้เหล่าตัวแทนผู้ผลิตใช้โมดูล 4G สำหรับติดตั้งยานพาหนะในการผลิตอุปกรณ์เชื่อมต่อกับรถยนต์ในอนาคต และเพื่อเป็นการบูรณาการความชำนาญด้านเครือข่าย 4G/5G เทคโนโลยี Big Data และเทคโนโลยี Cloud เข้าด้วยกัน หัวเว่ย จึงมุ่งเป้าที่จะเป็นผู้เล่นสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์อัจฉริยะ และผลักดันเทคโนโลยีการสื่อสารระหว่างยานยนต์ สมาร์ทโฟนและอุปกรณ์ Wearables เพื่อการติดต่อสื่อสารที่ไร้รอยต่อ สะดวกสบาย และการขับขี่ที่ปลอดภัย